ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทนำที่2 การปราชัยครั้งสุดท้ายและการเริ่มต้นของลำนำอันโศกา
                                                                                      บทนำ
                                                                            การปราชัยครั้งสุดท้าย
                                                                      และการเริ่มต้นของลำนำอันโศกา
    เมืองฟานเธในยามปัจจุบันแม้จะคงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความเกรียงไกร และความยิ่งใหญ่ที่สั่งสมมานับตั้งแต่วันที่มหานครแห่งนี้ถูกพระเจ้าเทียเมาก่อตั้งขึ้น แต่ในเวลานี้ ท่ามกลางกลิ่นอายเหล่านี้ สายลมดูเหมือนจะหอบเอาลมมรณะมาจากทิศอีสานอยู่เนืองๆ
    เมืองฟานเธเป็นมหานครหลวงอันเก่าแก่แห่งราชอาณาจักรกราดินาเธ และก็ยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ผู้เกรียงไกรอันลือลั่นไปทั่วทั้ง แผ่นดิน ผืนฟ้ามานับไม่ถ้วนพระองค์ 
    อันเมืองฟานเธนี้ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือเป็นระยะทางหนึ่งพันสองร้อยลีค นับจากเส้นพรมแดนแบ่งแยกระหว่างราชอาณาจักรกราดินาเธและแว่นแคว้น เคลมีนเมียยาสทางตอนใต้ ที่ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในหกแว่นแคว้นอันเกรียงไกรของกราดินาเธ
    เมืองฟานเธมีภูผาล้อมรอบเป็นรูปครึ่งวงกลม และในบริเวณช่องผาที่เปิดเป็นทางถนนขนาดใหญ่เข้าสู่เมืองนั้น ก็มีป้อมปราการอยู่ถึงเก้าแห่ง เป็นที่ตั้งของกองกำลังรักษาพระนครที่ยากที่จะตีหักเข้าไปได้
    ลักษณะชัยภูมิของเมืองนี้ เป็นลักษณะที่ทั้งดีและเลวไปพร้อมกัน
    หากข้าศึกยกทัพมาบุก การบุกยกข้ามภูผาและตีหักเอาป้อมปราการเพื่อจะเข้าสู่เมืองนั้น เป็นการกระทำที่ยากกว่าปีนขึ้นเขาอิมรอเทียนเสียอีก
    แต่กระนั้น หากข้าศึกบุกเข้ามาสู่เมืองได้แล้ว การจะรี้พลหลบหนีออกจากเมืองหรือการอพยพเหล่าไพร่ฟ้าประชาชนหลบหนีภัยสงครามไปนั้น เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากยิ่งกว่า
    เช่นนี้ หากเมื่อใดเล่าที่มีข้าศึกบุกมาประชิดเข้ากับตัวเมืองแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากจะต่อสู้กับอริราชศัตรูให้หมดลมกันไปข้างใดข้างหนึ่ง
    และในยามที่ลมมรณะคืบคลานเข้ามาใกล้ฟานเธมากขึ้น ข่าวการพ่ายแพ้อย่างราบคาบของกองทัพทองของพระเจ้าวุงมังแห่งโรมินนิ่งส์ที่เมืองจีเมี่ยน ข่าวการสิ้นพระชนม์ของเจ้าทิวดีเรี่ยน ผู้ปกครองมณฑลลัสโฟมัสทางด้านใต้ และไหนเลยจะเป็นข่าวการสวามิภักดิ์ของพระเจ้าไกเซอร์แห่งเคลมีนเมียยาสต่อกองทัพทมิฬนั้น ได้สร้างความหวาดหวั่นและความวิตกอย่างมากมายมหาศาลต่อผู้คนชาวเมืองกราดินาเธ ด้วยว่าบัดนี้ กราดินาเธเป็นเพียงอาณาจักรหนึ่งเดียวที่ยังเป็นอิสระเหนือเงื้อมหัตถ์แห่งความมืดมน
    ในยามอันมืดมน โอลิมเปียสอันเป็นที่ประทับของมหาเทพซูสนั้นบัดนี้ก็ล่มสลายลงแล้ว ท้องทะเลและเกลียวคลื่นอันงดงาม ก็ต้องคำสาปอันเลวร้ายลงเสีย กราดินาเธที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เหล่าทวยเทพทรงโปราดปรามากที่สุด ในบัดนี้ไม่หลงเหลือที่พึ่งใดๆอีกแล้ว
    เวลาของกราดินาเธอันเกรียงไกร ใกล้ถึงเวลายุติลงแล้วกระนั้นหรือ?
    แต่กระนั้น เป็นเวลานมนามเกือบยี่สิบที่ความหวาดหวั่นนี้ยังไม่เป็นจริงขึ้นมา ภายหลังจากที่โรมินนิ่งส์อาณาจักรแห่งทองคำ เคลมีนเมียยาสมหานครแห่ไพรพง ลัสโฟมัสมหานครปากแม่นํ้าและโอลิมเปียสภูผาทวยเทพ ได้ล่มสลายลงและตกเป็นอาณัติของทมิฬเทพมานานแล้ว ในที่สุดเมื่อเวลาผันผ่านไปยี่สิบปี กองทัพแห่งความมืดที่ได้นำพาเอาความหวาดกลัว เกลียดชัง ก็ได้ยาตราออกมาจากซังเธลกุมการ์ ที่มั่นอันเป็นที่ประทับของเฮลควิส ทมิฬเทพผู้ปกครองแผ่นฟ้า ผืนนํ้าแล้ว
    ลมมรณะที่ได้ผัดผ่านฟานเธมานมนานยี่สิบปี นำพาเอาความหวัง และความปิตีปราโมทย์ไปสิ้นแล้ว และในยามนี้ เวลาของกราดินาเธก็มาถึง
    ทมิฬทัพเมื่อยาตราออกจากซังเธลกุมการ์นั้น ประกอบไปด้วยไพร่พลมากมายมหาศาลกว่าแสนนาย นายทัพผู้ยกออกมาในครานี้ เป็นตัวเฮลควิสเองเลยทีเดียว
    เฮลควิสเองได้แผ่ขยายการปกครองอย่างเกรียงไกรมาอย่างยาวนาน หากกราดินาเธถึงกาลล่มสลายแล้ว พิภพแห่งนี้ก็จะตกไปอยู่ในหัตถ์ของอนธกาฬที่ไม่รู้สิ้นนั้นทั้งสิ้นทั้งหมดเลยทีเดียว
    เช่นนี้ การล้มล้างอาณาจักรอันเก่าแก่ และเกรียงไกรที่สุดแห่งนี้นั้น เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด ทมิฬเทพเองไม่อาจละไว้ให้ผู้อื่นกระทำได้
    และจากป้อมปราการแห่งคีมันกุมการ์ การเดินทัพลงใต้ลัดเลาะไปตามแนวมหานทีเพื่อบุกเข้ากราดินาเธจากทางตะวันออกนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ เพียงชั่วเวลาไม่ถึงสามเดือน ทมิฬทัพก็ได้บุกไล่เข้ามาถึงปราการนันมิเลี่ยนอันเป็นปราการข้ามมหานทีฟากตะวันออกของ กราดินาเธแล้ว แต่กระนั้นข่าวการยาตราทัพของเฮลควิสนี้แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็วดั่งไฟลามทุ่ง พระราชโองการแห่งพระเจ้าอินซาลอนที่สิบเก้าได้มีรับสั่งให้ทุกป้อมปราการขัดทัพของอริราชศัตรูไว้อย่างเต็มความสามารถ และได้มีการเสริมกำลังทัพป้องกันป้อมนันมิเลี่ยนไว้ด้วยทหารม้ากว่าสามหมื่นนาย
    เช่นนี้ การจะบุกข้ามมหานทีนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เฮลควิสเองจึงได้ตั้งป้อมปราการไว้ ณ จุดตรงข้ามกับป้อมนันมิเลี่ยน
    แต่ด้วยแสนยานุภาพของทมิฬทัพอันเกรียงไกร ภายในเวลาเพียงสี่เดือน ป้อมนันมิเลี่ยนและกองทัพม้าอัน อาจหาญแห่งกราดินาเธทั้งสามหมื่นนายก็ต้องถูกทลายและสังหาร ซากศพและซากปรักหักพังของป้อมปราการก็ตกลงไปจมกองอยู่ที่ก้นของมหานทีตลอดกาล
    เฮลควิสเมื่อสามารถกรีธาทัพบุกล่วงเข้าสู่แผ่นดินกราดินาเธทางด้านตะวันออกแล้ว ก็เริ่มกรีธาทัพบุกเมืองตามรายทางจนได้รับความเสียหายไปทั้วแผ่นดิน
    กระนั้นเองเมื่อยามที่เฮลควิสบุกมาถึงเมืองเมทอแล ปราการด่านสุดท้ายก่อนที่จะบุกเข้าสู่วงล้อมผาเกาทีที่กั้นกรุงฟานเธไว้นั้น เฮลควิสเองได้ยึดเอาเมืองแห่งนั้นเป็นป้อมบัญชาการ
    และท่ามกลางลมมรณะที่พัดมาจ่อที่ปากประตูฟานเธนั้น วิญญาณนักรบแห่งพระเจ้าอินซาลอนที่สิบเก้าก็ได้ลุกโชนขึ้น
                                                                                  *****
    ท้องพระโรงหินอ่อนแห่งเทียมัสนั้น สดใสสุกสว่างอยู่ทุกเวลา ทุกเดือนปี ทุกฤดู และอันท้องพระโรงแห่งนี้ มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันมาก ท่ามกลางแสงไฟที่จุดไว้ตลอดเวลา รูปปูนปั้นของชายหนุ่มผู้มีหนวดหรอมแหรม มีตาคมสันดุจเหยี่ยว ยืนถือดาบเหน็บไว้ที่ข้างกาย ยืนโดดเด่นอยู่ที่ตรงกลางพระโรง
    และที่เบื้องเท้าของรูปปูนปั้นของเจ้าวอคลาส มหาอุปราชแห่งกราดินาเธผู้ก่อตั้งเมืองนี้นั้น บัลลังก์ทองคำขาวสลักลายรูปโบราณอันงดงามตั้งตระหง่านอยู่
    ท้องพระโรงในยามนี้ไม่ร้างผู้คน บนบัลลังก์แห่งจอมกษัตริย์ก็ไม่ว่างเปล่า
    ชายวัยกลางคนผู้มีรูปพักตร์กลมรีรูปไข่และเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา ดวงตาสีเงินของเขานั้น คมวาววับเสียดแทงทะลุจิตใจ คิ้วสีขาวโพลนเรียวยาวเป็นรูปสวย จมูกคมสันและริมฝีปากบางเฉียบที่ประดับไว้ด้วยหนวดเคราที่ตัดแต่งไว้อย่างพอดีนั้น  บัดนี้เผยออกเล็กน้อย คล้ายจะกล่าวบางสิ่ง
    พระเจ้าอินซาลอนที่สิบเก้า แม้จะมีพระเกศาและพระเขนยเป็นสีขาวโพลน แต่กระนั้นพระองค์เองในเวลานี้พระชนมายุนับเนื่องได้เพียงสี่สิบเจ็ดพรรษา แต่ตั้งแต่พระองค์เสด็จเสวยราชสมบัติเมื่อยี่สิบหกปีก่อนนั้น พระองค์ได้ทรงแบกรับเอาความกังวล และรองรับความหวาดหวั่นของผู้คนแห่งกราดินาเธจากกองทัพทมิฬไว้อย่างมากมาย
    พระองค์เองไม่ค่อยได้ปรากฏพระองค์ต่อประชาชนมากนัก ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการซ่องสุมกำลังพล และวางกำลังทางยุทธศาสตร์ รวมไปถึงการปรึกษาราชการแผ่นดินสารพัดกับเหล่าขุนนางอำมาตย์
    และด้วยเหตุนี้ ประชาชนส่วนใหญ่จึงต่างก็คิดไปเองว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ขลาดเขลา ไม่ใส่ใจไพร่ฟ้า และราชการแผ่นดิน
    และในเวลาบัดนี้เมื่อกองทัพของคอแรซัส เจ้าเมืองเมทอแลพ่ายแพ้ และคอแรซัสสิ้นชีพลงไปเสียแล้ว พระองค์เองก็จำจะต้องตัดสิ้นพระราชหฤทัยว่าจะทำประการใดต่อไป
    ฝีพระโอษฐ์เมื่อเผยอออกก็กล่าวคำออกมา พระสุรเสียงของพระองค์นั้น แม้จะแหบพร่าแต่ก็ดังกังวานและทรงพลังกล้าแข็ง จนทุกผู้คนในท้องพระโรงทั้งเหล่าเสนา อำมาตย์ ขุนนาง และเหล่านายทัพต่างก็สดับตรับฟังอย่างเงียบงัน
        “เฮลควิสทมิฬเทพผู้นี้ มีพลังกล้าแข็งเกินใครจะเทียมทัดได้ อาศัยเพียงเวลาไม่มากเท่าไร ก็สามารถควบรวมเอาแผ่นดินแห่งพิภพนี้เข้าไปเป็นอาณัติได้เกือบทั้งสิ้นทั้งปวงแล้ว ข้าเองยังจำได้ดี ว่าเมื่อราวสามสิบเก้าปีก่อนโน้น เมื่อคราที่เฮลควิสได้ใช้พลังอันกล้าแกร่งสาปเหล่ามหาเทพทั้งสิบสองพระองค์ให้หลับใหลอย่างมิอาจตื่น แต่ก็มิอาจตาย... ข้ายังจำได้ดี....  เฮลควิสเองบัดนี้ได้กรีธาทัพมายั้งรอเรา หากเราออกไปรบเห็นทีจะสิ้นชีพมอดม้วยเสียหมด...” พระองค์กล่าวเสร็จ ก็ถอนลมออกมาเฮือกหนึ่ง ส่ายหัวเล็กน้อยทีหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ
        “แต่กระนั้น เราเองผู้สืบทอดมงกุฎแห่งพระเจ้าเทียเมา นารอส และปกครองไพร่ฟ้าชาวกราดินาเธ ก็คงจะมิอาจทำให้เมืองแห่งนี้ต้องตกไปเป็นอาณัติของศัตรู อันเจ้าวอคลาสมหาอุปราชในพระเจ้าเทียเมานั้น ก่อนสิ้นใจได้สั่งเสียให้พระเจ้าเทียเมาทรงยกทัพมาตั้งเอาเมืองแห่งนี้เป็นเมืองหลวงแห่งราชอาณาจักร ด้วยว่าชัยภูมิเมืองนี้เป็นเอก และเป็นชัยภูมิที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้เหล่าชาวกราดินาเธสู้ตายไม่ถอยหนี เช่นนี้หากเราถอยหนีไปก็จะเห็นเป็นผิดต่อเจ้าวอคลาสและราชวงศ์นัก จำจะต้องสู้ตายดั่งเช่นนั้น”
    พระองค์เมื่อตรัสเสร็จแล้ว ก็ประทับยืนขึ้น ชักเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระวรกายขึ้น ตวาดก้องกล่าวว่า
        “พวกเจ้าทั้งสิ้นทั้งปวงเราไม่อยากให้เป็นอันตราย ทั้งหมดจงรับราชโองการ ข้าขอสั่งว่าให้พวกเจ้าทั้งสิ้นในที่นี้เร่งรุดหลบหนีข้ามปราการภูผาทางเหนือไปเสีย หากผู้ใดต้องการจะอยู่กับข้า ข้าก็จะไม่ขับไล่ หากไม่ต้องการอยู่ ข้าก็จะไม่รั้งไว้ พวกเจ้าจงเร่งหนีไป เอาชีวิตรอดได้ตามแต่ใจต้องการ และขอให้ท่านอาลักษณ์ถ่ายทอดออกไป ให้ชาวเมืองเร่งหนีออกไปทางภูผาปราการด้านใต้ ให้อพยพออกไปอาศัยที่ริมทะเลสาบวิอิกาส และถ่ายทอดคำสั่งแต่งกองทัพให้เราห้าหมื่นนาย กระบี่ของเราในวันนี้ปรารถนาจะสังเวยโลหิต”
    พระองค์เมื่อตวาดก้องพระโรงรับสั่งเรื่องทั้งปวงแล้ว เหล่าขุนนางทั้งสิ้นทั้งนั้นก็นิ่งอยู่ เว้นก็แต่อาลักษณ์ที่บัดนี้เร่งฝีเท้าออกจากพระโรงไปถ่ายทอดพระราชโองการแล้ว
   
    พระองค์เมื่อกวาดสายตาทอดพระเนตรออกไปรอบๆพระโรงแล้ว นํ้าพระเนตรก็ไหลปลาบลง พระองค์รู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้กราดินาเธไม่ทอดทิ้งพระองค์แน่นอน
                                                                                      *****
    ลมทมิฬพัดผ่านช่องเขาเกาทีเป็นกลิ่นอายมรณะที่แสนจะนำพาเอาความหวาดกลัว และความสิ้นหวังมาสู่เมืองฟานเธ กองกำลังขนาดใหญ่ของเฮลควิสมารั้งทัพยั้งไว้อยู่แล้ว เสียงกลองศึกและความคำรามของเหล่ามวลมารปีศาจอันเป็นลูกสมุนของจอมมารนั้น ดังก้องไปทั่วทั้งทุ่งกอมมัน
    ป้อมปราการทั้งเก้าแห่งของฟานเธบัดนี้มีทหารประจำอยู่อย่างเต็มกำลังรบ บัดนี้หากทมิฬเทพคิดจะตีหักเข้าสู่เมืองฟานเธ ก็อาจเป็นเรื่องยากเย็นเสียหน่อย
    และท่ามกลางลมมรณะที่พัดมาไม่รู้สิ้นนั้น กองทหารห้าหมื่นนายสวมเกราะสีเงินเปล่งประกายท่ามกลางแสงแห่งอาทิตย์สาดจ้า แสงสว่างอันกระจ่างตานั้นเมื่อส่องต้องกับไอมืดแห่งทมิฬทัพแล้ว สามารถขับไล่เอาความมืดมิดล่าถอยไปได้
    ท่ามกลางทัพแห่งกราดินาเธนั้น พระเจ้าอินซาลอนทรงอาชาอยู่ในชุดเกราะสีทองจ้า พระมาลาทรงรบทอดยาวขึ้นไป และมีพู่สีแดงตกห้อยลงมาจนปรกพระนลาฎ(หน้าผาก) พระหัตถ์ซ้ายกุมบังเหียนอาชาประจำพระองค์ไว้แนบแน่น หัตถ์ขวาทรงถือพระแสงดาบประจำพระองค์ไว้
    พระเนตรของพระองค์บัดนี้เบิกกว้างอย่างผ่าเผย พระองค์บัดนี้พรั่งพร้อมแล้วทั้งพระวรกาย และพระหฤทัยที่จะสังเวยชีวิตแลกเป็นตายเข้าไปกับอริราชศัตรู
    ท่ามกลางเสียงคำรามก้อง และ ความมืดที่สิ้นหวังและเต็มไปด้วยความเกลียดชังของทมิฬทัพนั้น “เฮลควิส” ทมิฬราชาประทับนั่งอยู่เหนืออาสน์ที่ทำไว้ด้วยกะโหลกศีรษะของเหล่าผู้คนมากมาย    มันเองนั้นแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีเทา ใบหน้าของมันถูกหน้ากากเหล็กปกคลุมไว้อย่างรัดกุม บนเศียรของมันนั้น ประดับไว้ด้วยมงกุฎเหล็กเป็นซี่ยาวพุ่งชี้ขึ้นไปยังอากาศ มือสองข้างของมันแห้งเหี่ยวและเป็นสีดำสนิท แต่กระนั้นบนนิ้วของมือของมันนั้น ก็ประดับไว้แหวนรูปร่างประหลาดหลายวง
    มันเองมีขนาดร่างกายใหญ่โตมโหฬารยิ่ง ขนาดของมันนับเนื่องไปมีขนาดเป็นสามเท่าของมนุษย์ขนาดปกติคนหนึ่ง ฉะนั้นเมื่อมันนั้นนั่งอยู่เหนืออาสน์อันสูงลํ้า มันเองจึงเป็นจุดศูนย์กลางที่สามารถมองได้เห็นแม้ว่าจะอยู่ไกลเพียงไรก็ตาม
    เฮลควิสผู้นี้ มองไปจากภายนอก ท่านผู้อ่านก็แทบจะสามารถสรุปได้เลยว่าเป็นจอมมารผู้ร้ายกาจ เฉกเช่นเดียวกับเซารอนในเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ หรือกระทั่งเป็นลอร์ดโวเดอมอร์ในแฮรี่ พอตเตอร์ได้เลยทีเดียว
    แต่กระนั้น น้อยผู้คนเท่านั้นที่จะได้รู้ว่าภายใต้หน้ากากเหล็กกล้าหยาบกระด้างของมันนั้น ซ่อนไว้ด้วยโฉมหน้าอันผ่าเผยและคมสันยิ่ง
    เหตุนี้ ก็ด้วยว่าเฮลควิสผู้นี้แท้ที่จริงแล้วเป็นหนึ่งหกเทพแห่งยุคบรรพกาล ซึ่งมีชาติกำเนิดตั้งแต่ในวันที่ทีคีรุสได้ทรงเสกสรรบันดาล ‘ไตรภพ’ ขึ้นมา อันหกเทพแห่งบรรพกาลนั้นเป็นผู้ปกครองร่วมกันของทั้งสามภพ ซึ่งทั้งหกเทพนั้นต่างก็ศิริโฉมงดงามยิ่งนัก เฮลควิสเองได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีพักตร์งดงามที่สุด และทรงอำนาจที่สุดองค์หนึ่ง
    ใบหน้าที่แท้ของเฮลควิสนั้นหากผู้ใดได้เห็นแล้ว ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตได้แม้แต่ผู้เดียว
    และเฮลควิสผู้นี้ อันที่จริงแล้วมีขนาดร่างกายไม่ใหญ่เกินกว่าเหล่ามนุษย์ไปเท่าไร แต่ด้วยความต้องการให้ผู้คนยำเกรง จึงได้บันดาลให้กายมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นอันมาก
    และบัดนี้เฮลควิส ผู้ปกครองแห่งความมืด ผู้ประทับนั่งจ้องพระพักตร์ของจอมกษัตริย์แห่งกราดินาเธเป็นเวลานานแล้ว ก็ได้กล่าวออกมาด้วยเสียงอันกังวานไปทั่วท้องทุ่ง เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าหวาดกลัว และทำให้ขนหลังคอคุณต้องตั้งชันทันทีที่ได้ยิน
        “อันตราเนี่ยน (พระนามในวัยเยาว์ของพระเจ้าอินเซเดี่ยนที่สิบเก้า) เวลาเจ้าตอนรับอาคันตุกะ เจ้าจำเป็นต้องเอาทหารมากมายมาถือหอกข่มขู่อยู่แต่หน้าปากประตูบ้านกระนั้นเลยหรือ ไฉนเจ้ากล้าเสียมารยาทต่อเราได้เช่นนี้” เฮลควิสกล่าวจบก็หัวร่อออกอย่างบ้าคลั่งทีหนึ่ง
    เสียงหัวร่อนั้น ฟังไปดุจเสียงภูตพรายร้องระงม กังวานดังไปทั่วทุกซอกมุม กองทัพทมิฬเหล่านั้นเมื่อได้ยินเสียงหัวร่ออันน่าสะพรึงนั้น ต่างก็พากันตีกลองศึกเป็นที่เอิกเกริกน่าเกรงขามยิ่ง
    แต่ถึงอย่างไร พระเจ้าอินเซเดี่ยนผู้ทระนงพระองค์  ด้วยว่าในกระแสพระโลหิตนั้น ได้สืบสายมาจากพระเจ้าเทียเมาผู้เกริกก้อง แม้ท่ามกลางความความน่าสะพรึง เสียงเย้ยหยันถากถางและเสียงหัวร่ออันบาดโสตประสาทของจอมมาร ก็มิได้ทำให้พระองค์ทรงไหวหวั่นเลยแม้แต่น้อย พระองค์เองทรงอาชาสีขาวปลั่ง ดาบประจำพระองค์เป็นมันปลาบอยู่ในมือ พระพักตร์ที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความทรงจำ บัดนี้ดูหนุ่มแน่น ดวงตาของพระองค์เป็นประกายเจิดจ้าเฉิดฉาย พระเกศาสีขาวบัดนี้ทอเป็นแสงสีเงินยวงสว่างไสว พระเจ้าอินเซเดี่ยนบัดนี้เผยอพระโอษฐ์ออก คำรามด้วยพระสุรเสียงอันดังตอบไปยังเฮลควิสว่า
        “เหตุใดอาคันตุกะเมื่อจะมา ต้องกรีธาทัพมาฆ่าไพร่ฟ้าของเราตามรายทาง เหตุใดเมื่อจะข้ามแม่นํ้ามา จำจะต้องโค่นป้อมนันมิเลี่ยนของเราให้พินาศเสีย เจ้าตัวโง่งมที่กล้าหาญเรียกตัวเองเป็นเทพเยี่ยงเจ้า ไฉนกระทำการณ์ดั่งไส้เดือนคลานดิน ไม่มีศักดิ์ศรีให้เคารพ ทั้งยังไม่เห็นแก่หน้าเราผู้เป็นจอมกษัตริย์ เมื่อเห็นตัวโง่งมเช่นเจ้ากระทำเช่นนี้แล้ว ไหนเลยข้านิ่งเฉยได้ ทหารทั้งสิ้นทั้งปวงข้านี้ วันนี้จะมารอรับศพเจ้า”
    เฮลควิสเองเมื่อได้ยินสุรเสียงเกริกก้องร้องคำรามมาดั่งนั้น ก็โกรธเป็นกำลัง พลันชักเอาคทาประจำตัวออกมา ตวาดกล่าวว่า
        “เช่นนั้น หากเจ้าไม่ยินยอมต้อนรับเรา เราก็จะรบุกเข้าไปเอง”
    เฮลควิสกล่าวสิ้นคำ เสียงกลองศึกของทมิฬทัพก็ดังก้องขึ้น กองทัพทมิฬที่เตรียมพร้อมอยู่นอนแล้ว ก็ยกบุก วิ่งเข้าโจมตีประชิดกับกองทัพของพระเจ้าอินเซเดี่ยนทันที ความมืดมิดแห่งทมิฬทัพเมื่อเคลื่อนไป ก็เริ่มกลืนกินเอาความสว่างแห่งกองทัพพระเจ้าอินเซเดี่ยนในทันที
    พระเจ้าอินเซเดี่ยนเห็นข้าศึกบุกประชิดเข้ามาก็ตวาดสั่งทหารให้เข้ารบพุ่งในพลัน
    พระองค์ดำรัสเสร็จก็ไม่รอที กระตุ้นอาชาพลางควงดาบในพระหัตถ์พุ่งเข้าไปที่ตัวหัวหน้าของข้าศึกในทันที อันตัวหัวหน้าของกองทัพหน้าของทมิฬทัพนี้ มีนามว่า เซทังค์ ซึ่งเป็นมนุษย์ และในอดีตเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพทองแห่งโรมินนิ่งส์ แต่ในบัดนี้ ได้ถูกพลังแห่งอนธกาฬครอบคลุม และได้แปรเปลี่ยนไปเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่อำมหิตและแกร่งกล้าที่สุดของเฮลควิส และบัดนี้ มันเองซึ่งอยู่ในชุดสีดำขลับ ก็กำลังควบม้าทะยานตรงเข้ามาที่อินเซเดี่ยนเช่นกัน
    กองทัพทั้งสองเมื่อเข้าใกล้กัน แสงสีขาวกระจ่างก็ถูกความมืดมิดแห่งทมิฬทัพปกคลุมไว้สิ้น และในท่ามกลางการปะทะกันของเหล่าทหารทั้งสองฝ่ายนั้น เซทังค์และอินเซเดี่ยนก็กำลังประมือกันบนหลังม้า
    อันฝีมือในเชิงดาบของพระเจ้าอินเซเดี่ยนนี้ ก็อาจจะกล่าวได้ว่าได้รับการสืบทอดทางสายโลหิตมาจากพระเจ้าเทียเมาผู้องอาจ แต่กระนั้นเอง พระองค์ทรงเสด็จขึ้นเสวยพระราชสมบัติตั้งแต่พระชนพรรษายี่สิบเอ็ดชันษา ตลอดรัชกาลของพระองค์แม้จะทรงซ่องสุมกองทหารไว้มาก และวางยุทธศาสตร์ในการป้องกันราชอาณาจักรไว้เป็นเวลาช้านาน แต่พระองค์ก็ไม่เคยต้องกรำศึกประมือกับนายทัพผู้เก่งกาจอย่างแท้จริงเลย
    ผิดกับ เซทังค์ นายทัพผู้ชํ่าชองในการสงคราม ตลอดชั่วชีวิตกรำศึกมากว่าสี่สิบปี แม้จะอายุล่วงเข้ามากแล้ว แต่พละกำลังในเชิงดาบและการควบอาชานั้นยังเต็มเปี่ยม เซทังค์เองเมื่อเห็นอินเซเดี่ยนเข้ามาปะทะก็เห็นเป็นที รุกไล่และจู่โจมพระเจ้าอินเซเดี่ยนจนพระเจ้าอินเซเดี่ยนซวนเซถลาตกจากอาชา
    แต่กระนั้นเมื่อพระองค์ทรงพลัดตกลงจากอาชาแล้ว พระองค์ก็เกิดประหวั่นเกรงว่าหากศึกในยามนี้พ่ายแพ้แล้ว ไพร่ฟ้าและผืนดินทั้งสิ้นทั้งปวงก็จะเป็นเดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้า พระองค์เมื่อทรงคิดได้ดั่งนี้ ก็รวบรวมพละกำลังพุ่งปราดยืนขึ้นด้วยท่าทีองอาจ
    ท่ามกลางความมืดมิดที่กลืนกินกองทัพของพระองค์นั้น ในนั้นก็เกิดเป็นแสงหมอกพร่ามัวกระจ่างตาสีขาวสว่างชนิดหนึ่ง แสงนั้นปกคลุมไปรอบพระวรกายของจอมกษัตริย์ พระเจ้าอินเซเดี่ยนมองเห็นแสงดังนั้น ก็รับทราบว่าเป็นพรสวรรค์ประการหนึ่งที่เปล่งออกจากดาบแห่งพระเจ้าเทียเมา พระองค์เห็นการณ์เป็นเช่นนั้น แสงสว่างจ้านั้นเป็นแสงอันศักดิ์สิทธิ์ เหล่ามวลมารเมื่อต้องโดนแสงนั้นต่างก็หลบหนีเป็นพัลวัน
    และท่ามกลางวงล้อมของศัตรู พระเจ้าอินเซเดี่ยนสังเกตเห็นว่ากองทัพห้าหมื่นนายของพระองค์ในขณะนี้ ต่างก็พากันล้มตายเหลือเพียงไม่กี่พันนาย พระองค์ซึ่งอยู่ในวงล้อมกระหนาบนั้น ก็ทรงลุแก่โทสะ พุ่งปราดไปทางเซทังค์ซึ่งยืนมาอยู่นั้น และฟาดฟันพระแสงดาบลงไปไม่หยุดหย่อน เซทังค์เองมิใช่เหล่ามาร แม้จะถูกความมืดปกคลุม แต่ก็ไม่เกรงกลัวต่อแสงศักดิ์สิทธิ์ ก็รับมือต่อการจู่โจมของพระเจ้าอินเซเดี่ยนได้เป็นอย่างดี
    แต่กระนั้นเอง ท่ามกลางความโกลาหล สิ่งทั้งปวงไม่อาจเล็ดลอดสายตาของผู้ที่นั่งอยู่เบื้องสูงไปได้ และแน่นอน เฮลควิสเห็นโอกาสลงมือแล้ว
    เฮลควิสเอง เมื่อเห็นพระเจ้าอินเซเดี่ยนลุแก่โทสะและพุ่งตัวไปโหมกำลังไปกับการต่อกรกับเซทังค์นั้น มันก็เร่งสั่งให้เหล่าทหารพลธนูเตรียมพร้อม
    พลธนูกว่าหนึ่งร้อยนาย เมื่อง้างคันธนูเต็มที่แล้ว และในทันทีที่เฮลควิสตวาดเสียงก้องเป็นคำสั่งให้จู่โจม ลูกศรทั้งสิ้นทั้งนั้นกว่าร้อยดอกก็หลุดจากแหล่งด้วยความเร็วสูงสุด
    ลูกศรเหล่านี้เป็นลูกศรชั้นเยี่ยม และก็ถูกยิงออกด้วยผู้ยิงชั้นเยี่ยม
    ลูกศรเหล่านี้ สามารถคาดการณ์ผลสัมฤทธิ์ได้สูงเยี่ยม ด้วยว่าหากเหยื่อสังหารของลูกศรเหล่านี้มิใช่เทพแล้ว ก็ไม่อาจพลาดเป้าได้อย่างแน่นอน
    ลูกศรเหล่านี้ ไม่พลาดเป้าจริง!!!
    ในลูกศรจำนวนหนึ่งร้อยกว่าลูก มีลูกศรกว่าหกสิบลูกที่แทงทะลุพระวรกายพระเจ้าอินเซเดี่ยนไป ทั่วทั้งพระวรกายของพระเจ้าอินเซเดี่ยน ต่างก็ต้องลูกธนูโดยทั่วไป
    พระเจ้าอินเซเดี่ยนเมื่อต้องลูกธนูมากมายเช่นนั้น แม้จะยังไม่เสด็จสวรรคตทันที แต่ก็ทรงเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
    พระแสงดาบหลุดออกจากพระหัตถ์ของพระองค์ และปักตรึงลงไปบนพื้น พระโลหิตหยาดไหลออกจากแผลลูกธนูหยดต้องลงไปบนพสุธา พระโอษฐ์ของพระองค์อ้ากว้าง พระเนตรเบิกโพลง แต่กระนั้นก็ยังคงเจิดจ้าเฉิดฉายดั่งเดิม
    พระองค์ล้มลงคุกพระชานุ มือหนึ่งท้าวไว้ที่ปลายด้ามพระแสงดาบที่ปลักตรึกอยู่บนพื้น มือหนึ่งยันไว้กับพื้นดิน พระองค์เองบัดนี้รู้แล้วว่าจะทรงสิ้นพระชมน์ ท่ามกลางลมหายใจอันระทวยเฮือกสุดท้ายนั้น พระองค์ได้ทรงพึมพำกล่าวคำสาปแช่งให้ความพินาศแห่งเฮลควิสจงมาแต่โดยไว พระองค์เองเมื่อสิ้นคำพึมพำแล้ว ก็ล้มลงจากพระชานุ
    เหล่าลูกศรทั้งสิ้นทั้งนั้นที่ปลักอยู่ทั่วพระวรกาย เมื่อพระองค์ล้มลงสู่พื้นพสุธา ก็ปักทะลุพระวรกายของพระองค์เป็นเสียงดังฉึบ ได้ยินไปทั่วบริเวณ
    พระเจ้าอินเซเดี่ยนที่สิบเก้า อันตราเนี่ยน เมื่อร้องได้คำเดียวก็เสด็จสวรรคต
    พระเจ้าอินเซเดี่ยน รัชทายาทแห่งราชวงศ์อินเซเดี่ยนอันเกริกก้อง และเก่าแก่ บัดนี้เมื่อล้มลงพ่ายแพ้แก่ข้าศึก ก็จำต้องตาย
    นี่คือสัจธรรม พ่ายแพ้ต้องล้มลง ล้มลงแล้วไม่อาจไม่ตาย!!!
    พระโลหิตหยาดไหลเคลื่อนไปตามพื้น เมื่อพระองค์เสด็จสิ้นพระชมน์นั้น พระวรกายได้ยุบและสลายกลายเป็นธุลีควันฟุ้งขึ้นไปในอากาศ และกลุ่มควันเหล่านั้นเมื่อลอยขึ้น เซทังค์ผู้นั่งอยู่บนหลังอานม้า ก็พลันพลัดลงจากหลังม้า
    เซทังค์เมื่อตกลงจากหลังม้า ก็พบเห็นว่าคอหักตายที่พื้นดินนั้น
    และเมื่อในยามที่พระเจ้าอินเซเดี่ยนจากไปนั้น ที่ท้องฟ้าเบื้องบนนั้นก็เกิดเป็นโกลาหลพิกลประหลาด เกิดเป็นแสงสีขาวแลบปลาบตัดกับแสงสีแดง แล้วก็มีฟ้าผ่าลงมาสู่กองทัพของเฮลควิสไม่หยุดหย่อน
    และในยามนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงประหลาดอีกชนิดหนึ่งแว่วมา
    เสียงนี้แว่วมาแต่แรก ฟังว่าดังมาจากที่ไกลแสนไกล เสียงนี้เป็นเสียงเพลงอันระทวย ดังแว่วฟังไม่ได้ศัพท์ แต่เมื่อปรากฏว่าที่ท้องฟ้าเบื้องบูรพาทิศนั้น เกิดเป็นแสงสีขาวสว่างจ้าชนิดหนึ่งสาดส่องมา เสียงเพลงอันไม่ได้ศัพท์พลันกลายเป็นเสียงขับลำนำอันโศกาเหลือแสนชนิดหนึ่งดังได้ยินมา
        “อาชาควบไป ควบไปไม่แพ้พ่าย
            อาชาไนยผู้ใดจะหาญกล้าต่อกร
        เบื้องบาทมหาเทพซูส ผู้เกรียงไกร
            ท่ามกลางพงไพรแสนไพศาล
        กระทั่งเหนือหัวเจ้ายมบาล
            โกโรเกียร์ผู้ขับขาน กวานไกล
        โกโรเกียร์ นายทัพแห่งภูไพร
            อาชาขาวชูธวัช อิลิเธงมา
        มวลมารอย่ากำแหง สิ้นเทพ-
            -แล้วหาสิ้นคนดีแต่อย่างใด
        ท่ามกลางเกาที โกโรเกียร์บัดนี้ควบอาชามา”
    เสียงเพลงนั้น มาพร้อมๆกับแสงสีขาวที่สาดมาจากเบื้องบูรพา และในยามนี้เสียงเพลงดังกังวานขึ้นเป็นลำดับ และในขณะเดียวกัน ที่เบื้องบูรพานั้น ก็ปรากฏกองทหารม้าสีขาวชุดหนึ่งควบตรงมา
    กองทหารเหล่านั้น มองเห็นได้แม้จะอยู่ในที่ไกลลิบ ด้วยว่าแสงสีขาวที่สาดส่องมานั้น เป็นแสงแห่งทวยเทพที่ไม่มีความมืดมนใดจะคืบคลานเข้าใกล้ได้
    และกองทหารเหล่านั้น มองไปแม้จะดูมีไม่เกินห้าพันนาย แต่ทุกนายต่างก็สวมเกราะเงินสะท้อนแสง ควบอาชาสีขาวปลอด และถือทวนยาวที่มีพู่สีขาวกันทุกตัวคน
    แต่ที่เห็นจะโดดเด่นที่สุด ก็ย่อมเป็นผู้ที่ควบม้านำเข้ามานั้นเอง ชายผู้นี้แม้จะสวมเกราะและควบอาชาเหมือนผู้อื่น แต่ชายผู้นี้ไม่สวมหมวกเกราะ เผยให้เห็นผมเผ้าสีทองประกายจ้า และชายผู้นี้ยังสวมผ้าคลุมเป็นสีแดงดั่งโลหิต มือข้างที่ถือทวนเงินของเขานั้น กล้าแกร่งและองอาจยิ่ง
    คนผู้นี้ย่อมเป็น โกโรเกียร์ ผู้กระเดื่องดัง
    โกโรเกียร์ผู้นี้ มีเชื้อกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ เขานั้นไม่เป็นอำมตะ แต่กระนั้นก็ไม่อาจสังหารได้ด้วยอาวุธธรรมดาสามัญ โกโรเกียร์เองบัดนี้นับเนื่องไปมีอายุได้กว่าสองพันหกร้อยปีแล้ว แต่ใบหน้าอันคมสันและหล่อเหลาของเขานั้น เกินกว่าที่จะแก่เฒ่าได้ โกโรเกียร์ก่อนหน้านี้ ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพและทหารเอกแห่งหุบเขาโอลิมเปียส และเป็นผู้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของเอรีส (หรือเทพเจ้ามาร์ส) เทพเจ้าแห่งการสงคราม
    แต่ในภายหลัง หลักจากเหล่าเทพต่างก็ถูกเฮลควิสปราบ โกโรเกียร์ผู้องอาจ ได้เดินทางอย่างเดียวดาย และต่อมาได้รวบรวมเอาผู้กล้าหาญจากแผ่นดินต่างๆ ก่อตั้งเป็นกองทัพโกโรเกียร์อันมีปณิธานที่จะปกปักรักษาดินแดนต่างๆให้ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข
    และบัดนี้ เมื่อโกโรเกียร์เองได้ยินข่าวการยาตราทัพของเฮลควิสออกจากซังเธลกุมการ์ โกโรเกียร์ก็ได้เร่งรุดยกทัพลงดินแดนรกร้างออโธรปาเมีย เพื่อลงมาขัดตาทัพไม่ให้ทมิฬทัพบุกจู่โจมกราดินาเธได้
    แต่กระนั้น เฮลควิสก็ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวของโกโรเกียร์เช่นกัน ฉะนั้น จึงได้ส่งทัพไปขัดโกโรเกียร์ไว้เสียที่บริเวณเชิงเขาอิมรอเทียน
    โกโรเกียร์เมื่อโดนขัดขวาง ก็ทำให้เสียเวลาในการเดินทัพไม่น้อย
    โกโรเกียร์ตระหนักดีว่าลำพังกองทัพมนุษย์แห่งกราดินาเธในปัจจุบันนั้น ไม่แข็งแกร่งดุจดั่งในอดีต เห็นจะต้านทานคลื่นทัพอันมหาศาลของเฮลควิสไม่ไหว จึงเร่งเดินทัพทั้งวันทั้งคืนลงใต้
    แต่กระนั้นโกโรเกียร์ก็ยังมาสายเกินไป!!!
    โกโรเกียร์เมื่อยาตราทัพมาถึงแล้ว ก็ใช้พลังอำนาจแห่งสรวงสวรรค์ บันดาลให้เกิดบทเพลงลำนำขับขานเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความหวั่นไหว และกองทัพแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ของโกโรเกียร์ก็พุ่งเข้าจู่โจมกองทัพของเฮลควิสในทันที
    โกโรเกียร์เองทราบแล้วว่าพระเจ้าอินเซเดี่ยนสิ้นพระชนม์ ด้วยแรงโทสะของโกโรเกียร์ที่โหมขึ้นจากการนี้ โกโรเกียร์เพียงควงทวนประจำกายทีเดียว เหล่าปีศาจลูกสมุนของเฮลควิสนับสิบก็ต้องล้มลง
    แน่นอนว่า เมื่อล้มลงก็ต้องตาย เพราะมันเป็นสัจธรรม
    เฮลควิสเองแม้จะคาดการณ์และล่วงรู้ถึงการมาของโกโรเกียร์ แต่ก็แปลกใจยิ่งที่โกโรเกียร์สามารถยาตราทัพเข้ามาได้รวดเร็วเพียงนี้ และเมื่อเห็นมนุษย์กึ่งเทพโกโรเกียร์ควงทวนบุกตะลุยเข้ามาดังนั้นก็ตกใจ เห็นว่ารบต่อเกรงว่าจะเสียที ด้วยว่ากองกำลังของโกโรเกียร์ไม่ใช่กองทัพชาวนา การจะตีให้แตกพ่ายไป ยากเสียยิ่งกว่ายาก
    เฮลควิสเมื่อตระหนักได้ ก็จำจะถอยทัพออกไป
    ทัพของเฮลควิสมาเร็วปานใด เมื่อถอยกลับไปก็ถอยเร็วยิ่งกว่า ทัพของโกโรเกียร์เองเมื่อเห็นมวลปีศาจล่าถอยลงไป ก็ไม่คิดไล่ล่าอีกต่อไป
    เฮลควิสเองถอยร่นออกไปไกลจจนถึงที่มั่นในเมทอแล แต่กระนั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่าโกโรเกียร์และกองทัพยกเข้าไปตั้งหลักอยู่ในฟานเธก็เห็นว่าการยกมาครั้งนี้จะไม่ได้เมือง เฮลควิสเองก็สิ้นคิด หมดหนทาง จำจะยกกองทัพล่าถอยกลับไปสู่ซังเธลกุมการ์
    และอันโกโรเกียร์เอง หลังจากได้เก็บเอาพระมหามงกุฎและพระแสงดาบแห่งพระเจ้าอินเซเดี่ยนออกจากสนามรบแล้ว ก็ยกทัพเข้าไปประจำในเมืองฟานเธ อันเหล่าเมืองฟานเธที่ได้รับทราบข่าวการสวรรคตของจอมกษัตริย์ที่กำลังหมดหวังและเศร้าโศก เมื่อได้เห็นทัพเทพยกมาดังนั้น ก็ปลาบปลื้มปิติเป็นอันมาก
    โกโรเกียร์เองเมื่อยกทัพเข้าประจำเมืองแล้ว ก็ได้มอบเอาพระมหามงกุฎและพระแสงดาบให้แก่เจ้าชายคากออัน พระโอรสองค์โตแห่งพระเจ้าอินเซเดี่ยนที่บัดนี้มีพระชมพรรษาเพียง เก้าชันษา แต่กระนั้นเจ้าชายคากออันก็ยังได้รับการราชาภิเษกขึ้น ดำรงตำแหน่งเป็นพระเจ้ากุมการ์เธียร์ (Darkness Victory) และนับจากในเพลานั้น กราดินาเธภายใต้พระมหามงกุฎแห่งพระเจ้ากุมการ์เธียร์ และภายใต้ทวนผู้ปกปักแห่งโกโรเกียร์ ก็ปลอดศึกสงครามเป็นเวลาหลายปี
                                                                                  *****
    การตายของพระเจ้าอินเซเดี่ยน อันตราเนี่ยน และสืบเนื่องไปจนถึงการขึ้นครองราชย์สมบัติของพระเจ้ากุมการ์เธียร์ในปัจจุบันแม้จะผ่านไปเป็นอดีตแล้ว แต่หลายสิ่งหลายอย่างในกราดินาเธยังไม่แปรเปลี่ยน
    โกโรเกียร์เองภายหลังจากเข้ามาพำนักในฟานเธแล้ว ก็ได้ใช้พลังของตนร้องเรียกออกไปท่ามกลางความยุ่งเหยิงของสามภพ เพื่อเรียกหา “ผู้สูญหาย” อันเป็นคำใช้เรียกแทนผู้ที่โกโรเกียร์กล่าวว่า เป็นผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพลัง พลังที่จะใช้กำจัดความมืดได้
    โกโรเกียร์เองเป็นทั้งนักรบผู้ยิ่งใหญ่ และก็ยังเป็นนักปราชญ์ผู้เก่งกาจอีกด้วย โกโรเกียร์เองรู้ดีว่าการจะขจัดเอาความมืดให้สิ้นสุดลงไปได้นั้น จะอาศัยเพียงเวทมนต์เข้าต่อกรไม่ได้ ด้วยว่ามีพลังบางอย่างที่อยู่เหนือพลังเหล่านั้น เป็นพลังที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า และทรงอำนาจยิ่งกว่า และโกโรเกียร์เองได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของภพคันธรอร์แห่งนี้มาอย่างยาวนาน และก็รู้ว่าหาก ได้ตัวของ “ผู้สูญหาย” กลับมาแล้ว ฉากหลังของเรื่องราวและความน่าสะพรึงทั้งปวงนี้ก็จะถึงกาลพินาศลงไป
    เพราะฉะนั้น ในท่ามกลางความมืดมิดแห่งราตรี ท่ามกลางจันทรากระจ่างนวล โกโรเกียร์จะขับขานท้วงทำนองอันโศลกของบทเพลงที่เก่าแก่ เป็นบทเพลงที่ไอซิสเทวีผู้งดงามได้ขับขานไว้ เมื่อครั้งที่พระนางยังอยู่ในโลกนี้
    และท่ามกลางดาวพร่างพรายเหล่านั้น โกโรเกียร์ผู้องอาจไม่เคยที่จะหยุดขับร้อง เพื่อเรียกหาผู้ที่แท้จริง ผู้ที่จะมีพลังเช่นนั้น ผู้ที่จะสามารถก้าวพาดข้ามขอบฟ้ามาได้
    สรรพเสียงแห่งโกโรเกียร์ทั้งอ่อนหวาน โศกา และก็ทรงพลังอยู่เป็นที และท่ามกลางพิภพคันธรอร์นี้ เฮลควิสที่ปกครองไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขาดก็แต่ดินแดนกราดินาเธอันไพศาลนั้น บัดนี้ได้แต่เพียงรั้งทัพไว้แต่ในซังเธลกุมการ์ การปราชัยคราสุดท้ายของมันนั้นเองเป็นรอยแผลบากลึกลงไปในจิตใจ ให้คับแค้นทั้งโกโรเกียร์และราชอาณาจักรกราดินาเธ
    แต่กระนั้นเองท่ามกลางบทเพลงอันอ่อนหวานของโกโรเกียร์ มันแทบจะไม่รู้เลย ว่าในอีกภพหนึ่ง ผู้ที่จะมาขัดขวางและทำลายอนธกาฬได้บังเกิดขึ้นแล้ว
    โกโรเกียร์เองก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน ว่าการเดินทางก้าวพาดขอบฟ้าอันน่าพิศวงนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว ขอบฟ้าอันแสนไกลที่ไม่อาจเอื้อมถึง กลับมีผู้พลัดหลงก้าวพาดข้ามมาได้อย่างประหลาด และในบทเพลงอันเก่าแก่ โศกาและลึกซึ้งที่ดังมาจากไกลแสนไกล บัดนี้ก็ยังไม่หยุดหย่อยที่จะร้องรํ่าต่อไป
    พิภพเองได้แปรเปลี่ยนไปมากมายเหลือเกิน
    แต่กระนั้น พิภพนี้กำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
    ความเปลี่ยนแปลงอันเกิดแก่ บทเพลง บุปผา ต้นหญ้า และพลัง
    พลังเฉกเช่นที่โกโรเกียร์ขับขานไว้ ตามเนื้อร้องของบทเพลงท่อนที่ลี้ลับที่สุดที่ไอซิสมหาเทวี ได้ทำนายทายทักเอาไว้ตั้งแต่โบราณกาล
        “เทพิสมหาเทพผู้กระพันยิ่ง สิ้นพลังลดร่อยถอยหนี
            ชายาเอกอุมหามณี ตั้งครรภ์ที่สมุทรสุดแสนทรมาน
        ยามพัดเพพิภพเคลื่อนคล้อย เกลียงคลื่นพัดโหม
            บุตรีแต่เทพิสแลชายานั้น งดงามยิ่งยวดเหลือแสน
        แต่กระนั้นในสมุทรกลับพลิกแกน โลกาหมุนสั่นไม่สมประดี
            ในที่สุด เทพิสเทพเอกะสิ้นพละกำลังหดถอยหนี
        ชายางดงามสิ้นเงื่อน เอื้อนวจี หมดลมแรงทอดกายกายนที
            บุตรีเทพฤทธิ์สุดพลัง พลัดผังหลุดหายไปแสนไกล
        ที่เหนือขอบฟ้า ตะวันไม่ฉาดฉาย จันทราไม่ส่องแสง ยากคะนึงคิด
            บุตรีผู้มีเชื้อเทพ สูญหายไปตามนทีเหนือขอบฟ้า
        ที่แห่งนั้น ที่แห่งใด ผู้สูญหายอันทรงพลัง จากไปไม่หวนคืน
            วันหนึ่งใด เมื่อทุกสิ่งอยู่ในคับขัน ยากจะแก้ไขขัดข้อง
        ผู้สูญหายจักหวนคืน พลังจักสำแดง โลหิตมนุษย์ไม่ไหลริน
            หนึ่งคน เพียงหนึ่งพลัง ยากแล้วจะหาต่อกรได้”........
    ดังนี้บทเพลงได้กล่าวไว้ วันหนึ่ง ผู้สูญหายจักหวนคืน แล้วในวันหนึ่งพลังจักสำแดง ใครจะไปรู้เล่า ว่าหลังจากที่พระนางไอซิสผู้งดงามได้ขับกล่อมลำนำนี้เมื่อสองพันปีก่อน ในเวลานี้ มันดูเหมือนจะคลืบคลานเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกครา
    “หนึ่งคน เพียงหนึ่งพลัง ยากแล้วจะหาต่อกรได้........”
                                                                                  **********
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น