ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Jewel Quest

    ลำดับตอนที่ #7 : ปฐมบทแห่งการเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 50



                   
    รถม้าหลายคันควบผ่านไป เสียงกีบม้ากระทบผืนดินและล้อเกวียนบดลงบนพื้น ถูกกลบด้วยความวุ่นวายบนถนนกระเบื้องด้านหน้าที่ทอดยาวไปจนสุดตา สองข้างทางประกอบไปด้วยร้านรวงมากมายเบียดเสียดกัน  เป็นต้นเหตุของเสียงอันชวนปวดหัว กรงโลหะที่นกนับสิบตัวอัดกันอยู่จนมันส่งเสียงร้องแสบแก้วหูอย่างถี่ๆ ถัดไปเหยี่ยวหลายพันธุ์กำลังยื้อแย่งซากหนูตายกันอย่างน่าสะอิดสะเอียนผสมกับกลิ่นจากเพิงเล็กๆที่ทำเป็นคอกม้าด้านตรงข้ามนั่น...ยิ่งน่าสะอิดสะเอียนเข้าไปใหญ่


                   
    'ตลาดค้าสัตว์' (หรืออย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น) ที่ใหญ่ที่สุด (หรือเป็นเพราะมันมีอยู่ที่เดียว) ในอาณาจักร เป็นจุดเด่นของโรน์ในฐานะเมืองที่มีอาณาบริเวณติดกับป่ามากที่สุดหรือเรียกได้ว่ากลมกลืนกันไปเลย เพราะไม่มีกำแพงแบ่งเขตเมืองคงทำให้เมืองใหญ่อย่างโรน์ราวกับเป็นหมู่บ้านกลางป่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะสถาปัตยกรรมจากกระเบื้องสีสันสดใสขนาดใหญ่ที่ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย ที่สุดปลายของถนนค้าสัตว์อันเป็นที่ตั้งของสภาเมือง


                   
    "ขอดูใบทะเบียนประชาชนด้วยครับ" เสียงพูดเรื่อยๆของทหารรักษาการณ์ปลุกคณะเดินทางทั้งหกจากภวังค์...ก่อนจะได้ไปชื่นชมความงามกัน คงต้องฝ่าด่านทหารรอบสองนี่ไปให้ได้ก่อน


                   
    "ใบทะเบียนประชาชน" ลูคัสกระซิบทวนคำกับหนุ่มจอมเวทที่ดูแล้วน่าจะให้คำตอบได้ดีที่สุด


                   
    "เป็นหนังสือรับรองว่าเราเป็นพลเมืองของที่ไหนน่ะครับ ถ้าเป็นนักเดินทางก็ต้องพกเอาไว้เพราะต้องถูกเรียกดูทุกเมือง"


                   
    "แต่ที่นี่ไม่เข้มงวดมาก  ถ้ามาเป็นกลุ่มล่ะก็...ให้ดูคนเดียวก็ผ่านไปได้หมด" เซียร่าเสริมพลางมองไปรอบๆกลุ่มอย่างมีความหวัง


                   
    "พวกเราไม่มี...เราเป็นนักบวชนะ" คนที่เป็น 'นักบวช' แดกดัน


                   
    "ผมก็ไม่มีครับ เพราะที่สภาเวทยึดไว้เป็นหลักฐานตอนทดสอบแล้วบังเอิญผมก็ไปเจอกับคุณอัศวินสองคนนั้น  แต่ถึงผมจะมีก็คงเอาให้ดูไม่ได้หรอกครับเพราะถ้าเป็นคนของโอเรเนคแล้วทางนั้นคง...."


                   
    "ช่างมันเถอะ" เซียร่าตัดบทพลางถอนใจ "แล้ว....." เธอหันไปหาอีกสองคนที่เหลืออย่างไม่จำเป็น  นักฆ่าคงจะมีอยู่หรอก ไอ้ใบทะเบียนบ้าๆนี่


                   
    "สภาเวทอย่างนั้นรึ" เสียงตะโกนขัดจากทหารเมื่อครู่ที่ดูเหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นตราของสภาเวทบนเสื้อคลุมของท่านนักเวททั้งสอง


                   
    ซวย
    !   ดันไม่ยอมถอดเสื้อคลุมออกเสียก่อน


                   
    "ออกไปซะ! โรน์ไม่ต้อนรับพวกเจ้า"


                   
    "ข้าต้องมาพบ เชอริล  คอนราด แห่ง......" คำอธิบายของเซียร่าถูกตัดด้วยเสียงตะโกนดังลั่น


                   
    "ไม่ใช่ธุระของข้า! ออกไปเสียก่อนที่ข้าจะต้องเรียกกองกำลังแห่งโรน์มาลากพวกเจ้าออกไป" ไอ้นี่มารยาทแย่กว่าไอ้ทหารที่โอเรเนคอีก...


                   
    "ข้าอุตส่าห์พูดดีๆด้วย" ท่านจอมเวทคนสำคัญขึ้นเสียงออกคำสั่งกับคนในบัญชาชั่วคราวที่บัดนี้ยืนประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้าม


                   
    "อยากสู้..." ทหารอีกนายเอ่ยเสียงสูงเป็นเชิงปรามาสแล้วคว้าเอาหอกเข้ามือ  บรรยากาศชวนอึดอัดทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าการปะทะกันย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด หกต่อสองถึงสองคนจะเป็นนักบวชแต่อีกสองคนก็เป็นพวกสภาเวท  ในทางกลับกันถ้ากองกำลังแห่งโรน์ที่กำลังลาดตระเวนรอบเมืองผ่านมาฝ่ายนั้นก็จะเสียเปรียบ


                   
    "เดี๋ยวค่ะ" เสียงแผ่วๆของนักบวชสาวที่ดังขึ้นขัด หรือจะเรียกว่ากู้สถานการณ์ ม้วนกระดาษเล็กๆถูกดึงออกมา มีตราประจำนครเอลเซสประทับอยู่


                   
    "ไอโซร่า  จีเซ่ แห่งเอลเซส" การทวนชื่อบนทะเบียนประชาชนทำเอาอีกห้าคนที่เหลือ อึ้งสนิทแต่ตัวต้นเรื่องกลับพยักหน้ารับพร้อมกับปั้นเรื่องเข้าไปอีก  "เราสองคนเป็นคณะนักบวชจากเอลเซสมาธุระแสวงบุญที่โรน์ค่ะ แต่ช่วงนี้มีข่าวเรื่องการลอบสังหารทางสภาเวทเลยส่งสองท่านนี้มาช่วยเรื่องความปลอดภัย  ถ้ายังไง....คงต้องขอให้ติดตามเข้าไปด้วย"  ราวกับต้องมนตร์ทหารรักษาการณ์ก็ยอมปล่อยพวกเขาเข้าเมืองไปแต่โดยดี  ไม่ได้เปิดปากถาม...แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามหรือที่มาของคนที่เหลือ


                   
    เรน  เซเวนน์....ร้ายกว่าภายนอกนัก


                   
    "ใครคือไอโซร่า  จีเซ่" คำถามแรกถูกยิงใส่ทันที  อย่างไรเสียก็ต้องมีใครสักคนที่จะถามคำถามนี้ขึ้นมาแต่โอกาสแบบนี้ไอ้เจ้าคนปากไวก็ไม่เคยพลาดอยู่แล้ว


                   
    "รุ่นพี่ที่โบสถ์น่ะค่ะ  ส่วนใบทะเบียนนั่นฉันก็ไปหยิบๆเอามาจากตอนที่คณะนักบวชกลับมาจากแสวงบุญ" คำตอบไม่ได้เป็นที่สนใจของจอมเวทและนักฆ่า  แต่ใบหน้าของลูคัสกลับดูจริงจังขึ้นอย่างผิดปกติ


                   
    ...ในโบสถ์เรา  ไม่มีคนชื่อไอโซร่า...


                   
    ก่อนที่ลูคัสจะได้เปิดปาก เสียงร้องแสบแก้วหูของเหยี่ยวบนฟากฟ้าเหนือตลาดค้าสัตว์ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นเสียงที่อำนาจมากขนาดทำให้เสียงดังวุ่นวายของตลาดค้าสัตว์สงบลงชั่วคราว  มันบินวนต่ำลงท่ามกลางความสนอกสนใจของผู้คนบริเวณนั้นที่ชี้ชวนกันดู


                   
    เหยี่ยวหิมะ....ปกติจะพบเฉพาะบริเวณป่ารอบทะเลสาบโอเรและช่วงเวลาที่จะพบได้คือกลางฤดูหนาวเท่านั้น แผงขนสีขาวต้องกับลมที่ปะทะด้วยความเร็วสูงมันลดระดับลงเรื่อยๆ จนกระทั่งอยู่เหนือหัวพวกเขาไม่กี่ฟุตเป็นเวลาเดียวกับที่เซียร่ากางแขนออกก่อนที่เจ้าเหยี่ยวหิมะจะถลาไปเกาะอยู่บนไหล่ของท่านที่ปรึกษาแห่งสภาเวท


                   
    "เซกเตอร์" เธอลูบหัวมันเบาๆขณะที่ดึงเอาจดหมายที่ขามันออกมา


                   
    "นี่คือเซกเตอร์เป็นเหยี่ยวหิมะสายพันธุ์ที่ดีและฉลาดที่สุดของสภาเวท ตอนนี้มันเป็นสมบัติของข้า"


                   
    เธอกำลังแนะนำเหยี่ยวให้พวกเขารู้จัก
    !


                   
    ถ้ายัยนี่ไม่ได้สติไม่ดีคงเป็นเขานั่นแหละที่สติไม่ดีเอง...สาบานได้ว่าเห็นมันก้มหัวให้ทีหนึ่งด้วย


                   
    "ดีมาก..." เธอพูดกับมันขณะที่คลี่จดหมายออกอ่าน "พาข้าไปหานางทีสิ"


                   
    เจ้าเหยี่ยวหิมะกางปีกออกแล้วถลาออกไป มีเซียร่าเร่งฝีเท้าตามไปติดๆ


                   
    "เดี๋ยว ! แล้วเราจะไปไหน" เสียงตะโกนของเจ้านักบวชไล่หลังไป แต่ในเมื่อคนที่เหลือต่างพากันเดินตามไปเช่นกัน นักบวชเรื่องมากดูจะไม่มีทางเลือกเท่าไรนัก


                   
    การ
    'ตาม' สิ้นสุดลงเมื่อเจ้าเหยี่ยวตัวดีบินไปเกาะบนต้นไม้ใหญ่กลางลานกว้าง ส่วนนี้ของเมืองอยู่ห่างจากตลาดพอสมควรทีเดียว...ได้ยินเสียงจากตลาดแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่านี่ยังอยู่ในตัวเมืองหรือสู่เขตป่าของพวกนักล่าแล้ว


                   
    นักบวชสาวนั่นหอบหายใจถี่ๆอย่างเหนื่อยอ่อนได้สมบทบาท


                   
    ส่วนลูคัสก็เริ่มก่นด่า...นี่ก็สมบทบาท  กับจอมเวทลัวร์ที่ยังคงยืนตีหน้าซื่อแปลกๆ


                   
    มันคงจะเนียน....ถ้าไม่ใช่เพราะสัญชาตญาณบอกเขาว่าบริเวณนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่อีกเป็นสิบ หรือถ้าจะพูดให้ถูก


                   
    พวกเขานั่นแหละที่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญ


                   
    "เจ้าน่าจะถอดเสื้อคลุมออกเสียนะ" โซฟิเลียเอ่ยขึ้นในที่สุด นัยน์สีน้ำตาลปราดมองไปทางจอมเวททั้งสอง ลัวร์ทำตามอย่างว่าง่ายแต่เซียร่าส่งสายตาอย่างเป็นคำถามมาเล็กน้อย


                   
    พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกจอมเวทถึงไม่ชอบถอดเสื้อคลุมออกทั้งๆที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้  ชุดใต้เสื้อคลุมเป็นแค่เสื้อกับกางเกงสีขาวเชยๆ แม้แต่ท่านที่ปรึกษาคนสำคัญก็ยังได้แค่ชุดกระโปรงสีเดียวกัน


                   
    "แล้วก็หยิบคทาขึ้นมาด้วย" เสียงเหี้ยมๆดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งเมื่ออีกหนึ่งมือสังหารเรียกดาบเข้ามือในท่าเตรียมพร้อมราวกับจะปะทะกับคนเป็นกองทัพ ก่อนที่จะมีปากไหนได้เอ่ยอะไรออกมา ลูกธนูก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ที่ใกล้ตัวท่านรองหัวหน้าสมาคมนักฆ่ามากที่สุด


                   
    เสียงแหวกอากาศของดาบที่เร็วกว่าความเร็วของลูกธนูฝ่ายตรงข้าม ที่ถูกปัดกระเด็นออกไปอยู่ใกล้กับนักบวช...ที่ส่งเสียงร้องเอะอะออกมาอย่างหมดสภาพความเป็นผู้ละซึ่งกิเลสโดยสิ้นเชิง  แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ให้บาทหลวงมาบอกเองคงไม่มีใครเชื่อว่าไอ้คนในชุดเสื้อคลุมสีขาวนี่น่ะ...มันเป็นนักบวช


                   
    "แน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาสิ เจ้าพวกขี้ขลาดตาขาว" คำปรามาสจากคนที่สารรูปดูไม่ได้ที่สุดตอนนี้


                   
    ...เซียร่า  ราลอส...ขนาดตกอยู่ในวงล้อมศัตรูเจ๊แกยังกล้าออกคำสั่งชนิดไปอายฟ้าดิน คงต้องยอมรับว่าแม้ไม่ต้องพึ่งเสื้อคลุมอันหรูหราของสภาเวทแต่ความมีอำนาจในน้ำเสียงของหล่อนก็ไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย


                   
    เสียงปรบมือแผ่วๆดังมาแต่ไกลพร้อมกับที่ร่างของสตรีผู้หนึ่งจะค่อยๆก้าวออกมาจากพุ่มไม้ ผมสั้นสีเหลืองทองซึ่งไม่ใช่สีปกติของหญิงสาวโรน์ พอจะบอกได้ว่าเธอน่าจะเป็นคนของหมู่บ้านนักล่ามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อที่ไหล่ซ้ายของเธอมีคันธนูพาดอยู่ ประกอบกับการที่เธอเลือกที่จะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา  ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเธอผู้นี้ก็คือ...เชอริล  คอนราด ผู้นำแห่งหมู่บ้านนักล่า...


                   
    "ข้าเห็นด้วยกับสาวน้อยนักฆ่านี่นะ...เจ้าไม่สมควรที่จะใส่อะไรล้ำสมัยถูกใจชาวโรน์แบบนี้เข้ามาในเมืองเลย" เสียงหวานใสแบบเด็กสาวที่เพียงประโยคเดียวก็แดกดันทั้ง 'สาวน้อยนักฆ่า' ที่ตอนนี้คงกำลังพยายามรักษาสีหน้าเฉยชานั้นอย่างยากเย็น กับ 'เจ้าของแฟชั่นล้ำสมันถูกใจชาวโรน์' ทั้งสอง   ทว่าลัวร์เลือกที่จะแสดงออกต่อไมตรีนี้ด้วยการหัวเราะเบา ๆ แต่เซียร่าเลือกที่ยืนทำหน้าเคร่งตามสูตร


                   
    "แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านรองฯหรอกนะ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปะทะกับฝ่ายเดียวกัน เมื่อครู่ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่เชื่อว่าคงจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงของท่านรองฯหรอกนะคะเพราะแค่ลูกธนูเล็กๆดอกเดียว" เธอยังคงพูดต่อไป เป็นวาจาที่คมกริบขนาดคนปากมากอยากตายเร็วที่ชอบปะทะคารมกับคนทั่วราชอาณาจักรอย่างลูคัสยังต้องยอมแพ้ปิดปากเงียบ


                   
    "ส่วนที่ว่าขี้ขลาดตาขาวไหมนี่ถ้าเราไม่ลองประมือกันดูสักครั้งก็คงยังไม่อาจทราบหรอกนะคะท่านที่ปรึกษาแห่งโอเรเนค ข้าจะขอเรียกมันว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งมากกว่า" คำพูดที่ดูจะเหมือนคำขู่เสียมากกว่าไม่ทำให้คนที่ถูกท้ามีปฏิกิริยาทางสีหน้าแต่อย่างใด


                   
    "ข้าจะขอเชิญท่านที่หมู่บ้าน...หรือหากท่านจะสะดวกในเมืองมากกว่า" คำเชิญของคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพวกเขากำลังยืนสนทนากันอยู่กลางป่ากลางเขา เป็นคำเชิญที่ดูแล้วไม่มีความน่าสนใจทั้งสองที่ โรน์ที่เพิ่งจะมีเรื่องกับทหารยามหน้าเมืองมาสดๆร้อนๆ กับหมู่บ้านนักล่าที่ท่านจอมเวทของเราเพิ่งจะไปสบประมาทคนทั้งหมู่บ้านเมื่อครู่ที่ผ่านมานี่เอง จากการประเมินผลแล้ว....


                   
    "ในเมืองน่าจะดีกว่า หากท่านจะกรุณา"


                   
    "แน่นอน  พวกเจ้ากลับไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้วส่วน ซอนย่าตามข้ามา" เธอสั่ง  ก่อนที่คณะเดินทางทั้งหก จะรู้ตัวว่ามีนักล่ากว่าสิบชีวิตยืนรายล้อมอยู่รอบบริเวณ หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาที่ลาน  เธอมีผมสีเดียวกับเชอริลเสียแต่ว่าผมของเธอซอยเป็นชั้นๆให้เข้ากับใบหน้า  แต่ทั้งการแต่งตัวแม้แต่คันธนูของเธอก็เรียกได้ว่า 'เลียนแบบ' เชอริลมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน


                   
    "นี่คือ ซอนย่า  ราเรเวล...เธอเป็นมือขวาของข้า" หัวหน้าพรานแนะนำคนของเธอ  พร้อมกับที่คนถูกแนะนำโค้งให้อย่างสุภาพ


                   
    ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ก่อนที่จะเจอกับไอ้บวชบ้านี่  คงจะคิดว่าเธอเป็นคนสุภาพเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ประสบการณ์อันน้อยนิดแต่ก็เพียงพอนี้บอกว่าอย่าดูคนที่หน้าตาหรือแม้แต่การกระทำเพียงชั่ววูบ


                   
    "เชิญ" เสียงของคนที่ออกเดินนำไป 


                   
    ที่ที่พวกเขามากันก็คือ......ร้านเหล้า......


                   
    ให้ตาย....ชีวิตนี้ไม่มีที่สนทนากันที่ดีกว่านี้อีกแล้วใช่ไหม ? เสียงบ่นในใจของลูคัสขณะคนที่เดินนำมาเปิดประตูร้าน


                   
    ร้าง...น่าจะเป็นคำที่ดีที่สุดที่จะช่วยบรรยายฉากของร้านนี้ได้  ถ้าอยากขายดีกว่านี้น่าจะย้ายไปโอเรเนค...แต่ถึงกระนั้นร้านนี้ก็ไม่ได้ดูเก่า ไม่มีฝุ่นหรือหยากไย่...อย่างน้อยมันก็ดูดีกว่าโรงเตี๊ยมกลางทางนั่นเป็นไหนๆ


                   
    "ข้าขอเหมือนเดิม" เชอริลตะโกนสั่งเมื่อทุกคนนั่งลงบนโต๊ะกลมตัวหนึ่ง  คงมีเพียงคนคุ้นเคยกันเท่านั้นที่จะกล้าสั่งอะไรดังลั่นร้านเช่นนี้


                   
    "วอดก้า" เสียงสั่งเหล้าดังขึ้นจากอีกฝากของโต๊ะ  การพูดจาแบบนี้คงหนีไม่พ้นว่าออกมาจากปากของลูคัส


                   
    ในใจของนักบวชที่มาด้วยกันอีกคนนั้นคงนึกอยากห้ามใจจะขาด...แต่ด้วยสาเหตุบางประการทำให้หล่อนนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น


                   
    ไม่ช้าเครื่องดื่มก็ถูกลำเลียงมาตั้งบนโต๊ะกลม


                   
    ลูคัสเอื้อมมือไปคว้าแก้วทรงเตี้ยที่สุดบนถาด แต่เซียร่ากลับชักแก้วหนี


                   
    "เจ้าดื่มไม่ได้  เจ้าเป็นนักบวชนะ"


                   
    นักบวชด้วยกันไม่สนใจจะห้ามปรามคนนอกรีตแต่จอมเวทกลับมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทน


                   
    "ไม่เกี่ยว ! กฎหมายไม่ได้บอกไว้เสียหน่อยว่าห้ามนักบวชดื่มน่ะ" ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวแย่งแก้วมาได้แล้วกระดกรวดเดียวหมด คราวนี้มาดนักบวชคงกระเด็นออกไปชนิดหาใหม่ไม่ได้อีกแล้ว


                   
    แต่ก่อนที่คู่กรณีจะได้เริ่มการปะทะคารมกัน  เสียงของหัวหน้าพรานสาวก็ดังข้ามโต๊ะมา 
    "ถึงแม้ว่าข้าจะเห็นใจที่ท่านเดินทางกันมาเหนื่อย  แต่ข้าก็คิดว่าการเริ่มเรื่องจริงจังกันเลยดูจะไม่เสียหายนะคะท่านเซียร่า"


                   
    ประโยคนั้นคงช่วยทำให้ลูคัสรอดตายไปอีกวัน


                   
    "แนะนำตัวกันก่อนดีไหมครับ..." จอมเวทหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อท่านมหาเวทตรงหน้าเขาทำทีจะปะทะคารมต่อกับสาวนักล่า "ลัวร์  นีอาร์เมยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"


                   
    "ลัวร์  นีอาร์เมหรือ..." เชอริลทวน


                   
    "ใช่  นักเวทที่เราไปพบเข้าโดยบังเอิญระหว่างที่ถูกพวกอัศวินลอบทำร้ายในโอเรเนค คนที่มีคทาแห่งโรน์ตามที่ข้าแจ้งมาแล้วในจดหมายกับเซกเตอร์"


                   
    คทาแห่งโรน์


                   
    โรน์...เมืองที่ไร้ซึ่งเวทมนต์โดยสิ้นเชิงและปฏิเสธเวทมนต์ทุกชนิด แล้วทำไมคทานั่น ถึงได้ชื่อว่าคทาโรน์


                   
    บรรยากาศยังคงเป็นปกติเมื่อคนที่เหลือแนะนำตัวเอง 


                   
    ดูเหมือนว่า...นักล่าพวกนี้จะไม่ให้ความสนใจกับนักบวชแห่งเอลเซสแม้คนจากเอลเซสจะออกแสวงบุญในโรน์กันเป็นจำนวนมาก  ป่าอันเงียบสงบ บริเวณรอบหมู่บ้านของเหล่าพรานเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกจิต 


                   
    สำหรับนักฆ่า...พวกนั้นน่าจะรู้จักกันดีเพราะถึงขนาดเรียกชื่อล้อเล่นกันได้


                   
    "สภาเวทจ้างนักฆ่าตัดราคากับพวกอัศวิน...น่าเก็บไปเล่าในวงน้ำชาเสียจริง  จอมเวทกระเป๋าหนักกับนักฆ่าไส้แห้งเพราะอย่างไรเสียเงินค่าจ้างก็คงจะถูกหัวหน้าอุบอิบ" ประโยคแดกดันที่ยิงที่เดียวได้นกสองตัว


                   
    ...หรืออาจจะสาม...


                   
    คนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่เพียงยิ้มแห้งๆอย่างปรามๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหัวหน้า  ซอนย่าคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสวดภาวนาไม่ให้ใครคนหนึ่งหรือทั้งสามคนนั้นลุกขึ้นมารุมกระทืบ


                   
    "แล้วของอยู่ที่ไหนล่ะ" เซียร่าเปลี่ยนเรื่อง...เป็นเรื่องที่เธออยากรู้มากที่สุดที่เป็นสาเหตุให้เธอยอมมานั่งเป็นขี้ปากให้คนตรงหน้า


                   
    "ถูกแมวขโมยไปแล้ว" น้ำเสียงสบายใจของคนที่ถูกถาม แต่ก็ยอมอธิบายเสริมแต่โดยดีเมื่อเห็นสีหน้าของคนถาม " ท่านมาช้าไปก้าวหนึ่ง  เมื่อวันก่อนเจ้าเมืองโรน์ได้มาขอมันไปจากข้าด้วยตัวเอง"


                   
    "แล้วท่านก็ยอมให้ !"


                   
    "เป็นท่านจะปฏิเสธหรือไง !"


                   
    เสียงแหลมสูงที่ตะโกนใส่กันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจคนที่ยังนั่งหน้าสลอนกันอยู่รอบโต๊ะ


                   
    เซียร่าถอนหายใจยาว  ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงอันราบเรียบ
    "แล้วตอนนี้ของอยู่ที่ไหน  ท่านพอจะรู้ไหม"


                   
    "ยาริส"


                   
    "เรามีเวลาไม่มากนัก  ข้าไม่อยากถ่อไปถึงยาริสแล้วไม่ได้อะไรกลับมา" สีหน้าของเธอพอจะบ่งบอกถึงความเครียดในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี


                   
    "ของนั่น...คงจะถูกนำไปเป็นของขวัญในงานหมั้นของลูกสาวเจ้าเมืองยาริส สินะครับ" เสียงจากลัวร์ กับข้อมูลที่ไม่มีใครสนใจใคร่รู้ว่ามันไปรู้มาจากไหน


                   
    เชอริลพยักหน้ายืนยัน


                   
    "อีกอย่างข้าก็ไม่คิดจะเอาเปรียบท่านด้วยการให้ท่านมาถึงที่นี่แล้วกลับไปมือเปล่า  ข้าได้ให้สายข่าวของข้าไปสืบมาว่าของอีกชิ้นน่าจะอยู่กับเจ้าเมืองดราซ์ดซาน  ซึ่งจะนำไปมอบให้แก่เจ้าเมืองยาริสเช่นกัน  แต่...เรื่องนี้สายข่าวของสมาคมนักฆ่าน่าจะได้ข้อมูลก่อนเรานะ  สมาคมมีสายฝีมือเยี่ยมอยู่คนหนึ่งนี่"


                   
    "ท่านคงจะตกข่าว  สายคนนั้นตอนนี้ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว" โซฟิเลียเอ่ย  เป็นที่รู้กันดีว่า 'ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว' นั้นก็หมายความว่าตายไปแล้วนั่นเอง  แต่...มือสังหารสาวคนนี้จะมีส่วนเกี่ยวพันกับ 'สาย' คนนี้ไหม  สีหน้าไร้อารมณ์ตามปกติของหล่อนก็ไม่ได้ให้คำตอบไว้


                   
    "แล้วก็..." เธอว่าต่อ  ราวกับบทสนทนาเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น "ข้าจะให้ซอนย่าไปช่วยพวกท่านด้วยอีกแรง  เป็นการขอโทษที่รักษาของไว้ไม่ได้  แล้ว....งานนี้ก็ไม่ใช่งานที่ควรฉายเดี่ยว"


                   
    ประโยคทิ้งท้ายที่ราวกับว่ามีใครเคยพูดมาก่อน  เป็นครั้งที่สองในรอบหลายวันมานี้ที่มีคนใช้ประโยคนี้ทดสอบความแกร่งของเส้นอารมณ์ท่านที่ปรึกษาแห่งสภาเวทคนนี้

                    "เจ้าขัดข้องอะไรหรือเปล่า...ซอนย่า" น้ำเสียงเป็นกันเอง ผิดกับเวลาพูดกับคนอื่น  แต่ซอนย่ายังดูเกรงๆอยู่บ้างเพราะคำพูดนั้นออกจะดูเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอร้อง


                   
    เธอพยักหน้าอย่างลังเล 


                   
    ...ใครล่ะจะอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมง...


                   
    "ดี...ข้าจะขอตัว  ปล่อยให้พวกท่านตัดสินใจกันเอง" เชอริลว่าพลางลุกขึ้น "แล้วพบกันซอนย่า.." หล่อนยกคันธนูขึ้นพาดบ่า เป็นวินาทีเดียวกับที่เซียร่าลุกขึ้นส่ง


                   
    "ข้าหวังให้เรื่องนี้จบในเร็ววัน"


                   
    "นี่...เป็นเพียงการเริ่มต้น"


                   
    ประโยคสุดท้ายพร้อมกับเสียงเหรียญทองค่าน้ำชากระทบกันบนเคาน์เตอร์  ร่างของท่านหัวหน้าพรานสาวก็หายออกไปทางประตูหน้า  เหลือไว้แต่เพียงความเงียบ  อาจเป็นเพราะคนที่เหลือกำลังนั่งคิดถึงชะตากรรมของตัวเองต่อไป...


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×