ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัตถ์แห่งอนธกาฬ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่2 ดินแดนสีขาว

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 48






                                            



                                                                                               บทที่สอง

                                                                                             ดินแดนสีขาว







        ล้อมผาเกาทียังตระหง่านตั้งและแข็งแกร่งดุจลํ้าผาไม่มีวันทลาย นครฟานเธ นครหลวงแห่งอาณาจักรแห่งสุดท้ายของเหล่าผู้กล้าถึงแม้ว่าจะไม่รุ่งเรืองดั่งในยามที่พระเจ้าเทียเมา-นารอส ทรงได้ครองราชย์อยู่ แต่กระนั้นในยามที่พระมหาคธาแห่งพระเจ้ากุมการ์เธียร์ปกครองไพร่ฟ้านั้น เงามืดดูเหมือนจะไม่กล้าย่างกรายเข้าสู่นครอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้



        พระเจ้ากุมการ์เธียร์ทรงเป็นพระโอรสองค์เดียวของพระเจ้าอินเซเดี่ยนที่สิบเก้า หรือพระเจ้าอันตราเนี่ยนผู้เกรียงไกร ทรงเสด็จเสวยราชสมบัติภายหลังการสวรรคตของพระชนกในการสงครามแห่งกอมมัน (บันทึกการสงครามแห่งอันตราเนี่ยนที่ทุ่งกอมมันนี้ สามารถหาอ่านได้จากบทบันทึกแห่งกุงคาลธิล หนึ่งในขุนนางนักปราชญ์แห่งกราดินาเธ) เมื่อแรกที่ทรงเสด็จเสวยราชย์นั้นพระชมน์ได้เพียงเก้าชันษา



        รัชสมัยที่ผ่านพ้นมาถึงสี่สิบสามปีแห่งความสงบสุขของพระเจ้ากุมการ์เธียร์นั้น ได้รับการโจทย์ขานไปในทศทิศเป็นเวลาช้านานและต่อเนื่องสืบไปนับร้อยปี...



        สี่สิบสามปีที่ผ่านมาแห่งรัชกาลของพระเจ้ากุมการ์เธียร์นั้น ป้อมปราการซังเธลกุมการ์หรือป้อมปราการแห่งความมืดอันเป็นหอที่ได้ชื่อว่าสัมผัสนภาและเป็นที่สถิตของ “เฮลควิส” ทมิฬราชานั้นเงียบสงบ และปราศจากความเคลื่อนไหวใดๆ กองทัพทมิฬที่เต็มไปด้วยแสนยานุภาพที่เมื่อครั้งปลายรัชสมัยของพระเจ้าอันตราเนี่ยน อินเซเดี่ยนที่19นั้น ได้เคยยกมาทำอันตรายแก่แผ่นดินแห่งแสงสว่างนี้ แต่ด้วยการช่วยเหลือของโกโรเกียร์ กองทัพแห่งความมืดก็จำจะต้องล่าถอยไป และก็ยังคงไร้ซึ่งสัญญาณใดๆที่แสดงให้เห็นถึงการยาตราทัพนั้นอีกคราหนึ่ง



        สี่สิบสามปีที่แผ่นดิน และไพร่ฟ้าต่างก็อยู่กันอย่างสงบสุข เป็นระยะเวลาเกือบค่อนศตวรรษที่แผ่นดินกราดินาเธ ภายใต้การปกครองของพระเจ้ากุมการ์เธียร์ผู้ทรงปรีชาสามารถได้สร้างเอาความเป็นปึกแผ่นและความเป็นเอกภาพขึ้นอย่างเกรียงไกร ดุจดั่งในยามบรรพกาลที่ เจ้าวอคลาส มหาอุปราชแห่งแผ่นดินได้ก่อตั้งเอาอาณาจักรกราดินาเธขึ้นอย่างเป็นเอกภาพและคงไว้ซึ่งรากฐานสืบทอดมาจวบจนปัจจุบัน



        พระเจ้ากุมการ์เธียร์ในพระชนม์ห้าสิบสองพรรษาแม้จะทรงพระชนม์พรรษามากขึ้น อย่างเป็นลำดับ แต่ก็ยังทรงมีพระพักตร์และดวงพระเนตรที่เฉิดฉายสง่างาม เหล่าประชาราษฎร์ผู้ภักดีแห่งกราดินาเธนั้นต่างก็ยกย่องพระองค์และสรรเสริญแซ่ซ้องความงดงามของพระองค์เป็นมาเป็นเวลาช้านาน



        กระนั้นสี่สิบสามปีแห่งความรุ่งโรจน์อีกคราหนึ่งแห่งฟานเธนั้น ได้นำพาหลากหลายสิ่ง และหลากหลายความเปลี่ยนแปลงมาสู่พิภพที่ลึกลับแห่งนี้ยิ่งนัก



        อาณาจักรโรมินนิ่งส์ อันเป็นอาณาจักรที่กล้าแกร่งและเก่าแก่ยิ่งอีกอาณาจักรหนึ่ง และตั้งอยู่ที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของราชอาณาจักรกราดินาเธนั้น ภายหลังจากการสวรรคตของพระเจ้าวุงมัง มหาทรราช พระโอรส เจ้าชายมานิสก็ได้ทรงประกาศเอกราชไม่ยินยอมขึ้นต่อหัตถ์แห่งความมืดแห่งเฮลควิสอีกต่อไป



        และด้วยประการฉะนี้ กราดินาเธ และโรมินนิ่งส์ที่เป็นราชอาณาจักรที่ไม่ต้องชะตากันมาช้านาน ก็ได้ร่วมจับมือเป็นพันธมิตรซึ่งกันและกัน



        อันโรมินนิ่งส์นี้ แท้ที่จริงแล้วในอดีตเคยเป็นหนึ่งในแว่นแคว้นแห่งราชอาณาจักรกราดินาเธ แต่แว่นแคว้นโรมินเนียสแห่งนี้ได้ประกาศเอกราชและไม่ขึ้นตรงต่อกราดินาเธในปลายราชวงศ์ราเนียส และในภายหลังได้ก่อเกิดเป็นมหาสงครามพันปี จวบจนไปถึงหลังการสวรรคตของพระเจ้าเทียเมา-นารอส แผ่นดินโรมินนิ่งส์จึงได้สร้างความเป็นเอกภาพสถาพรขึ้นอย่างมั่นคงถาวรเหนือแผ่นดินสีทองแห่งนั้น



        และบัดนี้ เมื่อยามที่เวลาแห่งบรรพกาลได้ผ่านพ้นไป ความขัดแย้งของสองอาณาจักรดูจะกลายไปเป็นเรื่องเล็กน้อยลงไป ด้วยว่าในยามนี้ทั้งสองอาณาจักรก็ได้พบกับศัตรูผู้เดียวกัน และด้วยเป้าหมายที่จะโค่นล้มลงซึ่งความมืดซึ่งไร้ที่สิ้นสุดนั้น พระเจ้ากุมการ์เธียร์ผู้สง่างาม และพระเจ้ามานิส  ผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้ชักเอาพระแสงดาบและสาบานว่าจะทรงอาชาเคียงกันและก้าวไปสู่จุดจบเดียวกัน



        หากไม่ใช่จุดจบแห่งทมิฬเทพ ก็ย่อมจุดจบของพระองค์ทั้งสองเองนั่นแล้ว!!!



        ความเปลี่ยนแปลงและการร่วมมือกันของสองราชอาณาจักรนี้ เป็นเรื่องที่เป็นโจทย์ขานกันไปในหมู่ชน ภาพการเสด็จเยือนนครบาราธของพระเจ้ากุมการ์เธียร์ผู้ทรงอาภรณ์สีขาวกระจ่างนั้น เป็นที่เลื่องลือ แม้กระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปอีกร้อยปี เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ชาวโรมินนิ่งส์ยังไม่หยุดที่จะแซ่ซ้องความงดงามแห่งจอมกษัตริย์เชื้อสายเทพผู้นั้นเลย



        แต่กระนั้นในห้วงเวลาสี่สิบสามปีแห่งความเรืองรุ่งนี้ ความเปลี่ยนแปลงก็ยังเกิดขึ้นอย่างมากมายนัก การล่มสลายลงของนครลัสโฟมัสเมืองท่าปากทะเลที่เบื้องใต้นั้นก็เป็นอีกประการหนึ่ง



        แผ่นดินลัสโฟมัสได้ชื่อมาแต่โบราณกาลว่าเป็นนครแห่งนักรบ และนักปราชญ์ แผ่นดินติดทะเลของลัสโฟมัสทำให้ลัสโฟมัสขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม และเป็นเอกเทศทางด้านการเดินเรือและการค้าขาย แต่กระนั้นภายหลังที่ลัสโฟมัสภายใต้การนำของลอร์ดทิวดัสได้ปลดแอกความเป็นทาส และสถาปนาความเป็นไทเหนืออาณาจักรกราดินาเธแล้วนั้น ลัสโฟมัสดูเหมือนจะอ่อนแอลง



        และหลังจากการสิ้นพระชมน์ของพระเจ้าทิวดีเรี่ยน พระโอรสของทิวดัสในการสงครามยุทธนาวีไพซอตนั้น ลัสโฟมัสถูกความมืดครอบครอง และในเวลาไม่ช้านานมานี้ ดูเหมือนว่าอาณาจักรอันงดงามแห่งนั้นจะล่มสลายลงเสียแล้ว



        เรื่องราวแห่งลัสโฟมัสนี้นำพาเอาความอกสั่นขวัญแขวนมาสู่ปวงชน อาณาจักรที่ในอดีตเคยรุ่งเรืองอย่างสูงสุด เหล่านักปราชญ์ผู้ทรงปัญญา และนักรบผู้ห้าวหาญนั้นก็ล้วนแล้วแต่มีถิ่นกำเนิดที่แผ่นดินติดทะเลแห่งนี้ทั้งสิ้น และในยามนี้ ที่หัตถ์แห่งอนธกาฬครอบครองนภาและพสุธา ลัสโฟมัสที่เก่าแก่ก็ต้องดับสิ้นลง



        เรื่องราวเหล่านี้เป็นสัจธรรมที่น่ากริ่งกลัว ทุกสิ่งมีอยู่ก็ต้องมีสิ้นสูญไป ทุกสิ่งเมื่อเคยงดงามก็ต้องร่วงรา โรยแล้งลงไป ความจริงอันเป็นสัจธรรมข้อนี้แม้จะต้องทำใจให้ยอมรับรู้ แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าสัจธรรมข้อนี้นั้นเป็นที่เกรงกลัวของผู้คนมากน้อยเพียงไร



        การสิ้นสุดยุคสมัยแห่งลัสโฟมัส และการปรองดองกันของสองมหาอาณาจักรนั้น เป็นเหตุการณ์ใหม่ ซึ่งได้นำพาเอาพิภพแห่งนี้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ อันเป็นมหายุคสมัยแห่งความระทมและความหวัง (Age of the sorrow and faithful)



        เวลาแห่งบรรพกาลได้พ้นผ่านไปดั่งสายธาราอันสดใสที่ไม่หวนคืนต้นนํ้า เวลาอันเรืองโรจน์แห่งพระเจ้าเทียเมา ความเกรียงไกรแห่งสามสิบเก้าราชวงศ์แห่งกราดินาเธ การเรืองอำนาจสูงสุดแห่งโรมินนิ่งส์ การล่มสลายของลัสโฟมัส เรื่องราวเหล่านี้บัดนี้ถูกกระแสธารแห่งกาลเวลาที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และยั้งหัตถ์ปราณีให้แก่ผู้ใด พัดพาไปสู่เบื้องหลังอันไกลโพ้นเกินเอื้อม เรื่องราวที่เคยเป็นที่จดจำและโจทย์ขานมานับพันปี ได้ก้าวถอยหลังลงไปก้าวหนึ่ง เพื่อเปิดทางให้แก่ยุคใหม่ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เหลือคณา ยุคที่จะเป็นที่โจทย์ขาน ยุคที่จะสร้างยอดคน และเป็นที่จดจำทดแทนเรื่องราวในอดีต ด้วยว่าเรื่องราวใดๆในอนาคตนั้นไซร้ที่จะเกิดขึ้น ณ เวลาหนึ่งไม่นมนามนักจากนี้ มันจะกลับกลายมาเป็นอดีตให้คนแซ่ซ้องไปเสียแล้ว



        กระนั้นก็ตามช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงได้ใกล้เข้ามาทุกขณะ ความเปลี่ยนที่อาจจะต้องเสียสละ... และเป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวที่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบช่วงอายุคน คำแซ่ซ้องและกล่าวขานแห่งเรื่องราวนี้ก็ยังไม่สร่างซาลงเลยแม้เพียงน้อย



                                                                                           *****



        แผ่นดินทางตอนเหนือกราดินาเธนั้น ได้ถูกเรียกขานว่าเป็นแผ่นดินรกร้างมานมนานปี แผ่นดินที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังที่ดูไม่ได้บนแผ่นดินแห่งนี้นั้น ไม่เคยมีผู้ใดใส่ใจแม้จะเพียงชำเลืองตามองเวลาที่ควบม้าผ่านเส้นทางโบราณผ่านแผ่นดินแห่งนี้เลย



        แผ่นดินแห้งกรังที่เต็มไปด้วยหมอกสีเหลืองน่าเกลียด และแสงแดดสุดจะแผดเผาแห่งนี้ตั้งอยู่ทางเหนือของแคว้นฟานเธียส ห่างจากกรุงฟานเธ นครหลวงเป็นระยะทางถึงสองพันไมล์ แผ่นดินแห่งนี้ หากท่านได้มองเพียงเผินๆเวลาที่ควบอาชาอย่างเร่งร้อนผ่านพ้นไปแล้ว ก็ย่อมไม่มีสิ่งใดน่าสนอกสนใจเป็นพิเศษ



        แต่กระนั้น มีเพียงนักปราชญ์ผู้ยิ่งยงไม่กี่คนที่เหลืออยู่เท่านั้นแล ที่จะรู้ว่าบนพื้นดินเหลืองแห้งกรังเหล่านี้นั้น ซากที่หลงเหลือแห่งความรุ่งโรจน์อันยาวนานแห่งแว่นแคว้นออโธรปาเมียได้กระจัดกระจายอยู่



        โอ้! แว่นแคว้นออโธรปาเมียอันงดงามในอดีต เวลาได้ผ่านพ้นไปถึงเก้าร้อยปีแล้วหลังจากการสิ้นสุดแห่งความงดงามของเจ้านั่นไซร้ ผู้ใดจะรู้เล่าว่าแผ่นดินที่จอมทัพและขุนศึกผู้เกรียงไกรในบรรพกาลได้ยกมารบพุ่งกันที่แห่งนี้ ได้สังเวยโลหิตและชีวิตบูชาเจ้าไปมากเท่าไรกัน บัดนี้เพียงหลงเหลือเศษซากความงดงามที่ไม่อาจมองเห็นได้ อำนาจแห่งความมืดทำลายเจ้าหมดสิ้นเสียแล้ว



        แว่นแคว้นออโธรปาเมียแห่งนี้ มีทิศใต้ติดต่อกับเขตเทือกเขาโอลิมเปียส และทิศตะวันตกนั้นเล่าก็ติดต่อไปเขตเทือกเขาอิมรอเทียนอันสูงเทียมเมฆ และถัดไปทางเบื้องตะวันตกของอิมรอเทียน เทือกเขาสีดำทะมึนที่ลํ้าเข้าไปในยอดเมฆนั้นตั้งตระหง่านเรียงรายกันเป็นทอดๆ ยาวไกลสุดสายตา และที่ยอดเขาชั้นนอกนั้นแล คีมันกุมการ์อันเป็นปราการแห่งจอมปีศาจนั้นได้สถิตอยู่เหนือยอดเขาอันน่าคร้ามเกรงที่ตระหง่านอยู่ และที่เบื้องลึกลํ้าเข้าไปในดินแดนแห่งนั้นเล่า ปราสาทสีทองอันงดงามและเมืองที่เต็มไปด้วยทองคำอุปมาได้ดั่งภูเขาพันลูกนั้น ก็ได้โอบล้อมเอาไว้ซึ่งปราการซังเธลกุมการ์ ที่สถิตซึ่งเจ้าแห่งความมืด ผู้ที่บัดนี้ได้เอื้อมเอาหัตถ์ของมันมาปกคลุมแผ่นดินไว้โดยมากเสียแล้ว



        หัตถ์แห่งจอมเทพแห่งความมืดผู้นั้น ได้ยื่นมาปิดบังเอาความรุ่งโรจน์แห่งออโธรปาเมียให้หายลับไปกับอดีตเสียสิ้น บัดนี้เพียงหลงเหลือแค่รอยแห่งความทรงจำที่เก่าแก่ และน้อยผู้คนนักจะได้รู้ว่า ณ ที่แห่งนี้ในยามอดีตนั้นงดงามและเกรียงไกรเพียงไร



        ความมืดได้บ่อนทำลายเอาความงดงามแห่งออโธรปาเมียไปสิ้นแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ยังหลงเหลือที่อีกเพียงแห่งเดียวในแว่นแคว้นแห่งนี้ ที่ความมืดนั้นยังมิกล้าจะเหยียบย่างเข้าไปถึง



        ที่ทางตอนเหนือของออโธรปาเมีย ถัดเลยจากเขตป่ายามานด์นั้น ท่ามกลางแผ่นดินแห้งกรังที่ทอดเป็นเนินดินยาวสุดลูกหูลูกตานั้น หอคอยสีขาวที่สามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ไกลไปถึงร้อยไมล์นั้นตระหง่านอยู่



         หอคอยแห่งนี้ตระหง่านอยู่ภายในเมืองเอนธวาลอธ มันเองถูกขนานนามว่า เอนธวาลอเธี่ยนซังเธลมาด์ หรือปราการแห่งสายหมอกเบื้องเหนือ มันเองนั้นตระหง่านอยู่ท่ามกลางแผ่นดินแห่งนี้มาช้านานนักหนาแล้ว และภายใต้ความสง่างามอันน่าเกรงขามของมันนั้น ความมืดไม่กล้ายํ่านครแห่งนี้แม้เพียงปลายยอดยอดหญ้า



        หอคอยเอนธวาลอเธี่ยนแห่งนี้นั้น สร้างขึ้นในช่วงปลายรัชกาลของพระเจ้าเทียเมา นารอส ในช่วงสุดท้ายของการศึกที่เชิงเขาอิมรอเทียน โดยในกาลครั้งนั้น ทิวเลียธจอมทัพผู้ห้าวหาญนั้นได้ยกออกมารบพุ่งที่นครแห่งนี้ และได้กระทำราชพลี พลีชีพตนเองเพื่อปกป้องนครหลวงแห่งแคว้นออโธรปาเมียแห่งนี้ไว้



        และนับแต่เวลาที่จอมพลผู้นั้นได้ราชพลีเพื่อปกปักษ์เมืองแห่งนี้เอาไว้นั้น เอนธวาลอธ นครหลวงแห่งออโธรปาเมียแห่งนี้ก็สงบสุขร่มเย็นมาเป็นเวลาช้านานเหลือคณา



        กระทั่งแม้บัดนี้ที่ความมืดทำลายเอาความงดงามแห่งออโธรปาเมียไปเสียสิ้น แต่ความรุ่งโรจน์และร่มเย็นที่คงสภาพไว้แต่ครั้นบรรพกาลของนครแห่งนี้ ยังหาได้หดหายลงไปแม้เพียงน้อยนิด



        หอคอยสีขาวที่สูงจนยอดของมันกลืนหายลับไปกับกลีบเมฆที่เบื้องสูงนั้น บัดนี้ยังคงตระหง่านและคงสภาพไว้เฉกเช่นเดิมทุกประการ ธงทิวและราชธวัชแห่งราชอาณาจักรกราดินาเธนั้นประดับประดาไว้โดยรอบเชิงเทินเมือง แสงแดดและสายลมที่พัดผ่านนครแห่งนี้นั้นอ่อนเย็นและสดชื่นยิ่ง เหล่าประชาชนที่ส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นประชาชนที่สืบทอดความเป็นประชากรแห่งนครแห่งนี้มานับร้อยๆรุ่นนั้นต่างก็อาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาแห่งหอคอยอันโอฬารนี้มาช้านานแล้ว



        ภายใต้บารมีแห่งหอคอยสีขาวที่เคยได้ชื่อว่าเป็นปราการทิศเหนือที่คอยปกปักษ์กราดินาเธมาอย่างช้านานแห่งนี้ ความสว่างดูจะเจิดจ้าเหนืออนธกาฬอันไม่รู้สิ้นมากมายนักแล



        และในยามนี้ ยามที่ตะวันแห่งจอมเทพอะพอลโลได้เคลื่อนคล้อยและตระเตรียมที่จะลับไปทางตะวันตกแล้วนั้น สายลมยามเย็นนั้นพัดผ่านต้องเอายอดหญ้าบริเวณรอบๆเชิงเทินเมืองเป็นทุ่งกว้างยาวใหญ่โตนั้น เกิดเป็นเสียงซู่ซ่าอึงอล กอปรกันแล้วเกิดเป็นสรรพสำเนียงอันระรื่นหูพิกล



        เหล่าเด็กชายหญิงตัวน้อยที่แต่งกายด้วยชุดที่ทักทอจากผ้าหญ้าหยาบๆนั้น บัดนี้ต่างก็สาละวนกับการวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานยิ่งนัก ส่วนเหล่าผู้ใหญ่นั้น เวลานี้ก็นับเป็นเวลาพบปะกันของครอบครัวที่เมื่อยามกลางวันก็ต่างพากันไปทำงานตามแต่หน้าที่ และในช่วงเวลาอาหารมื้อเย็นเช่นนี้เท่านั้น ที่จะได้พบปะกันอย่างพร้อมหน้า เช่นนี้เหล่ามารดา และบิดาของเด็กตัวน้อยเหล่านั้นต่างก็พากันมาจูงเอาลูกหลานเข้าไปในบ้านสำหรับอาหารมื้อเย็นกันเสียแล้ว



        สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ และเป็นสิ่งประจำของครอบครัวของคนทั่วไปในเมืองแห่งนี้ไปเสียแล้ว ทุกคนในเมืองนี้บัดนี้ต่างก็กระทำเรื่องราวเช่นนี้แทบจะไม่แตกต่างกันแม้เพียงผู้เดียว



        บ้านเรือนที่ปลูกไว้แบบเรียบง่ายในเมืองนั้น มองไปดูเรียบๆง่าย และสวยงามสบายตา ชวนให้รู้สึกสงบจิตใจเป็นที่มากยิ่ง ถนนสายหลักในเมืองนั้นปูลาดไปด้วยหินสีแดงสด ส่วนถนนตรอกซอกซอยที่แยกย่อยออกไปนั้น ปูลาดด้วยหินสีเทาเป็นมันวาวสวยงาม บ้านเรือนหลังเล็กๆที่มีควันจากเตาผิงสีเทาอ่อนๆพวยพุ่งออกมาอย่างอ้อยอิ่งเหนือหลังคานั้น บัดนี้ต่างก็พากันทานอาหารอย่างครื้นเครงในยามเย็น แสงเทียนลอดส่องออกมาตามถนน มองดูไปเย็นตาสบายใจอย่างที่ไม่สามารถหาได้ในที่อื่นในทั้งไตรภพอีกแล้ว



        แต่กระนั้นบัดนี้เหล่าผู้ชายและผู้เฒ่าผู้แก่ของเมืองนี้จำนวนไม่น้อย ก็ได้ฉวยเอาโอกาสในยามสบายนี้ ออกมานั่งคุยกันที่นอกบ้านกันอย่างสบายอารมณ์ก่อนที่จะเข้าไปทานอาหารให้เป็นที่สบายใจกับภรรยาและครอบครัว



        และในยามนี้นี่เอง ที่เสียงประตูเมืองเอี๊ยดอ้าดได้เปิดออก เสียงนี้แม้จะดูไปไม่แปลกประหลาดเท่าไรนักสำหรับผู้คนในเมืองนี้ แต่กระนั้น ผู้คนที่นั่งกันอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านของตนตามริมถนนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะผินหน้าไปมองดูที่ปากประตูเมืองนั้น



        และในที่ประตูเมืองแห่งนั้นเอง เสียงยํ่าฝีเท้าของม้าย่างเข้ามาภายในตัวเมืองนั้น ได้ชักนำเอาความสนใจของผู้คนอย่างมากมายให้จับจ้องอยู่แต่คนผู้ได้เข้าเมืองมาอย่างไม่อาจละสายตาได้ เสียงเยาะฝีเท้าม้านั้นเมื่อพ้นประตูเมืองเข้ามาก็ดูเหมือนจะเร่งร้อนยิ่งขึ้น อาชาสีขาวโพลนสะอาดหมดจดทั้งตัวนั้น บัดนี้ได้ควบเข้ามาจนเหล่าผู้คนในเมืองต่างก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั่วไปทุกตัวคน



        เหล่าผู้ชายและผู้เฒ่าผู้แก่ในเมืองนั้น บัดนี้ต่างก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียงพลางจ้องมองไปที่คนผู้นั้นไม่กระพริบตา ความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในเมืองนี้ลามไปอย่างรวดเร็ว เหล่าเด็กและสตรีที่อยู่ในบ้าน เมื่อรู้สึกได้ถึงความแปรเปลี่ยนอย่างประหลาดนี้ ต่างก็พากันออกจากบ้าน และก็มองไปที่จุดเดียวกันอย่างชัดเจน



        และบัดนี้นี่แล้ว ตลอดถนนใหญ่ทั้งสายของเมืองที่ทอดตรงจากประตูเมืองไปสู่ปลายสุดของเมืองที่เป็นปากประตูทางเข้าหอคอยอันเป็นที่ต้องห้ามของเมืองนั้น เหล่าประชาชนต่างก็ออกมายืนจ้องมองผู้มาถึงอย่างเป็นตาเดียวกัน



        ผู้ควบอาชานั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาหมดจด ประพิมพ์ประพายบนพักตร์ของเขาผู้นั้นดูไปก็คลับคล้ายกับรูปปูนปั้นของจอมพลทิวเลียธผู้องอาจ ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ที่กลางเมืองเป็นอย่างยิ่ง เกศาของชายหนุ่มผู้นั้นเป็นสีทองประกาย คิ้วดกหนาและดวงตาเจิดจรัสนั้นขับดวงหน้าให้ผุดผ่องสดใส ผิวพรรณของเขานั้นเป็นสีขาวเรื่อๆ ประปรายไปด้วยสีเลือดชมพูอ่อนๆ ชายผู้นั้นทรงอาภรณ์สีขาวสะอาดเฉกเช่นกับอาชา และที่กลางหลังนั้นสะพายไว้ด้วยหน้าไม้สีนํ้าตาลแก่ชุดหนึ่ง และกระบอกศรอีกชุดหนึ่ง มือหนึ่งของเขานั้นกุมเอาทวนยาวสีขาวเล่มหนึ่งไว้แนบกับอานม้า แต่อีกมือหนึ่งนั้น หาได้ใช้จับบังเหียนม้าไม่



        ด้วยว่ามืออีกข้างหนึ่งของชายหนุ่มนั้น ได้โอบอุ้มเอาไว้ซึ่งเด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง เด็กหนุ่มผู้นอนหมดสติอยู่ที่อานเบื้องหน้าของชายหนุ่ม และที่หน้าท้องที่หงายขึ้นนั้น ปักไว้ด้วยศรดอกหนึ่ง



        เด็กหนุ่มผู้นั้นบัดนี้สวมใส่เพียงกางเกงและรองเท้าหน้าตาแปลกประหลาดอย่างละเพียงชิ้นหนึ่ง ที่บริเวณท้องของเด็กหนุ่มนั้นโลหิตเป็นลิ่มๆดูเหมือนจะเพิ่งหยุดไหลไปไม่นานเท่าใดนัก โลหิตเหล่านั้นบัดนี้แห้งกรังไปโดยทั่ว อานม้าสีขาวและขนม้าสีขาวสะอาดนั้นก็มีรอยด่างของโลหิตนั้นประปรายอยู่



        เด็กผู้ชายคนนั้น ดวงหน้าบัดนี้ซีดเผือดและหมองมัว ผมเผ้าของเด็กหนุ่มยุ่งเหยิงยิ่ง และดูเหมือนว่าบัดนี้เองอาการของเด็กหนุ่มเข้าขั้นตรีทูตเสียแล้ว ศรธนูอันกล้าแกร่งนั้นเมื่อปักตรึงอยู่ที่อก ก็ประหนึ่งเหมือนว่าความตายได้ก้าวเข้ามาเยือนไปเสียแล้วหกส่วน



        แต่กระนั้นภายใต้ความภาคภูมิและองอาจของชายหนุ่มผู้ทรงอาภรณ์ขาวนั้น ความตายและอนธกาฬไร้ที่สิ้นนั้น ดูเหมือนจะกริ่งเกรงซึ่งบารมีและไม่กล้ายํ่ายีย่างกรายทำร้ายเด็กชายผู้นั้นไปได้



        ชายหนุ่มเองเมื่อเข้าเมืองมาแล้วก็มิได้ใส่ใจกับสายตามากมายที่มองมาแต่อย่างใด ชายหนุ่มเองเมื่อเข้าเมืองมาแล้ว ก็เร่งฝีเท้าควบอาชาพุ่งปราดเข้ามาในเมืองตามถนนสายสีแดงนั้นในพลัน



        อาภรณ์สีขาวของชายหนุ่มนั้นทักทอจากไหมฟ้าชั้นยอด เนื้อผ้าเนียนละเอียดเป็นประกายเมื่อตกต้องกับแสงเทียนที่สาดจากภายในบ้านเรือนของประชาชนนั้น เกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าพุ่งออกเป็นรุ้งเจ็ดสีสัน สว่างวับไปทั่วถนนทั้งสาย



        เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่บางคนที่จ้องมองการณ์อยู่นั้น มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่บัดนี้ได้คุกเข่าลงและก้มศีรษะคารวะจรดจนแนบติดพื้น เหล่าผู้เฒ่าเหล่านั้นเมื่อได้มองพักตร์ของชายหนุ่มผู้ควบอาชาต่างก็จดจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ในพลัน เหล่าประชาชนชายหญิงที่เฝ้ามองดูชายหนุ่มควบม้าผ่านไป ต่างก็ตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ไม่น้อย แต่กระนั้นท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว และแสงอุษาทอแสงสีส้มตัดข้ามขอบฟ้าแต่เบื้องประจิมนั้น เสียงควบม้าและภาพการมาเยือนของบุคคลผู้ถูกนับถือเป็นหนึ่งในยอดคนแห่งพิภพได้ถูกจดจำ และระลึกได้ไปในปวงชน



        กระนั้นเมื่อเสียงควบม้าจางไป เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่เหล่านั้นเมื่อลุกขึ้นแล้ว ก็ต่างพากันรำพันกันเป็นเสียงเดียวกันว่า



            “โกโรเกียร์จอมเทพ ไฉนท่านกว่าจะกลับคืนบ้านเกิด จำต้องรีรอเป็นร้อยปีเล่า”



                                                                                      *****



        ลมพัดมาแต่เบื้องทิศบูรพา เสียงควบม้าหยุดลง พร้อมกันกับการที่โกโรเกียร์ได้อุ้มเอาเด็กหนุ่มหายเข้าไปในหอเอนธวาลอเธี่ยนอันตระหง่านฟ้านั้น



        เวลาเคลื่อนไปเป็นเวลาชั่วโมงแรกของราตรี ภายในหอคอยอันตระการนั้น แสงไฟสีอ่อนสาดลอดออกมา... ข่าวการเสด็จมาของจอมเทพโกโรเกียร์อันมีศักดาเป็นที่ผู้สำเร็จราชการแห่งพระเจ้ากุมการ์เธียร์นั้น ได้แพร่สะพัดออกไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้ออกเดินทางมาชุมนุมที่ลานบริเวณรอบๆของหอเอนธวาลอเธี่ยน เพื่อรอยลพระโฉมของเทพผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในแผ่นดิน



        อันโกโรเกียร์ผู้นี้ แม้ใบหน้าจะอ่อนเยาว์ประดุจอายุได้แรกรุ่นเพียงสิบแปดปี แต่แท้ที่จริงแล้วกลับมีอายุมากถึงสองพันหกร้อยเก้าสิบสามปี อันเป็นอายุที่มากเกินกว่าที่เหล่ามวลมนุษย์จะใฝ่ฝันถึง ก็เพราะด้วยว่าโกโรเกียร์ผู้นี้สืบทอดเชื้อสายมาจากทิวเลียธ จอมทัพผู้เกรียงไกรแห่งเอนธวาลอธ ผู้เป็นหนึ่งในจอมทัพผู้มีเชื้อสายเทพอยู่ โกโรเกียร์เองแม้จะไม่เป็นอำมตะ แต่ก็ไม่อาจมีผู้ใดทำร้ายได้ด้วยมือมนุษย์ โกโรเกียร์เองเติบโตขึ้นในเมืองเอนธวาลอธ เมื่ออายุได้เพียงห้าสิบปี ก็ได้เข้าไปอยู่กับเทพเจ้าเอรีส เทพแห่งการสงครามที่เขาโอลิมเปียส และเมื่อภายหลัง หลังจากการพ่ายแพ้ของโอลิมเปียสต่อเฮลควิสแล้ว โกโรเกียร์ได้ก่อตั้งกองกำลังปลดแอกขึ้น และในเวลาต่อมาภายหลังการสงครามที่ทุ่งกอมมันและการสวรรคตของพระเจ้าอันตราเนี่ยน อินเซเดี่ยนที่สิบเก้าแล้ว โกโรเกียร์ก็ได้ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษานครหลวงสีขาวแห่งกราดินาเธไว้นานกว่าสามสิบปี ก่อนที่จะลาจากมา เพื่อออกเดินทางตามหาผู้กอบกู้ตามปณิธานที่แท้จริงของตน



        โกโรเกียร์ถูกเรียกขานว่าเป็นจอมพลผู้องอาจยิ่ง ชีวิตยาวนานสองพันปีของท่าน ขุนศึกแห่งความมืด และเหล่าทหารมากมายในมหาสงครามหลายคราในกาลอดีตนั้นต่างก็มีอันจบสิ้นชีพของตนภายใต้ปลายทวนอันคมกริบของท่านไม่น้อยเลย



        โกโรเกียร์นั้นมีสติปัญญาปราดเปรื่องรอบรู้การทั้งปวง อายุยาวนานกว่าสองพันปี ตั้งแต่ครั้นเมื่อสมัยที่พระเจ้าอินนินตราเนี่ยนมหาราชทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ (ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่เจ็ดสิบหกนับเนื่องจากต้นราชวงศ์คือ พระเจ้าเทียเมา) ความรู้และสรรพวิทยาการทั้งปวงนั้นได้สั่งสมมาอย่างเป็นเอก ความที่โกโรเกียร์เองเป็นผู้ใฝ่รู้ ทำให้โกโรเกียร์เองถูกนับถือเป็นจอมพลครูตำนานผู้เรืองวิทยา

        

        โกโรเกียร์เคยกระทำวีรกรรมมากมายถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ครั้งเมื่อเยาว์นั้นได้ยกทัพโจมตีสายฟ้าแลบสู่เมืองกุมนิธาร์ และสามารถขับไล่เหล่าปีศาจออกจากเมืองท่าแห่งนั้นได้สำเร็จ รวมไปถึงการยกทัพอันเกรียงไกร ยกเข้าปะทะกับทมิฬทัพที่ซังเธลกุมการ์เมื่อครั้นที่เฮลควิสเพิ่งสถาปนาอำนาจเหนือแผ่นดินได้ไม่นานเท่าใด แต่กระนั้นแม้การศึกครานั้นจะทำให้โกโรเกียร์พ่ายแพ้และสูญเสียไพร่พลมหาศาล แต่ก็ทำให้เสียงรํ่าลือแซ่ซ้องของจอมพลผู้นี้กระเดื่องดังขึ้นไปอีก



        แต่ทว่าไฉนบัดนี้ ที่ลมตะวันตกพัดพาดผ่านไป แลกลิ่นแห่งความตายแห่งทิศอีสานนั้นได้สั่งสมขึ้นจนแรงกล้าเป็นกำลัง อำนาจแห่งความมืดนั้นได้ครอบคลุมทั่วแผ่นดิน จอมกษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นฟ้าผืนนํ้าแห่งอาณาจักรอิสระต่างๆนั้น บัดนี้ต่างก็พากันคุดคู้อยู่บนมหาบัลลังก์ของตน แวดล้อมไปด้วยความมืด ความตาย และความหวาดกลัว



        จะมีก็เพียงแต่สองจอมกษัตริย์เท่านั้นแล ผู้ที่ทรงยืนหยัดอย่างองอาจ ไม่หวั่นเกรงซึ่งภยันตรายจากตะวันตก ด้วยว่าภายใต้มหามงกุฎแห่งโรมินนิ่งส์ และพระแสงดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งกราดินาเธแล้ว ความมืดนั้นดูจะยังคร้ามเกรงซึ่งพลังลี้ลับแห่งบรรพกาลอยู่ไม่น้อย



        แต่กระนั้นท่ามกลางกลียุค และความหมองมัว ครูตำนานผู้ศึกษาไว้ซึ่งความแต่โบราณกาลเช่นโกโรเกียร์นั้น ยังคงไว้ซึ่งความหวังเสมอมา ว่าสักวันหนึ่งจะมีผู้มาปลดเปลื้องมามืดแห่งเฮลควิสจอมทรราชย์ได้ในที่สุด



        ความหวังของโกโรเกียร์นั้นเป็นพรอันวิเศษจากพระเป็นเจ้าผู้ครองนภาอันไกลกวาน อันความหวังนั้นเป็นดั่งแสงสว่างในที่มืดมิดเร้นลับ แม้ว่าแสงนั้นจะไม่สว่างเท่าใดนัก แต่ก็ยังนับว่าเป็นแสงสว่างที่ความมืดยังมิอาจกลบให้มืดมิดลงได้ ความหวังเป็นพลังอันวิเศษ เป็นแรงผลักดันแห่งชีวิต และการกระทำของผู้คน เป็นสิ่งไม่มีวันตาย และเป็นสิ่งที่สามารถนำมาได้ซึ่งความอันเรียกขานว่าเป็นปาฏิหาริย์ โกโรเกียร์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้รับพรอันวิเศษนั้น เปี่ยมไปด้วยพลังและความหวังเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้จอมเทพผู้นี้มีลักษณะอันเอกอุเกรียงไกร ซึ่งน้อยคนนักจะทัดเทียบเปรียบได้



        แต่กระนั้นความหวังของโกโรเกียร์หาใช่ความหวังลมๆแล้งๆ ด้วยว่าบางสิ่งที่เร้นอยู่ในซอกใจของจอมเทพผู้นี้ บอกให้ตัวเขานั้นรู้มาตลอดมาความหวังที่ตั้งไว้นั้น ใกล้จะเข้ามาสู่ความเป็นจริงทุกวี่วันเสียแล้ว



        ความหวังอันเป็นความนัย ที่น้อยคนนักจะรู้ได้!!!



        และเมื่อเวลานี้ ที่ดาวและเดือนบนฟากฟ้ากระจ่างแสงสุกใส ลมโชยพัดผ่านสดชื่นมื่นใจยิ่ง ความหวังอันลี้ลับในดวงจิตของโกโรเกียร์ดูเหมือนจะก้าวเข้ามาเป็นจริงทุกทีแล้ว



        แสงเทียนสีเหลืองหลายสิบเล่มสอดประสานกัน ทักทอให้เกิดเป็นใยแสงสีทองอร่ามสาดไปทั่วทั้งห้องโถงแห่งนั้น สถานที่นี้ดูไปมีมนต์ขลังยิ่ง ห้องทรงกลมแห่งนั้นมีเครื่องตกแต่งภายในอยู่ไม่มากเท่าใดนัก พรมแขวนผนังเก่าๆขาดวิ่นแขวนอยู่โดยทั่วไป แต่กระนั้นภายใต้กลิ่นหอมอับๆและสีทองของเทียนที่สาดจ้า ห้องโถงแห่งนี้นำพาเอาโกโรเกียร์กลับไปสู่เมื่อยุคบรรพกาลอีกครา



        ห้องโถงแห่งนั้นไม่กว้างเท่าใดนัก แต่ก็ไม่อาจเรียกขานได้ว่าคับแคบแต่อย่างใด โกโรเกียร์เองบัดนี้ ยืนค้อมอยู่เหนือกายของเด็กหนุ่มที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงเล็กๆที่กลางโถงแห่งนั้น โกโรเกียร์เองใช้มืออันอ่อนโยนนั้นยื่นเข้าไปใกล้ที่หน้าท้องของเด็กหนุ่ม และพยายามใช้ความเบามืออย่างสูงที่สุด ที่จะสามารถถอนลูกศรพิเศษนั้นออกจากท้องของเด็กหนุ่มให้ได้อย่างปลอดภัย



        ลูกศรของโกโรเกียร์เองเป็นเทพศาสตราวุธ ด้วยว่าตัวหัวศรนั้นหลอมขึ้นจากหินผนึกไอคาธ์อันเป็นศิลาที่เมื่ออยู่ในยามเหลวใต้เปลือกภพนั้นจะอ่อนนวลดั่งแร่เงิน แต่หากเมื่อถูกนำมาตีให้แห้งแล้วก็จะแข็งกล้าดุจเสาคํ้าสวรรค์ ศิลาชนิดนี้เป็นศิลาชั้นยอดในพื้นภพ หากเมื่อได้นำศิลาชนิดนี้มาทำเป็นหัวศรแล้ว ก็จะเกิดเป็นศาสตราวุธแบบพิเศษสุด ที่ทรงพลังและมีฤทธาฉกรรจ์กว่าโดยทั่วไปอย่างมาก โกโรเกียร์เองเคยใช้ลูกศรชนิดนี้ปราบกอมังเจ้าเผ่าเกียคังธ์เมื่อยามวัยหนุ่ม อีกทั้งยังเคยใช้อาวุธเช่นนี้กำราบเหล่าปีศาจมารร้ายมาแล้วนับไม่ถ้วน อาวุธชิ้นนี้ไม่เคยทำให้โกโรเกียร์ต้องลำบากใจ หรือวิตกกังวลมากเช่นนี้มาก่อนเลย



        โกโรเกียร์ใช้มือจับที่คันศรไว้แนบแน่น อีกมือหนึ่งนั้นหยิบเอาขวดยาเล็กขึ้นจากโต๊ะข้างเตียง และโรยผงยาจากขวดนั้นลงไปที่ปากแผลธนูอย่างเบาบาง และพร้อมกันนั้นก็ได้ใช้แรงถอนเอาตัวเกาทัณฑ์ขึ้นจากหน้าท้องของเด็กหนุ่มอย่างเบามือ



        เสียงเด็กหนุ่มครางออกมาเบาๆด้วยความเจ็บปวดทีหนึ่ง...

        

        และในที่สุดลูกเกาทัณฑ์บัดก็นี้ตกมาอยู่ภายใต้มือของจอมเทพเสียแล้ว เด็กหนุ่มเองบัดนี้ยังคงหมดสติอยู่ ที่มุมปากมีโลหิตสดๆไหลออกมาเล็กน้อย แม้ลูกศรเองจะถูกถอนออกจากหน้าท้องของเด็กหนุ่มแล้วก็ตาม แต่กระนั้นลมหายใจของเด็กหนุ่มยังอ่อนแอยิ่ง ใบหน้าของเขานั้นยังไร้สีเลือด ปากแผลที่หน้าท้องนั้นมีโลหิตมากมายไหลเทออกมา ทับถมไปด้วยโลหิตเดิมที่บัดนี้แห้งกรังไปโดยทั่ว



        โกโรเกียร์เองไม่นิ่งนอนใจ แต่กระนั้นจอมเทพเองก็รู้สึกพึงใจยิ่งที่สามารถถอนลูกธนูได้สำเร็จโดยไม่ทำให้หนุ่มน้อยผู้นี้ต้องเสียชีวิตไปซะก่อน จอมเทพผู้องอาจบัดนี้ใช้มืออันหมดจดของพระองค์วางทาบไปที่ปากแผล ที่มุมปากพึมพำถ้อยคำโบราณอันพิสดาร ชั่วขณะหนึ่งนั้นเองที่โลหิตได้หยุดไหลจากแผลฉกรรจ์นั้น และเริ่มรักษาตัวเองให้คืนสภาพอย่างรวดเร็ว



            “อินนิธาด์ ไอวอนเทลา กุมการ์อิดัมมัง” จอมเทพหนุ่มพึมพำออกมาอย่างพึงใจ และดีใจไปในที พลางถอนใจยาวเหยียดแสดงความโล่งอก ที่เด็กหนุ่มสามารถรอดพ้นความตายมาเสียได้



        มาร์คัสเองบัดนี้มีสีเลือดปรากฏขึ้นประปรายที่ทั่วใบหน้า ริมฝีปากของเด็กหนุ่มปรากฏให้เห็นเป็นสีแดงดั่งกลีบกุหลาบ ผมเผ้าสีนํ้าตาลที่ยุ่งเหยิงนั้นวางราบเรียบอยู่บนหมอนนั้นงดงามยิ่ง โกโรเกียร์เองเดินไปที่ริมห้องฟากหนึ่ง และก็หยิบเอาเสื้อผ้าใส่สบายชุดหนึ่งมาผลัดเปลี่ยนให้เด็กหนุ่ม ใบหน้าของโกโรเกียร์เองบัดนี้แฝงไว้ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ประหนึ่งว่าบัดนี้ภูเขาทะมึนลูกเทียมฟ้าได้ถูกยกออกจากอก แต่ก็ยังมีหลากหลายสิ่งประดังพร้อมกันเข้ามาในทีเดียวเช่นกัน จอมเทพมองเด็กหนุ่มที่บัดนี้นอนไม่ได้สติด้วยสายตาชื่นมื่นยิ่ง



        แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายในห้วงเวลาเช่นนั้น หยาดนํ้าตาหยดใสของจอมเทพผู้องอาจ จะได้หลั่งรินไว้เพื่อบูชาการมาถึงของมาร์คัส ความหวังอันน้อยนิดที่หลงเหลือของปราชญ์ผู้ยิ่งยงผู้นี้



                                                                                    *****



        นครเอนธวาลอธ ในยามเช้านั้นสดใสยิ่งนัก แสงยามอรุณนั้นเมื่อสาดต้องไปที่หอคอยสูงลํ้าสีขาวนั้นเกิดเป็นแสงสะท้อนกระจายไปทั่วทุกๆทิศ เหล่าวิหคนกกาที่อาศัยอยู่ในเขตป่าและบริเวณรอบเมืองนั้นเริ่มออกหากิน ฟ้าสีครามเริ่มปรากฏขึ้นทาทาบที่ฟากฟ้า สายลมในยามเช้านั้นโชยพัดมาสบายกายยิ่งนัก



        เหล่าประชาชนในเมืองนั้นต่างก็พากันตื่นขึ้นแต่เช้า บ้านเรือนของประชาชนที่เรียงรายอยู่ในเมืองนั้น ต่างก็มีควันสีเทาอ่อนๆลอยขึ้นมาเป็นที่สบายตาอยู่โดยทั่วไปแล้ว เหล่าพ่อบ้านแม่บ้านและ ลูกหลานต่างก็พากันตื่นเช้าเป็นพิเศษ ด้วยความวาดหวังว่าจะได้ยลพระศิริโฉมของจอมเทพผู้งดงามอีกคราหนึ่ง



        และในท้องถนนปูหินสะอาดหมดจดของเมืองสีขาวแห่งนั้นเอง ที่จอมเทพผู้งดงามและลือลั่น ได้ทรงเสด็จออกมาทอดพระเนตรในนครที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้รังสรรค์ไว้อย่างตระการ และบัดนี้ในยามที่พระองค์จากแผ่นดินแห่งนี้ไปนับร้อยปี พระเนตรอันเฉิดฉายที่พระองค์ทอดมองไปทั่วเมืองนั้น บอกให้รู้ว่าพระองค์ได้อยู่ในที่ๆพระองค์รัก และที่ๆรักพระองค์ยิ่งเสียแล้ว



        เหล่าปวงชนในเมืองนั้น เมื่อได้ทราบข่าว(ซึ่งลามไปอย่างรวดเร็วทั่วทั้งเมือง) ถึงการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนเหล่าพสกนิกรในเมืองนั้น ต่างก็พากันออกมาออกันแน่นขนัดไปทั่วถนนทั้งสาย จนเกิดเป็นโกลาหลย่อยๆในยามเช้าวันนั้น



        และในเพลานั้น ที่ดีมานด์ ท่านเจ้าเมืองผู้ได้รับการแต่งตั้งให้ครองเมืองแห่งนี้ต่อจากบิดาได้ควบอาชาสีดำของท่าน พร้อมพรักด้วยกองทหารในชุดสีเงินประกายออกมาที่ถนนแห่งนั้น ท่ามกลางการจับตามองของประชากรในเมือง



            “มหาอุปราชจงเจริญ” เสียงของดีมานด์ตวาดร้องก้องไปทั่วบริเวณ พร้อมไปกับการที่ท่านเจ้าเมืองหนุ่มได้คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าของจอมเทพ



        และในชั่วขณะนั้นเอง ที่ท้องถนนอันแออัดนั้นนั่นเอง มีเพียงโกโรเกียร์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่



        ดีมานด์เองเป็นบุตรแห่งนากอธารส หนึ่งในสามมหาเสนาบดี(อันได้แก่ เสนาบดีกรมทหาร เสนาบดีกรมเมือง เสนาบดีมหาดไท) ชั้นผู้ใหญ่ในรัชกาลพระเจ้าอันตราเนี่ยน อินเซเดี่ยนที่19 อันนากอธารสผู้พ่อของดีมานด์เองนั้นแม้จะดำรงตำแหน่งเป็นถึงมหาเสนาฯดูแลความเมือง แต่ก็หาใช่คนถือสัตย์เป็นที่ตั้ง ภายใต้ชั่วรัชกาลของพระเจ้าอันตราเนี่ยนนั้น นากอธารสได้โกงกินบ้านเมือง และรีดนาทาเร้นประชาชนตาดำอยู่เนืองๆ ส่งผลให้ภายหลังจากการสิ้นพระชมน์ของพระเจ้าอันตราเนี่ยน ทำให้ต้องถูกเนรเทศมาปกครองหัวเมืองชายแดน และก็ต้องตกตายภายใต้ความอัปยศในที่สุด แต่ถึงเช่นนี้ ความอาสัตย์ของผู้บิดานั้น ดูเหมือนจะถ่ายทอดให้แก่ดีมานด์ผู้บุตรน้อยเหลือจะน้อยนัก ด้วยว่าเจ้าเมืองหนุ่มอายุเพียงยี่สิบเก้าปีผู้นี้นั้น เมื่อแรกเริ่มปกครองเมืองนั้นมีอายุได้เพียงสิบเจ็ดปี ตลาดระยะเวลาสิบสองปีที่ท่านดีมานด์ครองเมืองนั้น เมืองแห่งนี้กลับมาผงาดขึ้นในภาคเหนืออีกครา กองกำลังทหารเกราะเงินของดีมานด์นั้นลือชื่อไปไกลถึงต่างแคว้น ความเป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่ตั้งอยู่บนความสุขของมวลชนของดีมานด์นั้น เป็นเรื่องที่ดีมานด์เองเข้าใจอย่างถ่องแท้ ด้วยว่าเจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้เป็นคนเจ้าความคิด มีสติปัญญาเป็นเอก ทำให้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าดีมานด์ผู้นี้หาใช่เจ้าหัวเมืองบ้านนอกอย่างที่แสดงออกไม่

        

        โกโรเกียร์เองไม่รู้จักเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่กระนั้นด้วยท่าทีอันองอาจสมเป็นชายชาติทหารของดีมานด์ทำให้โกโรเกียร์เองพึงใจนัก



            “หนุ่มน้อย เหตุใดต้องคุกเข่า” โกโรเกียร์เองกล่าวขึ้นพร้อมๆกับที่ประคองให้ดีมานด์ลุกขึ้นยืน



            “ท่านจอมเทพกลับออโธรปาเมียเช่นนี้ ข้าพเจ้าหากไม่มากราบถวายบังคม ผู้คนจะว่ากล่าวว่าไม่รู้จักนบน้อมต่อผู้ใหญ่ขอรับ”



        โกโรเกียร์เองคิ้วของสองข้างชนกัน พลางกล่าวถาม



            “แล้วเจ้าเป็นใครกันเล่า”



            “ข้าน้อยนามว่าดีมานด์ เป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ แต่ก็เป็นด้วยตำแหน่งหาได้เป็นด้วยศักดา และเชื้อวงศ์เฉกเช่นพระองค์อุปราชไม่”



        คำพูดอันอ่อนหวานของหนุ่มหน้ามลทำให้โกโรเกียร์เองพึงใจเป็นอันมาก คิ้วสองข้างที่ติดกันก็แยกออก พลางกล่าวไปว่า



            “ที่แท้ก็ท่านเจ้าเมือง ข้าเองหยาบคายนักที่ไม่รู้จักท่าน อันตัวข้านี้เป็นก็แต่ผู้ดูแลราชสมบัติแลอาณาจักรของกษัตริย์น้อย จะเรียนขานเป็นอุปราชไม่เห็นสม และจะกล่าวว่าตัวข้านี้เป็นเจ้าเมืองแห่งนี้ด้วยศักดาแลเชื้อวงศ์นั้นก็มิได้ ด้วยว่าพระราชอำนาจแต่งเจ้าเมืองนั้นเป็นของจอมกษัตริย์ บรรพบุรุษข้าสิ้นความเป็นเจ้าเมืองไปนานนักหนาแล้ว ข้าเองไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ ท่านต่อไปอย่าได้กล่าวความเช่นนี้อีกเลย”



        โกโรเกียร์กล่าวแล้วก็แย้มโอษฐ์ออกเป็นรอยยิ้ม พลางกล่าวต่อว่า



            “ว่าแต่ท่านเจ้าเมืองนี้ คงจะเป็นบุตรของท่านมหาเสนาฯ นากอธารสละสิท่า”



            “ไม่ผิดขอรับ”



            “มหาเสนาฯผู้นั้นข้าเป็นผู้ชำระคดี แลเนรเทศมาอยู่ที่หัวเมืองนี้ด้วยตนเอง ตัวเจ้านี้รู้หรือไม่”



            “ขอรับ กระผมทราบความดี พระองค์ทำหน้าที่อุปราชชำระความเนรเทศผู้บิดามาที่กันดารด้วยควาามผิดอันอุกฉกรรจ์ ความข้อนี้ผู้ใดก็รับทราบดีขอรับ”



            “แล้วเจ้าไม่คิดแค้นข้าแทนบิดาบ้างหรือ”



            “บิดาทำความผิด หากพระองค์ไม่สะสางแลลงโทษ สืบไปเมื่อหน้าคนชั่วจะได้ใจ คนทั้งปวงจะเกิดเป็นกาลี กระผมรู้ผิดแลชอบไม่ถือโทษแก่พระองค์ หม่อมฉันยอมไม่แค้นแทนบิดา แต่ถ้าหากพระองค์ไซร้มิได้ลงโทษแก่บิดา ย่อมเกิดเป็นโทษแก่แผ่นดิน กระผมย่อมยอมมิได้”



        โกโรเกียร์เมื่อได้ยินถ้อยร้อยวาจาอันคมคายฉะนี้ ก็ทราบได้ว่าดีมานด์ผู้เป็นเจ้าเมืองนี้ แท้ที่จริงแล้วเป็นยอดคน คำวาจาอันฉะฉานและนุ่มนวลที่พร่างพรูออกจากปากหนุ่มน้อยนั้น เต็มไปด้วยความปราดเปรื่องและกล้าหาญ โกโรเกียร์เองแอบยกย่องคนหนุ่มผู้นี้อยู่ในใจ



            “ดีมานด์ เจ้ารู้หรือไม่เล่าว่าหัวเมืองนั้นหากซ่องสุมกองทหาร ถือเป็นความผิดฉกรรจ์ โทษถึงตาย เบาที่สุดก็ถูกตัดมือควักตา เหตุใดเจ้ายังกล้าจัดกองทหารดั่งนี้เล่า”



        ความอันโกโรเกียร์กล่าวทั้งนี้ เนื้อแท้แล้วคือการลองใจในสติปัญญาและความองอาจของชายหนุ่ม เพื่อสอบดูถึงความภายในใจของปราชญ์เร้นกายผู้นี้



            “พระองค์อุปราชตรัสเช่นนี้ไม่ควรแก่การณ์ อันราชนิติที่ตราแต่โบราณมาแต่เมื่อครั้นวาคลาสเป็นอุปราชนั้นหาใช้ได้แล้วไม่ ด้วยว่าเมื่อคราสมัยนั้นเกิดการรบพุ่งระหว่างแว่นแคว้นแลหัวเมืองเป็นที่ลำบากแก่ราชอาณาจักร ท่านมหาอุปราชจึงตรากฎหมายห้ามจัดตั้งกองกำลังประจำเมืองขึ้น แต่ในยามนี้เมื่อเวลาผ่านไปนับพันๆปี ความมืดแห่งจอมมารได้ปกฟ้าครอบดิน กองกำลังเหล่าปีศาจร้ายและทมิฬทัพได้ยํ่ายีทำอันตรายไปทั่วทุกมณเมืองเป็นที่อัปยศแก่พระเกียรติ หากกระผมไม่จัดตั้งกองกำลังคอยปกป้องแลรักษาเมืองแล้ว ไหนเลยเอนธวาลอธจะยืนหยัดตราบทุกวันนี้ได้” ดีมานด์เองกล่าวตอบด้วยนํ้าเสียงดังกวาน ถ้อยคำหลักแหลมละเอียดลึกซึ้ง เหล่าประชาชนแลกองทหารซึ่งอยู่ในที่นั้นต่างก็พากันพึมพำยกย่องแก่เจ้าเหนือหัวของตนเป็นอันมาก



        และท่ามกลางเสียงพึมพำของประชาชนเหล่านั้น โกโรเกียร์เองหัวร่อขึ้น เสียงหัวร่อที่สดใส และทรงพลังของพระองค์ซอกแทรกเข้าไปในโสตประสาททุกผู้คน โกโรเกียร์เห็นว่าดีมานด์ผู้นี้ชาญฉลาดยิ่ง เห็นว่าอันตำแหน่งเจ้าหัวเมืองชายแดนด้านเหนือแห่งนี้ แม้จะไม่เล็กแต่ก็หาใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โตสมกับภูมิรู้ของคนหนุ่มผู้นี้ จึงคิดจะเอ่ยปากเรียกตัวให้ไปดำรงตำแหน่งในราชสำนัก



            “ดีมานด์ผู้นี้ไม่ควรเป็นเจ้าเมืองอีกต่อไป”



        สิ้นคำกล่าวของโกโรเกียร์ ความสงบและความเงียบน่าอึดอัดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เหล่าชาวเมืองต่างก็พากันเข้าใจความหมายของโกโรเกียร์ผิดไป เหล่าคนจำนวนมากในเมืองนั้น บัดนี้ต่างก็พากันมองที่จอมเทพเป็นตาเดียว



            “ดีมานด์ผู้นี้ควรแก่การไปดำรงตำแหน่งแทนที่ของข้า ให้นั่งที่บัลลังก์ในตำแหน่งมหาอุปราช ว่าราชการแผ่นดินทั้งการเมือง การทหารช่วยพระองค์จอมกษัตริย์ ทำคุณแก่บ้านเมือง แลขจัดเภทภัยแก่ใต้หล้า จะมานั่งจับเจ่าคุดคู้อยู่ที่เมืองนี้หาควรไม่”



        คำกล่าวของโกโรเกียร์สิ้นลง ดีมานด์เองมีสีหน้าแตกตื่นตกใจ พลางรีบกล่าวขัดขึ้น



            “เหตุใดอุปราชกล่าวความเยี่ยงนี้ หรือจะคิดว่ากระผมคิดไม่ซื่อแก่พระองค์ จึงมาทำกโลบายลวงให้กำเริบเช่นนี้ กระผมมากราบถวายพระพรแก่จอมเทพอย่างสุจริต พระองค์จะมามอบตำแหน่งดั่งนี้ไม่สมควร อันตำแหน่งมหาอุปราชนั้นแม้จะว่างลงมาหลายสิบปี แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วย ทรงว่าราชการแลสำเร็จราชการแทนพระเจ้ากุมการ์เธียร์อยู่เป็นเวลานานนม มีคุณงามความดีหาไม่ได้ ไฉนมากล่าวความให้กระผม อันเป็นเพียงเจ้าเมืองบ้านนอกไปนั่งแทนที่พระองค์เล่า”



        โกโรเกียร์เมื่อได้ยินคำตัดพ้อของดีมานด์เช่นนั้น ก็เข้าใจว่าคนหนุ่มผู้นี้มีปณิธานแลอุดมการณ์เป็นของตนเอง และการอันจะยกตำแหน่งอันใหญ่โตให้แก่เจ้าเมืองหนุ่มผู้นี้ เห็นจะขัดสนนัก จึงพยักหน้าเห็นเป็นที แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า



            “อันข้ากล่าวความนี้ จะเป็นอุบายหลอกเจ้านั้นมิใช่ เพียงแต่ข้านั้นเห็นเจ้ามีปัญญานัก วาจาเล่าก็คมคายหลักแหลม ข้าเกิดมาไม่เคยเจอผู้คนเช่นเจ้ามาแต่ก่อน จึงเห็นสมว่าจะว่าราชการเป็นคุณแก่อาณาจักรไปในอนาคต ตัวข้าเองก็ชราแล้ว แม้จะเห็นว่าองอาจเพียงนี้ แต่ในใจนั้นเหนื่อยหน่ายเป็นกำลัง เจ้าเป็นคนหนุ่มมีกำลังและความคิดมากมาย จะเก็บงำไม่ใช่เป็นประโยชน์ก็เสียที ตัวข้านั้นเร่งรีบเกินไป กล่าวความอันใหญ่โตยกตำแหน่งให้แก่เจ้านั้นไม่ได้ตั้งใจให้ท่านเสียนํ้าใจเช่นนี้ หากท่านไม่ยินยอมก็ไม่ว่ากล่าวกัน ข้าย่อมขอโทษแก่ท่าน”ที่สุด



        พลันนั้นที่ดีมานด์เองพลันคุกเข่าลงอีกครา พลางก้มหน้ากล่าวว่า



            “อุปราชทรงปราดเปรื่อง กระผมนั้นศึกษาปัญญาวิทยาคุณเป็นที่มาก จะใช้ออกให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองให้จริงจังก็หาโอกาสได้ไม่ เมื่อพระองค์ทรงกล่าวความเช่นนี้ กระผมก็ขอกราบถวายบังคมถวายตัวเป็นข้ารับใช้ จะขอใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์สืบไป”



        สิ้นคำลง โกโรเกียร์เองก็เล็งเห็นได้ว่าคนหนุ่มผู้นี้กล่าวความอย่างไม่ถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย กลับเชยชมตนเองเป็นผู้มีปัญญา โกโรเกียร์ฉุกคิดเช่นนี้แล้วก็เห็นว่าคนผู้นี้เป็นผู้ทระนงในความคิดของตนยิ่งนัก น้อยคนจะองอาจและทระนงได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของคนผู้นี้



        คิดแล้วก็พลันแย้มสรวลออกมา ก้มลงประคองให้ดีมานด์ลุกขึ้นอีกครา พลางกล่าวว่า



            “เจ้าเมืองท่านมีเป็นคนเรืองปัญญา และความองอาจที่น้อยคนจะทัดเทียมได้ อันท่านจะถวายตัวรับใช้แก่ราชสำนักก็เป็นเรื่องอันประเสริฐ แต่อันหัวเมืองเอนธวาลอธนี้จะให้เสียแก่ข้าศึกย่อมไม่ได้ ท่านเองแม้จะยินยอมติดตามเรา แต่ก็ยังมิอาจละทิ้งเมืองได้ในทันที อันตัวเรานี้มีกิจการธุระอันสำคัญอย่างยิ่ง จำจะต้องเดินทางไปเมืองฟานเธโดยเร็วที่สุด ตัวท่านเองก็จำจะรักษาเมืองให้มั่นคง อันหนทางเดินทางไปสู่ฟานเธนั้นหากจะควบม้าของข้าไปนั้นใช้เวลานานราวๆสี่เดือนเศษกว่าจะถึง เมื่อข้าไปถึงนครหลวงแห่งนั้นแล้ว ก็จะกราบทูลถวายฎีกาเรื่องของท่านให้พระองค์จอมกษัตริย์ได้ทรงทราบ เพื่อให้แต่งผู้มีความสามารถมารักษาเมืองแทนท่าน เมื่อนั้นให้ท่านนับเวลาไป เมื่อใดที่ ครบหนึ่งปีพอดีแล้วไซร้ให้ท่านรอรับพระราชโองการเรียกตัวไปเป็นขุนนางในเมืองหลวงนั้นเถิด”



        กล่าวความจบแล้ว โกโรเกียร์เองก็เดินเข้ามาในระยะประชิดกับดีมานด์พลางกล่าว



            “แต่ในบัดนี้ขอท่านจงตามเรามาก่อนเถิด”



                                                                                         *****



        ประตูหอคอยสีขาวเปิดออกแล้ว



        โกโรเกียร์ในชุดสีขาวที่สะท้อนแสงแดดยามเช้าออกเป็นรุ้งเจ็ดสีนั้น ตัดกันโดยสิ้นเชิงกับชุดขุนนางเต็มยศสีดำเมื่อมของดีมานด์



        ชายทั้งสองก้าวเดินเข้าไปในหออันตระหง่านนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ดีมานด์เจ้าผู้ปกครองแห่งเอนธวาลอธ มีโอกาสได้เดินเข้ามาในหอคอยแห่งนี้



        สายลมจากที่เบื้องนอกสาดพัดเข้าไปในหอคอยอย่างอ่อนโยน ดีมานด์เองกวาดตามองไปรอบๆหออย่างกระตือรือร้น นัยน์ตาสีฟ้าใสของเขานั้นจับจ้องไปที่รูปปูนปั้นของบุรุษรูปงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่กลางห้องแห่งนั้น



        บุรุษที่ตั้งตระหง่านในที่แห่งนั้น บนศีรษะนั้นสวมไว้ด้วยหมวกเกราะรูปร่างแปลกๆ ที่ใบหน้าอันหมดจดงดงามของเขานั้นดูเรืองรองแม้จะเป็นเพียงหินอ่อนอันกระด้าง ชุดเกราะแบบกษัตริย์ที่เขาทรงนั้นดูงามสง่าราวกับเทพยดาจากสรวงสวรรค์ ที่มือนั้นถือไว้ด้วยพระแสงดาบอันงามอันเป็นพระแสงดาบตามตำแหน่งของผู้ครองตำแหน่งมหาอุปราช รูปปูนปั้นรูปนี้เมื่อมองแล้วให้รู้สึกคร้ามเกรงและชื่นชมคนผู้นี้ยิ่ง



        โกโรเกียร์เองสังเกตได้ว่าดีมานด์นั้นสนอกสนใจเป็นพิเศษ กับรูปปั้นคนผู้นี้ จึงเอ่ยปากถามออกไปที่ดีมานด์ว่า



            “ท่านคิดว่าคนในรูปปั้นนี้เป็นผู้ใดกัน”



            “ข้าน้อยเองไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในที่แห่งนี้มาแต่ก่อน น้อยผู้คนนักจะได้เหยียบย่างเข้ามาในที่แห่งนี้ อันรูปปั้นนี้ข้าน้อยไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นผู้ใดกัน อันว่าจะเป็นทิวเลียสจอมทัพบรรพบุรุษของพระองค์นั้นก็ย่อมมิใช่ ด้วยว่าทิวเลียสนั้นแม้จะขุนพลชั้นผู้ใหญ่มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพเรือแลผู้บังคับการกองทัพภาคเหนือในสมัยนั้น แต่ก็ไม่อาจแต่งองค์ด้วยชุดเกราะเยี่ยงกษัตริย์ อันจะว่ากล่าวเป็นมหาราชเทียเมาจอมกษัตริย์ก็ย่อมมิใช่ ด้วยว่าภายใต้พระนามแลพระรูปแห่งพระองค์ สถานที่แห่งนี้ยังหาควรแก่พระราชอิสริยยศไม่ ไม่ควรแก่การตั้งวางพระรูป ข้าน้อยเองคิดเห็นว่ารูปปั้นรูปนี้เห็นทีจะวาเคียต โอรสแห่งวอคลาสมหาอุปราช ผู้สถาปนาความปึกแผ่นในภาคเหนือ และยังที่ตำแหน่งเป็นที่กษัตริย์แห่งนาเพา”



        โกโรเกียร์เองแย้มโอษฐ์ออกยิ้มอีกครา พลางกล่าวว่า



            “อันวาเคียตนี้เป็นผู้เรืองปัญญาไม่แพ้วอคลาส มหาอุปราชแห่งพระเจ้าเทียเมา นารอส ภายหลังผู้พ่อสิ้นชนม์แล้ว ได้สืบทอดเอาตำแหน่งมหาอุปราชมาครอบครอง และสามารถรวบรวมเอาแผ่นดินภาคเหนือมาเป็นอาณัติได้สำเร็จ จึงถูกตั้งให้ไปครองเมืองรามัธเนีย แต่มีตำแหน่งเป็นกษัตริย์แห่งนาเพา และเจ้าผู้ครองแคว้นอิมรอเทียส แต่ภายหลังการสิ้นชนม์ของวาเคียต ชื่อเสียงของพระองค์ดูเหมือนจะเลือนหายไปไม่เหมือนกับผู้ชนก ที่ยังมีผู้จดจำไม่ลืมเลือนทุกตัวคน อันเมืองรามัธเนียที่ประทับนั้นภายหลังถูกเผาทำลายโดยพวกปีศาจ เชื้อวงศ์แห่งพระเจ้าวาเคียตนั้นต่างก็ล้มหายตายจากไปเสียสิ้น ความทรงจำสุดท้ายเกี่ยวกับจอมคนผู้นี้ก็เลือนหายไปด้วย ตัวเราเองเลื่อมใสวาเคียตเป็นกำลังนัก ฉะนั้นเมื่อยามวัยเด็กของเราเมื่อราวๆสองพันปีก่อนนั้น จึงได้ออกศึกษาหาแผ่นภาพจารึกถึงพระโฉมของพระองค์ และก็ได้ปั้นเอามาตั้งไว้ที่แห่งนี้ แต่กระนั้นก็ยังมีน้อยคนนักจะรู้จักพระองค์ หากไม่ได้ศึกษาเรื่องของพระองค์อย่างแท้จริง น้อยคนนักจะรู้ได้ว่าพระองค์เองก็ทรงมีวีรกรรมมากมายไม่ต่างจากเจ้าวอคลาสเท่าใดนัก ตัวเราเห็นว่าเจ้าเองก็เป็นเช่นวาเคียตนี้ เป็นผู้เรืองปัญญาที่ซ่อนกายไว้ภายใต้หมอกควันอันอึมครึม รอคอยวันผงาดฟ้าให้คนโจษขานวีรกรรมไปนับแสนปี”



        โกโรเกียร์กล่าวสิ้นความแล้ว ก็พบเห็นว่าชายหนุ่มบัดนี้จ้องมองไปที่รูปปั้นของวาเคียตไม่ละสายตา แต่กระนั้นดีมานด์เองกล่าวถ้อยคำออกมาแต่เบาๆว่า



            “ที่แห่งนี้เป็นที่สถิตของจอมคนโดยแท้”



        โกโรเกียร์เมื่อได้ยินคำเช่นนั้นก็ฉุกคิดถึงเด็กหนุ่มโดยพลัน จึงออกปากกล่าวว่า

        

            “มาเถอะ ดีมานด์ ที่ชั้นบนสุดแห่งหอนี้ จอมคนยังสถิตอยู่”



        และภายใต้หอคอยสีขาวแห่งนั้นชายทั้งสองเดินหายเข้าไปหลังประตู และเริ่มเดินทะยานขึ้นไปตามบันไดวน เพื่อจะก้าวขึ้นไปสู่ห้องโถงในชั้นสูงสุดของเอนธวาลอเธี่ยนซังเธลมาด์ ซึ่ง “จอมคน” ตามคำพูดของโกโรเกียร์ได้สถิตอยู่ และในห้วงเวลาแห่งนั้น ที่เด็กหนุ่มน้อยผู้มากความสับสนในความคิด จอมเทพผู้องอาจและสถิตอยู่กับความร่วมสมัย และชายหนุ่มผู้เรืองปัญญา ได้โคจรมาพบกันในสายธารแห่งกาลเวลาและความบังเอิญที่น่าประหลาดพิกล ก่อให้เกิดเป็นเค้าร่างแห่งความหวัง และความปราโมทย์ที่ยากบรรยายภายใต้ดวงจิตที่บัดนี้แช่มชื่นขึ้นอย่างมากของจอมเทพโกโรเกียร์ ด้วยว่าบัดนี้จอมเทพรู้แล้วว่าภายใต้ดินแดนสีขาวแห่งนี้ นามของไอวอนเทลาจะกระเดื่องดังไปควบคู่กับทิวเลียสบรรพบุรุษของพระองค์





                                                                                      **********

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×