ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่่ 3 ตอนที่ 2

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 514
      4
      11 ก.ย. 55




                แสงแดดจัดจ้าสาดส่องผ่านรอยปรุระหว่างกิ่งก้านที่ถักทอเข้าหากัน หญิงสาวยกมือป้องตา น้ำตาแห้งไปนานแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกว่ามันเกาะกรัง ทั้งที่ขอบตาและหัวใจของเธอ

                เอเรอาญ์ได้ยินเสียงพ่อผลักประตูรถปิดลง ก่อนจะก้าวมายืนอยู่ข้าง ๆ เธอ โดยไม่มีใครพูดอะไร และแล้วในตอนเองที่พ่อทำท่าเหมือนจะบอกอะไรสักอย่าง --

                 “เฮ้! อีริค พาใครมาแน่ะ!

                คนที่ส่งเสียงเรียกพร้อมกับโบกมือให้พ่อนั้นเป็นชายในอายุไล่เลี่ยกัน มีโครงสร้างร่างกายและผิวพรรณอย่างชาวเมดิเตอร์เรเนียน หน้าท้องกลม ๆ ที่ดูเหมือนจะปริแตกออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีส้มแสบตาในวินาทีไหนก็ได้ไหวกระเพื่อมตอนที่เขาทิ้งแขนลงและเริ่มพูดคุยกับพ่อของเธออย่างออกรส

                เอเรอาญ์เดาว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของพ่อ แต่แทนที่จะหาคำตอบ เธอกลับยืนอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ และชั่งใจ เธอควรจะเดินไปกับพ่อเพื่อแนะนำตัว หรือควรจะยืนอยู่ตรงนี้ แต่แล้วในที่สุด บรรยากาศอึดอัดที่เพิ่งกระหน่ำใส่เธอเหมือนห่าฝนก็ทำให้เอเรอาญ์ตัดสินใจเลือกทางที่สาม -- เดินจากไป

                ความกลัวทำให้เธอไม่แน่ใจนักว่าอยากจะได้ยินคำที่พ่อใช้แนะนำเธอให้เขาฟังหรือเปล่า ยิ่งคิด                 เอเรอาญ์ก็ยิ่งจ้ำเดิน ไม่กี่อึดใจเธอก็ลับหายไปยังไหล่เขาอีกด้านที่มีต้นไม้ปกคลุมเป็นหย่อม ๆ กระจัดกระจาย

                “เอเรล -- นี่ --

                และตอนที่อีริค อาร์เรห์นหันกลับมา ลูกสาวของเขาก็หายไปจากสายตาเสียแล้ว

            

                เอเรอาญ์พิงหลังกับต้นสนสูงชะลูดพร้อมกับทรุดเข่าลงอย่างอ่อนแรง เปลือกสนกะเทาะร่วงลงมาใส่ผมเธอจนมันดูยุ่งเหยิงและน่าเกลียดกว่าเดิมเสียอีก

                ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบนาทีก่อน เมื่อได้สติและคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาของคนที่โตแล้ว เธอจึงตัดสินใจหันหลังกลับ และไม่ว่าจะเป็นเพราะเธอตาฝาดไปเองในตอนแรก หรือไม่ทันสังเกตตอนที่เดินเข้ามา ป่า เคยโปร่ง มีพุ่มไม้เตี้ย ๆ เป็นหย่อมๆ  ก็กลับกลายเป็นป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นสนสูงเสียดฟ้า

                หญิงสาวขบริมฝีปาก ทำไมต้นไม้ทุกต้นต้องหน้าตาเหมือนกันด้วยนะ เธอคิดอย่างงุ่นง่าน  ถ้ามันต่างกันสักนิดจะลดปัญหาแบบนี้ได้เยอะไม่ใช่หรือไง?

             เอเรอาญ์ไม่อยากยอมรับเลยว่าเธอกำลังหลงป่า แต่ยิ่งคิดหาหนทาง ใบหน้าของเธอก็ยิ่งง้ำลงด้วยความหงุดหงิด สมองของหญิงสาวหมุนเร็วจี๋เหมือนเครื่องจักร แต่แล้วก็กลับมีอะไรบางอย่างทำให้มันหยุดทำงานฉับพลันราวกับว่ากระแสไฟฟ้าถูกตัด

                “เสียงดนตรี?

                มันเป็นเสียงของเครื่องดีด แต่นั่นไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญเท่ากับการที่มันทำให้ความหวังของเธอลุกโชติช่วงอีกครั้ง

                “ทางออกอยู่ทางนั้นอย่างนั้นสิ

                เอเรอาญ์พึมพำ ก่อนจะตัดสินใจเดินเกี่ยวแขนเกาะไม้ใหญ่ทีละต้น ๆ อย่างทุลักทุเลเพื่อตามหามัน แสงอาทิตย์ปลายเดือนกันยายนส่องลอดเงาไม้ครึ้มสะท้อนนัยน์ตาเป็นระยะ ๆ ป่าเดี๋ยวทึบเดี๋ยวโปร่ง แต่ยังคงเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ และเมื่อเธอเกือบจะคิดว่าหูฝาดนั่นเอง ป่าทั้งป่าก็โปร่งจนกลายเป็นลานกว้าง

                ราวกับฉากสวย ๆ สักฉากในนวนิยาย หรือภาพยนตร์แฟนตาซีสักเรื่อง ลานหญ้าเขียวสดโล่งกว้างเหมือนลานพิธีขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยต้นสนสูงชะลูดเรียงรายเป็นระเบียบ  ตรงใจกลางลานคือแท่นหินลาดเอียงขนาดย่อม ที่ซึ่งแสงแดดเป็นลำเต้นระยับอยู่ข้างบนเหมือนม่านเบิกเวทีแสดง

                ชายชราที่ดูเหมือนพ่อมดในนิทานไม่มีผิดนั่งอยู่บนนั้น หนวดเคราซึ่งยาวเหยียดอย่างไม่น่าเชื่อเป็นสีขาวโพลน ดวงตาทั้งสองข้างปิดพริ้ม นิ้วผอมบางเหี่ยวย่นค่อย ๆ ดีดเส้นสายทองเหลืองของเครื่องดนตรีในมือเป็นจังหวะที่อบอุ่นยิ่งกว่าแสงอาทิตย์

                ตำนาน ตำนาน ขานเล่า                     นานเนาว์  นานเนาว์  โพ้นสมัย

    พิณหวาน พิณหวาน ขับขานไป                       รินไหล รินไหล ละม้ายธาร

                เอเรอาญ์ไม่รู้ว่าเพราะทำนองหรือน้ำเสียงที่ราวจะดึงดูดทุกสิ่งมีชีวิตให้เข้าหาที่พาเธอออกมาจากหลังเงาต้นไม้ จนมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายชราโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรและควรจะทำอะไรต่อไป

                ทันใดนั้น มีเสียงอะไรบางอย่างที่แข็งและส่งเสียงกังวานขาดผึง สายเครื่องดนตรีทองเหลืองนั่นเอง ชายชราวางมันพาดเอาไว้บนตัก แล้วดวงตาที่ปิดอยู่ก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น

                มันเป็นแก้วตาที่เธอไม่เคยเห็นและไม่เคยคาดฝันว่าจะได้เห็นมาก่อน ดวงตาของชายชราไม่ใช่สีแดง สีแสด ชมพูหรือเหลืองโดยสิ้นเชิง ทุกเฉดสีเปล่งประกายอย่างน่าพิศวง และในวูบหนึ่งนั้น ความนึกคิดที่กำลังแตกซ่านของเธอก็มอบคำจำกัดความให้มันได้

                มันคือสีสันของแสงอาทิตย์ --

                “ฉะ -- ฉันขอโทษ เป็นเพราะฉันหรือเปล่าคะ”

                เธอนึกว่าชายชราจะโวยวายใส่เธอตอนที่เขาอ้าปาก แต่เขากลับเพียงแต่ยิ้มอย่างที่ทำให้หญิงสาวนึกถึงแสงตะวันอุ่น ๆ เท่านั้นเอง

                “อยากฟังต่อไหม เอเรอาญ์”

                เธอเกือบจะพยักหน้าออกไปเสียแล้ว  คุณ... รู้จักฉัน?

                “ข้ารู้จักเจ้ามานาน ดวงตาประหลาดเหมือนจะเหม่อมองทะลุตัวเธอไปไกล นาน... นานมากแล้ว

                สรรพนามและสำเนียงของชายชราทำให้เธอนึกถึงลูกค้าปริศนาและผลทับทิมของเขา เอเรอาญ์ตัดสินใจไม่ต่อปากต่อคำอีก

                “คุณพอจะรู้ไหมคะว่าทางออกอยู่ที่ไหน”

                “เพลงนี้กำลังจะเล่าเรื่องของเพอร์ซีโฟเน่ ไม่เพียงแต่ไม่ตอบ เขายังหันไปอีกทางหนึ่ง ไม่มองเธอเลยด้วยซ้ำ น้องสาวต่างมารดาของข้า ไม่สิ... ของเรา พระบิดามีชายามากมาย เพอร์ซีโฟเน่เป็นธิดาของเทพีดีมิเทอร์กับท่าน นางเหมือน -- ใบไม้ผลิของพวกเราทุกคน

                มันไม่ใช่คำตอบที่เธอต้องการ แต่น้ำเสียงนั้นกลับผูกมัดให้เธอฟังตำนานปรัมปราอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับต้องมนตร์สะกด

                “เพอร์ซีโฟเน่ปฏิญาณจะเป็นเทพีผู้รักษาพรหมจรรย์ เช่นเดียวกับเทพีเฮสเทีย อาร์เทมีสฝาแฝดของข้า และอธีน่าพี่น้องของเรา แต่ความคิดนั้นทำให้อะโฟรไดท์ ผู้เป็นเจ้าของอำนาจความงามและความรักไม่สบอารมณ์เสียเลย นางคิดว่ามีผู้ปฏิเสธความรักมากเกินไปเสียแล้ว!” เขาหัวเราะ “ดังนั้น วันหนึ่งเมื่อเทพฮาเดสผู้ปกครองยมโลกเยือนพื้นพิภพ นางจึงมอบหมายให้อีรอส -- กามเทพ โอรสของนางยิงศรปักอกราชันแห่งปรภพ เทพฮาเดสตกหลุมรักเพอร์ซีโฟเน่ทันที และลักพานางไปเป็นราชินีเคียงคู่กัน เทพีดีมิเทอร์เสียใจมาก และได้ร้องเรียนต่อพระบิดาซึ่งให้คำตัดสินอย่างยุติธรรมว่าหากเพอร์ซีโฟเน่ไม่ได้ดื่มกินสิ่งใดของยมโลก เทพฮาเดสจะต้องคืนนางให้มารดา ทว่า -- เพอร์ซีโฟเน่เผลอกินผลทับทิมที่ราชันแห่งยมโลกหยิบยื่นให้ไปเสียแล้ว นางจะต้องอยู่เคียงข้างเทพฮาเดสในยมโลกสลับกับการกลับขึ้นมาเยี่ยมเยือนหามารดาในทุกปีนับแต่นั้น

                ชายชราทำท่าเหมือนจะเล่าต่อ แต่กลับเป็นเธอเองที่เอ่ยปาก โดยพยายามไม่สนใจว่าการเล่าเรื่องของเขาช่างฟังดูแปลกประหลาด “ตอนที่ลูกสาวกลับมาหา เทพีดีมิเทอร์จะเบิกบานใจ พืชพรรณธัญญาหารก็อุดมสมบูรณ์ มนุษย์ได้เรียกช่วงเวลาเหล่านั้นว่าฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน ส่วนเวลาที่ลูกสาวต้องจากแม่ จะกลับกลายเป็นฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวที่ขาดแคลนอาหาร ในขณะที่ผลทับทิมกลายเป็นสัญลักษณ์ของเทพีเพอร์ซีโฟเน่ไป จิตรกรจะวาดผลทับทิมเอาไว้ในมือเธอเสมอ”

                ทับทิม!

                “ทับทิม... ” เธอสะอึก มีบางอย่างรบกวนจิตใจ

                ป่าทั้งผืนถูกถ่วงลงสู่มหาสมุทรลึก เงียบสนิทยิ่งกว่าความเงียบทั้งหมดในโลก ก่อนจะถูกเก็บกู้ขึ้นสู่ผืนฟ้าแห่งเรื่องราวอีกครั้งด้วยเสียงของชายชรา

                “เจ้าจำได้หรือนี่”

                “จำได้สิคะ” เอเรอาญ์ตอบเหมือนมันไม่มีความสำคัญเลยสักนิด “เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น” แล้วเธอจึงวกกลับเข้าประเด็นเดิม “ว่าแต่ คุณพอจะรู้ทางออกจากที่นี่ไหมคะ”

                อีกฝ่ายยังไม่ยอมตอบเธอ แต่ถามว่า “แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ล่ะ”

                เอเรอาญ์อ้าปากค้าง แล้วก็หุบ อ้าปากแล้วก็หุบอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

                “เจ้าจะปิดบังความจริงต่อข้าผู้เป็นเจ้าวิหารในอาณาบริเวณนี้หรือ”

                “อพอลโล? ” เธอโพล่งออกไป

                และน่าประหลาดใจอย่างที่สุด เขาตอบเธอด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ “ใช่ ข้าคืออพอลโล”

                “แต่... ”

                “เอเรอาญ์” ชายชราพูดต่อโดยไม่ได้สนใจท่าทีของเธอสักนิด “มีใครหลายคนรักและเป็นห่วงเจ้า ไม่ว่าจะเป็นที่แห่งนี้ หรือที่ที่ข้ากำลังจะพาเจ้าไป”

                “พาฉันไป? คุณรู้ทางออกใช่ไหมคะ”

                เสียงของเธอเต็มไปด้วยความหวัง แต่แล้วชายชราก็ยืนขึ้นและกางแขนออก รูปร่างของเขาเหมือนไม้กางเขนสีขาวโพลนที่มีใบหน้า มีลมพัดเสียงดังสนั่น  ป่าส่งเสียงเหมือนจะล้มลงมาและสิ้นลมหายใจ แรงลมทำให้เอเรอาญ์ซวนเซ ในเวลาเดียวกันกับที่ร่างกายของชายชราปรากฏแสงจัดจ้า

                มันร้อนเหมือนจะแผดเผาทั้งประเทศให้ป่นเป็นผุยผง แต่แล้วในวินาทีต่อมา ความร้อนมหาศาลก็กลับกลายเป็นความเย็นยะเยือกกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

                เอเรอาญ์รู้สึกได้เมื่อแสงตกกระทบเธอ มันไม่เชิงเจ็บ แต่มั่นใจว่าไม่ใช่ความทรงจำที่ดีนัก ไม่ใช่ความทรมาน แต่ก็ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย

                แล้วก่อนที่มันจะอ่อนแรงกลายเป็นประกายแสงอ่อน ๆ ที่อบอุ่นนุ่มนวลในที่สุด ก่อนที่เธอจะได้รับรู้และเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สติของเอเรอาญ์ก็หลุดลอยไปในลมหอบสุดท้าย

                อพอลโลยืดหลังให้ตรง ชายชรากลายเป็นชายหนุ่มสูงชะลูดและสง่างามที่บนศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมเหยียดยาวสีทอง เขาคุกเข่าลงและช้อนเอเรอาญ์ไว้ในอ้อมแขน

                “ไม่ใช่มนุษย์” อพอลโลพึมพำกับเธอ “แต่ก็ไม่เป็นเทพเจ้า เจ้าไม่สิ้นใจเมื่อสบรัศมีเทพเช่นที่มนุษย์จะเป็น แต่ก็ไม่อาจทานทนได้”

                การประชุมสภาโอลิมเปียนได้ข้อสรุปให้เทพโอลิมเปียน ไม่ว่าองค์ใดก็ตาม นำพาให้เธอกลับคืนสู่โลกของเทพเจ้าได้ในทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่เขตแดนของตนเอง ถึงอย่างนั้นอพอลโลก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าเธอจะมาที่นี่ -- เมืองเดลฟี เมืองที่มีวิหารของเขา หรือในอีกแง่คือเขตแดนของเขาอยู่

                เทพแห่งดวงตะวัน การดนตรี ชะตา และศิลปะก้มมองใบหน้าของเอเรอาญ์ในอ้อมแขน ดวงตาของเธอปิดสนิท และทำให้ความเอ็นดูอุ่นวาบอยู่ในอกเขา

                “เจ้าจะมีความสุขจริง ๆ หรือ เพอร์ซีโฟเน่... ”

                เป็นประโยคแสดงความรู้สึกอย่างพี่ชายหรือเพื่อนคนหนึ่งมากกว่าประโยคคำถาม และอพอลโลเองก็ไม่เคยคิดอยากจะได้คำตอบ แต่แล้วก่อนที่เขาจะขยับตัว ก็มีบางเสียง และบางสิ่ง -- ทำให้ชะงัก

                “เจ้า!

    WRITER : พระเอกของเรากำลังจะมาในตอนต่อไปแล้วล่ะค่ะ ถ้าชอบ หรือมีข้อติชมยังไง บอกได้ ให้กำลังใจกันได้นะคะ น้อมรับฟังทุกความคิดเห็นค่ะ :)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×