ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนเรื่องมากอยากวิจารณ์

    ลำดับตอนที่ #4 : ส่งงานวิจารณ์เรื่อง "นิมิตรลิขิตรัก"

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 56





    เรื่องนิมิตรลิขิตรัก  [ผู้เขียน : ต.แทนฉัน]

    ลิงค์นิยาย : http://writer.dek-d.com/natwanna/writer/view.php?id=850037

    จำนวนตอนในวันรับวิจารณ์ : 20

     

    สวัสดีท่าน ต. แทนฉัน

    พล็อตใหญ่ของเรื่องนี้ คือความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เกี่ยวกับ พระพรหม ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ และลิขิตชะตาชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยในเนื้อเรื่อง น้ำซึ่งเป็นตัวเอกหลักได้ขอพรจากพระพรหมให้เพื่อนสาวทั้งห้าคนได้พบเนื้อคู่ในปีนี้ และหลังจากนั้น น้ำก็มักเห็นหน้าตาชายหนุ่มที่เป็นเนื้อคู่ของเพื่อนแต่ละคนมาปรากฏทาบทับอยู่บนใบหน้าเพื่อนคนนั้น ๆ และตามมาด้วยเรื่องราวการพบและปฏิสัมพันธ์ของคนหลายคู่ซึ่งมีปัญหาแตกต่างกันไป โดยระหว่างดำเนินเนื้อเรื่องได้สอดแทรกให้เห็นถึงความรักสามัคคีในหมู่เพื่อนพ้องอยู่บ่อย ๆ  

    ข้าพเจ้าขอแยกการวิจารณ์เป็นหัวข้อต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการสรุปใจความ ดังนี้

    เรื่องแรก คือ  การสะกดคำ

    นิยายของท่านไม่ถึงกับมีคำผิดทุกบรรทัดหรือแทบทุกย่อหน้าเหมือนนิยายบางเรื่องที่ข้าพเจ้าเคยผ่านตามา แต่ก็มีคำสะกดผิดไม่น้อยเช่นกัน (พบในทุก ๆ ตอน) ทั้งที่เกิดจากการพิมพ์ผิดโดยบังเอิญ และคำที่ท่านอาจเข้าใจการสะกดผิดไป

    คำแรกที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง และกระแทกเข้าตาข้าพเจ้าเต็ม ๆ เลยก็คือ “ชื่อเรื่อง”

    ชื่อนิยายเรื่องนี้ คือ “นิรมิตรลิขิตรัก”

    แต่คำว่า นิรมิตร นั้นไม่มีความหมายใด ๆ ตามพจนานุกรมไทย ดังนั้นข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านคิดจะใช้คำว่า นิมิต ซึ่งแปลว่า เครื่องบอกเหตุหรือ ลางบอกเหตุมากกว่า (ตามเนื้อเรื่องที่น้ำจะเห็นภาพเนื้อคู่ของเพื่อน ๆ ล่วงหน้า)  แต่ก็มีอีกคำหนึ่งที่คล้ายคลึงกัน คือคำว่า นิรมิต ซึ่งแปลว่า สร้าง หรือบันดาลให้เกิดขึ้น (ซึ่งก็สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่มีพล็อตใหญ่คือความรักถูกบันดาลให้เกิดขึ้นจากพระพรหม)

    ขอให้ลองตัดสินใจดูอีกครั้งว่าชื่อเรื่องของท่าน ตั้งใจจะสื่อถึงสิ่งใด

          นอกจากนั้นก็มีคำผิดต่าง ๆ (ประมาณ 90 % จากคำผิดทั้งหมดที่พบ คาดว่าเป็นคำผิดที่เกิดจากการเข้าใจผิดจริง ๆ เพราะมีการผิดซ้ำแบบเดิมหลายตำแหน่ง)
     

    เบญจเพศ (เบญจเพส)   เครียดแค้น (เคียดแค้น)   สว่างโล่ (สว่างโร่)   กุลีกุจร (กุลีกุจอ)   แหล่ะ (แหละ)
            
    ฟองโตคับอก (พองโตคับอก)  กระพริบ (กะพริบ)   แหง่ ๆ (แหง ๆ)       ซักที (สักที)   เลื่อนหาย(เลือนหาย)
                
    ผู้ชายพรรณนั้น (ผู้ชายพรรค์นั้น)   สะกัด (สกัด)    คู่หมั่น (คู่หมั้น)    ชะแลบเบียด (แฉลบเบียด) สลบหวืด (สลบเหมือด)
      
    ยืนเม่อ (ยืนเหม่อ)   ขย่ำ (ขย้ำ)   ซีดเผือก (ซีดเผือด)  ขมำ (คะมำ)  หมุดหัว (มุดหัว)  นัยตา (นัยน์ตา)           

    ตะแครง (ตะแคง)    ออฟฟิต (ออฟฟิศ)   ขยุ่ม (ขยุ้ม)  มุขตลก (มุกตลก)    กรุ่มกริ่ม (กรุ้มกริ่ม)   ค้างตึ่ง (ค้างเติ่ง)    

    ประจัก (ประจักษ์)    เขวี่ยง (เขวี้ยง)   เก้าโมงแป๊ะ (เก้าโมงเป๊ะ) กลับตาลปัด (กลับตาลปัตร)   เนาะ (เนอะ)    

    แป็ปเดียว (แป๊บเดียว) พลัก (ผลัก)  ซักไซร้ (ซักไซ้)   อินเตอร์เนต (อินเทอร์เน็ต)  

    โขลก (คำนี้แปลว่า ตำให้เข้ากัน ถ้าจะใช้ในความหมายว่าคนหน้าตาเหมือน ๆ กัน ต้องใช้ โขก)
       ปรากฎ (ปรากฏ)

     

                ที่ยกมาให้เห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีคำผิดอื่นแอบแฝงอยู่อีก ขอให้ท่านตรวจทานให้ดี และระหว่างที่ข้าพเจ้าพักปาดเหงื่อกับการพิสูจน์อักษร ก็อยากแนะนำท่านว่า การสะกดคำให้ถูกต้องนั้นไม่ใช่เรื่องยาก วิธีแรกคือ เปิดพจนานุกรม (google ช่วยท่านได้) วิธีที่สองคือ การอ่านงานเขียนที่ตีพิมพ์เป็นรูปเล่มแล้วให้มาก ๆ เพื่อซึมซับคำศัพท์ที่ถูกต้องลงไปในความทรงจำของท่าน เพราะนิยายที่ดีนั้นควรมีคำสะกดผิดให้น้อยที่สุดหรือไม่มีเลยจะยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

                ต่อมาคือการใช้สำนวนที่ยังผิดพลาด หรือคำศัพท์ผิดความหมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

    ท่านใช้คำว่า ไม้เท้าในตอนที่บีมบาดเจ็บที่เท้าและไปโรงพยาบาลกลับมาแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าท่านจะคิดภาพของ ไม้ยันรักแร้อยู่มากกว่า หรือคำว่า หัวโจก  ซึ่งแม้จะหมายถึง หัวหน้าของหมู่คนไม่ดี แต่ก็มักนิยมใช้กับกลุ่มนักเลง หรือกลุ่มเด็กวัยรุ่นเกเรเสียมากกว่า ดังนั้นเมื่อท่านนำมาใช้ในบทบาทของมือปืนที่ไล่ตามฆ่าคนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ดูผิดแปลกไปในความรู้สึกของข้าพเจ้าอยู่บ้าง

    มีอยู่ตอนหนึ่งที่บีมกับกรดได้พูดคุยกันอยู่นาน น้ำได้พูดทำนองว่า “เรื่องแบบนี้คุยกันสองสามคำรู้เรื่องที่ไหน มันต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย” ซึ่งคำที่ขีดเส้นใต้ มีความหมายว่า ต่างพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นถ้าจะให้ตรงกับสิ่งที่จะสื่อ สมควรจะเปลี่ยนเป็น “เรื่องแบบนี้คุยกันสองสามคำรู้เรื่องที่ไหน มันต้องค่อย ๆ พูดจากันสิ” มากกว่า

    ซึ่งสำนวนต่าง ๆ หากท่านไม่แน่ใจในการเลือกใช้ โปรดแก้ไขด้วยวิธีการเดียวกับการแก้คำสะกดผิด

    การเรียบเรียงเนื้อหาและการเว้นวรรค

    เป็นนิยายเรื่องแรกที่ข้าพเจ้าอ่านแล้วพบว่ามีการผสมกันระหว่าง การเว้นวรรคมากเกินไป จนต้องกระตุกลมหายใจถี่ ๆ เวลาอ่าน กับ การไม่เว้นวรรคโดยสิ้นเชิง  จนแทบสิ้นลมกว่าจะอ่านจบความ เช่น เมื่อปายหงุดหงิดอารมณ์เสียตอนปรากฏตัวครั้งแรก เธอได้พูดออกมายาวเหยียดโดยใช้เว้นวรรคน้อยมาก  หรือตอนที่บีมไปรับประทานอาหารค่ำสุดหรู ก็มีการใช้เว้นวรรคที่ถี่เกินไปในบางตำแหน่ง

    ลักษณะของการเว้นมากไปและเว้นน้อยไปปรากฏตลอดเนื้อเรื่องทั้งยี่สิบตอน ข้าพเจ้าขอแนะนำให้ท่านลองอ่านทบทวนในใจดูอีกครั้ง หากตรงไหนอ่านสะดุด ๆ ตลอดระยะ หรือติดกันเป็นพรืดมากไป ก็สามารถแก้ไขได้ให้อ่านได้ลื่นไหล เข้ากับจังหวะลมหายใจมากกว่าเดิม

    ส่วนการเรียบเรียงเนื้อหานั้น ข้าพเจ้าพบว่ามีหลายประโยคที่มี คำเชื่อมขาดหายไปเช่น

    น้ำมองหน้าเพื่อนสาวทั้งสี่ให้สัญญาณ “เอ้า พร้อม”

    ถ้าหากอ่านประโยคนี้เพียงโดด ๆ จะพบว่าความหมายต่างไปจากที่ผู้เขียนจะสื่อ คือ อ่านแล้วจะเข้าใจว่า เพื่อนสาวทั้งสี่ได้ให้สัญญาณพร้อมกันว่า “เอ้า พร้อม” ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว น้ำเป็นผู้ให้สัญญาณแก่เพื่อนสาวทั้งสี่ต่างหาก ประโยคนี้สามารถปรับเปลี่ยนใหม่ได้ เช่น

    น้ำมองหน้าเพื่อนสาวทั้งสี่ และให้สัญญาณ “เอ้า พร้อม”

    จะเห็นว่าเพียงแค่คำเชื่อมตัวเดียว ก็เปลี่ยนความหมายของประโยคนี้ได้แล้ว

    หรือประโยคที่ว่า หลังจากที่ปายได้รับน้ำเย็นๆ จากเพื่อน เธอดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

    ประโยคนี้มองเผิน ๆ ไม่ผิดแปลก คนอ่านเข้าใจความหมายตรงกันดี แต่หากลองเพิ่มคำสักเล็กน้อย เช่น

    หลังจากที่ปายได้รับน้ำเย็นๆ จากเพื่อน เธอก็ดื่มรวดเดียวหมดแก้ว

    ข้าพเจ้าขอยกให้พิจารณาอีกสองตัวอย่าง เช่น

    บีมบอกเล่ารายละเอียด ตาลอย เพ้อฝัน

    บีมยักไหล่ ไม่แคร์

    จะเห็นว่าคำเชื่อมหายไป รูปประโยคเหมือนการเอาคำกริยามาวางต่อกัน ๆ เท่านั้น พบลักษณะเช่นนี้บ่อยมากตลอดเนื้อเรื่อง แต่ถ้าหากท่านลองเปลี่ยนแปลงเสียหน่อย แล้วอ่านใหม่อีกครั้ง จะได้เป็น

    บีมบอกเล่ารายละเอียดอย่างตาลอยและเพ้อฝัน

    บีมยักไหล่อย่างไม่แคร์

    จะเห็นได้ว่ามีความต่อเนื่องและสละสลวยมากขึ้น

     

    ตัวละคร

    จากหน้าบรรยายแรกของนิยาย ได้มีประโยคความคิดของน้ำว่า

    ไม่นะ ฉันไม่อยากลิขิต ความรักของใคร

    ทำให้ข้าพเจ้าได้คาดไว้ว่า น้ำจะต้องถูกยัดเยียดให้ยุ่งเกี่ยวกับความรักของคนอื่นอย่างมากมาย  โดยที่ไม่เต็มใจแน่ ๆ ทว่าเมื่อข้าพเจ้าอ่านเนื้อเรื่องเข้าจริง ๆ น้ำกลับดูสนอกสนใจอย่างสุดซึ้ง ถ้าพูดภาษาไม่ไพเราะ ก็คือ สาระแนเรื่องความรักของเพื่อนแบบเอาจริงเอาจัง ตกลงว่าเธออยากหรือไม่อยากยุ่งเกี่ยวเรื่องเนื้อคู่ของเพื่อนกันแน่ ?  อีกทั้งตัวละครเอก น้ำ ยังมีความขัดแย้งด้านการแสดงออกหลายอย่าง จากตอนแรก ๆ เธอดูเหมือนเป็นบุคคลประเภทยอมคน และหยวน ๆ อะไรก็ได้ ทั้งยังเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี แต่มาตอนหลัง ๆ เมื่อเธอเห็นสภาพรถยับเยินจากการชนของพิมแล้ว น้ำกลับพูดออกมาว่า “เยินแบบนี้ท่าจะรอดยาก” ข้าพเจ้าถึงกับสงสัยว่า โหแม่คุณ รถของเพื่อนคุณนะที่เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุน่ะ จิตใจทำด้วยอะไร เลือดเย็นเหลือเกิน

    อีกทั้งตอนที่น้ำอยู่กับปายที่โรงพยาบาล ก็กลับด่าว่าปั้นอย่างรุนแรงทั้งที่สถานการณ์นั้นไม่สมควรจะด่าเขาเลยด้วยซ้ำ (ปายผิดเต็มประตูที่ขับรถโดยประมาท จนเป็นเหตุให้พิมซึ่งเป็นคนรักของเขาถึงแก่ความตาย) ดังนั้นก็สมควรแล้วที่ปั้นจะโกรธและเสียใจจนต้องด่าว่าปาย  แต่แค่เพราะน้ำอยากเข้าข้างเพื่อนของตนเอง (ซึ่งกำลังร้องไห้แง ๆ) ก็ถึงกับต้องด่าปั้น (ผู้บาดเจ็บมากเช่นกัน) อย่างนั้นเชียวหรือ ? ข้าพเจ้าจึงเกิดคำถามขึ้นมาในในว่า ตกลงน้ำเป็นคนอย่างไร ?

    ส่วนตัวละครอื่น ๆ เช่น นวล ที่เคยระบุลักษณะไว้ว่าเรียบร้อย แต่กลับมีอุปนิสัยพูดจาเหน็บแนมบ่อย ๆ จริง ๆ แล้วข้าพเจ้าว่าคนเรียบร้อยที่สุดกลับกลายเป็น เจลลี่  ซึ่งเนื้อหาในตอนที่1- 14  กลับพูดถึงเธอได้ค่อนข้างจืดจางและน้อยนิดอย่างน่าสงสาร เธอกลืนหายไปจนแทบไม่มีตัวตน (หากไม่นับการพูดแทรกขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ) ต่างจากบีมและปาย ที่มีบทอย่างเหมาะสมและบุคลิกที่ชัดเจนมากกว่า

    กล่าวถึงตัวละครชายที่ข้าพเจ้าต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าในการกระทำของเขาก็คือ ปั้น ชายหนุ่มที่หลงรักพิมอย่างหมดใจ และอาฆาตแค้นปายผู้เป็นสาเหตุการตายของพิม จนถึงกับต้องแก้แค้นอย่างรุนแรง ทั้งสร้างคลิปโป๊ปลอม ๆ หรือทำลายโรงงานผ้าของครอบครัวปาย แต่แค่ในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ก็ดันทำท่าว่าจะหลงรักปายเข้าเสียอย่างนั้น แสดงออกด้วยอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายมากเกินไปจนน่าสงสัยว่าจะเป็นคนสองบุคลิก (แม้จะมีเรื่องผีพิมมากระตุ้นก็เถอะ)

    ตอนที่บีมพูดกับหญิงในเรื่อง ความรักไม่ได้หมายถึงการเป็นเจ้าของ เป็นบทที่น่าชื่นชม และช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของเธอให้ดูดีขึ้น จากเดิมที่ผู้อ่านอาจมองว่าเธอเป็นผู้หญิงใจง่าย (ในที่นี่หมายถึง รักคนอื่นง่าย เปลี่ยนแฟนบ่อย) แต่พอมีเรื่องจอห์นขึ้นมา ทำให้บีมเปลี่ยนแปลงตัวเอง พูดให้ข้อคิดแก่เพื่อนได้ดี ก็ทำให้บีมเป็นตัวละครที่สมเหตุสมผลทีเดียว   

    ส่วนตัวละคร นวลกับ หญิงนั้น นอกจากปูมหลังของครอบครัวและฐานะที่ต่างกันแล้ว นอกนั้นกลับแทบไม่มีอะไรต่างกันเลย ทั้งการกระทำและคำพูด ทั้งคู่มีความคล้ายคลึงกันมาก จนอาจเรียกได้ว่ามีความซ้ำซ้อนของบุคลิก และหากท่านจะแก้ไขในส่วนนี้ ก็ต้องตรึกตรองให้ชัดเจนก่อนว่า สองคนนี้แตกต่างด้านความคิดและนิสัยอย่างไร ?

     

    เนื้อเรื่อง

                อย่างแรกที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ายังขาดที่มาที่ไป คือ เหตุใดน้ำจึงขอพรพระพรหมต่อหน้าเค้กวันเกิด ลองคิด ๆ ดูให้ดีจะพบว่าเป็นเรื่องน่าสงสัย ตามที่ท่านได้ให้เหตุผลในนิยายประมาณว่า น้ำไม่อยากให้ใครมายุ่งเรื่องเสื้อผ้าหน้าผมของเธอ เลยขอพรให้เพื่อน ๆ พบเนื้อคู่ไปเสียให้หมด แต่คนเราจู่ ๆ จะขอพรจากพระพรหมต่อหน้าเค้กวันเกิดเนี่ยนะ ? ข้าพเจ้าคิดว่าผิดธรรมชาติไม่น้อย หากจะเสริมเติมแต่งว่าน้ำเป็นคนนับถือพระพรหม เชื่อเรื่องแบบนี้มาก อะไรก็ว่าไป จึงจะพอมีน้ำหนักของการกระทำเพิ่มขึ้นมาบ้าง

                เท่าที่อ่านมาพบว่า ตั้งแต่หน้าแรกของนิยาย ตัวละครเอกชื่อน้ำได้คิดว่า ฉันไม่อยากลิขิตความรักของใคร การอ่านประโยคนี้ทำให้เข้าใจว่าเธอต้องได้เป็นผู้ลิขิตแน่นอน แต่เมื่ออ่านเนื้อหาแล้ว จะพบว่าน้ำไม่ยักจะได้เป็นผู้ลิขิตความรักของใครแม้แต่น้อย เหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปด้วยตัวของมันเอง และน้ำก็เป็นเพียงผู้พบเห็นล่วงหน้าเท่านั้น เธอไม่ได้พยายามจะลากจูงคนคู่ไหนให้เข้ามาอยู่ด้วยกันเป็นพิเศษ (นอกจากตอนที่เป็นผู้ปล่อยให้บีมกับกรดคุยกันตามลำพัง)

    ซึ่งท่านต้องพิจารณาอีกสักครั้งแล้วว่า นิยายเรื่องนี้มีน้ำหรือพระพรหมกันแน่ที่เป็นผู้ลิขิตความรักของคนอื่น หากเป็นพระพรหม ท่านก็ควรจะแก้ไขคำโปรยเล็ก ๆ ในหน้าแรกให้เปลี่ยนแปลงไปตรงกับเนื้อหานิยาย

    ประเด็นต่อมา คือความไม่สมจริงในด้านการแพทย์

    คนไข้ที่ประสบอุบัติเหตุอาการหนักใกล้ตายอย่างพิม ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าจะมีแค่นางพยาบาลคนหนึ่งเดินดุ่ย ๆ ออกมาตามหาญาติ บอกให้ไปดูใจกันเงียบ ๆ แล้วก็จบคนไข้ซี้ม่องเท่ง

    ย้ำอีกครั้งเป็นไปไม่ได้!!

    ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุรุนแรงจนเข้าห้องฉุกเฉิน สาเหตุที่ทำให้ตายมีมากมาย เช่น เสียเลือดมากเกินไปจนร่างกายอยู่ในสภาวะช็อกแบบไม่อาจผันกลับได้แม้จะให้เลือดแล้ว หรืออวัยวะภายในที่สำคัญถูกกระทบกระเทือนหนัก เช่น ก้านสมอง (กดศูนย์การหายใจ) ภาวะลมรั่วในปอดจนเบียดการเต้นของหัวใจ หรืออื่น ๆ อีกมากมายจาระไนไม่หมด

    แต่ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าทีมแพทย์และพยาบาลจะยืนถอดใจ เฝ้ามองคนไข้โคม่า (ที่ยังมีสติพูดได้ด้วย!!) แล้วกล่าวว่า “ทางเราเกรงว่าจะรั้งไว้ไม่ได้” เพราะทุกคนในหน่วยฉุกเฉินจะต้องพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อกู้ชีวิตคนไข้ไว้จนกว่าคนไข้จะสิ้นลมหายใจ คลื่นสมองและสัญญาณชีพทุกอย่างบ่งชี้ว่าเสียชีวิต

    ดังนั้นไม่มีทางเลยที่พิมจะได้สั่งเสียกับปายและน้ำ และตายไปอย่างเงียบสงบ มือตกผล็อยประดุจในละครหลายสิบเรื่องที่เห็นจนเกร่อ

    อีกอย่างหนึ่ง คนเพิ่งตายยังไม่ทันจะห้านาที เนื้อตัวยังคงไม่เย็นหรอกกว่าศพจะเย็นก็เป็นชั่วโมง (อุณหภูมิศพจะลดลงเฉลี่ยชั่วโมงละ 1 องศาเซลเซียส)

    ดังนั้นท่านอย่าลืมทำการบ้านมาให้หนัก ๆ ก่อนเขียนถึงฉากที่มีการแพทย์มาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อความสมจริงและยกระดับคุณภาพนิยายของท่าน

    มาพูดถึงเรื่องของ “หญิง” กันบ้าง ก็ในเมื่อพ่อของเธอรู้อยู่แล้วว่าจะมีคนร้ายมาจัดการลูกสาว แต่ก็ดันหาบอดี้การ์ดให้ลูกสาวแค่คนเดียว! (ถึงจะเป็นคนเดียวที่บรรยายไว้ว่า ฝีมือดีที่สุดก็เถอะ) อีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยที่ย่ำแย่เหลือจะเอ่ย เป็นลูกเศรษฐีพันล้านหมื่นล้าน พ่อมีศัตรูทางธุรกิจเยอะแยะ แต่รถก็ดันไม่กันกระสุน คนขับรถดันเป็นคนเดียวกับบอดี้การ์ด แถมจะไปทำงานที่ไซต์งานกลางแจ้งทั้งที่รู้ว่ามีอันตราย แล้วพ่อก็ไม่ห้ามเลย!

    (คำว่าไซต์งาน ต้องใช้ ต การันต์)

    ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านอยากจะบีบสถานการณ์ของการเสี่ยงอันตรายร่วมกันให้กลายเป็นรักระหว่างหนีดงกระสุน แต่อย่างน้อยพ่อของหญิงก็สมควรมีบอดี้การ์ดสักห้าหกคนกับรถกันกระสุนมาให้ลูกสาวใช้บ้าง จะทำให้ฉากบู๊มีความสมจริงมากขึ้น

    ส่วนเรื่องของคนอื่น ๆ ก็ยังไม่มีจุดขัดข้องหรือไม่สมจริงเป็นพิเศษแต่อย่างใด เนื้อเรื่องโดยรวมมีความน่าสนใจที่ปมความรักของแต่ละคู่ แต่ข้าพเจ้าขอแนะนำเป็นพิเศษว่า ความรักของแต่ละคู่ควรมีความแตกต่างกันบ้าง ไม่ใช่มีแต่ประเภทคู่รักคู่กัดกันเพียงอย่างเดียว  

               

    จากที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ขอให้ท่านพึงทราบว่า เป็นความคิดเห็นของบุคคลเพียงคนเดียว ท่านอาจไม่ต้องทำตามทุกข้อที่แนะนำ อยากแก้แบบไหนล้วนขึ้นอยู่กับท่านจะเห็นสมควร และข้าพเจ้าต้องขอชื่นชมท่านทิ้งท้ายไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่า ท่านมีความตั้งใจในการเขียน เห็นได้จากการอัพเดทนิยายสม่ำเสมอแม้มีจำนวนคนเม้นไม่มากนัก ต่างจากนักเขียนมือใหม่บางท่านที่ไม่เขียนต่อเมื่อไม่มีคนเม้น และนั่นนับเป็นการฆ่าตัวตายในเส้นทางอาชีพนักเขียน

    สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอขอบคุณนิยายของท่าน ที่ให้เกียรติมาเป็นนิยายเรื่องแรกที่ข้าพเจ้าได้วิเคราะห์วิจารณ์อย่างจริงจัง ทั้งยังได้ทบทวนความรู้ด้านการสะกดคำของตนเอง และหากมีความผิดพลาดใด หรือหนักเบาเกินไปในส่วนไหน  ข้าพเจ้าต้องขออภัยไว้ที่นี่ด้วย

    สำหรับตอนนี้ข้าพเจ้าไปพักผ่อนสายตาก่อนสวัสดี

     

    แบบฟอร์มเซ็นรับคำวิจารณ์

    “คิดอย่างไรกับคำวิจารณ์นิยายของท่าน”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×