คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
“พี่จ้า พี่ชายจ้า”เสียงเล็กๆใสๆดังขึ้นในยามที่ม่านแห่งราตรีได้แผ่ปกคลุมไปทั่วทุกหัวระแหง เด็กหนุ่มผู้ถุกเรียกได้หันไปมองเด็กสาวผมสีน้ำตาล ดวงตากลมโตเฉกเช่นเดียวกับสีผม ผู้ที่เขามักจะเรียกขานเธอด้วยชื่อที่แสนไพเราะกับน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใยเสมอมา ผู้ที่เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา”พี่จ้า พระจันทร์ มีสีเดียวเหรอจ้ะ”
เด็กสาวถามเขาด้วยความใคร่รู้ เขาปิดหนังสือสีน้ำตาลเล่มบางลงอย่างเบามือก่อนจะผายมือเพื่อเรียกเด็กสาวมานั่งบนตัก เด็กสาวเห็นเขาผายมือก็รู้ทันทีว่า พี่ชายของตนอนุญาตให้ไปนั่งตักของพี่ชายอย่างที่ตนชอบได้ เธอจึงขยับร่างเล็กๆที่วิ่งมาจากสวนท้ายบ้านมาที่ระเบียงตะวันตกของบ้านเพื่อมาหาพี่ชาย ขึ้นมานั่งบนตัก
“เอ จันทร์เจ้าเหรอ”เด็กชายทวนคำถามด้วยคำพูดในแบบของตัวเองพลางก้มมองดูน้องสาวที่รอคำตอบ อย่างใจจดใจจ่อ เด็กชายยิ้มให้กับน้องสาวที่นั่งรอคำตอบในมือถือสมุดปกหนังสีแดงขลิบทองเล่มใหญ่ ที่น่าจะเรียกได้ว่าใหญ่เกือบเท่าคนถือ “บนฟ้านั่นน้องเห็นจันทร์เจ้าเป็นสีอะไรล่ะ”
“สีอะไรเหรอค่ะ?”เด็กสาวเปรยออกมาพลางทำหน้าครุ่นคิด หลายต่อหลายครั้งที่เด็กสาวเผลอครางออกมาอย่างคิดไม่ออก จริงอยู่ที่ว่าเธอเห็นพระจันทร์ตั้งแต่เล็ก เห็นจนชินตา พระจันทร์ดวงกลมที่ว่าไม่เคยเปลี่ยนสีให้เธอเห็นสักครั้ง พระจันทร์มักทอแสงสีเหลืองนวลดูน่าพิสมัยเสมอมา เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อบ่งบอกพี่ชายว่าเธอไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ดวงตากลมโตนั่น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีครามของผู้เป็นพี่อย่างหาคำตอบของคำถามนี้
เด็กชายมองน้องสาวแล้วกระชับแขนตัวเองขึ้นมากอดน้องสาวเพื่อให้คนที่ถูกกอดไม่โดนลมหนาวและไอหมอกยามกลางคืน
“พี่เองก็เห็นจันทร์เจ้าสาดแสงสีเหลืองนวลเพียงสีเดียวเท่านั้น มันคงจะมีสีเดียวล่ะจ้ะ”เด็กชายทอดสายตาไปมองพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นอยู่เพียงดวงเดียว เด็กสาวมองพี่ชายของตนแล้วมองตามสายตาที่ดูไร้จุดหมายของพี่ชาย เธอมองพระจันทร์ดวงเดียวกับเด็กชายไปได้สักครู่เธอก็ก้มลงมองหนังสือเล่มหนาในมือ ใบหน้าใคร่รู้เปลี่ยนเป็นสับสน เธอขยับมือน้อยๆเปิดหนังสือเล่มหนาในอ้อมกอดของพี่ชาย
เด็กชายที่มองดวงจันทร์พลางเหม่อคิดอะไรไปต่างๆนาๆ รู้สึกถึงการขยับตัวของเด็กสาว เขาก็ก้มลงมองน้องสาวที่เปิดหนังสือเล่มหนาเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง ทำให้เขาพลั้งปากถามอย่างสงสัย
“หาอะไรเหรอ?”
“ก็ในนี้เขียนไว้ว่าพระจันทร์มีสีแดงนิค่ะ”เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาตอบพี่ชายก่อนจะก้มลงเพื่อหาข้อความยืนยันในคำพูดของเธอ เด็กชายยื่นมือไปขอหนังสือเล่มหนามาจากเด็กสาว พอเด็กสาวมองเห็นพี่ชายก็ส่งหนังสือให้โดยดี เด็กชายรับหนังสือเล่มหนาสีแดงจากน้องสาว แล้วพลิกปิดหนังสือเพื่อดูน่าปก
ตัวหนังสือสีทองที่ยุบลงไปบนหน้าปกหนังสีแดงของหนังสือ ถูกฝุ่นจับไปบางส่วน จนดูไม่ออกว่าตัวหนังสือนั่นได้ความอย่างไร เด็กชายจึงใช่แขนเสื้อเชิ้ตสีเขียวขี้ม้าของตัวเองถูไปมาเบาๆ เพื่อให้ฝุ่นที่เกาะหลุดออกจาหน้าปก เด็กชายเป่าหน้าปกเพื่อไล่ฝุ่นที่กองอยู่บนหน้าปกแต่ไม่ได้เกาะออกไป ลายทองบนตัวอักษรบางตัวหายไปบ่งบอกได้ถึงความเก่าของหนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี เด็กชายจึงไล่มือตามตัวอักษรเพื่ออ่านข้อความบนหนังสือ
[The Legend of Crimson moon]
พอเด็กชายจับคำได้ก็ถอนมือออกจากปกหนังสือ แล้วพึมพำเบาๆ “ตำนานจันทร์สีเลือด”
ด้วยความที่ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นพื้นฐานของมนุษย์ ยิ่งเด็กด้วยแล้วยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ เด็กชายจึงเปิดหนังสือขึ้นเบาๆเพราะกระดาษที่ใช้นั้นดูเก่ามากแม้มันจะยังดูไม่กรอบถึงขนาดจับแล้วหลุดออกมาก็เถอะ
จันทรา
นภา
วารี
แลพสุธา
จักเป็นสีแดงฉานดั่งย้อมด้วยโลหิต
เมื่อในยามที่
ความปรารถนาของเจ้าแรงกล้า
จนยากยับยั้ง.......
บทความสั้นๆที่เด็กชายอายุ 11 ปีอย่างเขา ตีความไม่ได้แถมแค่เพียงแต่มองก็ไม่เข้าใจ ถูกบรรจงเขียนในหน้าแรกของหนังสือที่ถูกซุกซ่อนในบ้าน หลังใหญ่ของเขามานานปี เด็กชายไล่คำทวนไปมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายเด็กชายจึงตัดใจลองเปิดหน้าอื่นๆดู เผื่อบางทีถ้าอ่านเนื้อความด้านในแล้ว บทความด้านหน้าคงกระจ่างขึ้นมาบ้าง
ท้องนภา สีฟ้าสดใสเฉกเช่นทุกวัน แม้บางคราจะดูหม่นขึ้นบ้างก็ตาม
พื้นหญ้าเขียวขจี ดั่งมรกตที่ทอประกายยามต้องแสงอาทิตย์
ผืนน้ำ สีอร่ามตา เหมือนเช่นแดนทองคำยามถูกเปลวแดดสาดส่อง
แล้วจันทราเล่า เป็นอย่างไร
.....
หน้ากระดาษกว้าง มีข้อความอยู่เพียง 4 บรรทัด เด็กชายไล่สายตาอ่าน เขาเข้าใจเพียงแต่ว่าผู้เขียนอยากจะถามถึงรูปลักษณ์ของดวงจันทร์ แต่ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมถึงจงใจเขียน 3 บรรทักแรกที่ไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการจะถาม ดวงจันทร์เป็นอย่างไร เด็กชายทวนคำถามตามในหนังสือในใจ แล้วทอดสายตามองพระจันทร์ดวงโต เป็นอย่างไรล่ะ ดวงจันทร์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทุกๆวัน ทอแสงสีนวลเพื่อเป็นทางสว่างในยามค่ำคืน เด็กชายคิดเช่นนี้ในใจก่อนจะเปิดหนังสือในหน้าถัดไปพลางคิดว่า 2 หน้าที่ผ่านมาช่างเสียเปล่า แล้วหน้าที่ 3 จะเป็นเช่นไรหนอ
จันทราสิ่งที่คอยส่องแสงยามค่ำคืนที่ไร้แสงดาว ไร้ซึ่งแสงสว่าง
จันทราคือสิ่งที่คอยค้ำจุน โลกาในยามราตรี
.....
...
..
.
ใช่หรือไม่
คำตอบข้าก็ไม่รู้แน่ ท่านล่ะ
สำหรับท่านแล้วจันทราคือสิ่งใด
แล้วจันทรานั้นมีความหมายกับท่านรึไม่
คำพูดวกวน เด็กชายคิดขึ้นมา ช่างเป็นอะไรที่วกวน เสียจนไม่เข้าใจกับสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึง พลันเด็กชายก็บอกกับตัวเองว่า เลิกอ่านไปเสียเถอะ อ่านไปก็มีแต่จะทำให้หนักสมองเสียเปล่าๆ เด็กชายออกจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่พอเขาคิดถึงความต้องการใคร่รู้ของน้องสาว เขาตัดสินใจอ่านต่อไป
เมื่อหน้ากระดาษเก่าๆถูกพลิกจนถึงหน้าที่ 4 เนื้อความ ที่เป็นบทความวกวนก็หายไป กลายเป็นการเล่าถึงตำนานที่เก่าแก่ จนเขานึกไม่ถึง
โลกปีศาจ โลกแห่งฝัน และจันทรา
นั่นคือ หัวข้อที่อยู่บนสุดของหน้ากระดาษแผ่นที่ 4 ของหนังสือปกแดงเล่มหนา เป็นชื่อที่เข้าใจได้ง่ายๆและไม่จำเป็นต้องตีความ ไอเย็นยามราตรีแผ่เข้ามาเรื่อยๆ ใบไม้หลากชนิดร่วงโรยตามแรงลม เด็กชายละสายตาจากหนังสือ เพ่งพินิจน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา น้องสาวของเขานอนหลับโดยใช้ตักของเขาหนุนเป็นหมอน เด็กชายลูบกระหม่อมน้อยๆอย่างเอ็นดู เขาเองก็กลัวว่า อากาศเย็นๆยามนี้อาจทำให้น้องสาวของเขาไม่สบายเอาได้
คิดได้ดังนั้น เขาก็วางหนังสือลงบนพื้น ข้างๆกับหนังสือเล่มบางเล่มแรกที่เขาอ่านก่อนที่จะได้รับหนังสือเล่มนี้จากน้องสาว เด็กหนุ่มยกน้องสาวของตนขึ้นมาอุ้มโดยให้เด็กสาวนั้นพิงไหล่ของตนไว้ แม่ของเขากำลังง่วนกับการจัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อเช้า เพราะพรุ่งนี้บ้านหลังนี้จะกลายเป็นงานเลี้ยงขนาดย่อม งานเลิ้ยงน้ำชาของพวกที่ว่างจัด นั่นเป็นความคิดของเขา แม่ของเด็กชายมองมาเห็นเด็กชาย กำลังอุ้มเด็กสาว ก็ปราดเข้ามาดูอย่างรีบร้อน
“น้องเป็นอะไรเหรอลูก”แม่ของเขาถามเขาขึ้นมา น้ำเสียงนั่นแสดงความห่วงใยบุตรสาวได้เป็นอย่างดี เขาเป็นพี่น้องต่างมารดากับน้องสาว หญิงตรงหน้าเขาคือแม่เลี้ยง แต่เขากับแม่เลี้ยงก็ไม่ได้มีอคติอะไรต่อกัน เด็กชายก็ออกจะเข้ากับแม่เลี้ยงได้ดีเสียกว่าพ่อของตนที่งานยุ่ง
“เปล่าหรอกครับ อากาศข้างนอกมันเย็นถ้าปล่อยให้ แคล หลับตรงนั้นเธออาจไม่สบาย ผมก็เลยจะพาเข้ามานอนข้างในน่ะครับ”
“แม่ก็ขอบใจลูกมากนะ แต่ให้แม่พาไปก็ได้จ้ะ”หญิงตรงหน้าเด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความชื่นชมในตัว เธอส่งรอยยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร เขาส่งเด็กสาวให้กับแม่ที่ยืนรอรับ
“ขอบคุณครับ”เด็กชายกล่าวคำขอบคุณแล้วโค้งน้อยๆก่อนจะเดินไปที่ระเบียงที่เขานั่งเมื่อครู่ เพื่ออ่านหนังสือเล่มเดิม เขาไม่จำเป็นที่จะต้องคั่นหน้าหนังสือ ในเมื่อหน้าที่เขาอ่านไม่ได้ไปไกลเท่าไหร่ เด็กชายเปิดหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง พลางกวาดสายตาไล่ตามตัวหนังสือที่เขาอ่านค้างไว้
ลมกลางคืนพัดมาอีกครา มันช่างหนาวเหน็บ จนเด็กชายอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อครู่ที่เข้าไปในตัวบ้าน เขาน่าจะถือเสื้อกันหนาวมาด้วย เขายังเงยหน้ารับลมหนาวยามค่ำที่เข้ามาปะทะ หนังสือปกแดงเล่มหนาในมือถูกลมพัดจนพลิกไปหลายหน้า เขาก้มลงมองดูหนังสือเล่มหนาในมือ ที่หน้าถูกเปลี่ยนไปมากกว่าครึ่งเล่ม
ยามเมื่อโลหิต ย้อมจันทรา
เด็กชายเบิกตาโต กับหัวข้อเรื่องที่อยู่กลางกระดาษ มันเป็นข้อความโดดๆขึ้นมาเพียงข้อความเดียวในหน้ากระดาษ เขารีบพลิกหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว เนื้อหากลับกลายเป็นบทความที่วกวน เกินกว่าที่เขาจะเข้าใจอีกครั้ง
ความปรารถนา
คือพื้นฐานของมนุษย์ทุกผู้
หากผู้ใดไร้ซึ่งความปรารถนา
ผู้นั้น ก็มิใช่มนุษย์
เด็กหนุ่มอ่านบทความ ที่กล่าวถึงเบื้องลึกในจิตใจคนทุกผู้เขาเองก็เห็นด้วย กับบทความนี้ความปรารถนาเป็นใครก็ต้องมีไม่ว่า คนคนนั้นจะพยายามที่จะกีดกันสิ่งที่ว่าให้ออกห่างก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรความปรารถนานั้นก็จะคืนกลับมาในยามที่เราไม่รู้ตัว แล้วความปรารถนาเกี่ยวอะไรกับ ดวงจันทร์ที่ถูกย้อมด้วยสีเลือดกัน เด็กชายนั่งนึกทวน คำกล่าวที่ผ่านตาสีครามของเขาในหนังสือ
จันทรา
นภา
วารี
แลพสุธา
จักเป็นสีแดงฉานดั่งย้อมด้วยโลหิต
เมื่อในยามที่
ความปรารถนาของเจ้าแรงกล้า
จนยากยับยั้ง.......
บทนำในหน้าแรกถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครา เด็กชายกล่าวบทความสั้นๆนี้ซ้ำไปมาเช่นเดียวกับในตอนแรกที่เขาได้อ่าน ลมยามราตรีพัดโหมใส่เด็กชายซึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง เด็กชายยกแขนตัวเองขึ้นมาป้องใบหน้าเพื่อกันเศษใบไม้และฝุ่นดินที่ลมหอบมาด้วย ไม่นานนักลมก็สงบลง หน้ากระดาษของหนังสือเล่มหนาถูกเปลี่ยนอีกครั้ง
ตัวข้า
คือผู้พรากคนรักของตน
ให้ตายจาก
ด้วยความปรารถนาของตัวข้าเอง
ความปรารถนาภายในเบื้องลึกของตนเอง
คือผู้ทำลายทุกสิ่ง
ข้า
ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว
ที่จะมอบเป็นกำนัลแด่ท่าน
เว้นแต่
ชีวิตข้า
คือสิ่งที่ท่านโหยหามาชั่วกาล
ตัวอักษร 2 บรรทัดสุดท้ายถูฏเขียนด้วยสีแดงที่มีกลินตลบ เหมือนกลิ่นคาวเลือด เด็กชายสำลักกลิ่นที่โชยออกมา เขาใช้มือปิดจมูกตัวเองแล้วเพ่งตัวหนังสืออีกครั้ง มือที่จับหนังสือของเขาวางลงแล้วเปลี่ยนไปใช้ไล่ตัวหนังสือทีละบรรทัด เมื่อถึงบรรทัดสุดท้ายเขาไล่นิ้วมือตามที่อ่าน นิ้วที่ไล่ตัวอักษรพลาดไปโดนตัวอักษรที่เขียนด้วยสีแดงนั่น เด็กชายยกนิ้วมือขึ้นมาดู พลางคิดไปว่า ทำไมสีถึงติดนิ้วเขาทั้งๆที่ หนังสือนี้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานเสียจนหมึกพวกนี้น่าจะแห้งซึมถึงขนาดที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรคงไม่ลอกออกมา เด็กชายบรรจงปิดหนังสือปกแดงลง เขามองสีแดงที่ติดนิ้ว กลิ่นคาวเลือดโชยมาอีกครั้ง ด้วยความใคร่รู้ เด็กชายจึงเลียนิ้วที่ติดสีแดงเพื่อลิ้มรสของสีที่ติดออกมา
แค่กๆๆ
“นี่มันเลือดนี่นา”เด็กชายอุทานออกมาเบาๆ เขาถึงกับหน้าซีดไปครู่หนึ่งทีเดียวที่รู้ว่ามันคือเลือด เมื่อรู้ว่าเป็นเลือดเด็กชายจึงคิดที่จะล้างมันออกเสีย เขาหันไปด้านในตัวบ้านเพื่อที่จะลุกเดินไปล้างมือ แต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้ากลับไม่ใช่บ้านที่เขาเคยอาศัยอยู่ ใบหน้าขาวซีดเผือดลงทันใด หยาดเหงื่อผุดพรายตามใบหน้า พื้นหญ้าเขียวขจี ท้องฟ้าสีเทา ลำธารสีคราม หมู่แมกไม้ แล้วบ้านของเขาล่ะหายไปไหนกัน
เด็กชายลุกขึ้นยืนเขามองไปรอบๆ แล้วพลันเขาก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนจ้องมองเขาอยู่ เขามองไปในทิศทางที่เขาคิดว่ามีใครบางคน หลังต้นไม้ใหญ่ ในเงามืด ตรงนั้นจะต้องมีสิ่งใดบางอย่าง เขาค่อยๆก้าวเข้าไป ลมหายใจของเขาดูจะหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ
“พี่ชาย”เสียงเล็กๆที่เรียกเขาแบบนี้ช่างคุ้นเคยนัก เขามองเด็กสาวที่โผล่ออกมาหลังเงาไม้ น้องสาวเพียงคนเดียวของเขา
“แคล”เขาเรียกชื่อเด็กสาวออกมาเบาๆแล้วเดินเข้าไปหา ใบหน้าหวานๆของแคล เปื้อนไปด้วยรอยน้ำตาที่บ่งบอกว่าเธอร้องไห้อย่างหนัก เด็กสาวซบลงกับอกของพี่ชายแล้วกอดเขาไว้แน่นราวกับว่าพี่ชายตนจะหายไป
“ความรัก ช่างสวยงาม”เสียงใสๆกังวานดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวผมดำร่างอรชร เธออยู่ในชุดวันพีชสีขาว ผมสีดำยาวถูกรวบไว้เพียงครึ่ง มงกุฎดอกไม้ช่อโตประทับอยู่ด้านบนเรือนผมสีดำ เธอมีหูที่ยาวเกินกว่าจะเป็นหูของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และนัยน์ตาของเธอเป็นสีแดงสดราวกับสีเลือด
“มนุษย์ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่งดงาม” ริมฝีปากสีแดงสดยังขยับพรรณนาถึงเผ่าพันธุ์ของเด็กชาย
“คุณไม่ใช่คน”เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเหมือนไม่กล้า หญิงสาวเบิกตาเล็กน้อยแล้วหรี่มันลง
“แล้วก็ฉลาด”
“พี่สาวๆพี่สาวเมื่อตอนนั้นนี่นา”เด็กสาวเงยหน้าจากอกเสื้อพี่ชายแล้วพูดรัวๆเร็วๆออกมา เธอผละจากพี่ชายวิ่งไปหา หญิงสาวผมดำ อากัปกริยานั้นทำให้เด็กชายไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิด เขามองแคลวิ่งไปกอดผู้หญิงที่ยืนยันตนเองว่าไม่ใช่คน
“พี่ชายนี่พี่สาว ที่บอกให้แคลเอาหนังสือมาให้พี่ชาย”แคลพูดขึ้นมาใบหน้าที่เคยเปื้อนน้ำตาประดับไปด้วยรอยยิ้มในยามนี้ เด็กชายมองไปทางหญิงสาวที่ทอดมองมาก่อนเขา ก้มหัวให้เล็กน้อย นั่นทำให้หญิงสาวเผยอรอยยิ้มออกมา
หญิงสาวผายมือเชิญเด็กชายให้เดินมาทางเดียวกับที่เธอยืนอยู่ ด้วยความที่เด็กชายนั้นอยากเข้าไปหาน้องสาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงเดินตามคำเชิญแต่โดยดี
“หนุ่มน้อย ชื่อของเจ้าล่ะ”คำถามแรกจากริมฝีปากคู่สวยนั่นเด็กชายอ้ำอึ้งก่อนจะตอบออกไป
“คะ เคลวิน”
หญิงสาวพาเด็กชายและเด็กสาว เดินเขามาในอาณาบริเวณของเธอ สวนพฤกษชาติ กลิ่นดอกไม้นานาพรรณตลบไปทั่วบริเวณ เด็กชายเดินผ่านพวกมันมาอย่างยากลำบาก ตัวเขาไม่ค่อยจะชอบกลิ่นดอกไม่สักเท่าไหร่มันมักจะทำให้เวียนหัวและคลื่นไส้ยิ่งมากขนาดนี้ด้วยแล้ว ส่วนท้ายของสวนคือที่อาศัยของหญิงสาว เรือนพักที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบสีมรกต
“บ้านกลางทะเลสาบ”เด็กชายพูดขึ้นมาอย่างตกใจ หญิงสาวยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของเด็กชายแสงสีเขียวสะท้อนตัวบ้านให้ดูเหมือนถูกสร้างขึ้นมาจากมรกต
“คุณเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกว่าวิญญาณใช่หรือเปล่า”
“เกือบจะใช่ แต่ข้าเป็นสิ่งที่เคยอาศัยในแดนแห่งฝันเมื่อนานมาแล้ว ข้าคือปีศาจ”คำตอบเล่นเอาเด็กชายถึงกับผงะ
“ถ้าอย่างนั้นคุณเรียกพวกเรามาทำไม”
“ข้าไม่ได้เรียก เจ้าต่างหากที่ล่วงล้ำเข้ามาในดินแดนแห่งข้า”หญิงสาวตอบพลางเด็กดอกไม้ขึ้นมา เธอมองเด็กชายอีกครั้งด้วยหางตาก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา “ถ้าจะให้พูดความปรารถนาของเจ้านั่นแลคือสิ่งที่พาเจ้ามาหาข้า”
เด็กชายงงกับคำพูดที่หญิงสาวพยายามพูดเพื่อไขความกระจ่าง หญิงสาวเห็นท่าทีของเด็กชายจึงพูดออกมาอีกว่า
เจ้ารู้หรือไม่
ผู้ที่ทำความปรารถนาของเจ้าให้เป็นจริงได้
หาใช่นางฟ้าเทวดาหรือเทพเจ้าแต่อย่างใด
หากแต่เป็นปีศาจเช่นข้า ผู้นี้นี่แล
ปีศาจสาวแย้มรอยยิ้มอันน่าพิศวงออกมา เด็กชายถอยพรวดไปอุ้มน้องสาวท่าทีขึงขังและหวาดระแวงนั่นทำให้ปีศาจสาวหัวเราะออกมา นัยน์ตาสีแดงของเธอเริ่มฉายอะไรบางอย่างที่เด็กชายไม่แน่ใจ มันชวนมองเสียจนเด็กชายเผลอมองตาม
“ความปรารถนาของเจ้าคือสิ่งใด”ปีศาจสาวเยื้องกรายเข้ามาหาเด็กชายที่ลุ่มหลงมนต์สะกดของเธอ “ข้าสร้างทุกสิ่งให้เจ้าได้”
ปีศาจสาวยังเอื้อนเอ่ยวาจาชวนฟังออกจากริมฝีปากสีแดงคู่สวยเธอเดินวนรอบเด็กชาย ก่อนที่จะมาเชยคางเด็กชายขึ้นเพื่อจะจ้องลึกลงไปในดวงตาสีครามของเด็กชาย “หากแต่เจ้ายอมมอบชีวีแลร่างกายนี้ให้กับข้า”
ชีวิตเดียวนี้ และร่างกายที่ได้รับมอบมาจากบุพการี
“ไม่ ผม ไม่ให้คุณหรอก”เด็กชายตะโกนเสียงกร้าว ปีศาจสายเม้มริมฝีปากแน่นเสียจนเลือดสีม่วงแดงของเธอไหลลงมาตามมุมปาก ดวงตาสีแดงเหลือกขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มงกุฎดอกไม่แปลเปลี่ยนเป็นมงกุฎหนาม
“เจ้าไม่มีวันจะกลับไปยังที่ที่เจ้าจากมาได้ หากข้าไม่ได้ชีวิตและร่างกายนี้เจ้าก็จงต้องคำสาปแห่งข้าและไปยังที่อันเป็นนิรันดร”
หลุมดำใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องล่างเด็กชายที่กอดน้องสาวไว้แน่น ปีศาจสาวยืนแสยะยิ้มท่ามกลางกลีบดอกไม้ที่ปลิวไสว วินาทีก่อนที่เคลวินจะตกลงไปในหลุมดำ เขามองปีศาจสาวอย่างเคียดแค้นและนึกด่าว่าตนเองในใจที่ไปเปิดหนังสือเล่มนั้น ทั้งที่จิตใต้สำนึกก็เตือนแล้ว
ทุกอย่างสงบลง หลุมดำหายไปพร้อมกับร่างของคน 2 คนที่ดำดิ่งลึกลงสู่โลกอันเป็นนิรันดร มีเพียงปีศาจสาวที่ยืนนิ่งราวรูปปั้น ณ กลางคฤหาสน์พฤกษา ที่ที่จองจำเธอชั่วกาลนาน..............
ความคิดเห็น