คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คำขอร้อง(หรือบังคับ)
หลังผ่านสามวันอันทรหดจากปากที่ดูจะมีปัญหาของนักบวชนั่น คณะเดินทางทั้งสี่ก็มาหยุดอยู่ริมทะเลสาบโอเร เห็นบริเวณเมืองที่ตั้งอยู่บนทะเลสาบอย่างน่าอัศจรรย์ กับแพถ่อลำหนึ่งที่ไม่รู้ว่านักฆ่านั่นไปสรรหามาจากไหน แถม...ยังรู้วิธีถ่อแพดีชนิดเพียงครู่เดียวพวกเขาก็มาลอยอยู่กลางทะเลสาบกว้างนี่แล้ว
โอเรเนค...เมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีปราการธรรมชาติและมาตรการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร ทะเลสาบโอเรนี่ทำเอาป้อมปราการแห่งเอลเซสกลายเป็นของเด็กเล่นได้ง่ายๆ นอกจากนี้โอเรเนคยังเป็นศูนย์กลางในการศึกษาและใช้เวทมนตร์ของอาณาจักร เป็นที่ตั้งของสภาเวทมนตร์แห่งโอเรเนคจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมโอเรเนคจึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยมากมายนัก
"ทำไมเราต้องมานั่งถ่อแพแบบนี้ด้วยล่ะ ว่ายข้ามไปไม่ได้หรือไง" คำถามจากนักบวชปากมากแม้มันจะรู้คำตอบอยู่ในใจก็ยังอุตส่าห์ถามออกมาดังๆ
"ให้เจ้าลงไปก่อนเป็นไง" นักฆ่าหนุ่มกล่าวพร้อมกับเงื้อเท้าเตรียมถีบ
"หาเรื่องหรือไง ไอ้นักฆ่าไร้น้ำยา"
"ว่าไงนะ ! ไอ้นักบวชนอกรีต"
คนถ่อแพยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไปอย่างไม่สนใจรายการไล่ถีบกัน
ฉับพลันแพก็โคลงอย่างแรงจนอีกสตรีที่นั่งมาด้วยกันต้องเอ่ยปาก
"หยุดก่อนเถอะค่ะ...แบบนี้ฉันเมาเรือนะคะ"
คำขอได้ผลชะงัดเมื่อเจ้านักบวชยกมือยอมแพ้แล้วเปลี่ยนที่ไปนั่งใกล้ๆเธอ ส่วนนักฆ่าที่เส้นอารมณ์กำลังขาดก็ย้ายไปอยู่อีกฟาก
โครม!
แพโคลงอีกระลอกใหญ่
"ฉันยังไม่ได้ทำอะไรนะ" คำแก้ตัวอย่างกินปูนร้อนท้องของเจ้านักบวชถูกขัดด้วยต้นตอแท้จริงที่ทำให้แพที่ลอยลำอยู่บนพื้นน้ำสงบนิ่งนั้นเริ่มเสียสมดุล กระแสลมพัดกรรโชกขึ้น พื้นนภาเปลี่ยนสีเข้มอย่างรวดเร็วผิดปกติ ประสานกับเสียงกรีดร้องของนักบวชสาวที่กำลังถูกกระแสน้ำพัดลงไปพร้อมๆกับเสียงตะโกนของคนถ่อแพ
"น้ำวน !"
"ในทะเลสาบเนี่ยนะ" ลูคัสสบถ มือข้างหนึ่งกำลังยื้อแย่งร่างนักบวชสาวจากกระแสน้ำ อีกมือก็ยึดแพไว้แน่น ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่คนๆเดียวที่จะถูกกระแสน้ำพัดพาหายไป
แพกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆเพราะทานแรงน้ำกับแรงต้านด้านบนไม่ไหว
"ยิงพลุเวทขึ้นฟ้าสิคะ ขอความช่วยเหลือจากทหารยามฝั่งโน้น" เสียงสั่นๆจากคนที่กำลังลงไปแช่น้ำเล่น ทั้งที่ชีวิตจะอยู่หรือจะไปตัดสินกันที่พละกำลังของไอ้นักบวชปากมากที่ดูแล้วพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย แต่เธอยังมีสติดีพอจะคิดหาทางรอดให้คนอื่นอีกหรือ
แต่...ปัญหาของทางออกนี้มีเพียงปัญหาเดียวคือ...คนที่มีความสามารถจะจุดไอ้พลุบ้านี่ได้ก็มีอยู่แค่ 2 คนบนแพนี่ แล้วไอ้ 2 คนที่ว่านั่นก็กำลังลอยเท้งเต้งกันอยู่ในน้ำ
ส่วนอีกคนที่เหลืออยู่ก็กำลังพยายามถ่อแพสู้กับแรงกระแสน้ำแล้ว...
ซีนิกส์รีบคว้าคทาของเรนขึ้นมาก่อนจะเอ่ยปาก
"ต้องทำยังไง"
"แค่เพ่งสมาธิ นึกถึงแค่ว่าตัวเองกำลังแย่...กำลังต้องการความช่วยเหลือ" คำตอบจากลูคัสน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังแต่ฟังแล้วอยากกระโดดลงน้ำวนนั่นให้รู้แล้วรู้รอดไป ต้องการความช่วยเหลือ....จะให้คนอย่างเขามีความคิดแบบนี้น่ะหรือ...ให้ตาย...
เสียงกรี๊ดกร๊าดของเรนทำให้สติกลับเข้าที่เข้าทางอย่างเก่าก่อนจะหลับตาแล้วเพ่งสมาธิ
ภาพหลายภาพผ่านเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็วจนดูตามไม่ทัน...หรือพูดให้ถูกคือไม่ต้องการดูตามให้ทันเสียมากกว่า
ฟิ้ว ! ตูม !
เสียงพลุเวทถูกยิงขึ้นฟ้าไป คนที่กำคทาอยู่ด้วยท่าทีประหลาดรีบลืมตาขึ้นโดยเร็ว ราวกับคนเพิ่งตื่นจากฝันร้าย
ความสูงของพลุขนาดนั้น ไม่ช้าที่ฝั่ง ทหารยามสองสามคนดูเหมือนจะเห็นเหตุการณ์นี้ แล้วนักเวทในชุดเสื้อคลุมของสภาเวทก็ปรากฏกายที่ริมฝั่ง คณะเดินทางถูกเวทเอาตัวขึ้นมาจนถึงฝั่งได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
"พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่" น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ของทหารยาม
อะไรกัน...ไม่ทันจะได้ทำใจ...รับขวัญกันก็ถามจี้เสียแล้ว ทหารโอเรเนคนี่ช่างมารยาทแย่จริงๆ
"เราต้องการพบเซียร่า ราลอส" ซีนิกส์ตอบกลับไป ทั้งที่รู้ว่าถ้าตอบไปเช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่าแผนการที่จะพรางเข้าโอเรเนคทั้งหมดก็ต้องเป็นอันจบ แต่ในเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจเช่นนี้...ย่อมไม่มีทางเลือก
ที่นัยน์ตาของทหารคนนั้นดูจะชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของท่านมหาเวท
"เจ้าไม่รู้หรือไงว่าที่โอเรเนคจะเข้าออกเมืองได้ต้องมีหนังสือรับรอง" ทหารคนเดิมตะคอกใส่ซีนิกส์
ช่างไม่รู้อะไรเสียแล้ว...ประโยคที่ว่า 'ไม่รู้หรือไง' นี่เป็นของทางนี้ต่างหาก
"คือ...เราก็มีหนังสือรับรองค่ะ" เรนเอ่ยแทรกเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีเสียแล้ว
ทหารยามที่หน้าเสียเล็กน้อยรับไปคลี่อ่านก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้น "คณะนักบวชจากเอลเซสยินดีต้อนรับสู่โอเรเนค ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ แต่ตามที่ท่านเซียร่าได้แจ้งมาว่าพวกท่านจะมาถึงในวันพรุ่งนี้"
"เปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะค่ะ" นักบวชสาวตอบพร้อมรอยยิ้มที่ดูยังไงก็เหมือนยิ้มเพื่อเอาตัวรอดเสียมากกว่า
"ท่านคือเรน เซเวนน์ ส่วนนักบวชท่านนั้นคือท่านลูคัส วาเชนอล์ฟ ที่แจ้งมาในจดหมาย แล้ว...สองคนนั่นล่ะครับ"
"คือ..." คนถูกถามอ้ำอึ้ง สีหน้าในตอนนี้บ่งบอกว่าในใจของเธอคงกำลังคิดว่า 'จะให้บอกว่าเป็นนักฆ่าที่บังเอิญอยากร่วมทางมาด้วยกันหรือไง'
"เป็นผู้ติดตามคอยอารักขาคณะนักบวชน่ะ มีข่าวไม่ดีเรื่องการลอบสังหาร เลยต้องป้องกันไว้ก่อน ขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้ทางนี้ทราบก่อน" ประโยคที่ดังขึ้นอย่างช่วยชีวิตคณะเดินทางทั้งสี่เอาไว้ได้ทันท่วงที
น้ำเสียงหนักแน่ทุกคำพูดแม้ไอ้ที่พูดออกมานั่นจะไม่เป็นจริงสักนิด กับแววตามั่นคงแน่วแน่และแสดงเจตนารมณ์ที่จริงจังขนาดนั้น ถึงแม้ประโยคเมื่อครู่จะเป็นคำสั่งให้เอาชีวิตใครสักคน คนฟังก็คงจะยอมทำตามแต่โดยดี กับวาจาสิทธิ์ของมหาเวทนาม 'เซียร่า ราลอส'
สตรีเครื่องหน้าจริงจัง เส้นผมสีน้ำเงินถูกรวบไว้เป็นมวยยิ่งเสริมความดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีก ใต้แว่นครึ่งวงกลมนั้นนัยน์ตาสีครามที่มั่นคง กับรัศมีแห่งความเป็นผู้นำประกอบกับชุดเสื้อคลุมของสภาเวท ที่ทั้งสี เนื้อผ้า และสายประดับที่ดูหรูหราพวกนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอจะดำรงตำแหน่งที่ใหญ่เพียงใดในสภา
"งั้น...ขอเชิญท่านทั้งสี่ฝากอาวุธแล้วเข้าเมืองได้เลยครับ" ทหารกล่าวพลางโค้งให้เซียร่า
"ฝากอาวุธ" โซฟิเลียเปรยขึ้นเสียงเย็น ด้วยแววตาที่บ่งบอกชัดเจนว่า 'อยากเห็นเจ้าลองยึดอาวุธข้านัก'
"ไม่จำเป็นหรอก นักบวชสองคนกับผู้ติดตาม เจ้าคิดว่าข้าจะดูแลไม่ได้หรือ"
...เนียนมาก...
ทหารที่อึกอักอับจนด้วยคำพูดเมื่อโดนกล่าวหาว่าดูถูกจอมเวทแห่งสภาโอเรเนคเข้าให้เสียแล้ว ในที่สุดเขาก็ต้องยอมเปิดทางให้พวกเขาเข้าไป
◘
"ตามฉายาแล้วโอเรเนคคือนครแห่งปราชญ์ สถานที่ศึกษาเวทมนตร์แห่งเดียวในอาณาจักร ปีๆหนึ่งสภาผลิตนักเวทรุ่นใหม่ๆมากมายเพื่อทำงานให้กับสภาเวทและเมืองต่างๆ...แต่ว่าตามฉายาที่พวกนักเดินทางเรียกเล่นๆก็คือนครหินอ่อน"
ท่านมหาเวทตรงหน้ากำลังอธิบายรายละเอียดเมืองราวกับเป็นคนนำเที่ยวก็ไม่ปาน แต่ก็เห็นจะจริงดังว่า ทั้งพื้นถนน อาคารบ้านเรือน หรือแม้แต่ม้านั่ง ของประดับก็ทำมาจากหินอ่อนทั้งสิ้น
เธอสอดสายตาดูให้พ้นจากรัศมีการมองเห็นของพวกทหารยามก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับคณะเดินทางที่ประหลาดที่สุด
"เธอคงเป็นเรน เซเวนน์สินะ" เซียร่าเอ่ยแล้วเจ้าของชื่อก็พยักหน้าตอบ
"แล้ว..."
"ลูคัส วาเชนอล์ฟ นักบวชแห่งเอลเซส" เจ้าตัวโค้งให้อย่างสุภาพผิดวิสัย ป่านนี้คงกำลังนึกอยากกัดลิ้นตาย แต่จะทำอย่างไรได้...ท่านบาทหลวงกำชับมานักหนาแล้วว่าอย่าให้เสียชื่อ ไอ้เขาก็ไม่ใช่คนชอบเรื่องที่เป็นพิธีรีตองเสียด้วย
"โซฟิเลีย เมลลาเรน" เสียงเย็นชาเอ่ยสั้นๆเมื่อเซียร่าหันมาทางเธอ แล้วเท้าท่านมหาเวทก็ก้าวถอยหลังไปอย่างลืมตัว คนมาดมากก็เกือบจะส่งเสียงร้องออกไปอย่างลืมตัวเมื่อได้ยินชื่อถัดมา
...ซีนิกส์ โชเมส...
"พวกเจ้า...คือ..."
"นักฆ่าจากดราซ์ดซานไง ตัวเองเป็นคนส่งจดหมายไปเตือนเราแท้ๆ ไม่นึกนะเนี่ยว่าพวกนักฆ่าอำมหิตสองคนนี่จะเป็นคนดังขนาดท่านมหาเวทแห่งสภาโอเรเนคยังต้องตามกรี๊ด" ประโยคกวนๆที่คงไม่ต้องบอกว่าหลุดมาจากปากใคร ทั้งที่ตอนแนะนำตัวมันก็ดูดีมีเครดิต แต่ตอนนี้นี่สิ...
"เดี๋ยวข้าคงต้องส่งเหยี่ยวไปขอบคุณท่านหัวหน้าสมาคมนักฆ่าเสียแล้ว" เซียร่าเอ่ยอย่างสดใสกลั้วเสียงหัวเราะรื่นเริง
คงไม่ทันฟังไอ้นักบวชปากเสียนั่นเป็นแน่
"ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้พวกท่านฟังเดี๋ยวนี้ แต่เราคงต้องหาสถานที่ ที่ดูดีกว่านี้สักหน่อยนะ" เธอเอ่ย ตอบสีหน้าแสดงความสงสัยของทุกคนก่อนจะก้าวเร็วๆนำไป
ที่เหมาะๆที่ว่านี่ก็คือ...ร้านอาหารในเมืองซึ่งมีเพียงร้านเดียว แล้วปริมาณคนในร้านก็...โคตรเยอะ แม้จะสมควรอยู่เพราะนักเวทที่ศึกษาเวทที่นี่ไปจนถึงบุคคลที่ทำงานให้สภาเวททั้งหมดก็มีร้านนี้ร้านเดียวไว้เลี้ยงปากท้อง
โชคดีที่ท่านจอมเวทของเรา 'เส้นใหญ่' ถึงมีเจ้าของร้านมาต้อนรับและจัดที่นั่งให้
"นี่น่ะหรือที่ดีๆ พูดกันยังแทบไม่ได้ยิน" ทันที่ทิ้งตัวลงนั่งปากของลูคัสก็เริ่มทำงาน
"เรื่องนี้เป็นความลับของสภาเวท" เซียร่าเอ่ยตอบ ในใจนึกรำคาญเสียแล้วกับปากมากความของนักบวชที่เธอเป็นคนชวนมาร่วมทางเอง
"แล้วทำไมมาที่นี่เล่า คนเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็มีคนแอบฟังกันพอดี" คนไม่ชอบสงบปากสงบคำก็ยังไม่รู้ตัว
"ถึงจะอยากแอบฟังก็คงไม่ได้หรอกค่ะ ขนาดเรานั่งใกล้ๆกันยังไม่ค่อยได้ยินเลย" เสียงของนักบวชสาวที่ฟังแปลกไปเพราะต้องตะโกน
อธิบายสิ่งที่ 'คนมีสมอง' น่าจะพอคิดออกมาเองได้
"เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน สายข่าวของสภาเวทได้รายงานเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของสมาพันธ์อัศวินในการโค่นล้มคณะปกครองที่แต่งตั้งโดยกษัตริย์
"อย่างที่พวกเจ้าคงจะทราบดีอยู่แล้วว่าอำนาจปกครอง แบ่งเป็นส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในมือสภาเวท อีกส่วนเป็นสมาพันธ์อัศวิน และอีกส่วนคือคณะปกครองที่กล่าวไป คิดง่ายๆตอนนี้อำนาจปกครองสองส่วนอยู่ในมือสมาพันธ์แล้ว ที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นสมาพันธ์พยายามจะโค่นอำนาจสภาเวท โดยอาศัยอำนาจจากอัญมณีโบราณ เพื่อจะได้มีอำนาจเวทที่เท่าเทียมกับเวทมนตร์ของประธานสภา
"ข้า...ในฐานะที่ปรึกษาของสภาจึงมีหน้าที่รวบรวมอัญมณีนั้นให้ได้และทำลายมันเสียก่อนจะถึงมือสมาพันธ์ ปัญหาก็คือ...มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะจัดการเรื่องนี้คนเดียวและไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดถ้าจะขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ นอกจากจะผิดหวังแล้วเรื่องอาจจะถึงมือสมาพันธ์ได้ง่ายๆ"
"แล้วเจ้ามายุ่งกับงานลอบสังหารของเราทำไม" ซีนิกส์เอ่ยขัด
"เดิมที...สมาพันธ์จ้างพวกท่านให้กำจัดเรน เซเวนน์และผู้ติดตามแล้วพวกมันจะได้แย่งเอาอัญมณีมา แต่สายข่าวของข้าไวกว่าจึงเสนอให้หัวหน้าพวกท่านให้ส่งมือสังหารที่จะทำงานนั้นมาช่วยข้าแทน" ท่านมหาเวทอธิบาย อดสังเกตไม่ได้ว่าสีหน้าของเธอดูจะร่าเริงขึ้นทุกขณะ
"แล้วท่านหัวหน้าก็ทำตาม" คนในบัญชาเริ่มมีอารมณ์
"ใช่...เพราะเงินค่าตัวที่ข้าเสนอให้ เป็นสามเท่าของพวกอัศวินเชียว"
คำตอบยิ่งทำให้ท่านรองฯ อ้าปากค้างสนิทอย่างลืมตัว
มือสังหารอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกายยังคงไม่มีอาการตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แม้หล่อนจะเป็นคนเย็นชาเพียงใด หากถูกหลอกใช้เช่นนี้ก็ควรมีอาการโกรธเคืองบ้างเป็นธรรมดา
นอกเสียจากว่า...
"เจ้าก็รู้เรื่องสินะ เจ้ารวมหัวกับท่านหัวหน้าอีกแล้วสิ" เขาขึ้นเสียงใส่สตรีข้างกายทั้งที่รู้ว่าไร้ประโยชน์
"ใช่" คนต้นเรื่องให้คำตอบแทน "แต่ข้าก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะได้มือสังหารที่เก่งที่สุดของอาณาจักรสองคนมาร่วมทาง"
"แล้วเธอไว้ใจพวกนี้..." ลูคัสเปรยเสียงเรียบ
"นักฆ่ามีพันธะสัญญาที่จะต้องปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย" คำตอบชัดเจนจากจอมเวทที่ไม่รู้ว่าไปรู้เรื่องของนักฆ่าได้ยังไง
"ใช่" ซีนิกส์ตะโกน "แล้วหน้าที่ของข้าคือกำจัดเรน เซเวนน์กับผู้ติดตามไม่ใช่ร่วมทางไปกับเจ้า ถึงเจ้าจะอ้างว่าตกลงกับหัวหน้าแล้ว แต่หัวหน้ายังไม่ได้มาสั่งข้าด้วยตัวเอง"
"ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่" เสียงเย็นๆของโซฟิเลียพร้อมกับม้วนกระดาษที่ส่งให้ "หัวหน้าสั่งให้ข้ามอบให้ท่านเมื่อพบกับจอมเวทแห่งสภาโอเรเนค"
ซีนิกส์รับมาคลี่อ่านแล้วถึงกับใบ้กิน ได้แต่อ่านทวนอีกหลายรอบราวกับจะหวังให้ตัวเองอ่านผิดหรือหวังให้ลายมือนั้นไม่ได้เป็นของหัวหน้าตน
"เรียบร้อย"
"เออ...แล้วทำไมต้องส่งมือสังหารไปเอลเซสด้วยล่ะคะ น่าจะให้มาพบที่โอเรเนคนี่เลย"
"เรื่องนั้น...ข้าไม่รู้หรอก" เซียร่าตอบอย่างไม่ใส่ใจ "เป็นวิธีการของหัวหน้าสมาคมนักฆ่า ไม่เกี่ยวกับทางนี้"
"คงเป็นเรื่องอะไรสนุกๆของท่านหัวหน้าอีกล่ะสิ"
ม้วนกระดาษถูกลนกับเทียนเชิงบนโต๊ะ มอดไหม้ไปพร้อมๆกับอารมณ์ของรองหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าอิสระ
ถึงจะเป็นนักฆ่าอิสระ...ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอิสระขนาดนี้
"แล้วพวกเราล่ะ ในจดหมายที่ส่งให้บาทหลวงน่ะ เธอบอกว่าจะอธิบายให้เราฟังไง" ลูคัสเอ่ยถามโดยไม่สนใจคนที่กำลังอารมณ์เสียอยู่ตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
"ตระกูลวาเชนอล์ฟ เป็นรายชื่ออันดับต้นๆที่ข้าค้นดูแล้วพบว่าเกี่ยวข้องกับการสร้างอัญมณีเหล่านั้น ซึ่ง...ทายาทที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวของตระกูลวาเชนอล์ฟก็คือ ลูคัส วาเชนอล์ฟ" คำตอบ...ที่ทำเอาคนถามอ้าปากค้างไปอีกคน ยัยจอมเวทที่น่ากลัวจริงๆขนาดสามารถสืบไปถึงบรรพบุรุษของคนอื่นได้ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์
"แล้วเธอเรียกเรนมาทำไม" ลูคัสถามต่อ
"ได้ข่าวมาว่า...ตอนนี้อัญมณีแห่งตระกูลวาเชนอล์ฟ เป็นสมบัติของเรน เซเวนน์" อีกคำตอบ...ที่ทำเอาคนถามอึ้งกว่าเดิม ขอถอนคำพูดที่ว่าน่ากลัวแล้วกัน...เปลี่ยนเป็น 'น่าสยดสยอง' เลยจะดีกว่า
ในที่สุดนักบวชปากมากก็ยอมปิดปากเงียบเป็นครั้งแรก
...ถ้าจะต่อ...คงจะต้องต่อกันอีกยาว
"ถ้าท่านรู้ถึงขนาดนั้น...เข็มกลัดแห่งดราซ์ดซานซึ่งตอนนี้เป็นสมบัติของข้า ข้อมูลคงไม่ตกหล่นไปจากมือท่านเป็นแน่" เสียงของมือสังหารสาวที่เอ่ยอย่างประเมินสถานการณ์ได้
จอมเวทพยักหน้าตอบ
"อัญมณีอีกชิ้นอยู่กับข้าแล้ว และทางโรน์ก็ส่งข้อมูลมาว่า...เชอริล คอนราด ผู้นำแห่งหมู่บ้านนักล่านั้นมีอยู่ในครอบครองอีกหนึ่งชิ้น"
"เธอจะเอาเรื่องนี้มาบอกกับพวกเราทำไมกัน คงไม่ใช่ว่า..." คนที่เกือบจะนั่งเงียบได้นานก็อดรนทนไม่ได้จนต้องเอ่ยแทรก
"แน่นอน...ข้าบอกแล้วว่างานนี้ไม่ใช่งานที่ควรฉายเดี่ยว" น้ำเสียงสงบของจอมเวท มันควรจะเป็นประโยคขอร้อง...แต่ฟังยังไงก็ไม่ให้ความรู้สึกนั้นเลยแม้แต่น้อย
"นั่นยิ่งแย่ใหญ่ ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าอยากช่วย" ประโยคที่ไม่ต้องเดาว่าออกจากปากใครในเมื่อมือสังหารทั้งสองก็ถูก 'ซื้อ' ไปแล้ว ส่วนนักบวชเรนนั่นก็ดูเป็นคนดีที่ปฏิเสธคำขอร้องของใครไม่ลง เหลือแต่ไอ้คนที่นั่งเกาหัวแกรกๆอย่างไม่รู้สึกผิด
"คนที่เป็นถึงนักบวชแต่ปฏิเสธความช่วยเหลือของคนทั้งหลาย คนผู้นั้นก็ไม่สมควรเรียกตนเองว่านักบวชอีกต่อไป" ประโยคเรียบๆ แต่เล่นเอาคนอย่างลูคัสอับจนด้วยคำพูด
ประโยคเรียบๆ...ของนักฆ่า นามซีนิกส์ โชเมส
ความคิดเห็น