ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัตถ์แห่งอนธกาฬ

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่1 ดินแดนประหลาด

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 48










                                                                                             บทที่หนึ่ง

                                                                                       ดินแดนประหลาด







        ลมหัวด้วนอันรุนแรงแห่งเมืองชิคาโก พัดพาเอาความแปลกประหลาด และน่าสงสัยหลากหลายประการ มากระแทกโดนหนุ่มน้อยมาร์คัสเข้าเต็มเปา



        ท่ามกลางกลิ่นบุปผาดินหญ้าชื้นแฉะที่สูดเข้าแล้วแสนชื่นใจนั้น ลมเอื่อยๆหลายสายพัดเอาความอบอุ่นและความแปลกประหลาดที่แสนพิกลมาอยู่เนืองๆ และด้วยความรู้สึกและสัญชาตญาณบางประการของเด็กหนุ่ม มีบางสิ่งกำลังบอกว่า สถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่เมืองชิคาโกอันวุ่นวายเป็นที่แน่นอน



        กระนั้นเอง เมื่อเด็กหนุ่มได้ลืมตาขึ้น เขาก็ได้ตระหนักแล้วว่า เขาคิดไม่ผิด!!!



        ท่ามกลางสายลมและอากาศอันอบอุ่น กลิ่นหอมที่แสนสดชื่นของบุปผาโชยมาต้องจมูกของเด็กหนุ่มอยู่เนืองๆ เมื่อเด็กหนุ่มลืมตาขึ้น ก็รับรู้แล้วว่า ณ จุดที่ตนเองนั่งยันพื้นอยู่นั้นเป็นเนินหญ้าที่ตั้งอยู่เหนือทุ่งหญ้าราบกว้างแสนไพศาลที่ไร้ขอบเขต ที่ทั่วทั้งแผ่นหญ้าสีเขียวขจีนั้น ประดับไว้ด้วยสารพัดนานาบุปผาหลากสี แต่กระนั้น ดอกไม้เหล่านั้นแต่ละดอกก็ต่างมีรูปร่างแปลกตา และในความโชยหอมของเหล่าบุปผาดอกไม้นั้น ที่ถัดไปเบื้องหน้าไม่ไกลนัก มาร์คเองก็สังเกตเห็นท้องทะเลสาบสีดำมะเมื่อมทอดยาวไกลออกไปอีกแห่งหนึ่ง และเหนือท้องทะเลสาบแห่งนั้นก็เห็นเป็นเงื้อมผาและขุนเขาดำทะมึนสูงตระหง่านลํ้าฟ้าซ้อนกันจนเป็นเทือก รองรับโอบอุ้มเอาทะเลสาบไว้ที่ตรงกลางช่องเขานั้น



        มาร์คเองสรุปได้เลยว่า ทะเลสาบแห่งนี้ ไม่ใช่ทะเลสาบมิชิแกนอย่างแน่นอน



        และฉะนั้นทุ่งหญ้าแสนงามและแสนอบอุ่นชื่นใจนี้ ก็คงไม่ใช่สวนสาธารณะแห่งเมืองชิคาโกเป็นแน่แท้ แล้วกระนั้นเด็กหนุ่มเองตวัดคิ้วทั้งสองเข้าหากัน เผยอมุมปากเชิดออกเล็กน้อยเกิดเป็นรอยยิ้ม



        เมื่อเด็กหนุ่มยิ้มแล้ว ก็ยกมือตบหน้าตัวเองจนหงายท้องไปทีหนึ่ง เด็กหนุ่มเองเมื่อหงายท้องไป ก็พยายามหลับตาปี๋ และเมื่อมาร์คลืมตาขึ้นและก็พบว่าตนเองแท้ที่จริงไม่ได้ฝันไป และถึงแม้จะเป็นความฝัน ความฝันนี้คงไม่ได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นได้ง่ายๆนั้นแล้ว เด็กหนุ่มเองก็ยังคงทอดกายนอนกางแขนขาอยู่ที่เนินหญ้าเขียวขจีนั้น ไม่ได้พยายามลุกขึ้นมาอีกแต่อย่างใด



        ใบหน้าของเด็กหนุ่มในครานี้ดูแปลกประหลาดกว่าเดิม เป็นใบหน้าที่สับสนไปด้วยสารพัดอารมณ์ เด็กหนุ่มเองพยายามตรึกตรองว่าตนเองนั้นตกลงอยู่ในทุ่งโรฮันของเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ รึเปล่า “แต่มันก็ไม่ใช่นี่น่า โรฮันไม่มีทะเลสาบ” เด็กหนุ่มคิดอย่างขบขัน



        และภายใต้ความสงสัยนั้น ก็เป็นความหวาดกลัว กังวล วิตก และเบิกบานอย่างน่าประหลาด อารมณ์เหล่านั้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แต่ภายหลังฉากหน้าของอารมณ์เหล่านั้น ดูเหมือนว่าทุกๆอารมณ์จะมีความเป็นมาเป็นไป



        แม้ว่าเด็กหนุ่มจะทั้งหวั่นเกรง วิตก และกังวลว่าภายใต้ท้องฟ้าที่แสนจะเป็นสีครามกระจ่างฟ้านี้ ท่ามกลางกลิ่นหญ้าและลมโชยนี้ สถานที่ที่เด็กหนุ่มอยู่ในตอนนี้ ดูเหมือนจะไกลแสนไกลจากชิคาโกมากเลยทีเดียว เด็กหนุ่มเองครุ่นคิดอย่างสับสนไปมาแต่ในความคิดเหล่านั้น เด็กหนุ่มเองก็รู้สึกเบิกบานไม่น้อยเลยที่ได้ตกลงมาอยู่ในสภาพนี้



        “แผ่นดินเขียวชอุ่ม ท้องนํ้าดำมันวาว แผ่นฟ้าครามไร้เมฆ แสงแดดอันอบอุ่น สงสัยเราคงมาอยู่ในสวรรค์แล้ว” เด็กหนุ่มคิดออกไปดังๆอย่างเบิกบาน



        ท่ามกลางมวลความสงบและร่มรื่นนั้น  เสียงพรํ่ารำไรที่บัดนี้ดังกวานและแจ่มชัดของเสียงอันอ่อนหวานที่ร้องลำนำนั้นยังไม่หยุดยั้งลง



        บัดนี้ในความเงียบ ในดินแดนรอบข้างยิ่งขับเอาเสียงอันไพเราะของลำนำดังกวานและชัดแจ้งยิ่งขึ้น เสียงนั้นมาร์คเองฟังออกบ้าง ไม่ออกบ้าง แต่กระนั้นเสียงที่แว่วดังนั้นฟังดูเหมือนว่าจะดังอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ไกลนักจากที่ๆเด็กหนุ่มอยู่เท่าใดนัก



        เด็กหนุ่มเองทอดกายอยู่บนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม ทั้งแขนและขาของเด็กหนุ่มกางออกแผ่หลาอยู่บนพื้น ลมหายใจของเด็กหนุ่มปลอดโปร่งและโล่งสบายยิ่ง ดวงตาสีฟ้าเข้มของเขานั้นเป็นประกายเจิดจ้าตัดกับแสงสีทองของตะวันฉาย ประพิมพ์ประพายบนใบหน้าสีขาวเรื่อแดงนั้นดูโล่งอก สบายใจ คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันเกือบตลอดเวลาจนทำให้หน้าของเด็กหนุ่มดูสูงอายุขึ้นกว่าสิบปีนั้น บัดนี้ได้คลายลง ฉะนี้เองใบหน้าอันคมคายและหมดจดของเด็กหนุ่มในยามนี้ ดูจะทั้งงดงามและแสนจะซุกซนอยู่เป็นที



        เด็กหนุ่มเองบัดนี้แต่งกายด้วยเพียงเสื้อยืดตัวเดียว กางเกงขาสั้นตัวหนึ่ง และรองเท้าผ้าใบเพียงหนึ่งคู่ แต่กระนั้นท่ามกลางดินแดนประหลาดที่เด็กหนุ่มพลัดหลงมานี้ อากาศอันงดงามและแสนจะเข้าที่เข้าทางนั้น ทำให้เสื้อผ้ามากชิ้นแทบจะไม่จำเป็นเลยทีเดียว



        เสียงลำนำอันอ่อนหวานและโศลกยังไม่หยุด ลมอบอุ่นอันระทวยก็ยังไม่หยุดพัดผ่าน



        แต่กระนั้นในความวิเวกเอกาอันแปลกประหลาด และภายใต้ม่านลมอันอบอุ่นนั้น เสียงลำนำดูเหมือนจะเบาบางลง และห่างไกลออกไป



        ลมอันระทวยเริ่มพัดมาแรงขึ้นเป็นลำดับ และดูเหมือนจะพัดพาเอาฝุ่นคลีจากดินแดนแสนไกลมาสู่เนินหญ้าขจีแห่งนี้เสียด้วย



        ลมเริ่มพัดแรงขึ้น และแรงขึ้นอย่างมาก และดูเหมือนจะแรงขึ้นอย่างหยุดยั้งมิได้



        บางสิ่งบางอย่างบอกให้เด็กหนุ่มรู้ว่า ธรรมชาติที่สวยงามอันรายล้อมอยู่นี้ เริ่มจะมีการเปลี่ยนแปลงไป กลิ่นใบไม้ใบหญ้าอันชื่นใจนั้น บัดนี้ดูเหมือนจะกลืนหายไปกับสายลม และภายใต้ลมที่พัดจัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆนั้น กลิ่นบางอย่างที่คลับคล้ายคลับคลากับกลิ่นสาป ก็ลอยเข้ามาสู่จมูกอยู่เนื่องๆ



        มาร์คเองทราบดีอยู่ว่าอาการอันที่ธรรมชาติเงียบสงบนั้น แสดงแน่ชัดว่าเป็นเพียงลมสงบในยามพายุตั้งเค้า และในบัดนี้เมื่อยามที่เสียงลำนำกลืนหายเข้าไปในเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดแรงจัดขึ้นนั้น มาร์คที่นอนแผ่หลาอยู่ก็ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ยกมือขึ้นเอาไปป้องไว้ที่เหนือตา และทอดตามองไปโดยรอบๆ



        ลมที่แรงจัดนั้นดูเหมือนจะพัดมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พัดสาดเอากลิ่นแปลกประหลาดดุจกลิ่นเหม็นเน่าและอับสาปมากลบเอากลิ่นหญ้าที่หอมนั้น ยิ่งมายิ่งหนักเข้า ยิ่งมายิ่งฉุนติดจมูก



        ทะเลสาบสีดำขลับเป็นมันเบื้องล่างนั้น บัดนี้ถูกพัดตีออกเป็นคลื่นระลอกๆ ทะเลสาบที่ดูเหมือนจะสงบเงียบและสวยงาม บัดนี้กราดเกรี้ยวและดุดันยิ่ง นํ้าในทะเลสาบนั้นตีคลื่นกระทบโขดหินที่ริมผาเป็นฟองสีขาวน่าสะพรึงกลัวขึ้นอย่างเป็นลำดับ



        ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่โดยรอบต่างก็ลู่ลงและบ้างก็ฉีกขาดออกจากพื้นดิน ปลิวว่อนขึ้นไปในอากาศ ท้องฟ้าสีครามใสที่เคยไร้เมฆหมอกบดบังนั้น ยามนี้กลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกมืดฟ้ามัวดิน แสงตะวันอันเฉิดฉายนั้นก็ถูกเมฆขนาดมหึมาก้อนหนึ่งเอื้อมเข้ามาปิดไว้



        เสียงหวีดหวิวของลมเมื่อปะทะเข้ากับต้นไม้ และเหล่าต้นหญ้า ประกอบกับเสียงคลื่นนํ้าในทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไปทางเบื้องใต้นั้น เมื่อรวมกัน ก็กลายเป็นสรรพเสียงสำเนียงประหลาด ที่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่กระนั้นก็คงไว้ด้วยความน่าสะพรึงอย่างน่าประหลาด



        ที่เบื้องสูงขึ้นไปนั้น เมฆสีดำทะมึนเริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า แสงอาทิตย์ดูเหมือนจะลับไป และราตรีได้เข้ามาเยือน แสง สี เสียง และสรรพสิ่งทั้งมวลในบัดนี้ดูเหมือนจะวิปริตผิดประหลาดไปสิ้น เด็กหนุ่มเองที่บัดนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะทรงตัวให้ยืนอยู่ได้นั้น บัดนี้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล และแปลกประหลาดใจเป็นทวีเท่า



        แต่กระนั้น มาร์คเองกลับไม่กริ่งเกรงกลัวซึ่งปรากฏการณ์เหล่านั้น



        และในชั่วอึดใจหนึ่ง ที่เสียงลมหวีดหวิวเหล่านั้นดูเหมือนจะซาเสียงลง และสรรพสำเนียงอีกชนิดหนึ่งได้ลอยเข้ามากระทบกับโสตประสาทของเด็กหนุ่ม



        เสียงนั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับเสียงลำนำ ดังกวาน ชัดเจน แต่กระนั้นก็ยังฟังดูมาจากที่ไกล แม้จะไม่ไกลมากเท่าใดนัก แต่ก็ไม่อาจคาดเดาระยะทางได้ชัดเจน



        เสียงนั้นเป็นเสียงกลอง!!!



        เสียงกลองนั้นฟังดูไปย่อมไม่ใช่เสียงกลองชุดในวงร๊อคแอนโรลล์ และก็ย่อมไม่ใช่กลองแป๊กในชุดวงดนตรีประจำโบสถ์อย่างแน่นอน



        เสียงกลองนั้นดังสั่นรัว และเร็ว เป็นเสียงที่ผู้ได้ฟังจะรู้สึกตื่นตัวเป็นอย่างยิ่ง



        กลองนั้นตีเป็นทำนองกลองศึก เป็นเสียงม้าล่อฆ้องกลองที่ใช้ประโคมในการเดินทัพ มาร์คเองไม่ใช่เด็กโง่ (ถึงแม้ว่าบางทีจะดูเหมือน และจะจงใจแสดงออกว่าเป็นอย่างนั้นก็เถอะ) เด็กหนุ่มรู้ได้ว่าในขณะนี้ในที่ไม่ใกล้ แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนักนั้น กองทัพโบราณชนิดหนึ่งกำลังเดินทัพอยู่เป็นแน่แท้



        เด็กหนุ่มเองค่อยๆย่องเท้าออกลงจากเนินหญ้านั้น พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ตนเองกลิ้งลงจากเนินไปตามแรงกระทำของลม



        ท่ามกลางฝุ่นคลีทางเบื้องทิศอีสานนั้น เด็กหนุ่มเองเดินฝ่ากระแสลมที่จัดจ้าน และก็พยายามที่จะทอดตามองออกไป



        เด็กหนุ่มเองมีโสตสัมผัสดีเยี่ยมยิ่ง และบัดนี้เด็กหนุ่มก็สามารถจำแนกและรับรู้ได้ว่า เสียงกลองศึกนั้นดังมาจากเบื้องทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้น



        ที่เบื้องทิศนั้นเอง มาร์คัสใช้สายตาอันคมกล้ามองฝ่าออกไปท่ามกลางฝุ่นคลี หมอกควันและความมืดที่โรยตัวลงมาทุกชั่วขณะจิต ขุนเขาดำทะมึนที่ไกลออกไปนั้นดูเหมือนที่ยอดของมันนั้นจะมีแสงไฟรำไรอยู่



        ขุนเขาที่ทางทิศอีสานนั้นเป็นขุนเขาที่ดูสลับซับซ้อนไม่รู้สิ้น เขาบางลูกไม่สูงนักก็ทับซ้อนไปกับเทือกเขาที่สูงลิบที่ยอดของมันแทบกลืนหายไปกับกลีบเมฆ เทือกเขาดำทะมึนอันน่าเกรงขามทางทิศอีสานนี้เองที่เด็กหนุ่มจำแนกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของเสียงกลองศึกนั้น



        และจุดหนึ่งที่เด็กหนุ่มได้เห็นนั้น เป็นยอดหนึ่งของภูเขาสีดำเมื่อมลูกหนึ่งที่ไม่สูงและไม่เตี้ยเกินไปนัก ภูเขาลูกนั้นอยู่ในบริเวณชั้นนอกสุดของเหล่าเทือกเขานั้น และที่เชิงของเขาลูกนั้นเองก็เป็นป่าทึบขนาดกว้างใหญ่ไพศาลที่ทอดยาวเรื่อยไป จวบจบมาบรรจบกับบริเวณปลายสุดของเนินทุ่งแห่งนี้นี่เอง



        ดูไปแล้ว เชิงเขาของภูเขาลูกนั้นจะไกลออกไปจากที่ที่เด็กหนุ่มยืนอยู่ไม่เกินสองไมล์



        แต่กระนั้น ภูเขาลูกนั้นก็ดูเหมือนว่าจะสูงได้ถึงยี่สิบไมล์เลยทีเดียว!!!



        ภูเขาลูกนั้นดูเหมือนจะมีการเคลื่อนไหวบางประการที่บริเวณยอดเขา และเพียงชั่วอึดใจหนึ่ง แสงไฟที่คลับคล้ายคลับคลาเป็นแสงไฟสัญญาณชนิดหนึ่งก็ลุกโชนขึ้น ท่ามกลางเสียงกลองศึก และบรรยากาศที่ชวนผวา



        เด็กหนุ่มเองใช้สายตาอันคมกล้านั้นเพ่งพิศพินิจพิจารณาอีกครู่หนึ่ง ก็ละสายตาถอดถอนออก แล้วก็จ้องมองออกไปที่บริเวณท้องทะเลสาบที่บัดนี้ก็ยังซัดเขาสู่เงื้อมผาที่โอบอุ้มมันอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง



        เงื้อมผาที่ต่อเนื่องไปถึงเทือกเขาในทิศเหนือเรื่อยขึ้นไปนั้น แม้จะดูเหมือนว่าจะติดต่อกันกับเทือกเขาดำทะมึนทางทิศอีสาน แต่แท้ที่จริงแล้ว เทือกเขาทั้งสองฟากนั้นหาได้ติดต่อกันไม่



        เทือกเขาทั้งสองต่างก็ทอดตัวออกไปต่างทิศกัน ที่บริเวณคั่นกลางระหว่างสองหุบเขานั้น เป็นเพียงเนินดินเรียบหลายร้อยลูกสลับสับกันไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด



        เทือกเขาเบื้องทิศเหนือที่โอบอุ้มเอาทะเลสาบสีดำขลับไว้นั้น เป็นเทือกเขาสูงลิบที่มาร์คเองไม่สามารถมองเห็นยอดได้เลยแม้แต่น้อย เทือกเขาเหล่านั้นไม่ได้เป็นสีดำขลับเฉกเช่นเดียวกับทางทิศอีสาน แต่กลับมองเห็นได้ว่าเป็นเทือกเขาเขียวชอุ่มสวยงาม และที่บริเวณใกล้ยอดของมันยังพอเห็นนํ้าแข็งและหิมะสีขาวโพลนพอกเอาไว้



        เทือกเขาสองเทือกที่อยู่ไม่ไกล ไม่ไกลจากกันนัก แต่กลับไม่มีจุดเชื่อมต่อกัน และแทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงนี้ อาจบางทีจะดูไม่แปลกประหลาด แต่มาร์คเองที่ได้เรียนหนังสือมาไม่น้อย ก็อดใจจะให้สงสัยไม่ได้ว่า ในลักษณาการของภูมิประเทศเช่นนี้ ไฉนเล่าสองเทือกเขาในแผ่นพสุธาเดียวกันเกิดขึ้นมาอย่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และดูเหมือนว่าเขาทั้งสองจะไม่มีแนวเชื่อมต่อกันเลยแม้แต่น้อย



        เรื่องนี้ยิ่งดูไป เด็กหนุ่มยิ่งสงสัย คิ้วสองข้างของเด็กหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนเข้ามาชนกันอย่างเห็นได้ชัด



        เด็กหนุ่มเองคิดไปอย่างหนัก จนไม่ได้สังเกตว่าลมกระแสอันกรรโชกเมื่อครู่นี้ได้หายไปแล้ว ท้องฟ้าที่เบื้องบนก็เปิดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างกลับคืนสภาพของมันอย่างรวดเร็วเฉกเช่นเดียวกับที่มันได้เข้ามาเยือน



        แต่กระนั้นเสียงกลองศึกก็ยังคงดังอยู่ แม้ว่าจะดูเหมือนไกลออกไปอีก และเบาบางลงเรื่อยๆ แต่ก็ยังพอจับเสียงสำเนียงได้อยู่



        เสียงลำนำอันโศกาบัดนี้หายไปแล้ว แต่เสียงวิหคนกกาและเสียงลมพัดต้องยอดหญ้านั้นยังคงมีอยู่ และเสียงเหล่านั้นนั่นเองที่ปลุกให้มาร์คตื่นขึ้นมากภวังค์ เด็กหนุ่มกวาดตามองออกไปรอบๆ แล้วก็พบว่าบัดนี้สภาพแวดล้อมรอบข้างหวนกลับมาสวยงามและสงบเงียบดังเดิมแล้ว



        เด็กหนุ่มที่บัดนี้ยังแว่วได้ยินเสียงกลองศึกอยู่ไกลๆ ตอนนี้ได้เริ่มคิดและสงสัยเรื่องนี้เป็นเท่าทวี มาร์คเองเป็นเด็กที่มีจินตนาการเปี่ยมล้น แต่กระนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรื่อยมาในระยะเพียงสิบนาทีนี้ มันเกินกว่าจะรับ และจะเป็นไปได้ ท่ามกลางบรรยากาศที่ชวนให้ปลอดโปร่งนี้ บัดนี้จิตใจของมาร์คอึมครึมลง และเริ่มวิตกด้วยเหตุผลกลประการนานาชนิด เรื่องที่มาร์คถูกกระแสลมวิปริตพัดพามาตกอยู่ในดินแดนอันประหลาดพิกล เสียงลำนำอันโศกา เสียงกลองศึกอันน่าสะพรึง และไหนเลยที่มาร์คจะได้พบแล้วว่า สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ชิคาโก และไม่ใช่ดินแดนในความฝัน และก็ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้คงจะตั้งอยู่ไกลจากชิคาโก นครแห่งความโกลาหลเป็นแสนๆไมล์ เด็กหนุ่มเริ่มวิตก ว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะเป็นผลข้างเคียงของตัวยาที่มาร์คถูกบังคับให้กินตอนอยู่ในสถานกักกันเด็กและเยาวชนก็เป็นได้ แต่มาร์คเองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน หากแม้นเป็นความฝัน ก็ย่อมเป็นความฝันที่น่าแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยมี ทุกอย่างดูสมจริงจนน่าเหลือเชื่อ แม้แต่เกมซีมูเลเตอร์ที่มาร์คเคยเล่น ยังทำได้ไม่สมจริงเท่านี้เลย



        เด็กหนุ่มเริ่มวิตก และตระหนักได้ว่า ณ ที่แห่งนี้ มันดูน่าจะเลวร้ายกว่าที่สถานกักกันที่ตนเคยไปอยู่เสียอีก อย่างน้อยๆ เด็กหนุ่มเองก็รักแม่และเมืองชิคาโกมาก แม้ว่าจะไม่แสดงออกว่าเป็นเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มเองบัดนี้รู้แล้วว่าท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามดั่งสวนอีเดน (สวนอีเดนเป็นสวนที่พระเป็นเจ้าสร้างให้แก่อดัมและเอวา เป็นสวนสวรรค์ที่เพียบพร้อมด้วยประการทั้งปวง) มาร์คเองรู้ว่า เหตุการณ์อันพิสดารและน่างงงวยนี้ได้พรากตนออกจากครอบครัว ออกจากบ้านเกิด และนำพาเอาความโดดเดี่ยวมาสู่ใจของเด็กหนุ่มเสียแล้ว



        เด็กหนุ่มเองแม้จะชินแล้วกับความโดดเดี่ยว และรับรู้แล้วว่าความโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้งเป็นเช่นไร แต่กระนั้นในที่แห่งนี้ ก็อย่างที่ว่ามันต่างจากสถานกักกันและเลวร้ายกว่าสถานกักกันมากเหลือเกิน ที่แห่งนี้ไม่มีขอบเขต และไม่รู้ว่าตั้งอยู่ที่ใด ที่แห่งนี้ไม่มีผู้คนอยู่เลย อย่างน้อยๆก็เท่าที่มาร์คเห็น ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง หรือความคาดการณ์อะไรที่แน่ชัดเลย มาร์คเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เลย ฉะนั้นเมื่อนำเอาสถานที่นี้ไปเปรียบกับสถานกักกันเด็กและเยาวชน(ที่มาร์คเคยบอกว่าเป็นนรกบนดิน) มันก็แทบเปรียบกันไม่ติดเลย



        มาร์คเองคิดแล้วก็ให้วิตก ยิ่งคิดมากเข้าความวิตกก็ยิ่งมากขึ้น แต่กระนั้นในสายลมอันอ่อนโยนและเย็นสบายกายนั้น มาร์คเองได้ยินเสียงลำนำโศกาดังขึ้นอีกคราแล้ว



        เสียงนี้บัดนี้ชัดขึ้น ไพเราะขึ้น และมาร์คเองก็จับได้ว่าเสียงนั้นดังแว่วมาจากเบื้องทิศใต้ มาร์คเองรู้ว่าเสียงนี้นี่เอง อาจเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความหวัง และอาจเป็นตัวกลางของสมการที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ ฉะนั้น มาร์คไม่รอให้ใครสั่ง และไม่ช้าที เด็กหนุ่มเองก็เร่งฝีเท้าเยาะย่างข้ามเนินนั้นลงไปทางทิศเบื้องใต้โดยไว

        

        ที่เบื้องทิศใต้ของเนินนั้น มองออกไปเห็นเป็นเป็นเนินหญ้าอีกจำนวนมากทอดตัวไป และที่ไกลออกไป ก็มองเห็นเป็นท้องทุ่งเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ท้องทุ่งแห่งนั้นทั้งสวยงาม สงบเงียบ และเกินคำคนจะบรรยายได้ถึงความสวยงามนี้



        เด็กหนุ่มเองบัดนี้ตกลงสู่ภวังค์อีกคราหนึ่ง และก็เริ่มออกเดินอย่างเชื่องช้าตัดผ่านเนินออกไป เท่าที่มาร์คเองคาดประมาณ เนินหญ้าเตี้ยๆที่ซ้อนกันไปเรื่อยๆเหล่านี้ ยาวเป็นระยะทางราวๆหนึ่งไมล์ ก่อนที่จะไปบรรจบเข้ากับทุ่งหญ้าเขียวขจีนั้น มาร์คเองเริ่มออกเดินไป และท่ามกลางภวังค์แห่งความสวยงามที่มาร์คตกลงมานั้น มาร์คเองไม่ได้สังเกตเลยว่านี่เป็นเวลาคล้อยเย็นเสียแล้ว เวลาในที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าจะพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนรวดเร็วยิ่ง



        เมื่อมาร์คออกเดินไปได้ระยะประมาณสามในสี่ไมล์ และเกือบจะลงไปสู่ท้องทุ่งหญ้าที่ทอดตัวไปไม่ไกลแล้วนั้น เด็กหนุ่มเองก็ถึงสังเกตได้ว่าบัดนี้แล้ว แสงอาทิตย์ได้อัสดงลง และที่เบื้องทิศตะวันตกนั้น เงื้อมมือแห่งราตรีกาลคลี่คลุมท้องฟ้าแล้ว



        ท้องทุ่งเบื้องหน้าของเด็กหนุ่มบัดนี้ตกลงอยู่ในแสงอันระทวย ลมสลาตันยามคํ่าคืนพัดพามาแต่เบื้องหรดี เสียงหญ้าขจีไหวต้องลมเกิดเป็นซู่ซ่าอึงอลไปทั่วบริเวณ เหล่าวิหคนกกาต่างก็พากันแตกตื่นโผบินหนีกันเป็นจ้าละหวั่น



        เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อากาศโดยรอบเริ่มเย็นลง เด็กหนุ่มสวมเสื้อยืดบางๆเพียงตัวเดียว ความหนาวเย็นของวิกาลดึกเริ่มกรีดแทงเข้ามาในกายของเด็กหนุ่ม



        เด็กหนุ่มเองกวาดตามองไปรอบๆอีกคราหนึ่ง และก็ได้พบกับความจริงอีกประการหนึ่ง ที่ว่าท่ามกลางทุ่งหญ้าเบื้องหน้าและเนินหญ้าโดยรอบ และในทั่วบริเวณหนึ่งถึงสิบไมล์รอบข้างนี้ ไม่มีบ้านเรือนหรือแม้แต่เพิงพักพิงให้เด็กหนุ่มซุกหัวนอนได้เลย ท่ามกลางวิกาลดึกดื่นและหนาวเหน็บนี้ เด็กหนุ่มเริ่มหวาดกลัว



        ความหวาดกลัวมักจะเกิดในยามที่ท้อแท้ และสิ้นหวัง บัดนี้ทั้งความท้อแท้และ สิ้นหวังอันเกิดจากความไม่รู้ ไม่ทราบของเด็กหนุ่มนั้น ได้ประดังเข้ามาอัดอั้นอยู่ที่กลางใจ เด็กหนุ่มเองเริ่มวิตกจริต และคิดมากขึ้นเป็นลำดับ



        แต่กระนั้น เท้าของเด็กหนุ่มก็ไม่หยุดนิ่ง เท้าสองข้างอันแข็งแกร่งและปราดเปรียวยังสาวออกไปเบื้องหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และในเวลาไม่ช้านาน ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่บัดนี้ตกอยู่ในความมืดมิด ก็อยู่ที่ตรงหน้าเด็กหนุ่มแล้ว



        ระยะทางหนึ่งไมล์ที่เด็กหนุ่มออกเดินมานั้น ดูไม่ไกล แต่ก็ย่อมไม่ไกล้ เมื่อเด็กหนุ่มเดินมาถึงทุ่งหญ้าขจีแห่งนั้นแล้ว มาร์คก็หันหลังเหลียวไปมองเนินหญ้าที่ตนจากมา และกระนั้นท่ามกลางความมืดมิด เนินหญ้าแห่งนั้นก็ถูกหัตถ์แห่งอนธกาฬปกคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น แต่ถึงกระนั้น ในความมืดมิดนี่เอง แม้ว่ามันจะปกปิดเอาบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ได้ แต่ในบางกรณี มันเองก็เป็นตัวการสำคัญอีกชนิดหนึ่งในการแสดงออกของบางสิ่งที่เมื่อยามทิวาไม่อาจเห็นได้อย่างชัดแจ้ง



        ท่ามกลางความมืดมิดที่เบื้องทิศเหนือนั้น ในที่ไกลออกไป ปรากฏแสงสีส้มพราวตาเป็นจุดเล็กจิ๋วชนิดหนึ่งขึ้น จุดแสงไฟสีส้มนั้นเต้นริกไหวไปมา แสงนั้นหากไม่สังเกตก็ดูกลืนไปกับเหล่าจุดของหมู่ดาวมากมายในท้องฟ้า แต่กระนั้นแสงนั้นดูจะกระจ่างชัด และดูไปไม่คล้ายกับดาราบนนภากาศเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มเมื่อมองเห็นแสงนั้น ก็ทราบได้ทันทีว่าแสงนั้นเป็นแสงไฟ แสงของไฟที่ถูกจุดขึ้นเหนือยอดเขาดำทะมึนที่ข้างทิศอีสานนั่นเอง



        แสงนั้นเมื่อยามทิวามองไปเห็นเพียงชั่วครู่ ไม่เด่นชัดและไม่น่าสนใจเท่าในยามนี้ ด้วยว่าในยามนี้ ท่ามกลางความมืดมิด แสงไฟนั้นลุกโชนขึ้นอย่างผ่าเผยและองอาจ และเท่าที่เด็กหนุ่มคาดการณ์ได้ แสงไฟนั้นห่างออกไปนับสิบไมล์ แต่ก็สามารถลุกโชนเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ย่อมต้องไม่ใช่แสงไฟธรรมดา แต่จำจะเป็นแสงไฟสัญญาณที่ทั้งสูงและใหญ่โตมโหฬารไม่ใช้น้อย แสงนั้นเมื่อยามนี้ ที่เด็กหนุ่มทอดตามองไป จึงทั้งน่าสงสัย ชวนให้สนใจและเต็มไปด้วยความลี้ลับมากอย่างยิ่งยวด



        เด็กหนุ่มยืนเหม่อมองแสงไฟนั้นอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะตวัดหันหลังกลับ และมองออกไปสู่ท้องทุ่งที่มืดมิดเบื้องหน้า และในที่แห่งนั้น เสียงลำนำยังไม่หยุดขับกล่อม และในครานี้ เสียงนั้นที่แม้จะดูเหมือนว่าจะยังคงดังอยู่ที่ไกลโข แต่ก็ดูเหมือนว่ามาร์คเองได้เข้าใกล้ต้นตอของเสียงเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง



        สายลมของยามราตรีไม่หยุดพัด และไม่ผัดผ่อน เด็กหนุ่มเองเมื่อเห็นว่าที่ข้างหน้าก็มืดมิด อับจนหนทางที่จะไปได้ต่อเสียแล้วในวันนี้ ก็ทิ้งตัวลงนั่งเสียที่พื้นดินนั้น เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าและพยายามห่อตัวเข้ามาเพื่อให้เกิดความอบอุ่นมากที่สุด ในเวลานี้แล้วที่เด็กหนุ่มรู้ว่า เสื้อยืดบางๆ กับกางเกงขาสั้นและรองเท้าผ้าใบที่ใส่โดยไม่ใส่ถุงเท้าก่อนนั้น ช่างเป็นการแต่งตัวที่ไม่ได้เรื่อง และไม่มีประโยชน์อย่างยิ่ง เด็กหนุ่มคิดว่าถ้าแก้ผ้าไปเสียในตอนนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรมากมายนักหรอกจากในเวลานี้



        แต่กระนั้น เด็กหนุ่มก็ย่อมไม่แก้ผ้า แม้ว่าในที่ไกลปืนเที่ยงและเปลี่ยวมืดเช่นนี้ก็ตาม!!!



        เด็กหนุ่มรู้ว่านี่เป็นเพียงเวลาหัวคํ่าเท่านั้น แต่กระนั้นเรื่องราวที่เจอะเจอมาในวันนี้มันก็มากพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอยากหลับไปเสีย และก็อาจจะตั้งความหวังเล็กๆ ว่าเมื่อยามที่ตื่นขึ้น เด็กหนุ่มก็จะพบว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันเท่านั้นเอง



        เด็กหนุ่มเองส่ายหัวอย่างทอดอาลัยทีหนึ่ง ก่อนจะตั้งต้นเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัว เด็กหนุ่มคิดทบทวนอะไรไปมาอย่างไม่จบสิ้นเป็นเวลาหลายรอบ และด้วยความคิดเหล่านั้น ประกอบกับความลืมตัวไปชั่วขณะหนึ่ง นํ้าตาหยาดใสดั่งไข่มุกก็ไหลหลั่งออกมาจากดวงเนตรทั้งสองข้างและอาบลงไปทั่วแก้มสีชมพูเรื่อของเด็กหนุ่มเสีย



        นํ้าตานี้ ย่อมไม่ใช่นํ้าตาแห่งความปลื้มปีติ แต่มันเป็นนํ้าตาที่เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ปะปนคละเคล้ากัน ทั้งอารมณ์เสียใจ อารมณ์กดดัน และอีกมากมายเหลือคณาจะนับได้ และเมื่ออารมณ์เหล่านั้นมากองสุมกันไว้เช่นนี้ เด็กหนุ่มเองก็ได้ปลดปล่อยเอาความรู้สึกนั้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว



        มาร์คเองดูภายนอกก็จะอาจทราบและรับรู้ได้ว่าเป็นเด็กหนุ่มหัวดื้อที่แสนจะพยศ แต่ถึงกระนั้นจะมีผู้ใดล่วงรู้ได้เล่าว่าภายใต้หน้ากากเหล่านั้น เด็กหนุ่มผู้อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความคิดที่จะเข้าใจโลกนี้ สามารถรับรู้และมองโลกได้ในแบบที่คนบางคนไม่คิดจะมอง คนบางคนแอบอวดอ้างว่าเข้าใจโลก เข้าใจธรรมชาติ แต่ผู้ใดเล่าจะสามารถเข้าใจได้ว่าภายใต้อารมณ์อันสับสนของมาร์คนั้น แอบซ่อนอะไรอยู่ มาร์คเองไม่ใช่เด็กผู้ชายที่ไม่กล้าร้องไห้ แต่กระนั้นตั้งแต่มาร์คโตเป็นหนุ่มขึ้นมา ก็แทบจะไม่มีผู้ใด แม้กระทั่งพ่อแม่ของมาร์คเอง ได้เห็นหยาดนํ้าตาของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย มาร์คเองชั่วชีวิตสิบห้าปีที่ผ่านมา รู้ตัวอยู่เสมอว่าตนเองได้กระทำอะไร และรู้ถึงผลกระทบที่ติดตามว่าเสมอ มาร์คเองชาญฉลาดพอที่จะทราบได้และแน่นอนก็ย่อมต้องรับได้ถึงผลที่จะตามมาของทุกๆการกระทำของตนเอง มาร์คเองแอบรํ่าไห้เพียงลำพังอยู่บ่อยครั้ง ในคํ่าคืนที่สงัดในห้องนอนของตนเอง ในห้องขังอันแสนเปล่าเปลี่ยว และในยามนี้ท่ามกลางความโกลาหลทางความคิด และบรรยากาศอันวังเวงวิเวกเอกาในยามราตรี เด็กหนุ่มก็ได้ปลดปล่อยเอาหยาดนํ้าตาออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว



        แต่กระนั้น มาร์คเองไม่มีเวลาที่จะมาครํ่าครวญอีกต่อไป ด้วยว่าบัดนี้ มาร์คเองรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง



        นํ้าตาของมาร์คที่ไหลอาบแก้มแห้งเหือดลงไป มาร์คเองกระตุ้นตัวเองให้ลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่ง มาร์คเองกวาดตามองไปรอบๆ และก็รู้สึกได้ ว่าบางสิ่งกำลังจับจ้องมองกลับมาอยู่



        มีบางสิ่งกำลังจ้องมองมาร์คอยู่ในความมืดนั้น บางสิ่งบางอย่าง มาร์คเองรู้ว่าดวงตาที่กำลังจ้องตนเองอยู่นั้น ย่อมไม่ใช่ดวงตาของสัตว์ป่า แต่จำจะเป็นดวงตาของสัตว์ร้าย หรือผู้คน ด้วยว่ามาร์คเองรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่าง พลังอันแปลกประหลาดที่มาร์คเองรู้สึกได้จากสัญชาตญาณ และในเวลาเช่นนี้มาร์คเองก็จำจะต้องเชื่อถือสัญชาตญาณของตนเองเป็นที่ตั้ง



        มาร์ครู้สึกได้ว่าผู้ที่กำลังจ้องมองตนอยู่ในขณะนี้ เต็มไปด้วยความพร้อม พร้อมที่จะจู่โจม มาร์คเองรู้สึกถึงพลังสังหารอันกราดเกรี้ยว และความมาดร้ายเหลือคณา เด็กหนุ่มเริ่มตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความเกรงกลัว



        และเพียงอีกชั่วอึดใจหนึ่ง มาร์คก็พบว่าเสียงลมและเสียงของเหล่าวิหคนกกาในยามวิกาลนั้น ได้จางหายไปจนหมดสิ้น แต่กระนั้นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่มาร์คได้หันเหความสนใจมาสู่เรื่องราวเหล่านั้น เสียงอีกชนิดหนึ่งก็ดังขึ้น



        เสียงนั้นดังเพียงคราเดียว สั้น กระชับ รวดเร็ว เสียงนั้นเป็นเสียงของบางสิ่งวิ่งฝ่าอากาศออกมาอย่างรวดเร็ว และเพียงชั่วครู่ที่มาร์คตระหนักได้ ลูกศรธนูลูกหนึ่งก็ปักเข้าที่หน้าท้องของเด็กหนุ่มไปเสียแล้ว!!!



        เด็กหนุ่มเองยังไม่ทันจะตระหนักได้ว่าเสียงนั้นลั่นมาจากที่แห่งใด และก็ยังไม่แน่ใจชัดแจ้งว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร เกาทัณฑ์ดอกหนึ่งก็พุ่งมาปักเสียที่กลางหน้าท้องของเด็กหนุ่มแล้ว



        ศรธนูลูกนั้นที่ปลายทำจากเหล็กพิสดารชนิดหนึ่ง ตัวดามศรทำจากไม้อ่อนยวบอีกชนิดหนึ่ง เมื่อปลายศรพุ่งปักเข้าที่หน้าท้องของเด็กหนุ่มแล้ว ความเจ็บปวดในกาลนั้นเกินกว่าจะบรรยายและทานทนได้ เด็กหนุ่มเจ็บปวดทรมานอย่างสาหัสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะล้มตัวลงไปคุกเข่า เด็กหนุ่มเองมือคลำไปที่บริเวณหน้าท้อง พยายามอย่างจะถอนเอาเกาทัณฑ์นั้นออกจากหน้าท้อง แต่มันกลับทำให้เด็กหนุ่มยิ่งทรมานขึ้นอย่างเป็นกำลัง โลหิตสีแดงสดไหลหลั่งออกมาจากปากแผลไม่หยุดหย่อน นํ้าตาเด็กหนุ่มบัดนี้ไหลอาบทั้งสองแก้ม เด็กหนุ่มร้องครวญออกมาอย่างเจ็บปวด และก็เริ่มตั้งต้นคิดถึงจุดจบของชีวิตตนเอง และก็เริ่มพรํ่าสวดภาวนาในใจ พระเป็นเจ้าที่มาร์คทอดทิ้งไปแสนนาน บัดนี้มาร์คได้พรํ่าสวดอ้อนวอนแด่พระองค์ในยามที่ต้องตกอยู่ในความทรมานแสนสาหัสจวนเจียนแก่ชีวิตดังนี้



        มาร์คไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นผู้ยิงธนูออกมาทำร้ายตน แต่กระนั้นท่ามกลางความสงัด มาร์คเองก็รู้แล้วว่าที่ไม่ไกลจากตัวเองนั้น บัดนี้ผู้ที่ลอบทำร้ายตนกำลังย่างก้าวใกล้เข้ามา



        เสียงฝีเท้าเช่นนั้น เป็นเสียงฝีเท้าของคนอย่างแน่แท้ มาร์คเองพยายามที่จะหันหัวกลับไปมองทางต้นเสียงเพื่อเสาะหาผู้ที่กำลังเดินเข้ามานั้น แต่กระนั้นมาร์คเองบัดนี้เจ็บปวดแสนสาหัสนัก ไม่อาจฝืนใจให้ทำเช่นนั้นได้อีกต่อไปแล้ว



        เพียงชั่วครู่หนึ่ง มาร์ครู้ตัวว่ากำลังจะหมดสติลงไป แต่กระนั้นคนผู้นั้นบัดนี้ได้มายืนอยู่ที่เบื้องหลังของตนเสียแล้ว มาร์คเองบัดนี้รู้สึกได้แล้ว และก็พร้อมรับความตายเสียแล้ว



        ท่ามกลางความสงัด เสียงผู้ชายเสียงหนึ่งอันเป็นเสียงของคนที่ยืนอยู่ที่เบื้องหลังเด็กหนุ่มนั้น ได้กรีดแหวกอากาศเข้ามากระทบโสตประสาทของเด็กหนุ่ม



            “เจ้าเป็นเด็กผู้ชายรึนี่” เสียงนั้นเป็นเสียงคมเข้มที่กระจ่างชัด และเต็มไปด้วยพลังและความตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง



        ฉับพลันที่สิ้นเสียงลง เด็กหนุ่มเองไม่อาจทานทนกับความทรมานได้อีกต่อไป ก็สิ้นสติสมประดีลง พลันนั้นที่กายของเด็กหนุ่มล้มลง ชายผู้ลั่นธนูทำร้ายมาร์คเมื่อเห็นเช่นนั้นก็พุ่งพรวดล้มลงมาประคองเอาตัวของเด็กหนุ่มไว้เพื่อไม่ให้ลูกธนูทะลุลำตัว



        ชายผู้นั้นประคองเอาตัวเด็กหนุ่มไว้ และก็รับรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ยังไม่ตาย แม้จะจวนเจียนมากก็ตามที ลมหายใจของเด็กหนุ่มระทวยอ่อนลงเป็นลำดับ แต่กระนั้นก็ยังคงมีลมหายใจอยู่ และในท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรีกาล แสงดาราและจันทราอ่อนนวลได้ฉายลงมาที่ทั้งสอง และในความสว่างเล็กน้อยเพียงครู่หนึ่งนั้น ชายหนุ่มเมื่อพลันที่เห็นหน้าที่ไร้สีเลือดของเด็กหนุ่ม ก็พลันตกใจแตกตื่นจนหน้าถอดสี



        แต่กระนั้นเพียงชั่วอึดใจ ชายหนุ่มโอบอุ้มเอาร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมา และพุ่งปราดไปด้วยเท้าอันปราดเปรียวและว่องไวยิ่ง ชายหนุ่มวิ่งตัดผ่านทุ่งหญ้าออกไปสู่ความมืดมิดเบื้องหน้า และในท่ามกลางความมืดมิดนั้น ชายหนุ่มผู้สวมใส่ชุดขาวและมีผมสีทองสวยงามเจิดจ้านั้น ได้ทะยานผ่านความมืดออกไป ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยลิงโลดและความคาดหวังที่ว่าในเวลาไม่ช้านานจากนี้แล้ว หัตถ์แห่งอนธกาฬที่ได้ครอบคลุมจิตใจของผู้คนมาช้านานจะถูกปัดเป่าออกไป



        บัดนี้เองที่ชายหนุ่มผู้ผ่าเผย ได้วิ่งตัดผ่าความมืดออกไป นำเอาเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายที่แสนจะสับสนเข้าไปสู่วังวนแห่งเรื่องราวมากมาย ผู้ใดจะรู้เล่าว่าในความมืดนั้นมีอะไร หากไม่ได้ลองเดินฝ่าเข้าไปพิสูจน์ดู



                                                                                **********













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×