คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ปฐมบทแห่งการเดินทาง
รถม้าหลายคันควบผ่านไป เสียงกีบม้ากระทบผืนดินและล้อเกวียนบดลงบนพื้น ถูกกลบด้วยความวุ่นวายบนถนนกระเบื้องด้านหน้าที่ทอดยาวไปจนสุดตา สองข้างทางประกอบไปด้วยร้านรวงมากมายเบียดเสียดกัน เป็นต้นเหตุของเสียงอันชวนปวดหัว กรงโลหะที่นกนับสิบตัวอัดกันอยู่จนมันส่งเสียงร้องแสบแก้วหูอย่างถี่ๆ ถัดไปเหยี่ยวหลายพันธุ์กำลังยื้อแย่งซากหนูตายกันอย่างน่าสะอิดสะเอียนผสมกับกลิ่นจากเพิงเล็กๆที่ทำเป็นคอกม้าด้านตรงข้ามนั่น...ยิ่งน่าสะอิดสะเอียนเข้าไปใหญ่
'ตลาดค้าสัตว์' (หรืออย่างน้อยมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น) ที่ใหญ่ที่สุด (หรือเป็นเพราะมันมีอยู่ที่เดียว) ในอาณาจักร เป็นจุดเด่นของโรน์ในฐานะเมืองที่มีอาณาบริเวณติดกับป่ามากที่สุดหรือเรียกได้ว่ากลมกลืนกันไปเลย เพราะไม่มีกำแพงแบ่งเขตเมืองคงทำให้เมืองใหญ่อย่างโรน์ราวกับเป็นหมู่บ้านกลางป่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะสถาปัตยกรรมจากกระเบื้องสีสันสดใสขนาดใหญ่ที่ต้องแสงอาทิตย์เป็นประกาย ที่สุดปลายของถนนค้าสัตว์อันเป็นที่ตั้งของสภาเมือง
"ขอดูใบทะเบียนประชาชนด้วยครับ" เสียงพูดเรื่อยๆของทหารรักษาการณ์ปลุกคณะเดินทางทั้งหกจากภวังค์...ก่อนจะได้ไปชื่นชมความงามกัน คงต้องฝ่าด่านทหารรอบสองนี่ไปให้ได้ก่อน
"ใบทะเบียนประชาชน" ลูคัสกระซิบทวนคำกับหนุ่มจอมเวทที่ดูแล้วน่าจะให้คำตอบได้ดีที่สุด
"เป็นหนังสือรับรองว่าเราเป็นพลเมืองของที่ไหนน่ะครับ ถ้าเป็นนักเดินทางก็ต้องพกเอาไว้เพราะต้องถูกเรียกดูทุกเมือง"
"แต่ที่นี่ไม่เข้มงวดมาก ถ้ามาเป็นกลุ่มล่ะก็...ให้ดูคนเดียวก็ผ่านไปได้หมด" เซียร่าเสริมพลางมองไปรอบๆกลุ่มอย่างมีความหวัง
"พวกเราไม่มี...เราเป็นนักบวชนะ" คนที่เป็น 'นักบวช' แดกดัน
"ผมก็ไม่มีครับ เพราะที่สภาเวทยึดไว้เป็นหลักฐานตอนทดสอบแล้วบังเอิญผมก็ไปเจอกับคุณอัศวินสองคนนั้น แต่ถึงผมจะมีก็คงเอาให้ดูไม่ได้หรอกครับเพราะถ้าเป็นคนของโอเรเนคแล้วทางนั้นคง...."
"ช่างมันเถอะ" เซียร่าตัดบทพลางถอนใจ "แล้ว....." เธอหันไปหาอีกสองคนที่เหลืออย่างไม่จำเป็น นักฆ่าคงจะมีอยู่หรอก ไอ้ใบทะเบียนบ้าๆนี่
"สภาเวทอย่างนั้นรึ" เสียงตะโกนขัดจากทหารเมื่อครู่ที่ดูเหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นตราของสภาเวทบนเสื้อคลุมของท่านนักเวททั้งสอง
ซวย ! ดันไม่ยอมถอดเสื้อคลุมออกเสียก่อน
"ออกไปซะ! โรน์ไม่ต้อนรับพวกเจ้า"
"ข้าต้องมาพบ เชอริล คอนราด แห่ง......" คำอธิบายของเซียร่าถูกตัดด้วยเสียงตะโกนดังลั่น
"ไม่ใช่ธุระของข้า! ออกไปเสียก่อนที่ข้าจะต้องเรียกกองกำลังแห่งโรน์มาลากพวกเจ้าออกไป" ไอ้นี่มารยาทแย่กว่าไอ้ทหารที่โอเรเนคอีก...
"ข้าอุตส่าห์พูดดีๆด้วย" ท่านจอมเวทคนสำคัญขึ้นเสียงออกคำสั่งกับคนในบัญชาชั่วคราวที่บัดนี้ยืนประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้าม
"อยากสู้..." ทหารอีกนายเอ่ยเสียงสูงเป็นเชิงปรามาสแล้วคว้าเอาหอกเข้ามือ บรรยากาศชวนอึดอัดทั้งสองฝ่าย แน่นอนว่าการปะทะกันย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด หกต่อสองถึงสองคนจะเป็นนักบวชแต่อีกสองคนก็เป็นพวกสภาเวท ในทางกลับกันถ้ากองกำลังแห่งโรน์ที่กำลังลาดตระเวนรอบเมืองผ่านมาฝ่ายนั้นก็จะเสียเปรียบ
"เดี๋ยวค่ะ" เสียงแผ่วๆของนักบวชสาวที่ดังขึ้นขัด หรือจะเรียกว่ากู้สถานการณ์ ม้วนกระดาษเล็กๆถูกดึงออกมา มีตราประจำนครเอลเซสประทับอยู่
"ไอโซร่า จีเซ่ แห่งเอลเซส" การทวนชื่อบนทะเบียนประชาชนทำเอาอีกห้าคนที่เหลือ อึ้งสนิทแต่ตัวต้นเรื่องกลับพยักหน้ารับพร้อมกับปั้นเรื่องเข้าไปอีก "เราสองคนเป็นคณะนักบวชจากเอลเซสมาธุระแสวงบุญที่โรน์ค่ะ แต่ช่วงนี้มีข่าวเรื่องการลอบสังหารทางสภาเวทเลยส่งสองท่านนี้มาช่วยเรื่องความปลอดภัย ถ้ายังไง....คงต้องขอให้ติดตามเข้าไปด้วย" ราวกับต้องมนตร์ทหารรักษาการณ์ก็ยอมปล่อยพวกเขาเข้าเมืองไปแต่โดยดี ไม่ได้เปิดปากถาม...แม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนามหรือที่มาของคนที่เหลือ
เรน เซเวนน์....ร้ายกว่าภายนอกนัก
"ใครคือไอโซร่า จีเซ่" คำถามแรกถูกยิงใส่ทันที อย่างไรเสียก็ต้องมีใครสักคนที่จะถามคำถามนี้ขึ้นมาแต่โอกาสแบบนี้ไอ้เจ้าคนปากไวก็ไม่เคยพลาดอยู่แล้ว
"รุ่นพี่ที่โบสถ์น่ะค่ะ ส่วนใบทะเบียนนั่นฉันก็ไปหยิบๆเอามาจากตอนที่คณะนักบวชกลับมาจากแสวงบุญ" คำตอบไม่ได้เป็นที่สนใจของจอมเวทและนักฆ่า แต่ใบหน้าของลูคัสกลับดูจริงจังขึ้นอย่างผิดปกติ
...ในโบสถ์เรา ไม่มีคนชื่อไอโซร่า...
ก่อนที่ลูคัสจะได้เปิดปาก เสียงร้องแสบแก้วหูของเหยี่ยวบนฟากฟ้าเหนือตลาดค้าสัตว์ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ เป็นเสียงที่อำนาจมากขนาดทำให้เสียงดังวุ่นวายของตลาดค้าสัตว์สงบลงชั่วคราว มันบินวนต่ำลงท่ามกลางความสนอกสนใจของผู้คนบริเวณนั้นที่ชี้ชวนกันดู
เหยี่ยวหิมะ....ปกติจะพบเฉพาะบริเวณป่ารอบทะเลสาบโอเรและช่วงเวลาที่จะพบได้คือกลางฤดูหนาวเท่านั้น แผงขนสีขาวต้องกับลมที่ปะทะด้วยความเร็วสูงมันลดระดับลงเรื่อยๆ จนกระทั่งอยู่เหนือหัวพวกเขาไม่กี่ฟุตเป็นเวลาเดียวกับที่เซียร่ากางแขนออกก่อนที่เจ้าเหยี่ยวหิมะจะถลาไปเกาะอยู่บนไหล่ของท่านที่ปรึกษาแห่งสภาเวท
"เซกเตอร์" เธอลูบหัวมันเบาๆขณะที่ดึงเอาจดหมายที่ขามันออกมา
"นี่คือเซกเตอร์เป็นเหยี่ยวหิมะสายพันธุ์ที่ดีและฉลาดที่สุดของสภาเวท ตอนนี้มันเป็นสมบัติของข้า"
เธอกำลังแนะนำเหยี่ยวให้พวกเขารู้จัก !
ถ้ายัยนี่ไม่ได้สติไม่ดีคงเป็นเขานั่นแหละที่สติไม่ดีเอง...สาบานได้ว่าเห็นมันก้มหัวให้ทีหนึ่งด้วย
"ดีมาก..." เธอพูดกับมันขณะที่คลี่จดหมายออกอ่าน "พาข้าไปหานางทีสิ"
เจ้าเหยี่ยวหิมะกางปีกออกแล้วถลาออกไป มีเซียร่าเร่งฝีเท้าตามไปติดๆ
"เดี๋ยว ! แล้วเราจะไปไหน" เสียงตะโกนของเจ้านักบวชไล่หลังไป แต่ในเมื่อคนที่เหลือต่างพากันเดินตามไปเช่นกัน นักบวชเรื่องมากดูจะไม่มีทางเลือกเท่าไรนัก
การ 'ตาม' สิ้นสุดลงเมื่อเจ้าเหยี่ยวตัวดีบินไปเกาะบนต้นไม้ใหญ่กลางลานกว้าง ส่วนนี้ของเมืองอยู่ห่างจากตลาดพอสมควรทีเดียว...ได้ยินเสียงจากตลาดแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่านี่ยังอยู่ในตัวเมืองหรือสู่เขตป่าของพวกนักล่าแล้ว
นักบวชสาวนั่นหอบหายใจถี่ๆอย่างเหนื่อยอ่อนได้สมบทบาท
ส่วนลูคัสก็เริ่มก่นด่า...นี่ก็สมบทบาท กับจอมเวทลัวร์ที่ยังคงยืนตีหน้าซื่อแปลกๆ
มันคงจะเนียน....ถ้าไม่ใช่เพราะสัญชาตญาณบอกเขาว่าบริเวณนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญอยู่อีกเป็นสิบ หรือถ้าจะพูดให้ถูก
พวกเขานั่นแหละที่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญ
"เจ้าน่าจะถอดเสื้อคลุมออกเสียนะ" โซฟิเลียเอ่ยขึ้นในที่สุด นัยน์สีน้ำตาลปราดมองไปทางจอมเวททั้งสอง ลัวร์ทำตามอย่างว่าง่ายแต่เซียร่าส่งสายตาอย่างเป็นคำถามมาเล็กน้อย
พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกจอมเวทถึงไม่ชอบถอดเสื้อคลุมออกทั้งๆที่อากาศร้อนอบอ้าวเช่นนี้ ชุดใต้เสื้อคลุมเป็นแค่เสื้อกับกางเกงสีขาวเชยๆ แม้แต่ท่านที่ปรึกษาคนสำคัญก็ยังได้แค่ชุดกระโปรงสีเดียวกัน
"แล้วก็หยิบคทาขึ้นมาด้วย" เสียงเหี้ยมๆดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งเมื่ออีกหนึ่งมือสังหารเรียกดาบเข้ามือในท่าเตรียมพร้อมราวกับจะปะทะกับคนเป็นกองทัพ ก่อนที่จะมีปากไหนได้เอ่ยอะไรออกมา ลูกธนูก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ที่ใกล้ตัวท่านรองหัวหน้าสมาคมนักฆ่ามากที่สุด
เสียงแหวกอากาศของดาบที่เร็วกว่าความเร็วของลูกธนูฝ่ายตรงข้าม ที่ถูกปัดกระเด็นออกไปอยู่ใกล้กับนักบวช...ที่ส่งเสียงร้องเอะอะออกมาอย่างหมดสภาพความเป็นผู้ละซึ่งกิเลสโดยสิ้นเชิง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ให้บาทหลวงมาบอกเองคงไม่มีใครเชื่อว่าไอ้คนในชุดเสื้อคลุมสีขาวนี่น่ะ...มันเป็นนักบวช
"แน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาสิ เจ้าพวกขี้ขลาดตาขาว" คำปรามาสจากคนที่สารรูปดูไม่ได้ที่สุดตอนนี้
...เซียร่า ราลอส...ขนาดตกอยู่ในวงล้อมศัตรูเจ๊แกยังกล้าออกคำสั่งชนิดไปอายฟ้าดิน คงต้องยอมรับว่าแม้ไม่ต้องพึ่งเสื้อคลุมอันหรูหราของสภาเวทแต่ความมีอำนาจในน้ำเสียงของหล่อนก็ไม่ได้ลดน้อยลงแม้แต่น้อย
เสียงปรบมือแผ่วๆดังมาแต่ไกลพร้อมกับที่ร่างของสตรีผู้หนึ่งจะค่อยๆก้าวออกมาจากพุ่มไม้ ผมสั้นสีเหลืองทองซึ่งไม่ใช่สีปกติของหญิงสาวโรน์ พอจะบอกได้ว่าเธอน่าจะเป็นคนของหมู่บ้านนักล่ามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อที่ไหล่ซ้ายของเธอมีคันธนูพาดอยู่ ประกอบกับการที่เธอเลือกที่จะเป็นคนแรกที่ปรากฏตัวออกมา ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่าเธอผู้นี้ก็คือ...เชอริล คอนราด ผู้นำแห่งหมู่บ้านนักล่า...
"ข้าเห็นด้วยกับสาวน้อยนักฆ่านี่นะ...เจ้าไม่สมควรที่จะใส่อะไรล้ำสมัยถูกใจชาวโรน์แบบนี้เข้ามาในเมืองเลย" เสียงหวานใสแบบเด็กสาวที่เพียงประโยคเดียวก็แดกดันทั้ง 'สาวน้อยนักฆ่า' ที่ตอนนี้คงกำลังพยายามรักษาสีหน้าเฉยชานั้นอย่างยากเย็น กับ 'เจ้าของแฟชั่นล้ำสมันถูกใจชาวโรน์' ทั้งสอง ทว่าลัวร์เลือกที่จะแสดงออกต่อไมตรีนี้ด้วยการหัวเราะเบา ๆ แต่เซียร่าเลือกที่ยืนทำหน้าเคร่งตามสูตร
"แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านรองฯหรอกนะ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องปะทะกับฝ่ายเดียวกัน เมื่อครู่ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่เชื่อว่าคงจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงของท่านรองฯหรอกนะคะเพราะแค่ลูกธนูเล็กๆดอกเดียว" เธอยังคงพูดต่อไป เป็นวาจาที่คมกริบขนาดคนปากมากอยากตายเร็วที่ชอบปะทะคารมกับคนทั่วราชอาณาจักรอย่างลูคัสยังต้องยอมแพ้ปิดปากเงียบ
"ส่วนที่ว่าขี้ขลาดตาขาวไหมนี่ถ้าเราไม่ลองประมือกันดูสักครั้งก็คงยังไม่อาจทราบหรอกนะคะท่านที่ปรึกษาแห่งโอเรเนค ข้าจะขอเรียกมันว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งมากกว่า" คำพูดที่ดูจะเหมือนคำขู่เสียมากกว่าไม่ทำให้คนที่ถูกท้ามีปฏิกิริยาทางสีหน้าแต่อย่างใด
"ข้าจะขอเชิญท่านที่หมู่บ้าน...หรือหากท่านจะสะดวกในเมืองมากกว่า" คำเชิญของคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าพวกเขากำลังยืนสนทนากันอยู่กลางป่ากลางเขา เป็นคำเชิญที่ดูแล้วไม่มีความน่าสนใจทั้งสองที่ โรน์ที่เพิ่งจะมีเรื่องกับทหารยามหน้าเมืองมาสดๆร้อนๆ กับหมู่บ้านนักล่าที่ท่านจอมเวทของเราเพิ่งจะไปสบประมาทคนทั้งหมู่บ้านเมื่อครู่ที่ผ่านมานี่เอง จากการประเมินผลแล้ว....
"ในเมืองน่าจะดีกว่า หากท่านจะกรุณา"
"แน่นอน พวกเจ้ากลับไปทำหน้าที่ของตัวเองได้แล้วส่วน ซอนย่าตามข้ามา" เธอสั่ง ก่อนที่คณะเดินทางทั้งหก จะรู้ตัวว่ามีนักล่ากว่าสิบชีวิตยืนรายล้อมอยู่รอบบริเวณ หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาที่ลาน เธอมีผมสีเดียวกับเชอริลเสียแต่ว่าผมของเธอซอยเป็นชั้นๆให้เข้ากับใบหน้า แต่ทั้งการแต่งตัวแม้แต่คันธนูของเธอก็เรียกได้ว่า 'เลียนแบบ' เชอริลมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
"นี่คือ ซอนย่า ราเรเวล...เธอเป็นมือขวาของข้า" หัวหน้าพรานแนะนำคนของเธอ พร้อมกับที่คนถูกแนะนำโค้งให้อย่างสุภาพ
ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ก่อนที่จะเจอกับไอ้บวชบ้านี่ คงจะคิดว่าเธอเป็นคนสุภาพเรียบร้อยไปแล้ว แต่ประสบการณ์อันน้อยนิดแต่ก็เพียงพอนี้บอกว่าอย่าดูคนที่หน้าตาหรือแม้แต่การกระทำเพียงชั่ววูบ
"เชิญ" เสียงของคนที่ออกเดินนำไป
ที่ที่พวกเขามากันก็คือ......ร้านเหล้า......
ให้ตาย....ชีวิตนี้ไม่มีที่สนทนากันที่ดีกว่านี้อีกแล้วใช่ไหม ? เสียงบ่นในใจของลูคัสขณะคนที่เดินนำมาเปิดประตูร้าน
ร้าง...น่าจะเป็นคำที่ดีที่สุดที่จะช่วยบรรยายฉากของร้านนี้ได้ ถ้าอยากขายดีกว่านี้น่าจะย้ายไปโอเรเนค...แต่ถึงกระนั้นร้านนี้ก็ไม่ได้ดูเก่า ไม่มีฝุ่นหรือหยากไย่...อย่างน้อยมันก็ดูดีกว่าโรงเตี๊ยมกลางทางนั่นเป็นไหนๆ
"ข้าขอเหมือนเดิม" เชอริลตะโกนสั่งเมื่อทุกคนนั่งลงบนโต๊ะกลมตัวหนึ่ง คงมีเพียงคนคุ้นเคยกันเท่านั้นที่จะกล้าสั่งอะไรดังลั่นร้านเช่นนี้
"วอดก้า" เสียงสั่งเหล้าดังขึ้นจากอีกฝากของโต๊ะ การพูดจาแบบนี้คงหนีไม่พ้นว่าออกมาจากปากของลูคัส
ในใจของนักบวชที่มาด้วยกันอีกคนนั้นคงนึกอยากห้ามใจจะขาด...แต่ด้วยสาเหตุบางประการทำให้หล่อนนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น
ไม่ช้าเครื่องดื่มก็ถูกลำเลียงมาตั้งบนโต๊ะกลม
ลูคัสเอื้อมมือไปคว้าแก้วทรงเตี้ยที่สุดบนถาด แต่เซียร่ากลับชักแก้วหนี
"เจ้าดื่มไม่ได้ เจ้าเป็นนักบวชนะ"
นักบวชด้วยกันไม่สนใจจะห้ามปรามคนนอกรีตแต่จอมเวทกลับมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
"ไม่เกี่ยว ! กฎหมายไม่ได้บอกไว้เสียหน่อยว่าห้ามนักบวชดื่มน่ะ" ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวแย่งแก้วมาได้แล้วกระดกรวดเดียวหมด คราวนี้มาดนักบวชคงกระเด็นออกไปชนิดหาใหม่ไม่ได้อีกแล้ว
แต่ก่อนที่คู่กรณีจะได้เริ่มการปะทะคารมกัน เสียงของหัวหน้าพรานสาวก็ดังข้ามโต๊ะมา "ถึงแม้ว่าข้าจะเห็นใจที่ท่านเดินทางกันมาเหนื่อย แต่ข้าก็คิดว่าการเริ่มเรื่องจริงจังกันเลยดูจะไม่เสียหายนะคะท่านเซียร่า"
ประโยคนั้นคงช่วยทำให้ลูคัสรอดตายไปอีกวัน
"แนะนำตัวกันก่อนดีไหมครับ..." จอมเวทหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อท่านมหาเวทตรงหน้าเขาทำทีจะปะทะคารมต่อกับสาวนักล่า "ลัวร์ นีอาร์เมยินดีที่ได้รู้จักนะครับ"
"ลัวร์ นีอาร์เมหรือ..." เชอริลทวน
"ใช่ นักเวทที่เราไปพบเข้าโดยบังเอิญระหว่างที่ถูกพวกอัศวินลอบทำร้ายในโอเรเนค คนที่มีคทาแห่งโรน์ตามที่ข้าแจ้งมาแล้วในจดหมายกับเซกเตอร์"
คทาแห่งโรน์
โรน์...เมืองที่ไร้ซึ่งเวทมนต์โดยสิ้นเชิงและปฏิเสธเวทมนต์ทุกชนิด แล้วทำไมคทานั่น ถึงได้ชื่อว่าคทาโรน์
บรรยากาศยังคงเป็นปกติเมื่อคนที่เหลือแนะนำตัวเอง
ดูเหมือนว่า...นักล่าพวกนี้จะไม่ให้ความสนใจกับนักบวชแห่งเอลเซสแม้คนจากเอลเซสจะออกแสวงบุญในโรน์กันเป็นจำนวนมาก ป่าอันเงียบสงบ บริเวณรอบหมู่บ้านของเหล่าพรานเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกจิต
สำหรับนักฆ่า...พวกนั้นน่าจะรู้จักกันดีเพราะถึงขนาดเรียกชื่อล้อเล่นกันได้
"สภาเวทจ้างนักฆ่าตัดราคากับพวกอัศวิน...น่าเก็บไปเล่าในวงน้ำชาเสียจริง จอมเวทกระเป๋าหนักกับนักฆ่าไส้แห้งเพราะอย่างไรเสียเงินค่าจ้างก็คงจะถูกหัวหน้าอุบอิบ" ประโยคแดกดันที่ยิงที่เดียวได้นกสองตัว
...หรืออาจจะสาม...
คนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ได้แต่เพียงยิ้มแห้งๆอย่างปรามๆ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นหัวหน้า ซอนย่าคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าสวดภาวนาไม่ให้ใครคนหนึ่งหรือทั้งสามคนนั้นลุกขึ้นมารุมกระทืบ
"แล้วของอยู่ที่ไหนล่ะ" เซียร่าเปลี่ยนเรื่อง...เป็นเรื่องที่เธออยากรู้มากที่สุดที่เป็นสาเหตุให้เธอยอมมานั่งเป็นขี้ปากให้คนตรงหน้า
"ถูกแมวขโมยไปแล้ว" น้ำเสียงสบายใจของคนที่ถูกถาม แต่ก็ยอมอธิบายเสริมแต่โดยดีเมื่อเห็นสีหน้าของคนถาม " ท่านมาช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อวันก่อนเจ้าเมืองโรน์ได้มาขอมันไปจากข้าด้วยตัวเอง"
"แล้วท่านก็ยอมให้ !"
"เป็นท่านจะปฏิเสธหรือไง !"
เสียงแหลมสูงที่ตะโกนใส่กันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจคนที่ยังนั่งหน้าสลอนกันอยู่รอบโต๊ะ
เซียร่าถอนหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงอันราบเรียบ "แล้วตอนนี้ของอยู่ที่ไหน ท่านพอจะรู้ไหม"
"ยาริส"
"เรามีเวลาไม่มากนัก ข้าไม่อยากถ่อไปถึงยาริสแล้วไม่ได้อะไรกลับมา" สีหน้าของเธอพอจะบ่งบอกถึงความเครียดในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี
"ของนั่น...คงจะถูกนำไปเป็นของขวัญในงานหมั้นของลูกสาวเจ้าเมืองยาริส สินะครับ" เสียงจากลัวร์ กับข้อมูลที่ไม่มีใครสนใจใคร่รู้ว่ามันไปรู้มาจากไหน
เชอริลพยักหน้ายืนยัน
"อีกอย่างข้าก็ไม่คิดจะเอาเปรียบท่านด้วยการให้ท่านมาถึงที่นี่แล้วกลับไปมือเปล่า ข้าได้ให้สายข่าวของข้าไปสืบมาว่าของอีกชิ้นน่าจะอยู่กับเจ้าเมืองดราซ์ดซาน ซึ่งจะนำไปมอบให้แก่เจ้าเมืองยาริสเช่นกัน แต่...เรื่องนี้สายข่าวของสมาคมนักฆ่าน่าจะได้ข้อมูลก่อนเรานะ สมาคมมีสายฝีมือเยี่ยมอยู่คนหนึ่งนี่"
"ท่านคงจะตกข่าว สายคนนั้นตอนนี้ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว" โซฟิเลียเอ่ย เป็นที่รู้กันดีว่า 'ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว' นั้นก็หมายความว่าตายไปแล้วนั่นเอง แต่...มือสังหารสาวคนนี้จะมีส่วนเกี่ยวพันกับ 'สาย' คนนี้ไหม สีหน้าไร้อารมณ์ตามปกติของหล่อนก็ไม่ได้ให้คำตอบไว้
"แล้วก็..." เธอว่าต่อ ราวกับบทสนทนาเมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น "ข้าจะให้ซอนย่าไปช่วยพวกท่านด้วยอีกแรง เป็นการขอโทษที่รักษาของไว้ไม่ได้ แล้ว....งานนี้ก็ไม่ใช่งานที่ควรฉายเดี่ยว"
ประโยคทิ้งท้ายที่ราวกับว่ามีใครเคยพูดมาก่อน เป็นครั้งที่สองในรอบหลายวันมานี้ที่มีคนใช้ประโยคนี้ทดสอบความแกร่งของเส้นอารมณ์ท่านที่ปรึกษาแห่งสภาเวทคนนี้
"เจ้าขัดข้องอะไรหรือเปล่า...ซอนย่า" น้ำเสียงเป็นกันเอง ผิดกับเวลาพูดกับคนอื่น แต่ซอนย่ายังดูเกรงๆอยู่บ้างเพราะคำพูดนั้นออกจะดูเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอร้อง
เธอพยักหน้าอย่างลังเล
...ใครล่ะจะอยากเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมง...
"ดี...ข้าจะขอตัว ปล่อยให้พวกท่านตัดสินใจกันเอง" เชอริลว่าพลางลุกขึ้น "แล้วพบกันซอนย่า.." หล่อนยกคันธนูขึ้นพาดบ่า เป็นวินาทีเดียวกับที่เซียร่าลุกขึ้นส่ง
"ข้าหวังให้เรื่องนี้จบในเร็ววัน"
"นี่...เป็นเพียงการเริ่มต้น"
ประโยคสุดท้ายพร้อมกับเสียงเหรียญทองค่าน้ำชากระทบกันบนเคาน์เตอร์ ร่างของท่านหัวหน้าพรานสาวก็หายออกไปทางประตูหน้า เหลือไว้แต่เพียงความเงียบ อาจเป็นเพราะคนที่เหลือกำลังนั่งคิดถึงชะตากรรมของตัวเองต่อไป...
ความคิดเห็น