ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    * = ; . Way Of Love . ; = *

    ลำดับตอนที่ #1 : Track One : เพื่อนสนิท... คิดไม่ซื่อ [Chapter01 : First Rain]

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 52


    *...Way of love...*


    Track 01 : เพื่อนสนิท... คิดไม่ซื่อ

    Chapter 01 : First Rain

    ซ่า------

    สายฝนโปรยหยาดหยดไปทั่วอย่างไม่บอกกล่าว ทำให้ร่างเล็กต้องหักเลี้ยวจักรยานเข้าไปจอดหลบในศาลาใกล้ๆ ยืนมองหยาดน้ำจากฟากฟ้าตกกระทบกับน้ำใสในสระแก้ว บรรเลงเป็นจังหวะเสนาะหู

    มือบางควานรื้อสำรวจดูความเสียหายของสิ่งของในกระเป๋า ก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อพบว่าทุกอย่างยังอยู่อย่างเรียบร้อยปลอดภัยดี

    ชุดนักศึกษาถูกดึงจนหลุดรุ่ยเพื่อความสบายตัว ปลดกระดุมเม็ดแรกออกเพื่อระบายความอ้าวในวันฝนตกเช่นนี้ แต่แล้วก็ต้องรีบกลัดคืนแทบไม่ทันเมื่อมีอีกร่างวิ่งเข้ามาขอร่วมหลบฝนด้วยอย่างสุดวิสัย

    เขาวางกระดานวาดภาพลง นั่งพิงเสา หลับตาพริ้มแบบผ่อนคลาย โดยไม่รู้ตัวว่าผู้ร่วมศาลาอีกคนกำลังลอบมองอยู่ด้วยใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ... เพราะความเขิน ไม่มั่นใจว่าเขาเห็นภาพที่เธอปลดกระดุมเสื้อเมื่อครู่หรือเปล่า...

    เขายังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเธอเริ่มแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้สนใจเธอ จึงถอยเข้ามุมของตัวเอง หยิบคุ้กกี้ในกระเป๋ามาเคี้ยวกร๊วบๆไปพลาง ท่องศัพท์ภาษาจีนที่จะสอบในวันพรุ่งนี้ไปพลาง ไม่นานสายฝนก็ขาดสาย เด็กหนุ่มเดินออกไปนั่งบนสนามหญ้าแล้วเริ่มลงมือวาดภาพที่ค้างไว้ต่อ โดยมีเด็กสาวในศาลามองตามอย่างสนอกสนใจ... เกือบจะมั่นใจว่าชายคนนี้จะต้องเป็นนักศึกษาคณะมัณฆนศิลป์ คณะในฝันของเธอ... เนื่องด้วยทรงผม และท่าทีของเขามันฟ้องความเป็นคณะของเขาอยู่

    เกือบ1ปีที่ผ่านมา เธอทุ่มเทอย่างหนักในการเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย คณะมัณฑนศิลป์ในฝันของเธอ... แต่เธอก็ต้องผิดหวังเมื่อคะแนนของเธอไม่สามารถเอาชนะคนอื่นๆได้ จึงต้องรีบคว้าโอกาสสุดท้ายในการศึกษาในมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งนี้ด้วยการเข้าโครงการพิเศษของอักษรศาสตร์... คณะที่เธอไม่ถนัดเอาเสียเลย

    จึงไม่แปลกใจเลย ที่เธอรู้สึกดี ยามได้เห็นเด็กคณะวาดรูปอย่างเขา...

    จู่ๆ แดดจ้าเมื่อครู่ก็หายไป แทนด้วยสายฝนอีกชุดใหญ่ที่ทำให้เด็กสาวต้องรีบทำทีเป็นเหมองไปทางสะพานยาวที่พาดผ่านกลางสระแก้ว เมื่อคนที่เธอกำลังจ้องอยู่เพลินๆนั้นวิ่งกลับเข้ามาในศาลาอีกรอบ

    "ขอรบกวนอีกครั้งนะครับ" ประโยคสุภาพที่ออกจากปากของหนุ่มติสต์ ก่อนที่เจ้าของคำพูดจะจับจองมุมเดิม นั่งมองหยาดฝนอย่างเพลิดเพลินจนผล็อยหลับไป

    เด็กสาวปิดหนังสือเรียนที่ใช้เป็นเครื่องมือในการแอบมองคนร่วมศาลา แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเรียกให้คนมารับ

    ใช้เวลานานกว่าปลายสายจะตอบ เธอระบายยิ้มน้อยๆ เลือกเฟ้นน้ำเสียงขี้อ้อนกรอกใส่หูโทรศัพท์ "อยู่ตรงศาลาอ่ะ มารับหน่อยดิ"

    แต่รอยยิ้มพลันต้องหุบลงเมื่อได้รับคำตอบกลับมา... รู้สึกน้อยใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะต้องยอมติดฝนอยู่อย่างนี้ต่อไป

    "ไม่เป็นไร เดี๋ยวฝนซาแล้วเรากลับเองก้ได้ ไปส่งต้นข้าวเถอะ... อืม... ไว้เจอกัน บาย"

    เด็กหนุ่มเปิดตาขึ้นมามองร่างเล็กนั่งคุ้ดคู้อยู่ตรงเชิงศาลา ปล่อยให้สะเก็ดฝนกระดอนใส่อย่างไม่เกรงกลัว... ดวงตาเศร้าคู่นั้นของเธอทำให้เขารู้สึกไม่ดีไปด้วย แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เขาก็รู้สึกว่าเธอ เหมาะกับรอยยิ้มสดใสมากกว่า...

    ฉับพลัน เธอก็ฉีกยิ้มแบบแสดงความเข้มแข็ง... ซึ่งแสนจะขัดกับแววตาเจือความหม่นหมองของเธอ... ลุกขึ้นยืน เก็บข้าวของใส่ถุงพลาสติก แล้วเดินออกไปที่จักรยานที่จอดไว้ข้างศาลา... ปั่นจากไปท่ามกลางสายฝนกระหน่ำ

    เด็กหนุ่มมองร่างเปียกปอนที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นยามรับน้ำฝนชื่นฉ่ำ... คิดไม่ถึงว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอ จะมีหัวใจที่เข้มแข็งเช่นนี้ หารู้ไม่ว่า... หยาดฝนโปรยรดร่างเธอนั้น กำลังปกปิดคราบน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำ... ที่เธอไม่สามารถกลั้นเอาไว้ได้ต่อไป...

    ++++++++++++++++++++


    "หญิง!" เสียงตะโกนแว่วจากชั้นล่างไม่สามารถปลุกให้ร่างที่ขดอยู่ใต้ผ้าห่มรู้สึกตัวได้ เดือดร้อนเจ้าของเสียงจะต้องขึ้นมาถึงห้อง "เจ้าหญิง ตื่นได้แล้ว!!"

    เจ้าของนามเพียงพึมพำไม่ได้ความ ก่อนที่จะพลิกตัวหลับต่อ... คิ้วบางขมวดมุ่น บนใบหน้ามีเหงื่อเกาะพราว จนเพื่อนต้องรีบยกหลังมือขึ้นวัดอุณหภูมิ แล้วก้ต้องตกใจเมื่อสัมผัสถึงร่างกายร้อนจี๋ ทำอะไรไม่ถูกนอกจากการโทรขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจที่สุด

    "เหลียง! เจ้าหญิงตัวร้อนมากเลย ทำไงดี?"

    ไม่นาน ต้นข้าวก็ลงไปรับของที่เด็กหนุ่มซื้อให้คนป่วย เป็นเพราะหอพักหญิงห้ามมิให้ผู้ชายเข้าโดยเด็ดขาด เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่ส่งข้าว ส่งยาตรงหน้าหอพัก... เป็นห่วงเพื่อนใจแทบขาด... แต่ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้...

    "สงสัยจะเป็นเพราะตากฝนเมื่อวาน... ไม่เป็นไรแล้วล่ะ เราเช็ดตัวให้แล้ว ไข้ลดลงแล้วด้วย นายไปเรียนเถอะ เดี่ยวไปจัดข้าวจัดยาให้หญิงแล้วเราจะตามไป ฝากเล็คเชอร์ด้วยแล้วกัน"

    "อืม" ตอบรับในคออย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก มองขึ้นไปบนห้องของเพื่อน ก่อนที่จะยอมไปเข้าเรียนแต่โดยดี

    ต้นข้าวมองเขาปั่นจักรยานออกไปแล้วลอบอมยิ้ม... เธอไม่เคยผิดหวังเพราะเขาเลยไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร... รู้สึกอุ่นใจยามมีเขาคอยดูแลอย่างนี้... และคิดว่าเจ้าหญิง เพื่อนของเธอก็คงดีใจที่มีเขาเป็เพื่อนเหมือนกัน...

    เพียงแต่สำหรับต้นข้าว... ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขากลับไม่ได้หยุดที่คำว่าเพื่อนน่ะสิ...


    ++++++++++++++++++++++++++

    Errrrrr....!

    คนป่วยควาญไปใต้หมอนเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบรับด้วยเสียงงัวเงีย "ฮัลโหล?"

    "ทำไมไม่มาเรียนวะ?"

    "ไปเรียน?" เธอลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงง แล้วก็ต้องสปริงตัวขึ้นยืน วิ่งเต้นไปทั่วห้องเมื่อเห็นเข็มสั้นนาฬิกาชี้ที่เลข 5 "เฮ้ย!! แย่แล้ว... ทำไมฉันลืมตื่นไปเรยีนวะ... โอยยย... ทำไมปวดหัวอย่างนี้เนี่ย..."

    "แกไม่สบายหรอ? เสียงก็แปลกๆว่ะ รีบๆแต่งตัวแล้วกัน เดี๋ยวไปรับ"

    ยกมือขึ้นกุมขมับก่อนที่จะตอบกลับไป "เร็วๆนะ หิวว่ะ"

    พอวางสาย เจ้าหญิงก็ถลาไปทั่วห้องเพื่อหยิบอุปกรณ์อาบน้ำ พลันสายตาก็สะดุดอยู่ที่จานบนโต๊ะเครื่องเขียน พร้อมกับโน้ตแผ่นน้อย

    'กินข้าวแล้วกินยาซะนะ... ตัวเธอร้อนจี๋เลย เหลียงเลยซื้อมาให้น่ะ...

    หายไวๆนะจ๊ะ

    ต้นข้าว'

    อ่านจบก็วางมันกลับที่เดิม ไม่ใส่ใจกับมันอีก ราวกับมันไม่เคยวางอยู่ตรงนั้น...

    เพราะมันเป็นความหวังดี จากคนที่เธอรักทั้งสองคน... ความหวังดีที่ทำให้เธอรู้สึกดี... ในขณะที่ต้องเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน...

    เพราะเธอรู้เบื้องหลังของเรื่องนี้ดี... จากแววตาที่เขามองกัน

    แค่ไม่อยากเป็นส่วนเกิน... ที่เจ็บปวด

    ส่วนเกิน... ที่อยากจะเป็นมากกว่าเพื่อน... แต่ก็ต้องยอมถอยออกมา... เพราะเขาทั้งสองมีใจให้กัน...

    ถอยออกมาเพื่อลบความรู้สึกเหล่านั้นออกไปจากใจ... เพื่อที่จะสามารถสู้หน้า และยิ้มให้พวกเขาได้ ในฐานะ..."เพื่อนคนหนึ่ง"

    ++++++++++++++++++++++++

    "ห่างแค่เพียงเอื้อมมืออือๆๆๆๆๆ... แต่มานอยู่แส๊นกลายยยย..." เสียงขึ้นจมูกโหยหวนเพลงช้ำรักดังลั่นจากปากของคนป่วยที่เพิ่งหนังท้องตึงจากอาหารเย็น ประหนึ่งว่าข้าวผัดไก่ทอดที่กินเมื่อครู่มีสารแอลกอฮอลล์ที่ทำให้เมาได้อย่างไรอย่างนั้น

    "เป็นอะไรวะไอ้หญิง หุบปากได้มั๊ย... ไม่มีสมาธิขับโว้ยยย!!!" สารถีจำเป็นเริ่มหงุดหงิดกับเสียงเป็ดๆของคนเป็นหวัด จนทำให้วิถีของจักรยานเถไปเถมาไม่ตรงทาง แต่กระนั้นคนเมา(ไก่ทอด)ก็ยังไม่ยอมหยุด

    "ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนซาหนิด... ยิ่งม๊ายมีสิทธิ์จะบอกปายย..."

    "ไอ้หญิงโว้ยยย!!!"

    "ห่างแค่เพียงเอื้อม.... ว๊าย!!!"

    โครม!!

    ฤทธิของบทเพลงเพี้ยนเกินเยียวยาถึงกับทำให้คนขับเสียการทรงตัว จักรยานเซล้มอย่างควบคุมไม่อยู่...

    คนขับยังโชคดีที่สามารถคว้าเอาราวสะพานไว้ได้ แต่คนซ้อนที่ไม่ทันระวัง ได้กลิ้งขลุกๆไปนั่งแหมะบนพื้นสะพานเกาะนกเรียบร้อยแล้ว...

    "โอ๊ยยย!!  ไอ้ชนบ้า ขับภาษาอะไรวะเนี่ย!" เจ้าหญิงบ่นกระปอดกระแปดพลางมองแผลถลอกบนหัวเข่าที่มีเลือดไหลซิบๆ "ถ้าขาฉันเป็นแผลเป็นหมดสวยนะ..." ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็ต้องชะงักเมื่อเงาของคนๆหนึ่งทาบทับลงมา

    เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมอง แล้วต้องรีบก้มหน้างุดเพราะความเขินอันไม่ทราบสาเหตุเมื่อจำใบหน้านั้นได้ดี... หนุ่มในศาลาคนนั้น... ในขณะที่รางสูงทิ้งตัวลงข้างๆ สำรวจแผลนั้น แล้วพยุงร่างของเธอขึ้นนั่งบนจักรยานที่ถูกกู้สภาพให้ตั้งเรียบร้อยแล้ว

    เขาเดินหายเข้าไปในหอพักทับแก้ว2ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาพร้อมอุปกรณ์ทำแผลครบชุด เริ่มต้นปฐมพยาบาลให้เธอ

    "เดี๋ยวฉันทำเองก็ได้ค่ะ" คนเป็นเพื่อนสนิทอาสา เขาเพียงแค่ยิ้มน้อยๆแล้วบรรจงล้างแผลด้วยแอลกอฮอล์ เป็นการบอกนัยน์ๆว่าเขาทำเองก็ได้ คนเป็นเพื่อนจึงตัดสินใจค่อยๆถอยออกมา ลอบดูสถานการณ์ห่างๆอย่างห่วงๆ

    ถึงจะเจ็บๆ แสบๆ คันๆ ตลอดการทำแผล แต่เจ้าหญิงก็ไม่ร้องสักแอะ ได้แต่เม้มปากเน้น นั้งตัวเกร็ง จนเขาแปะผ้าก็อตส์ให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

    "ขอบคุณค่ะ" กระซิบแผ่วเบาก่อนที่จะกระโดดลงมาจากจักรยาน มองหาเพื่อน... แต่เพื่อนร่วมทางกลับไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว!

    เธอคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรตามจิกให้เพื่อนกลับมารับ แต่เพื่อนตัวแสบไม่ยอมรับสายเสียดื้อๆ

    "เดี๋ยวเราไปส่งแล้วกัน" หนุ่มติสต์อาสา

    "ไม่เป็นไรค่ะ" รีบปฏิเสธด้วยความเกรงอกเกรงใจ ทำท่าจะปลดล็อคขาตั้งจักรยาน แต่แค่ยกขา อาการเจ็บก็กรีดแทงที่หัวเข่าจนน้ำตาซึม

    เด็กหนุ่มได้แต่แอบขำในความรั้นของเธอ พลางเดินเข้ามาจัดแจงพับขาตั้งขึ้นแล้วขึ้นคร่อม ส่งสายตาเป็นทำนองให้เธอขึ้นมาซ้อน

    ล้อทั้งสองของจักรยานหมุนไป เจ้าหญิงนั่งนิ่งจนแทบจะไม่กล้าหายใจเมื่อเพื่อนต่างคณะปั่นจักรยานของเธอไปเรื่อยๆ จนในที่สุด เสียงทุ้มก็เอ่ยทำลายความเงียบ

    "ให้ไปส่งที่ไหนครับ?"

    "ที่... เอ่อ... ที่..." เธออ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรจะให้เขาไปส่งที่ไหนดี... สมองมันตีบตันไปหมด คิดไม่ออกแม้กระทั่งคำตอบว่าควรจะให้เขาไปส่งที่ไหนดี


    "อยู่หอพักอะไรครับ?"

    "เพชรรัตน์ 4 ห้อง 4317 ค่ะ" ละล่ำละลักตอบไปอย่างลืมตัว หลุดปากบอกเลขห้องไปทั้งๆที่ไม่จำเป็นก็ได้

    เธอนี่มันซื่อบื้อจริงๆ!

    เขาแอบขำท่าทางมึนงงของเธอ ปั่นจักรยานไปเรื่อย ปล่อยให้สายลมทักทายใบหน้าเปื้อนยิ้มของทั้งสอง...

    ในที่สุดก็ถึงปลายทาง... จักรยานคนเก่งจอดลงตรงหน้าหอพักหญิง เด็กสาวเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก ล้วงหยิบกุญแจจักรยานในกระเป๋าให้เขาเสียอย่างนั้น

    เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

    "นายจะกลับยังไงล่ะ เอารถฉันไปก่อนแล้วกัน ไว้ค่อยมาคืน"

    เขาส่ายหัวช้าๆ " ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเราให้เพื่อนมารับก็ได้"

    "จะดีหรอ?"

    "อืม"

    ไวกว่าที่คิด เพียงไม่กี่นาทีหลังโทรเรียก รถป็อบGiornoสีขาวสะอ้านก็เดินทางมารับเด็กหนุ่ม... เขาโบกมือเรียกให้เพื่อนมาจอดใกล้ๆ ก่อนที่จะหันมายิ้มอำลา

    "อย่าลืมล้างแผลด้วยนะ"

    "ค่ะ... ขอบคุณมากนะ" เธอยิ้มเก้อๆ

    แค่ละสายตาเพียงครู่ ก็เกิดเรื่องให้พวกเขาต้องหันกลับไป

    "โอ๊ยย!! นายบ้า! ขับรถเป็นรึป่าววะเนี่ย!"

    เจ้าหญิงจำเสียงแปร๋นๆนั้นได้ดี รีบจ้ำอ้าวเข้าไปหาต้นเสียงให้เร็วที่สุดเท่าที่แผลของเธอจะอนุญาติ

    "ชนนี่!" เธอพยุงร่างของเพื่อนขึ้น รู้สึกเสียวสันหลังแทนเด็กหนุ่มที่ถูกเธอส่งสายตาอาฆาตให้...

    ...เจ้าของGiornoสีขาวคันนั้น... เพื่อนของหนุ่มเดค...

    "เกิดอะไรขึ้นวะซอง?" หนุ่มติสต์ถามเจ้าของGiorno

    "นายบ้านี่ขับรถชนฉัน!" ชนนี่ชี้หน้าตัวการ "ดูขาฉันสิ ถลอกหมดเลย"

    "ยัยเซ่อ! เธอเองไม่ใช่หรอที่เดินไม่ดูทางน่ะ" เขาชี้ไปที่หนังสือที่ตกอยู่ใกล้ๆ "เดินกลางถนนเขาให้ดูทาง ไม่ใช่ดูหนังสือ!"

    "นายนั่นแหละที่ควรจะขับรถระวังๆ นี่มันเขตหอพักนะ!" เธอเถียงอย่างไม่ลดราวาศอก

    "ก็เธอนั่นแหละที่..."

    "ซอง!" หนุ่มติสต์ปรามเพื่อน ก่อนที่เหตุการณ์มันจะยิ่งเวียนหัวไปมากกว่านี้ "เป็นสุภาพบุรุษหน่อยดิวะ"

    "โธ่เว้ย! ไอ้วินด์... ยัยนี่มันผิดเห็นๆนะ" คนที่ชื่อซองยกมือขึ้นขยี้ผมอย่างหงุดหงิด

    "เรียกใครว่ายัยนี่?" ชนนี่แหว "พูดให้ดีๆนะ!"

    "พอเถอะน่า!" เจ้าหญิงสะกิดเพื่อน

    "ซอง... ผู้หญิงเจ็บนะ นายรับผิดชอบแล้วกัน" หนุ่มติสต์ที่ชื่อวินด์เจรจากับเพื่อน

    "อะไรวะ?!" เหมือนว่าคนชื่อซองจะไม่ยอมง่ายๆ

    "ไอ้เต่าของนายทำคนบาดเจ็บ" วินด์พยักเพยิดหน้าไปทางGiornoสีขาวคนนั้น

    "โธ่เว่ยยย!!!" เขาตั้งท่าจะเตะรถป็อบอย่างขัดใจ... แต่เห็นรถสุดที่รักแล้วก็เตะไม่ลง ต้องทิ้งขาขยี้พื้นเพื่อระบายอารมณ์แทน "จะให้รับผิดชอบยังไงก็ว่ามา!"

    "ขาฉัน... ถลอก" ชนนี่รีบตีบทผู้เสียหาย ทำท่าสะอึกสะอื้นอย่างน่าเห็นใจ "แถมข้อเท้าพลิก... ปั่นจักรยานไปเรียนก็ไม่ได้... จะให้เดินยังลำบากเลย... ฮึกๆ"

    "สำออย!" ซองกรอกตา แบะปากอย่างไม่พอใจ แต่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเพื่อนรักส่งสายตายะเยือกเข้าให้

    "อ... โอเคๆ แล้วจะให้ฉันทำยังไงก็บอกมา"

    "ขับรถให้ฉัน... จนกว่าฉันจะหายดี" ชนนี่ฉีกยิ้มพราวราวกับแม่มด แล้วก็รีบแกล้งปาดน้ำตาเมื่อซองทำท่าจะทุบเข้าให้

    "ซอง" วินด์เอ่ยเสียงนิ่งทีทำให้เพื่อนชะงักอย่างเสียวสันหลัง... ต้องจำใจพยักหน้ารับแต่โดยดี

    ไว้ก่อนเถอะ... มีโอกาสเมื่อไหร่ เขาได้เอาคืนแน่!

    "เอ้านี่" เขายื่นมือถือไปให้เธอ "กดเบอร์มา"

    ชนนี่กดตัวเลขไปอย่างสะใจ... เกมนี้เธอเป็นฝ่ายชนะ และจะชนะตลอดไปแน่... นี่แหละผลของการทำให้เธอเจ็บตัว!

    เมื่อทั้งสองฝ่ายเจรจากันเรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มจึงร่ำลา และจากไป เจ้าหญิงถือโอกาสนี้ย้อนกลับมาเล่นงานเพื่อนตัวดีที่ทิ้งเธอไว้กับสถานการณ์คับขัน

    "ยัยชนนี่!"

    "ทำไม... จะต้องทำสายตาน่ากลัวแบบนั้นด้วยอ่า" ชนนี่ผงะไปก้าวหนึ่ง "เรื่อง... ที่ฉันทิ้งเธอไว้ใช่มั๊ยอ่า..."

    เจ้าหญิงยังจ้องเพื่อนด้วยสายตาเหี้ยมเกรียม

    "ฉัน... ผิดไปแล้ว... แง----"

    "รู้ว่าผิดแล้วทำทำไม?" บอกด้วยเสียงเย็นจนคนฟังขนลุกซู่

    "ก็หวังดีนี่หน่า" คนผิดจิ้มนิ้วชี้สองข้างของตัวเองไปมา "เด็กว่าเด็กเดคคนนั้นหน้าตาดี แถมเหมือนจะแอบสนใจเธอ ก็อยากเปิดโอกาสให้บ้าง...อะไรบ้าง"

    "ชนนี่!"

    "ง่า... ฉันหวังดีจริงๆน้า"

    "ถ้าหวังดีก็... ทำอีกบ่อยๆนะ ฮ่าๆ" เจ้าหญิงปรับสีหน้าบึ้งตึงเป็นรอยยิ้มแย้มหยอกล้อเพื่อนอย่างอารมณ์ดี...

    อย่างน้อย... ความดีที่เธอพานพบในวันนี้ ก็ทำให้เธอลืมความทุกข์จากคนสองคนที่เธอรักมากไปได้ช่วงหนึ่งล่ะนะ...

    เธออาจจะอยากบอกลาใครบางคน... ในขณะที่มีคนใหม่ๆก้าวเข้ามาบรรจบในเส้นทางชีวิต... ทำให้ชีวิตเธอมีสีสัน... มีชีวิตชีวาเหมือนพื้นที่หม่นหมองสีเทา ถูกแต่งแต้มด้วยสีหลากหลาย จนมีชีวิตชีวา...

    เธออาจจะต้องใช้เวลา... พบเจอคนใหม่ๆมากมาย เพื่อให้สีสันเหล่านั้นกลบปิดพื้นที่สีเทาไปจนหมดสิ้น...

    ลบล้างความรู้สึกที่ไม่ควรเหล่านั้นออกไปจากใจ...

    เพื่อที่เธอ จะได้สามารถยิ้มให้เขาได้เต็มที่... เหมือนที่เธอยิ้มให้กับเพื่อนคนอื่นๆอย่างไม่แคลงใจ... เพราะเป็นรอยยิ้มที่กลั่นมาจากมิตรภาพแท้ๆ... ไม่ได้แฝงความหวัง เกินคำว่าเพื่อน... แบบที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้...



    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×