คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : งานลอบสังหาร?
“ท่านมาช้า” เสียงดังมาก่อนตัวของนักฆ่าสาวที่ยืนพิงกำแพงนครหลวงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว นัยน์ตาสีเข้มของผู้ถูกต่อว่าเหลือบมองปราการสมาพันธ์อัศวินแห่งเอลเซสที่สูงตระหง่านอยู่
“ยังไงข้าก็มาทัน” เขาตอบขณะที่ทั้งคู่ก้าวช้าๆเลียบกำแพงเมืองไป
เป็นคืนที่เหมาะมากกับการลอบสังหารใครสักคนในเอลเซส แสงจันทราไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย ด้วยการคาดการณ์อันแม่นยำของท่านรองหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าอิสระแล้วทหารเฝ้าประตูเมืองจะได้เวลาเปลี่ยนเวรในเวลาเที่ยงคืนตรงเป็นเวลาเหมาะที่จะลอบเข้าไปโดยไม่กระทำการให้เป็นจุดสนใจของพวกอัศวิน
“เจ้าได้รายละเอียดเป้าหมายที่ข้าให้คนเอาไปให้หรือยัง” ซีนิกส์เอ่ยถามเมื่อโซฟิเลียกระโดดวูบเดียวขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง ก่อนเธอจะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“เรน เซเวนน์ กับ ลูคัส วาเชนอล์ฟ” โซฟิเลียเกริ่นพร้อมกับถลาร่างลงจากกำแพงอีกด้าน
“ตามประวัติก็แค่ผู้ถือศีลธรรมดาไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกับพวกอัศวินเลย”
“ข้าไม่ได้สนใจเรื่องเหตุผลอยู่แล้ว”
เสียงพูดเรื่อยๆของสองมือสังหารที่ทำราวกับมาเดินเล่นในเมืองก็ไม่ปาน ไม่ช้าเวลาแสดงฝีมือว่าจะเก่งอย่างปากว่าหรือไม่ก็ใกล้มาเยือน วิหารแห่งเอลเซสตั้งตระหง่านตรงหน้า เสาลวดลายสวยงามแกะสลักด้วยหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ บันไดขั้นยาวทอดเข้าสู่บานประบานใหญ่ที่ปิดสนิท ราวกับเชื้อเชิญ
“ฆ่าผู้นำทางศาสนา...งานนี้นรกกินหัวแน่” น้ำเสียงพูดเล่นของคนที่มองอะไรสนุกเสมอ
“งานอื่นทำแล้วไม่บาป ?” โซฟิเลียย้อน “ไม่คิดว่าคนอย่างท่านจะเกรงกลัวบาปกรรม”
ซีนิกส์ส่ายหน้าแล้วตรงรี่ไปสำรวจบานประตูอย่างระมัดระวังก่อนที่บานประตูจะค่อยๆเปิดออกอย่างเงียบเชียบด้วยฝีมือของคนปากเก่ง
“สุภาพสตรีก่อน” ผู้เป็นสุภาพบุรุษเอ่ยก่อนที่คนถูกเชิญจะแทรกตัวเข้าไปในบานประตูอย่างว่าง่าย เธอคงไม่มีอารมณ์จะก่อสงครามคารมกับคนตรงหน้าในเวลานี้
ความเงียบเข้าครอบคลุมจนน่าวังเวงขณะที่ซีนิกส์เคลื่อนกายไปตามพรมสีแดงสดที่ต้องกับเปลวไฟในคบเพลิง ทอดยาวไปตามทางเดิน แต่ทว่าเจ้าคนที่เดินนำเข้ามาตั้งแต่ต้นนั้นหายไปอย่างไม่ทันสังเกต
ทางแยก...สัญชาตญาณเตรียมก้าวไปทางซ้ายขณะที่เงาตะคุ่มของร่างใครบางคนที่ต้องกับแสงไฟปรากฏในทางตรงข้าม มีดสั้นพุ่งออกจากมือโดยไม่ได้สนใจว่าเป้าหมายจะเป็นใครหรืออะไร
ชิ้ง!
มีดส่งเสียงกังวานราวแทงเข้ากับโลหะชั้นดี พร้อมกับที่ร่างของเรน เซเวนน์ปรากฏขึ้นจากเงามืด โล่โปร่งแสงสีเงินกั้นระหว่างตัวเธอกับมีดที่เสียบอยู่อย่างพิลึก เธอลดมือลงช้าๆพร้อมกับที่โล่ค่อยๆจางหายไปในที่สุด มีดหล่นเคร้งลงตรงหน้า
ไม่มีวี่แววความประหลาดใจบนใบหน้าของมือสังหาร
มีดอีกหลายเล่มพุ่งเข้าใส่เป้าหมายเดิมแต่คราวนี้พวกมันลอยคว้างในอากาศครู่หนึ่งก่อนจะตกลงสู่พื้นเช่นกัน คล้ายจะบอกว่าอาวุธเช่นนี้น่ะหรือจะมาสู้กับเวทมนตร์
คนในเสื้อคลุมดูจะรู้ว่าแม้เวทมนตร์ของเธอยังสามารถป้องกันการจู่โจมในระยะไกลเช่นนี้ได้ แต่หากคนตรงหน้าเข้าประชิดตัว...โอกาสรอดของเธอก็น้อยเต็มที เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นหินอ่อน...เธอตัดสินใจเว้นระยะห่างจากศัตรู หากแต่เป็นการตัดสินใจที่พลาดอย่างมหันต์
ฉับพลันกลุ่มควันฟุ้งกระจายทั่วบริเวณอย่างรวดเร็วบดบังรัศมีการมองเห็นของเป้าหมายได้อย่างชะงัด แล้วมีดเล่มยาวก็จ่ออยู่บนคอของเหยื่ออย่างง่ายดายนัก
เหยื่อ...ที่บัดนี้ชีวิตของเธออยู่ห่างจากความตายเพียงไม่ถึงคืบ แต่ดวงหน้าไม่ได้บ่งบอกถึงความกังวลเลยแม้แต่น้อย
“ไม่เคยมีใครบอกหรือไงนะว่าฆ่าคนน่ะมันบาป” น้ำเสียงกวนๆเอ่ยประโยคที่คุ้นหูราวกับว่ามีคนเคยพูดมาก่อน ดังแว่วมาในกลุ่มควันสีเข้ม พร้อมกับเสียงแหวกอากาศของวัตถุบางอย่าง
มือสังหารปล่อยเหยื่อในมือ แล้วหมุนตัวรับการโจมตีนั้น
เสียงกระทบกันของโลหะ เชิงเทียนสูงที่ตั้งอยู่ตรงมุมทางเดินซึ่งตอนนี้ถูกใช้เป็นอาวุธจำเป็นถูกหยุดไว้ด้วยมีดยาวในมือของนักฆ่าหนุ่ม
“ก็มีอยู่...” เสียงตอบกลับเบาๆพร้อมกับที่เจ้าของมีดเล่มยาวใช้แรงทั้งหมดฟาดอาวุธใส่ขาตั้งเชิงเทียนจนมันหักลงเป็นสองท่อน “ลูคัส วาเชนอล์ฟ”
คนถูกเรียกชื่อพยุงตัวขึ้นจากแรงปะทะเมื่อครู่
“ดีใจจังที่มีแฟนๆตามมาขอลายเซ็น แต่ว่า...คราวหลังคงต้องมาเร็วกว่านี้นะมันรบกวนคนอื่นเขา” สถานการณ์เสียเปรียบ แต่ดูจากคำพูดคำจาของไอ้นักบวชตรงหน้านี่ ไม่ให้ความรู้สึกนั้นแม้แต่น้อย “แล้วก็...อย่าบังคับให้ฉันทำผิดกฎของวิหารได้ไหม” ว่าจบเจ้าตัวก็ดึงดาบออกมาจากเสื้อคลุมยาวสีขาวนั้น
“นักบวชนอกรีตหรือนี่” ซีนิกส์พึมพำแล้วพุ่งเข้าหาเป้าหมายตรงหน้า
เคร้ง !
มีดปะทะกับเกราะเวทของใครบางคนที่ยืนหลบอยู่ด้านหลัง เป็นโอกาสเหมาะอีกครั้งของลูคัสที่ใช้ดาบวาดใส่เป้าหมายตรงหน้า
แต่สิ่งโดนมีเพียงอากาศธาตุเท่านั้น ส่วนเจ้าคนที่สมควรจะโดนวิถีดาบนั้นไปเต็มๆกลับไปปรากฏร่างอยู่หน้านักบวชสาวที่ยืนนิ่งอย่างหวาดกลัวในความเร็วราวสายลมของมือสังหารผู้นั้น
“ดูท่าข้าคงต้องขอชำระงานของข้าเสียที”
ชิ้ง !
สิ้นประโยคนั้น เสียงก้องกังวานไปทั่วทางเดินภายในวิหารเอลเซส มีดยาวในมือนักฆ่าหนุ่มถูกวัตถุบางอย่างชนกระเด็นไปไกลลิบ เลือดที่ควรจะไหลจากต้นคอของเหยื่อกลับอาบเต็มมือของผู้ที่ใช้มีดจ่อคอคนอยู่เมื่อครู่
เงาของร่างหญิงสาวที่ต้องกับแสงสลัวจากคบเพลิงข้างกำแพง กำลังก้าวช้าๆตรงมายังพวกเขา ผิวขาวเนียนที่เห็นเด่นชัดด้วยไฟจากคบเพลิงทำให้เธอดูราวกับตุ๊กตาที่มีคนจับมาใส่ชุดมือสังหารก็ไม่ปาน
“อะไรกัน” เสียงแผ่วเบาของคนที่เลือดไหลอาบไปทั่วแขนแล้ว แผลไม่ใหญ่...แต่เลือดกลับไหลทะลักออกมาจากบาดแผลมากกว่าที่ควรจะเป็น
“ท่านน่าจะถามท่านนักบวชทั้งสองดูนะ” เสียงเย็นๆแบบเดิมของหญิงสาวตรงหน้าทำเอาเขาหันขวับไปพึ่งสองคนที่เกือบจะถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว
“ขอโทษ...ฉันยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆยอดมือสังหารแห่งดราซ์ดซานถึงบุกเข้ามาในวิหารเอลเซส” ลูคัสโวยวาย ดวงตาสีดำเต็มไปด้วยความตกใจ...ไอ้มือสังหารตรงหน้านี่ฝีมือนับว่ายอดเยี่ยมแล้วแต่กลับถูกสาวงามอีกคนนั่นเล่นงานได้อย่างง่ายดายนัก
เสียงสั่นๆของเรน เซเวนน์ที่เพียรพยายามจะเอ่ยชื่อใครสักคนที่พอจะจับใจความได้ว่า
...เซียร่า ราลอส...
“ใครคือเซียร่า ราลอส” ประสานกับเกือบเป็นเสียงเดียว ถ้าเป็นมือสังหารสองคนนั่นคงไม่มีอะไร แต่ไอ้เจ้านักบวชที่ฟังเรื่องจากบาทหลวงมาด้วยกันแท้ๆยังมาถามหน้าซื่อๆ จนคนฟังแทบจะประสาท...
หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าใสที่ยังคงดูหวาดกลัวต้องรีบสลัดความตื่นตกใจเมื่อครู่ออกไปโดยเร็ว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องจดหมายจากสภาเวท
“สภาเวทแห่งโอเรเนคจะมายุ่งอะไรกับงานลอบสังหารของเรา หน้าที่ในการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายเป็นของสมาพันธ์อัศวิน”
“ง่ายๆ....ก็ไปถามท่านเซียร่าแห่งโอเรเนคดูสิ”
“ถ้ามันง่ายอย่างเจ้าว่าก็คงจะดี”
“คือ...ผู้ที่จะเข้าออกเมืองนั้นได้จะต้องมีสาส์นจากสภาเวทเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยน่ะค่ะ”
ลูคัสมองหน้านักฆ่าทั้งสองอย่าใช้ความคิดก่อนจะเอ่ยประโยคที่คัดสรรคำพูดมาอย่างดี “แล้ว...นายเป็นนักลอบสังหารไม่ใช่หรือไง” เขาหยุดแล้วทำสีหน้ากวนๆเหมือนเดิม “อย่าบอกนะว่าแค่พรางเข้าโอเรเนคน่ะนายทำไม่ได้” สิ้นประโยคสุดท้าย หมัดหนักๆก็ลอยเข้าปะทะหน้าของคนกวนประสาท
“น่าจะมีใครสอนสมบัติผู้ดีให้มันบ้างนะ” ซีนิกส์สบถแล้วเดินนำ
ทหารยาม พลธนู นักดาบของสมาพันธ์ ทำไมไอ้ตอนเข้ามาเขาถึงไม่เห็นไอ้พวกบ้านี่เลยสักคน...แต่ไอ้ตอนจะกลับนี่ มันโผล่หัวมาจากไหนมากมายล่ะวะ !
ถึงจะคิดเช่นนั้น ฝีมือของพวกนั้นยังห่างจากมือสังหารทั้งสองอยู่มากโข เรียกว่าต่อให้ยกมาทั้งสมาพันธ์ สองมือสังหารนี่ก็คงจัดการได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
“ให้ฉันดูแผลให้ดีกว่าไหมคะ” เรนเอ่ยขึ้นเมื่อทั้งหมดปลอดภัยอยู่นอกกำแพงเมือง ผลจากการออกแรงจัดการตัวปัญหาทั้งหลายทำให้แผลยิ่งเปิดออก
“มะ...ไม่เป็นไร” ถึงปากจะว่าอย่างนั้น แต่นักบวชสาวก็คว้ามือไปแล้วเริ่มบริกรรมคาถาอย่างไม่สนใจเจ้าของแผลนั่นแม้แต่น้อย
“เอ่อ...ขะ...ขอโทษ” ซีนิกส์เอ่ยขึ้นในที่สุด ความรู้สึกอับอายที่ต้องให้คนที่ตัวเองเกือบจะฆ่ามาช่วยนั้นคงมีมากกว่าความรู้สึกผิดในใจจริงๆ
“แหม เล่นขอโทษแต่สุภาพสตรีนะ ไอ้นักฆ่าไร้น้ำยา” จบประโยค หมัดที่สองก็ลอยเข้าปะทะหน้าไอ้คนที่ไม่รู้จักเจ็บแล้วจำ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คนเราก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องทำกับสิ่งที่ควรจะทำไม่ใช่หรือคะ”
ใช่ คนเราก็มีสิ่งที่จำเป็นต้องทำกับสิ่งที่ควรจะทำ
อย่างน้อย...การชกไอ้นักบวชนอกรีตนั่นคงเป็นหนึ่งในรายการ ‘สิ่งที่ควรจะทำ’
ความคิดเห็น