ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Jewel Quest

    ลำดับตอนที่ #2 : หน้าที่

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 50



                    สายลมปะทะผ่านใบหน้าเธอไปด้วยแรงมหาศาล อาจเป็นเพราะลมแรงหรือเพราะความเร็วของเธอในขณะนี้เพียงพอจะทำให้อากาศธาตุอย่างลมแปรเปลี่ยนราวกับวัตถุมีคมที่กรีดแทงผิวกายทุกส่วนที่มิได้ถูกปกปิดไว้...หรือเรียกได้ว่า เป็นส่วนน้อย


                   
    ร่างของหญิงสาวใต้เสื้อคลุมยาวสีเข้มที่ไม่อาจระบุได้ชัดเจนแม้ในคืนวันเพ็ญที่ดวงจันทร์สีขาวนวลทอแสงเด่นอยู่บนฟากฟ้าที่ประดับด้วยหมู่ดาว  ใบหน้าครึ่งล่างถูกปกปิดด้วยผ้าผืนยาวสีเดียวกับเสื้อคลุม  สิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดบนร่างกายของเธอก็คือ ดวงตาสีน้ำตาลที่ต้องกับแสงจันทร์  เป็นนัยน์ตาที่เยียบเย็นและปราศจากความรู้สึกใดๆ โดยสิ้นเชิง


                   
    ร่างใต้ผ้าคลุมกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วหากแต่เงียบสงัด ไปตามขอบกำแพงเมืองอันสูงใหญ่เบื้องหน้า อันเป็นสัญญาณว่าค่ำคืนอันทรมานนี้กำลังจะจบสิ้นลงในไม่ช้า


                   
    ประตูเมืองทิศใต้ นครดราซ์ดซาน เวลาเที่ยงคืน สมควรจะมีทหารยามเฝ้าอยู่อย่างน้อยสองคนเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของเหล่าชาวเมืองซึ่งกำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา หากไม่ใช่ฝีมือของสตรีในเสื้อคลุมที่ยืนพิงกำแพงเมืองอยู่อย่างใจเย็น


                   
    ดราซ์ดซานเป็นนครเดียวในอาณาจักรที่มีกำแพงเมืองอายุหลายร้อยปี สาเหตุจากที่ดราซ์ดซานไม่ใช่นครที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การประกาศสงครามหรือบุกโจมตี กำแพงเมืองที่ไม่เคยแม้แต่ถูกก้อนกรวดขว้างปาใส่ นครแห่งการค้ากลางทะเลทรายแห่งนี้ไม่มีทรัพยากรล้ำค่าใดๆ ไม่มีกองกำลังทหารหรือแม้แต่ชัยภูมิที่ตั้งแม้จะอยู่ติดทะเล แต่หน้าผาที่สูงกว่าร้อยเมตรยังเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการติดต่อเดินทาง 


                     อีกทั้งไกลออกไปในทะเลทรายกว้างใหญ่ยังเป็นที่ตั้งของสมาคมผิดกฎหมายต่างๆ ทั้งบรรดาโจร มือสังหาร  รวมทั้งเป็นที่อาศัยของสัตว์ร้ายนานาชนิด  ประกอบกับอุณหภูมิอันร้อนระอุในเวลากลางวันและเย็นยะเยือกในเวลากลางคืน  ผู้คนที่คิดเดินทางผ่านทะเลทรายจึงมีเป็นส่วนน้อยมาก


                   ทั้งสถานที่และเวลาไม่ได้เหมาะแก่การลอบสังหารแม้แต่น้อย  เสียงอุทธรณ์เล็กๆในใจของคนที่กำลังยืนรอใครหรืออะไรก็ตามที่กำลังจะผ่านมาที่ทางเดินแห่งนี้ในไม่ช้า


                   
    ฆ่าคนในดราซ์ดซาน  คืนวันเพ็ญ  เป็นประโยคที่คนฟังคงจะนั่งหัวเราะได้เป็นวัน  แต่คนที่ฟังแล้วต้องทำตามคงไม่เป็นเช่นนั้น


                   
    ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปไกลกว่านั้น  บางสิ่งก็ดึงดูดความสนใจของเธอไป  เสียงโหวกเหวกที่ดังมาแต่ไกลพร้อมกับร่างของ 'เหยื่อ' ที่ท่าทางคงเมาออกมาจากร้านเหล้าในบริเวณนี้


                   
    อาจจะเป็นพ่อค้าต่างถิ่นที่มีเรื่องกับเหล่าผู้มีอิทธิพล  อาจจะเป็นผู้มีอิทธิพลที่ขัดแย้งกันเองหรือแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ไปเห็นหรือได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรรับรู้  แต่ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ  งานลอบสังหารไม่เคยต้องมีเหตุผล แค่ให้งานเสร็จโดยเร็วและเรียบร้อยเป็นใช้ได้


                   
    มือสังหารขยับมีดสั้น
    สีเงินในมือ


                   
    พร้อมกับสายลมเย็นอีกระลอกเป็นสัญญาณ  ร่างของเธอก็หายไปจากบริเวณเดิม  ท่ามกลางความเงียบสงัดในคืนฟ้าโปร่งอันมีเพียงเหล่าดาราและจันทราเท่านั้นเป็นพยาน  ไม่มีแม้แต่เสียงร้องสักแอะของเหยื่อที่บัดนี้นอนจมกองเลือด  อย่าพูดถึงโอกาสร้องขอชีวิตเลย...แม้แต่โอกาสที่จะได้เตรียมใจก็คงไม่มี


                   
    "หากจะโกรธแค้น  จงโกรธแค้นโชคชะตาของเจ้าเถอะ"


                   
    มือสังหารปิดงานของเธออย่างเรียบๆในเมื่อไม่มีทั้งหลักฐานและพยานย่อมยากที่ทางการจะจับมือใครดม  เธอหันหลังกลับไปทางกำแพงเมือง  ก่อนที่สัญชาตญาณของเธอรับรู้ได้ว่ามีผู้ชมที่ไม่ได้รับเชิญ  อาจจะเป็นทหารเปลี่ยนกะ พ่อค้าที่เก็บร้านแล้วมัวร่ำวงสุราจนลืมกลับบ้านช่องหรือแค่คนโชคร้ายที่ชะตาลิขิตให้มาเห็นการแสดงอันไม่น่ารัญจวนใจนี้


                   
    จะเป็นใครหรืออะไรก็ตาม  งานนี้จะให้มีพยานไม่ได้


                   
    มีดเล่มเดิมถูกเตรียมขึ้นมาในท่าเดิม  ไม่แน่ว่าการแสดงครั้งนี้อาจมีให้ชมสองรอบ


                   
    ฉับพลันที่มีดสั้นในมือของนักฆ่าสาวพุ่งตรงไปยังมุมมืดที่เธอใช้เป็นที่พักพิงเมื่อครู่ 


                    เคร้ง!


                    เสียงมีดกระทบกับวัตถุบางอย่าง พร้อมๆกับเสียงเอ่ยอย่างราบเรียบ


                    "ข้าเตือนท่านหัวหน้าแล้ว ว่าไม่ควรสั่งงานเจ้าในคืนเช่นนี้  แต่ถ้าเจ้าหงุดหงิดมาก สิ่งที่เจ้าควรจะระบายใส่ก็ควรจะเป็นเป้าหมาย...ไม่ใช่ข้า"


                   บุรุษในชุดเสื้อคลุมแบบเดียวกับสตรีตรงหน้า  พอจะบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นมือสังหาร


                   
    "อะไรทำให้ท่านออกมาเดินเล่นชมเมืองเช่นนี้เล่า.....ซีนิกส์  โชเมส" สรรพนามที่บอกสถานะของคนทั้งสองแต่น้ำเสียงผู้เอ่ยกลับไม่มีแววแห่งความเคารพแม้แต่น้อย "ท่านคงไม่ได้คิดว่าข้าจะทำงานนี้ไม่สำเร็จ"


                   
    "อะไรทำให้เจ้าคิดว่าข้าดูถูกเจ้าเช่นนั้น.....โซฟิเลีย  เมลาเรน" รูปประโยคที่ลอกมาเพื่อกวนประสาทคนตรงหน้าโดยเฉพาะ  แต่ทว่าไร้ผล เครื่องหน้านิ่งพอๆกับเรือนผมสีน้ำตาลยาวของเธอที่ตัวยามไร้ซึ่งแรงลม


                   
    "เป็นงานที่สมบูรณ์แบบมาก...ความเร็วของเจ้าทำให้เหยื่อไม่รู้สึกตัว รอยที่คอนี่คงตัดผ่านหลอดลมและเส้นเลือดใหญ่ในคราวเดียว  สาเหตุที่เจ้าเลือกอาวุธเป็นมีดสั้นก็คงเป็นเพราะมีใช้กันเกลื่อนกลาด" เสียงวิเคราะห์จากซีนิกส์ราวกับเขาเป็นผู้ลงมือเอง


                   
    "แต่งานนี้ยังมีช่องว่างอยู่  เพราะดราซ์ดซานไม่ใช่เมืองที่มีการลอบสังหารเกิดขึ้นบ่อยนัก บางทีทางการอาจจะเกิดสงสัยและเอาจริงเอาจังกับคดีนี้ขึ้นมา..." เขาว่าต่อ หากแต่สตรีข้างกายมิได้ให้ความสนใจอีกต่อไป  สายตาของนางมุ่งไปเหนือกำแพงอันสูงตระหง่านของดราซ์ดซานพร้อมกับเอ่ยขึ้น


                   
    "ท่านคงไม่ได้ตามมาจับผิดงานของข้าอีกคนใช่ไหม"


                   
    เหมือนเอ่ยกับอากาศธาตุแต่ดึงดูดสายตาของคนที่กำลังพล่ามไม่หยุดได้อย่างชะงัด

                    เสียงหัวเราะเบาๆที่ฟังแล้วชวนประสาท เจ้าตัวคงหัวเราะพอเป็นพิธี ไม่ใช่เพราะความขำขัน  ก่อนที่ร่างของอีกหนึ่งบุรุษจะเคลื่อนออกมาจากเงามืดของกำแพงนครดราซ์ดซาน  ผมสั้นชี้ไม่เป็นทรงเหมือนกับมือสังหารอีกคนข้างเธอ  แตกต่างกันที่ดวงตา  บุรุษผู้นี้มีดวงตาสีเทาที่ดูสบายๆ  อ่านยากจนน่ากลัว  แต่ดวงตาของซีนิกส์ที่เหมือนจะน่ากลัวแต่กลับให้ความรู้สึกกดดันเทียบไม่ได้กับดวงตาสีเทาคู่นั้น


                   
    "ท่านหัวหน้า" ซีนิกส์เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ  สตรีข้างกายทำท่าจะโค้งให้ แต่ 'ท่านหัวหน้า' ห้ามไว้เสียก่อน


                   
    บุรุษผู้นี้ก็คือ หัวหน้าสมาคมนักฆ่าอิสระแห่งดราซ์ดซาน  ส่วนตำแหน่งรองหัวหน้าก็เป็นของท่านซีนิกส์  โชเมส ผู้กำลังยืนอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก


                   
    "ช่างบังเอิญเหลือเกินที่พวกเจ้าอยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้" นัยน์ตาสีเทากวาดไปทั่วบริเวณก่อนจะสะดุดกับร่าง 'เหยื่อ' ที่นอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกล


                   
    "ความบังเอิญนั้นไม่มี  จะมีก็แต่พรหมลิขิต" ซีนิกส์เอ่ยแย้ง พลางส่งสายตากับรอยยิ้มที่ชวนให้ประสาท


                   
    "คงไม่ใช่พรหมลิขิตหรอกค่ะ  อาจจะเป็นเวรกรรม" 


                   
    ท่านหัวหน้าแย้มรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจกับผลงานตรงหน้า


                   
    "รวดเร็ว เรียบร้อย สมเป็นเจ้า...โซฟิเลีย" คำชมรอบสองที่ได้กลับมาเพียงสีหน้าราวกับจะบอกว่า 'ถึงจะชม ข้าก็ไม่ดีใจหรอกนะ'


                   
    "หากท่านต้องการให้ข้าทำงานอีก  เพียงแค่ 'สั่ง' ตรงๆข้าก็จำเป็นต้องทำตามอยู่แล้ว" คงมีเพียงโซฟิเลียที่กล้าใช้ประโยคนี้กับท่านหัวหน้าสมาคมนักฆ่าอิสระ  เพราะแม้แต่ 'ท่านรองหัวหน้า' ยังยืนนิ่งไม่กล้าเปิดปาก


                   
    "เจ้ารู้ทันข้าเสมอสินะ" เขาเอ่ยพลางหยิบม้วนกระดาษออกมาจากเสื้อคลุม "นี่เป็นงานชิ้นใหม่ของพวกเจ้า"


                   
    "ข้าไม่รับงานร่วมกับคนอี่น" มือสังหารสาวแย้งทันควัน เสียงหวานนุ่มน่าฟังแต่ประโยคที่เอ่ยกลับกรีดแทงหัวใจเหลือเกิน


                   
    "งั้นคราวนี้เจ้าก็ต้องรับแล้วล่ะ" คำตอบเรียบๆแต่น้ำเสียงที่แฝงความกดดันมหาศาล ประกอบกับนัยน์ตาสีเทาคู่นั้นทำให้เจ้าของคำแย้งเมื่อครู่ได้แต่เพียงรับใบสั่งงานมาแต่โดยดี


                   
    "เอาล่ะ...หมดธุระของข้าแล้ว  ข้าขอตัว" คนที่สั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตัดบทพร้อมกับค่อยๆก้าวไปเดินไปทางประตูเมือง


                   
    "เดี๋ยวครับ" คนที่ยืนนิ่งอยู่นานเอ่ยขึ้น เป็นจังหวะพอดีกับที่ท่านหัวหน้าหันกลับมา ราวกับรู้ล่วงหน้า  "ท่านคงไม่ได้มาเพียงเพื่อสั่งงาน"


                   
    "อันที่จริง..." คนถูกถามเอ่ยแล้วแย้มรอยยิ้มบาง รอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ "...ธุระของข้ามีเพียงเท่านั้น"


                   
    แล้วร่างของหัวหน้าสมาคมนักฆ่าอิสระก็หายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะมีใครได้แย้งอะไรอีก


                   
    "งานอะไร" ซีนิกส์เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความวังเวงของสถานที่มากกว่าจะนึกสงสัยจริง


                   
    นักฆ่าสาวส่ง
    'ใบสั่งงาน' ในมือให้ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยขึ้น "นักบวชสองคน"


                   
    เจ้าของนัยน์ตาสีดำหันขวับมาทางต้นเสียงราวกับไม่เชื่อ


                   
    "แค่นักบวชสองคน  ต้องใช้เจ้ากับข้าหรือ"


                   
    "ช่วงนี้มีงานไม่มากนัก...แค่นักบวชก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรเลย"


                   
    "นั่นไม่ใช่ปัญหา…" มือสังหารหนุ่มเริ่ม แต่ก็หยุดลงเกือบจะทันทีเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลที่บอกชัดเจนว่า 'นั่นเป็นคำสั่งของหัวหน้า'


                   
    "งั้นข้าจะให้คนไปหาข้อมูลมา" เขาถอนหายใจ


                   
    "แค่นักบวช  ท่านจะหาข้อมูลไปทำไมกัน"


                   
    "ข้าไม่คิดว่างานนี้จะง่าย  เพราะคนสั่งงานนี้คือสมาพันธ์อัศวิน" โซฟิเลียรับรู้เรื่องนี้ด้วยท่าทีสงบกว่าซีนิกส์...มาก  เธอไม่มีแม้ปฏิกิริยาทางสีหน้าในขณะที่ท่านรองหัวหน้าแทบจะตะโกนประโยคสุดท้ายนั่นออกมาดังๆ


                   
    "งั้นเชิญตามสบาย  ท่านบอกวันที่ลงมือ แล้วจะได้ไปให้พ้นๆหน้าข้าเสียที" โซฟิเลียตัดบท  ประโยคที่ชวนให้คิดซ้ำว่าใครกันแน่ที่มีศักดิ์สูงกว่า


                   
    "อีกสิบห้าวัน" คำตอบสั้นๆ แต่คนพูดก็เหมือนจะเปิดปากพูดต่อ


                   
    มือสังหารสาวย่อมไม่ปล่อยโอกาสเช่นนั้น  พร้อมกับเสียงผ้าคลุมปลิวสะบัด ร่างของเธอค่อยๆจางหายไปกับความมืดมิดของรัตติกาล






                   
    "เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย" น้ำเสียงวิตกกังวลของหญิงสาวที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งพร้อมกับสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวไปตามทางเดินในวิหารเอลเซส  ผมสีฟ้ายาวประบ่าของเธอส่องประกายกับไฟบนคบเพลิงที่จุดไว้ตามทาง


                   
    เสียงประตูเปิดและปิดลงพร้อมกับที่ดวงตาสีฟ้าใสกวาดมองไปทั่วห้องอย่างหวาดๆ  โต๊ะทำงานตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ที่เก้าอี้ข้างหลังโต๊ะนั้นมีชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่างอยู่  ขณะเดียวกันที่มุมห้องมีชายอีกคนนั่งอยู่ด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเต็มกำลัง


                   
    "ท่านบาทหลวง...คุณลูคัส..."


                   
    "ขอโทษด้วยที่เรียกออกมากลางดึกแบบนี้   เรน" คนที่กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่เอ่ยโดยไม่ละมือจากงานตรงหน้า


                   
    "นี่...แล้วฉันล่ะ  ฉันมานั่งอยู่นี่สิบนาทีแล้วนะ" เสียงจากคนที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องฟังไม่สบอารมณ์  อาจจะเป็นเพราะคนพูดเมินตน หรือเพราะคนพูดใช้น้ำเสียงที่ 'ดูดีเกินไป' พูดกับเรน


                   
    "ขอโทษที...นายด้วย  ลูคัส" คนที่ถูกเรียกว่า ท่านบาทหลวง เอ่ยขึ้นอย่างเอือมระอามากกว่าจะรู้สึกผิดจริง แล้วเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะ  ดวงตาสีทองรับกับผมสั้นสีฟาง  เขาจัดว่าเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว...อาจจะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ลูคัสรู้สึกหงุดหงิดก็เป็นได้


                   
    "ฉันเพิ่งได้รับจดหมายเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา" บาทหลวงเอ่ยขึ้น "มาจากท่านมหาเวทแห่งโอเรเนค" เขาดึงม้วนกระดาษออกมาจากเสื้อคลุม


                   
    เป็นจดหมายจากโอเรเนคจริงๆ  เพราะที่ด้านหน้ามีตราของสภาเวทประทับอยู่  เรนรับม้วนกระดาษมา แล้วคลี่ออกช้าๆขณะที่ลูคัสรีบลุกจากมุมห้องมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น


                   
    ลายมือฉวัดเฉวียนแต่ยังคงดูประณีตงดงาม  ดูเหมือนว่าผู้เขียนต้องการส่งจดหมายนี้ให้ถึงมือผู้รับอย่างรวดเร็วที่สุด  มีใจความว่า


                   

                    เรียน  ผู้นำคณะนักบวชแห่งเอลเซส


                                       
    ต้องขออภัยอย่างสูงที่รบกวนท่านในเวลาเช่นนี้  ข้าคือ เซียร่า  ราลอส  ตัวแทนคณะที่ปรึกษาแห่งสภาเวทโอเรเนค  ข้าขอให้ท่านมอบจดหมายนี้แก่ เรน  เซเวนน์  และ ลูคัส  วาเชนอล์ฟ โดยเร็วที่สุด

                                        ข้าต้องการพบพวกท่านด้วยสาเหตุที่ข้าจะอธิบายเมื่อเราพบกันแล้ว  ท่านควรรีบเดินทางออกจากเอลเซสโดยเร็วที่สุด  นักฆ่าจากดราซ์ดซานกำลังเดินทางมาเพื่อกำจัดพวกท่านตามคำสั่งของสมาพันธ์อัศวิน


                                        
                                                                                ด้วยความนับถือ

                                                                                                                    เซียร่า   ราลอส



                   
    เรนทำหน้าตาตื่นตกใจและยกจดหมายขึ้นปิดปาก  ลูคัสสบถออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
    "นักฆ่าจะมากำจัดเราตามคำสั่งของสมาพันธ์อัศวิน  ยายนี่ต้องประสาทเสียแน่  นักฆ่ากับอัศวิน...อัศวินไม่ใช้งานนักฆ่าและนักฆ่าก็ไม่รับงานจากอัศวิน"


                   
    "แต่...จดหมายนี่ลงตราของสภาเวท  คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ค่ะ" เรนออกความเห็น


                   
    "ใช่  และการไปโอเรเนคก็ไม่มีอะไรเสียหาย  อีกอย่างในจดหมายตอบนี่ฉันก็ถือวิสาสะตอบตกลงไปแล้ว" บาทหลวงหรือท่านหัวหน้าคณะนักบวชเอลเซสคงกำลังพูดถึงสิ่งที่ก้มหน้าก้มตาเขียนอยู่เมื่อครู่  "เรื่องวันเวลา..."


                   
    "อีกสักสองอาทิตย์ดีไหมคะ  เป็นเวลาที่คนอื่นๆจะกลับมาจากการแสวงบุญที่โรน์"


                   
    "ก็แล้วแต่"


                   
    "ดี" บาทหลวงพยักหน้าสนับสนุน  "งั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ  ขอโทษอีกทีที่รบกวนนะ"


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×