ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Jewel Quest

    ลำดับตอนที่ #4 : คำขอร้อง(หรือบังคับ)

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 50



                  
    หลังผ่านสามวันอันทรหดจากปากที่ดูจะมีปัญหาของนักบวชนั่น  คณะเดินทางทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่ริมทะเลสาบโอเร  เห็นบริเวณเมืองที่ตั้งอยู่บนทะเลสาบอย่างน่าอัศจรรย์ กับแพถ่อลำหนึ่งที่ไม่รู้ว่านักฆ่านั่นไปสรรหามาจากไหน  แถม...ยังรู้วิธีถ่อแพดีชนิดเพียงครู่เดียวพวกเขาก็มาลอยอยู่กลางทะเลสาบกว้างนี่แล้ว


                   
    โอเรเนค...เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีปราการธรรมชาติและมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร  ทะเลสาบโอเรนี่ทำเอาป้อมปราการแห่งเอลเซสกลายเป็นของเด็กเล่นได้ง่ายๆ   นอกจากนี้โอเรเนคยังเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและใช้เวทมนตร์ของอาณาจักร เป็นที่ตั้งของสภาเวทมนตร์แห่งโอเรเนคจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโอเรเนคจึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยมากมายนัก


                   
    "ทำไมเราต้องมานั่งถ่อแพแบบนี้ด้วยล่ะ  ว่ายข้ามไปไม่ได้หรือไง" คำถามจากนักบวชปากมากแม้มันจะรู้คำตอบอยู่ในใจก็ยังอุตส่าห์ถามออกมาดังๆ


                   
    "ให้เจ้าลงไปก่อนเป็นไง" นักฆ่าหนุ่มกล่าวพร้อมกับเงื้อเท้าเตรียมถีบ 


                   
    "หาเรื่องหรือไง ไอ้นักฆ่าไร้น้ำยา"


                   
    "ว่าไงนะ ! ไอ้นักบวชนอกรีต"


                   
    คนถ่อแพยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไปอย่างไม่สนใจรายการไล่ถีบกัน


                   
    ฉับพลันแพก็โคลงอย่างแรงจนอีกสตรีที่นั่งมาด้วยกันต้องเอ่ยปาก


                   
    "หยุดก่อนเถอะค่ะ...แบบนี้ฉันเมาเรือนะคะ"


                   
    คำขอได้ผลชะงัดเมื่อเจ้านักบวชยกมือยอมแพ้แล้วเปลี่ยนที่ไปนั่งใกล้ๆเธอ ส่วนนักฆ่าที่เส้นอารมณ์กำลังขาดก็ย้ายไปอยู่อีกฟาก


                   
    โครม
    !


                   
    แพโคลงอีกระลอกใหญ่ 


                   
    "ฉันยังไม่ได้ทำอะไรนะ" คำแก้ตัวอย่างกินปูนร้อนท้องของเจ้านักบวชถูกขัดด้วยต้นตอแท้จริงที่ทำให้แพที่ลอยลำอยู่บนพื้นน้ำสงบนิ่งนั้นเริ่มเสียสมดุล กระแสลมพัดกรรโชกขึ้น พื้นนภาเปลี่ยนสีเข้มอย่างรวดเร็วผิดปกติ ประสานกับเสียงกรีดร้องของนักบวชสาวที่กำลังถูกกระแสน้ำพัดลงไปพร้อมๆกับเสียงตะโกนของคนถ่อแพ


                   
    "น้ำวน !"


                   
    "ในทะเลสาบเนี่ยนะ" ลูคัสสบถ  มือข้างหนึ่งกำลังยื้อแย่งร่างนักบวชสาวจากกระแสน้ำ อีกมือก็ยึดแพไว้แน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่คนๆเดียวที่จะถูกกระแสน้ำพัดพาหายไป


                   
    แพกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะทานแรงน้ำกับแรงต้านด้านบนไม่ไหว


                   
    "ยิงพลุเวทขึ้นฟ้าสิคะ  ขอความช่วยเหลือจากทหารยามฝั่งโน้น" เสียงสั่นๆจากคนที่กำลังลงไปแช่น้ำเล่น  ทั้งที่ชีวิตจะอยู่หรือจะไปตัดสินกันที่พละกำลังของไอ้นักบวชปากมากที่ดูแล้วพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แต่เธอยังมีสติดีพอจะคิดหาทางรอดให้คนอื่นอีกหรือ


     
                   แต่...ปัญหาของทางออกนี้มีเพียงปัญหาเดียวคือ...คนที่มีความสามารถจะจุดไอ้พลุบ้านี่ได้ก็มีอยู่แค่ 2 คนบนแพนี่ แล้วไอ้ 2 คนที่ว่านั่นก็กำลังลอยเท้งเต้งกันอยู่ในน้ำ


                   
    ส่วนอีกคนที่เหลืออยู่ก็กำลังพยายามถ่อแพสู้กับแรงกระแสน้ำแล้ว...


                   
    ซีนิกส์รีบคว้าคทาของเรนขึ้นมาก่อนจะเอ่ยปาก


                   
    "ต้องทำยังไง"


                   
    "แค่เพ่งสมาธิ  นึกถึงแค่ว่าตัวเองกำลังแย่...กำลังต้องการความช่วยเหลือ" คำตอบจากลูคัสน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังแต่ฟังแล้วอยากกระโดดลงน้ำวนนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไป  ต้องการความช่วยเหลือ....จะให้คนอย่างเขามีความคิดแบบนี้น่ะหรือ...ให้ตาย...


                   
    เสียงกรี๊ดกร๊าดของเรนทำให้สติกลับเข้าที่เข้าทางอย่างเก่าก่อนจะหลับตาแล้วเพ่งสมาธิ


                   
    ภาพหลายภาพผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วจนดูตามไม่ทัน...หรือพูดให้ถูกคือไม่ต้องการดูตามให้ทันเสียมากกว่า


                   
    ฟิ้ว
    !    ตูม !


                   
    เสียงพลุเวทถูกยิงขึ้นฟ้าไป  คนที่กำคทาอยู่ด้วยท่าทีประหลาดรีบลืมตาขึ้นโดยเร็ว  ราวกับคนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย


                   
    ความสูงของพลุขนาดนั้น  ไม่ช้าที่ฝั่ง ทหารยามสองสามคนดูเหมือนจะเห็นเหตุการณ์นี้  แล้วนักเวทในชุดเสื้อคลุมของสภาเวทก็ปรากฏกายที่ริมฝั่ง  คณะเดินทางถูกเวทเอาตัวขึ้นมาจนถึงฝั่งได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย


                   
    "พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่" น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของทหารยาม


                   
    อะไรกัน...ไม่ทันจะได้ทำใจ...รับขวัญกันก็ถามจี้เสียแล้ว  ทหารโอเรเนคนี่ช่างมารยาทแย่จริงๆ


                   
    "เราต้องการพบเซียร่า  ราลอส" ซีนิกส์ตอบกลับไป  ทั้งที่รู้ว่าถ้าตอบไปเช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่าแผนการที่จะพรางเข้าโอเรเนคทั้งหมดก็ต้องเป็นอันจบ  แต่ในเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจเช่นนี้...ย่อมไม่มีทางเลือก


                   
    ที่นัยน์ตาของทหารคนนั้นดูจะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของท่านมหาเวท


                   
    "เจ้าไม่รู้หรือไงว่าที่โอเรเนคจะเข้าออกเมืองได้ต้องมีหนังสือรับรอง" ทหารคนเดิมตะคอกใส่ซีนิกส์


                   
    ช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว...ประโยคที่ว่า
    'ไม่รู้หรือไง' นี่เป็นของทางนี้ต่างหาก


                   
    "คือ...เราก็มีหนังสือรับรองค่ะ"  เรนเอ่ยแทรกเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีเสียแล้ว


                   
    ทหารยามที่หน้าเสียเล็กน้อยรับไปคลี่อ่านก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น
    "คณะนักบวชจากเอลเซสยินดีต้อนรับสู่โอเรเนค ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ แต่ตามที่ท่านเซียร่าได้แจ้งมาว่าพวกท่านจะมาถึงในวันพรุ่งนี้"


                   
    "เปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะค่ะ"  นักบวชสาวตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูยังไงก็เหมือนยิ้มเพื่อเอาตัวรอดเสียมากกว่า


                   
    "ท่านคือเรน  เซเวนน์ ส่วนนักบวชท่านนั้นคือท่านลูคัส  วาเชนอล์ฟ ที่แจ้งมาในจดหมาย  แล้ว...สองคนนั่นล่ะครับ"


                   
    "คือ..." คนถูกถามอ้ำอึ้ง  สีหน้าในตอนนี้บ่งบอกว่าในใจของเธอคงกำลังคิดว่า 'จะให้บอกว่าเป็นนักฆ่าที่บังเอิญอยากร่วมทางมาด้วยกันหรือไง'


                   
    "เป็นผู้ติดตามคอยอารักขาคณะนักบวชน่ะ  มีข่าวไม่ดีเรื่องการลอบสังหาร เลยต้องป้องกันไว้ก่อน ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้ทางนี้ทราบก่อน" ประโยคที่ดังขึ้นอย่างช่วยชีวิตคณะเดินทางทั้งสี่เอาไว้ได้ทันท่วงที


                   
    น้ำเสียงหนักแน่ทุกคำพูดแม้ไอ้ที่พูดออกมานั่นจะไม่เป็นจริงสักนิด กับแววตามั่นคงแน่วแน่และแสดงเจตนารมณ์ที่จริงจังขนาดนั้น ถึงแม้ประโยคเมื่อครู่จะเป็นคำสั่งให้เอาชีวิตใครสักคน  คนฟังก็คงจะยอมทำตามแต่โดยดี กับวาจาสิทธิ์ของมหาเวทนาม
    'เซียร่า ราลอส'


                   
    สตรีเครื่องหน้าจริงจัง เส้นผมสีน้ำเงินถูกรวบไว้เป็นมวยยิ่งเสริมความดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีก ใต้แว่นครึ่งวงกลมนั้นนัยน์ตาสีครามที่มั่นคง กับรัศมีแห่งความเป็นผู้นำประกอบกับชุดเสื้อคลุมของสภาเวท ที่ทั้งสี  เนื้อผ้า และสายประดับที่ดูหรูหราพวกนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอจะดำรงตำแหน่งที่ใหญ่เพียงใดในสภา


                   
    "งั้น...ขอเชิญท่านทั้งสี่ฝากอาวุธแล้วเข้าเมืองได้เลยครับ" ทหารกล่าวพลางโค้งให้เซียร่า


                   
    "ฝากอาวุธ" โซฟิเลียเปรยขึ้นเสียงเย็น ด้วยแววตาที่บ่งบอกชัดเจนว่า 'อยากเห็นเจ้าลองยึดอาวุธข้านัก'


                   
    "ไม่จำเป็นหรอก  นักบวชสองคนกับผู้ติดตาม  เจ้าคิดว่าข้าจะดูแลไม่ได้หรือ"


                   
    ...เนียนมาก...


                   
    ทหารที่อึกอักอับจนด้วยคำพูดเมื่อโดนกล่าวหาว่าดูถูกจอมเวทแห่งสภาโอเรเนคเข้าให้เสียแล้ว  ในที่สุดเขาก็ต้องยอมเปิดทางให้พวกเขาเข้าไป


                    "ตามฉายาแล้วโอเรเนคคือนครแห่งปราชญ์ สถานที่ศึกษาเวทมนตร์แห่งเดียวในอาณาจักร ปีๆหนึ่งสภาผลิตนักเวทรุ่นใหม่ๆมากมายเพื่อทำงานให้กับสภาเวทและเมืองต่างๆ...แต่ว่าตามฉายาที่พวกนักเดินทางเรียกเล่นๆก็คือนครหินอ่อน"


                   
    ท่านมหาเวทตรงหน้ากำลังอธิบายรายละเอียดเมืองราวกับเป็นคนนำเที่ยวก็ไม่ปาน แต่ก็เห็นจะจริงดังว่า ทั้งพื้นถนน อาคารบ้านเรือน หรือแม้แต่ม้านั่ง ของประดับก็ทำมาจากหินอ่อนทั้งสิ้น


                   
    เธอสอดสายตาดูให้พ้นจากรัศมีการมองเห็นของพวกทหารยามก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคณะเดินทางที่ประหลาดที่สุด


                   
    "เธอคงเป็นเรน เซเวนน์สินะ" เซียร่าเอ่ยแล้วเจ้าของชื่อก็พยักหน้าตอบ


                   
    "แล้ว..."


                   
    "ลูคัส  วาเชนอล์ฟ  นักบวชแห่งเอลเซส" เจ้าตัวโค้งให้อย่างสุภาพผิดวิสัย ป่านนี้คงกำลังนึกอยากกัดลิ้นตาย แต่จะทำอย่างไรได้...ท่านบาทหลวงกำชับมานักหนาแล้วว่าอย่าให้เสียชื่อ  ไอ้เขาก็ไม่ใช่คนชอบเรื่องที่เป็นพิธีรีตองเสียด้วย


                   
    "โซฟิเลีย  เมลลาเรน" เสียงเย็นชาเอ่ยสั้นๆเมื่อเซียร่าหันมาทางเธอ แล้วเท้าท่านมหาเวทก็ก้าวถอยหลังไปอย่างลืมตัว คนมาดมากก็เกือบจะส่งเสียงร้องออกไปอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินชื่อถัดมา


                   
    ...ซีนิกส์  โชเมส...


                   
    "พวกเจ้า...คือ..."


                   
    "นักฆ่าจากดราซ์ดซานไง  ตัวเองเป็นคนส่งจดหมายไปเตือนเราแท้ๆ ไม่นึกนะเนี่ยว่าพวกนักฆ่าอำมหิตสองคนนี่จะเป็นคนดังขนาดท่านมหาเวทแห่งสภาโอเรเนคยังต้องตามกรี๊ด" ประโยคกวนๆที่คงไม่ต้องบอกว่าหลุดมาจากปากใคร ทั้งที่ตอนแนะนำตัวมันก็ดูดีมีเครดิต แต่ตอนนี้นี่สิ...


                   
    "เดี๋ยวข้าคงต้องส่งเหยี่ยวไปขอบคุณท่านหัวหน้าสมาคมนักฆ่าเสียแล้ว" เซียร่าเอ่ยอย่างสดใสกลั้วเสียงหัวเราะรื่นเริง 


                   
    คงไม่ทันฟังไอ้นักบวชปากเสียนั่นเป็นแน่


                   
    "ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้พวกท่านฟังเดี๋ยวนี้ แต่เราคงต้องหาสถานที่  ที่ดูดีกว่านี้สักหน่อยนะ" เธอเอ่ย ตอบสีหน้าแสดงความสงสัยของทุกคนก่อนจะก้าวเร็วๆนำไป


                   
    ที่เหมาะๆที่ว่านี่ก็คือ...ร้านอาหารในเมืองซึ่งมีเพียงร้านเดียว  แล้วปริมาณคนในร้านก็...โคตรเยอะ  แม้จะสมควรอยู่เพราะนักเวทที่ศึกษาเวทที่นี่ไปจนถึงบุคคลที่ทำงานให้สภาเวททั้งหมดก็มีร้านนี้ร้านเดียวไว้เลี้ยงปากท้อง 


                   
    โชคดีที่ท่านจอมเวทของเรา
    'เส้นใหญ่' ถึงมีเจ้าของร้านมาต้อนรับและจัดที่นั่งให้


                   
    "นี่น่ะหรือที่ดีๆ พูดกันยังแทบไม่ได้ยิน" ทันที่ทิ้งตัวลงนั่งปากของลูคัสก็เริ่มทำงาน


                   
    "เรื่องนี้เป็นความลับของสภาเวท" เซียร่าเอ่ยตอบ  ในใจนึกรำคาญเสียแล้วกับปากมากความของนักบวชที่เธอเป็นคนชวนมาร่วมทางเอง


                   
    "แล้วทำไมมาที่นี่เล่า  คนเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็มีคนแอบฟังกันพอดี" คนไม่ชอบสงบปากสงบคำก็ยังไม่รู้ตัว


                   
    "ถึงจะอยากแอบฟังก็คงไม่ได้หรอกค่ะ  ขนาดเรานั่งใกล้ๆกันยังไม่ค่อยได้ยินเลย" เสียงของนักบวชสาวที่ฟังแปลกไปเพราะต้องตะโกน


                   
    อธิบายสิ่งที่
    'คนมีสมอง' น่าจะพอคิดออกมาเองได้


                   
    "เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน สายข่าวของสภาเวทได้รายงานเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของสมาพันธ์อัศวินในการโค่นล้มคณะปกครองที่แต่งตั้งโดยกษัตริย์ 


                   
    "อย่างที่พวกเจ้าคงจะทราบดีอยู่แล้วว่าอำนาจปกครอง แบ่งเป็นส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในมือสภาเวท อีกส่วนเป็นสมาพันธ์อัศวิน และอีกส่วนคือคณะปกครองที่กล่าวไป คิดง่ายๆตอนนี้อำนาจปกครองสองส่วนอยู่ในมือสมาพันธ์แล้ว ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นสมาพันธ์พยายามจะโค่นอำนาจสภาเวท  โดยอาศัยอำนาจจากอัญมณีโบราณ เพื่อจะได้มีอำนาจเวทที่เท่าเทียมกับเวทมนตร์ของประธานสภา 


                   
    "ข้า...ในฐานะที่ปรึกษาของสภาจึงมีหน้าที่รวบรวมอัญมณีนั้นให้ได้และทำลายมันเสียก่อนจะถึงมือสมาพันธ์   ปัญหาก็คือ...มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะจัดการเรื่องนี้คนเดียวและไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดถ้าจะขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ นอกจากจะผิดหวังแล้วเรื่องอาจจะถึงมือสมาพันธ์ได้ง่ายๆ"


                   
    "แล้วเจ้ามายุ่งกับงานลอบสังหารของเราทำไม" ซีนิกส์เอ่ยขัด


                   
    "เดิมที...สมาพันธ์จ้างพวกท่านให้กำจัดเรน  เซเวนน์และผู้ติดตามแล้วพวกมันจะได้แย่งเอาอัญมณีมา  แต่สายข่าวของข้าไวกว่าจึงเสนอให้หัวหน้าพวกท่านให้ส่งมือสังหารที่จะทำงานนั้นมาช่วยข้าแทน" ท่านมหาเวทอธิบาย  อดสังเกตไม่ได้ว่าสีหน้าของเธอดูจะร่าเริงขึ้นทุกขณะ


                   
    "แล้วท่านหัวหน้าก็ทำตาม" คนในบัญชาเริ่มมีอารมณ์


                   
    "ใช่...เพราะเงินค่าตัวที่ข้าเสนอให้  เป็นสามเท่าของพวกอัศวินเชียว"


                   
    คำตอบยิ่งทำให้ท่านรองฯ อ้าปากค้างสนิทอย่างลืมตัว


                   
    มือสังหารอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกายยังคงไม่มีอาการตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น  แม้หล่อนจะเป็นคนเย็นชาเพียงใด
      หากถูกหลอกใช้เช่นนี้ก็ควรมีอาการโกรธเคืองบ้างเป็นธรรมดา


                   
    นอกเสียจากว่า...


                   
    "เจ้าก็รู้เรื่องสินะ    เจ้ารวมหัวกับท่านหัวหน้าอีกแล้วสิ" เขาขึ้นเสียงใส่สตรีข้างกายทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์


                   
    "ใช่" คนต้นเรื่องให้คำตอบแทน "แต่ข้าก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะได้มือสังหารที่เก่งที่สุดของอาณาจักรสองคนมาร่วมทาง"


                   
    "แล้วเธอไว้ใจพวกนี้..." ลูคัสเปรยเสียงเรียบ


                   
    "นักฆ่ามีพันธะสัญญาที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย" คำตอบชัดเจนจากจอมเวทที่ไม่รู้ว่าไปรู้เรื่องของนักฆ่าได้ยังไง


                   
    "ใช่" ซีนิกส์ตะโกน "แล้วหน้าที่ของข้าคือกำจัดเรน  เซเวนน์กับผู้ติดตามไม่ใช่ร่วมทางไปกับเจ้า ถึงเจ้าจะอ้างว่าตกลงกับหัวหน้าแล้ว  แต่หัวหน้ายังไม่ได้มาสั่งข้าด้วยตัวเอง"


                   
    "ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่" เสียงเย็นๆของโซฟิเลียพร้อมกับม้วนกระดาษที่ส่งให้ "หัวหน้าสั่งให้ข้ามอบให้ท่านเมื่อพบกับจอมเวทแห่งสภาโอเรเนค"


                   
    ซีนิกส์รับมาคลี่อ่านแล้วถึงกับใบ้กิน  ได้แต่อ่านทวนอีกหลายรอบราวกับจะหวังให้ตัวเองอ่านผิดหรือหวังให้ลายมือนั้นไม่ได้เป็นของหัวหน้าตน


                   
    "เรียบร้อย"


                   
    "เออ...แล้วทำไมต้องส่งมือสังหารไปเอลเซสด้วยล่ะคะ น่าจะให้มาพบที่โอเรเนคนี่เลย"


                   
    "เรื่องนั้น...ข้าไม่รู้หรอก" เซียร่าตอบอย่างไม่ใส่ใจ "เป็นวิธีการของหัวหน้าสมาคมนักฆ่า  ไม่เกี่ยวกับทางนี้"


                   
    "คงเป็นเรื่องอะไรสนุกๆของท่านหัวหน้าอีกล่ะสิ"


                   
    ม้วนกระดาษถูกลนกับเทียนเชิงบนโต๊ะ มอดไหม้ไปพร้อมๆกับอารมณ์ของรองหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าอิสระ


                   
    ถึงจะเป็นนักฆ่าอิสระ
    ...ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอิสระขนาดนี้


                   
    "แล้วพวกเราล่ะ  ในจดหมายที่ส่งให้บาทหลวงน่ะ เธอบอกว่าจะอธิบายให้เราฟังไง" ลูคัสเอ่ยถามโดยไม่สนใจคนที่กำลังอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย


                   
    "ตระกูลวาเชนอล์ฟ  เป็นรายชื่ออันดับต้นๆที่ข้าค้นดูแล้วพบว่าเกี่ยวข้องกับการสร้างอัญมณีเหล่านั้น  ซึ่ง...ทายาทที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวของตระกูลวาเชนอล์ฟก็คือ ลูคัส  วาเชนอล์ฟ" คำตอบ...ที่ทำเอาคนถามอ้าปากค้างไปอีกคน  ยัยจอมเวทที่น่ากลัวจริงๆขนาดสามารถสืบไปถึงบรรพบุรุษของคนอื่นได้ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์


                   
    "แล้วเธอเรียกเรนมาทำไม" ลูคัสถามต่อ


                   
    "ได้ข่าวมาว่า...ตอนนี้อัญมณีแห่งตระกูลวาเชนอล์ฟ  เป็นสมบัติของเรน  เซเวนน์" อีกคำตอบ...ที่ทำเอาคนถามอึ้งกว่าเดิม  ขอถอนคำพูดที่ว่าน่ากลัวแล้วกัน...เปลี่ยนเป็น 'น่าสยดสยอง' เลยจะดีกว่า


                   
    ในที่สุดนักบวชปากมากก็ยอมปิดปากเงียบเป็นครั้งแรก


                   
    ...ถ้าจะต่อ...คงจะต้องต่อกันอีกยาว


                   
    "ถ้าท่านรู้ถึงขนาดนั้น...เข็มกลัดแห่งดราซ์ดซานซึ่งตอนนี้เป็นสมบัติของข้า  ข้อมูลคงไม่ตกหล่นไปจากมือท่านเป็นแน่" เสียงของมือสังหารสาวที่เอ่ยอย่างประเมินสถานการณ์ได้


                   
    จอมเวทพยักหน้าตอบ


                   
    "อัญมณีอีกชิ้นอยู่กับข้าแล้ว  และทางโรน์ก็ส่งข้อมูลมาว่า...เชอริล  คอนราด  ผู้นำแห่งหมู่บ้านนักล่านั้นมีอยู่ในครอบครองอีกหนึ่งชิ้น"


                   
    "เธอจะเอาเรื่องนี้มาบอกกับพวกเราทำไมกัน  คงไม่ใช่ว่า..." คนที่เกือบจะนั่งเงียบได้นานก็อดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยแทรก


                   
    "แน่นอน...ข้าบอกแล้วว่างานนี้ไม่ใช่งานที่ควรฉายเดี่ยว" น้ำเสียงสงบของจอมเวท  มันควรจะเป็นประโยคขอร้อง...แต่ฟังยังไงก็ไม่ให้ความรู้สึกนั้นเลยแม้แต่น้อย


                   
    "นั่นยิ่งแย่ใหญ่  ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าอยากช่วย" ประโยคที่ไม่ต้องเดาว่าออกจากปากใครในเมื่อมือสังหารทั้งสองก็ถูก 'ซื้อ' ไปแล้ว ส่วนนักบวชเรนนั่นก็ดูเป็นคนดีที่ปฏิเสธคำขอร้องของใครไม่ลง เหลือแต่ไอ้คนที่นั่งเกาหัวแกรกๆอย่างไม่รู้สึกผิด


                   
    "คนที่เป็นถึงนักบวชแต่ปฏิเสธความช่วยเหลือของคนทั้งหลาย  คนผู้นั้นก็ไม่สมควรเรียกตนเองว่านักบวชอีกต่อไป" ประโยคเรียบๆ  แต่เล่นเอาคนอย่างลูคัสอับจนด้วยคำพูด


                   
    ประโยคเรียบๆ...ของนักฆ่า นามซีนิกส์  โชเมส


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×