ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #32 : บทที่ 14 ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 379
      2
      7 ต.ค. 55




    บทที่ 14

                เอเรอาญ์รู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศที่ว่างเปล่า ไม่มีร่างกาย ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีเนื้อหนัง หรือแม้แต่ชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะ

                เธอไม่เข้าใจเลย จูบของชายหนุ่มและหญิงสาวควรจะเป็นสัมผัสที่ทำให้หัวใจเต้นแรง แต่ทันทีที่          ฮาเดสถอนริมฝีปากออก และปล่อยให้เธอเดินจากไปโดยไร้คำพูด เธอกลับรู้สึกว่าในอกนั้นว่างเปล่า

                และเมื่อนึกทบทวนเหตุการณ์ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูจะเลือนรางและไม่ปะติดปะต่อกันราวกับชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่กระจัดกระจาย

                มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

                แต่เอเรอาญ์ยังคงครุ่นคิด --

                เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก คราวนี้เธอรู้สึกตัวและลุกขึ้นจากเตียงนอน เดินตรงไปยังประตูด้วยเท้าที่ไร้ความรู้สึก พร้อมกับที่ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยว่าอะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป จนกระทั่งประตูถูกเปิดออก และฮาเดสยืนอยู่ตรงนั้น

                “ข้านำมันมาให้เจ้า”

                น้ำเสียงของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม มันราบเรียบ นิ่ง และสงบเหมือนทะเลสาบน้ำลึกที่ปราศจากการเจือปนด้วยความรู้สึกต่างๆ

                เอเรอาญ์แกล้งทำเป็นแปลกใจ “กระจก? ”

                “กระจกแบบที่อสูรมอบให้หญิงสาว”

                มันไม่ใช่สิ่งที่เกินความคาดหมาย แต่กลับทำให้เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างที่หนักอึ้งกดทับอยู่บนบ่า ริมฝีปาก และบนมือทั้งสองข้าง เธอไม่ได้พูดขอบคุณหรือยิ้มให้เขาอย่างที่ทำมาโดยตลอด และถ้าเอเรอาญ์ไม่ได้คิดไปเอง ก็ไม่ใช่เธอเพียงคนเดียวที่ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฮาเดสเองก็ดูเหมือนคนที่กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญๆ อย่างกังวลใจเช่นกัน

                มันเป็นกระจกทรงรีที่มีด้ามจับยาวเกือบฟุตและใช้หินอ่อนสีขาวกับแก้วสีดำประดับตรงขอบ เอเรอาญ์เชื่อว่าเธอรู้จักมันดี ทั้งจากในนิทานของแม่และสันชาตญาณของตัวเอง แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะทำให้มันเกิดขึ้น แต่ความอึดอัดใจทำให้เธอนึกถึงอาเธอร์ -- อาเธอร์ที่อ่อนโยนและพึ่งพาได้ แล้วผิวกระจกก็สั่นกระเพื่อมเหมือนผิวน้ำในวันลมแรง

                เธอมองเห็นอาเธอร์สวมชุดผู้ป่วย และนั่งอยู่ที่ปลายเตียงของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งอย่างหมิ่นเหม่ พ่อของเธออยู่ตรงนั้นด้วย ที่ปากมีรอยช้ำ และยังมีพลาสเตอร์ยาแปะอยู่ที่หางคิ้วข้างหนึ่ง

                “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

                “ไม่ครับ” อาเธอร์ตอบ “พ่อล่ะ -- ”

                นั่นทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ สองฝาแฝดไม่เคยเรียกเขาว่าพ่ออีกเลยนับแต่วันที่เขาจากไป

                “ไม่เป็นไรแล้ว”

                จากนั้นคนทั้งสองก็ขยับตัวอย่างเงียบๆ กันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่อาเธอร์จะพูดโพล่งขึ้นมาว่า

                “พ่อบอกผมหน่อยได้ไหมครับ ว่าทำไมถึงไม่อยู่กับพวกเรา”

                เอเรอาญ์กลั้นหายใจ

                “ก็แค่ -- ” พ่อของเธอตอบด้วยเสียงที่แห้งผาก “พ่อเป็นพ่อที่แย่เหลือเกิน อาเธอร์”

                “อะไรทำให้พ่อคิดอย่างนั้นหรือครับ”

                “พ่อเคยตั้งใจว่าจะทำให้พวกเราทั้งสี่คนมีความสุขกันมากกว่าครอบครัวไหนๆ แต่แล้วก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า -- ทุกๆ อย่าง -- ทั้งพ่อ ทั้งรีเบคก้า ในมือเราทั้งคู่มีแต่ความไม่พร้อมทั้งนั้น และ... ” เขาสูดลมหายใจ “มันทำให้พ่อรู้สึกเจ็บปวดอยู่เสมอที่เราต้องลำบาก แต่พ่อจะทำยังไง ในเมื่อไม่มีวิธีไหนที่จะทำให้เราหาเงินได้มากกว่านั้นภายใต้คำว่า สุจริต’ พ่อจำเป็นต้องไปจากลูกทั้งสองคน”

                “อะไรนะครับ! ” พี่ชายของเธอร้อง “ทำไมกันล่ะ! ผมกับเอเรลมีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่พ่อต้องไปเลย”

                “ยังมีใครอีกหลายคนที่ชอบรีเบคก้า และพร้อมจะดูแลเธอเป็นอย่างดี แต่พ่อยังคงเป็นสามีของเธอนี่สิ”

                “พ่อก็เลยไปจากเรา”

                “ใช่... พ่อมาอยู่ในสังคมที่แตกต่าง พูดภาษาที่แตกต่าง แต่มันไม่มีทางเลยที่จะลืมเธอและลูกของเรา แล้วตอนที่พ่อตั้งตัวได้ ตอนที่พ่อกำลังจะกลับไป คุณดาลตันก็อยู่ที่นั่นแทนพ่อเสียแล้ว และพ่อก็หยุดอยู่ตรงนั้นโดยไม่ต้องคิดเลย เขาทั้งร่ำรวย ฉลาดเฉลียว ทั้ง... ”

                “แต่เขาแย่ที่สุด! ” อาเธอร์ร้องอย่างฉุนๆ “พ่อเห็นแล้วตอนนี้ว่าเขาทำอะไร เขาทำร้ายผม เขาคิดไม่ดีกับเอเรล”

                “พ่อรู้” พ่อตอบอย่างสงบ “และนั่น -- ทำให้พ่อตัดสินใจแล้ว”

                มือของเอเรอาญ์สั่น ขณะที่ประตูห้องนั้นเปิดออก และแม่ของเธอเดินเข้ามา

                “รีเบคก้า” เสียงของพ่อลอยอยู่ในอากาศ “เรากลับมาอยู่ด้วยกันนะ”

                เธอรู้สึกเหมือนตาบอด ทุกสิ่งทุกอย่างมืดมิดลงอย่างฉับพลัน จากนั้นก็สว่างไสว มือของเธอไร้น้ำหนัก และนิ้วทั้งสิบก็ไร้เรี่ยวแรง เสียงของพ่อและพี่ชายหมุนวนอยู่รอบตัว จากนั้นก็มีเสียงกระจกแตก

                “พ่อ -- ”

                เธอลืมตา กระจกของฮาเดสนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น เธอสูดลมหายใจ สะบัดศีรษะ พยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะ จากนั้นก็รีบก้มลงเพื่อเก็บมันขึ้นมา “ฉันขอโทษ" หญิงสาวว่า "ท่านอุตส่าห์ให้ฉันแท้ๆ ”

                “นั่นคือพ่อของเจ้าใช่ไหม” เสียงของฮาเดสดังอยู่เหนือศีรษะ “พ่อของเจ้า แม่ของเจ้า และพี่ชายของเจ้า ดูเหมือนว่า -- ครอบครัวของเจ้าจะ -- กลับมาแล้ว”

                กระจกบาดมือเธอ แต่เอเรอาญ์ไม่รู้สึกเจ็บ มีบางอย่างอยู่ในน้ำเสียงของฮาเดส ฟังดูขมขื่น แต่ถูกสะกดกลั้นไว้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ปิดบังความสั่นของเสียงไว้เลย

                เธอลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่ได้ถือกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงขึ้นมาด้วย แต่เอื้อมมือที่มีบาดแผลและเลือดไปแตะที่มือข้างหนึ่งของเขาไว้

                “บอกฉันได้ไหมคะ -- ท่านคิดอะไรอยู่”

                ห้วงเวลาที่เงียบงันชั่วขณะหนึ่งเดินทางผ่านไป ฮาเดสจับมือเธอ แล้วก็บีบเอาไว้แน่น

                “เพราะความโง่งมของข้า” เขาพูด “ข้าเพียงต้องการจะรู้... ว่ามีสิ่งใดบ้างที่เจ้าปรารถนา”

                “หมายความว่ายังไงคะ”

                “ข้าดีใจ -- ดีใจที่เจ้ารักห้องสมุดห้องนั้น รักหอคอยเล็กๆ ตรงนั้น แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกำเนิดขึ้นมาจากความปรารถนาของเพอร์ซีโฟเน่ มันไม่ได้เกิดความปรารถนาที่แท้จริงของเจ้าเลย" ราชันแห่งปรภพดึงมือของเธอขึ้นมาแนบไว้ที่อก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ออกแรงกดให้มือของเธอแนบชิดกับผิวที่เยียบเย็น จนสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใน "ข้าอยากรู้ว่าจะสามารถทำอะไรเพื่อเจ้าได้บ้าง

                “นี่ใช่ไหม... เหตุผลที่ท่านขอให้ฉันเล่านิทานให้ฟัง” เธอถาม “ท่านอยากจะเห็นว่าฉันให้ความสนใจกับอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ต่อให้มันจะเป็นความเพ้อฝันแบบเด็กๆ ก็ตามเถอะ”

                “ใช่” เขาตอบ “ข้าไม่ได้เป็นชายที่ล่วงรู้หัวใจสตรี ไม่ใช่คนฉลาดเฉลียวที่รู้ว่าควรจะทำยังไงอยู่เสมอ แต่อย่างน้อย -- ถ้าหากมันจะทำให้รู้ได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ในหัวใจเจ้า แม้จะด้วยวิธีที่โง่งมที่สุด ข้าก็อยากจะคิด และทำ ด้วยสมอง และด้วยมือของข้าเอง”

                “แต่ไม่จำเป็นเลยที่... ”

                “ข้าจะทำ” ฮาเดสบอกอย่างหนักแน่น แต่เอเรอาญ์สังเกตเห็นว่าเขาไม่ยอมสบตาเธอ  และแล้ว เขาก็ยกมือของเธอข้างที่มีบาดแผลขึ้นมาจูบอย่างอ่อนโยน ก่อนที่รอยแผลกระจกบาดจะค่อยๆ จางหายไป

                “ท่านคะ... ”

                “ข้ารักเจ้า”

                อากาศดูเหมือนจะเหือดหาย ทุกอย่างพร่าเลือนและแผ่วเบา หัวใจเต้นแรงขึ้น และแรงขึ้นจนเหมือนว่ามันจะดังก้องไปทั่วทั้งห้องนั้น

                “เทพฮาเดส... ”

                “ข้า... ไม่สามารถบอกอะไรนอกเหนือจากคำนี้ได้อีกแล้ว”

                เขาสบตาเธอในที่สุด และทุกอย่างในแววตาของฮาเดสก็บอกเธออย่างชัดเจนว่าเขาหมายความตามที่พูด

                “ท่าน -- จะไม่หัวเราะทีหลัง แล้วบอกว่าฉันดูตลกใช่ไหม”

                “ไม่” เขาตอบอย่างมั่นคง “ข้ายืนยันคำว่ารักเจ้า ด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี”

                เอเรอาญ์พูดอะไรไม่ออก มีความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมาในตัวเธอ ขณะที่ส่วนเล็กๆ ในใจของบอกให้เธอตอบเขาด้วยคำคำเดียวกัน แต่พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นกลับว่างโหวงไร้ความนึกคิด

                “ท่านคิดผิดแล้ว รู้ไหม” เธอค่อยๆ พูด เพราะรู้สึกเหมือนว่าคำพูดแต่ละคำนั้นมีน้ำหนักมหาศาล พอๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อยอย่างเชื่องช้า “สิ่งที่ฉันต้องการที่สุด -- ไม่ใช่แอปเปิ้ล รองเท้าแก้ว มงกุฎ หรือ -- กระจก ที่ทำให้ฉันได้เห็นภาพของคนที่อยากจะเห็น ไม่เลย... "
                “แล้วเป็นสิ่งใด”

                “ท่านกำลังคิด... ว่ากระจกบานนี้เป็นคำตอบสุดท้ายใช่ไหม”

                เธอถามอย่างไม่แน่ใจ แต่เขาพยักหน้า “ใช่ ข้าคิดแบบนั้น”

                คราวนี้เหมือนว่ามีบางอย่างร่วงหล่นลงไป เอเรอาญ์อ้าปาก เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเสียงหวีดสั้นๆ ของลมหายใจในลำคอที่ปวดร้าว ก่อนที่เธอจะกลืนน้ำลายและพยายามพูดทุกคำอย่างยากลำบาก “เปล่านะ... เปล่าเลย ท่านไม่เคยรู้เลย เพราะว่ามองข้ามมันไปเสมอ ฉันเคยบอกท่านไปแล้ว จำไม่ได้หรือ? สิ่งที่ฉันต้องการที่สุด คือต้องการเห็นท่านได้เป็นตัวท่าน ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดที่ต้องแบกรับ แต่ว่า -- ” แล้วน้ำตาของเธอก็พรั่งพรู “ที่ฉันเสียใจ ที่ฉันร้องไห้แบบนี้ เป็นเพราะว่าท่านยังทำเหมือนคิดอยู่เสมอว่ายมโลกและ -- ท่าน -- จะไม่มีวันเป็นที่ต้องการ ฉันยังไม่ได้ในสิ่งที่ฉันต้องการเลย ไม่เลย... ท่านยังไม่มีความสุขเลยสักนิด”

                “แต่เจ้าจะปฏิเสธข้าหรือ... เอเรล ว่าสิ่งที่เจ้าต้องการที่สุด -- ในเวลานี้ คือการได้กลับไปสู่โลกของเจ้า กลับไปหาพ่อ แม่ และพี่ชาย กลับไปหาคนที่รัก”

                คำตอบของเขาทำให้เอเรอาญ์รู้สึกเหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด

                “ท่านรู้ใช่ไหม! ” เธอเขย่าตัวเขาอย่างลืมตัว “ท่านรู้ใช่ไหม! รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่หญิงสาวมองเข้าไปในกระจกของอสูร รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉันมองเข้าไปในกระจกของท่าน!

                “ใช่... ข้ารู้” เขายิ้มอย่างอ่อนแรง “เจ้าจะไป และข้าจะปล่อยเจ้าไป”

                “ทำไมกัน... ”

                “เจ้าเคยบอกว่า การจองจำอีกฝ่ายหนึ่งไว้แนบกายตนนั้นไม่ใช่ความรัก และบอกเอง... ว่าอสูรมีหัวใจที่รักได้อย่างบริสุทธิ์ -- เขาจึงปล่อยนางผู้เป็นที่รักไป”

                “เพราะท่านรักฉัน... ”

                “ใช่”

                โลกดูเหมือนจะมืดมิด แสงตะวันหายลับไปในที่ไหนสักแห่ง และเธอจะไม่มีวันหาพบอีก แผ่นดินที่แห้งแล้งและเหน็บหนาวแผ่กว้างออกไป เหมือนความเดียวดายที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้น

                “ท่านจะบอกว่ารักฉันทำไม ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าฉันจะต้องไป”

                “เพราะเจ้าจะไม่มีวันหวนคืนมาอีก... หรือต่อให้เจ้าต้องการจะมา ต่อให้ไม่ได้ชิงชังยมโลก ครอบครัวของเจ้าจะคิดเห็นเช่นเจ้าได้ยังไง”

                “อย่าทำแบบนี้เลย มันทำให้ท่าน -- เจ็บปวด -- ไม่ใช่หรือ”

                “แต่เจ้าจะไม่เจ็บปวด... ” เขาแตะที่แก้มเธออย่างทะนุถนอม “ข้าจะส่งเจ้าที่ปากทางสู่ยมโลก และเฝ้ามองจนลับตา แต่จงอย่าเหลียวหลังมอง เจ้าบอกข้าเอง -- หญิงสาวจะรักอสูรที่อัปลักษณ์และกราดเกรี้ยวได้ยังไง”

                “ท่านไม่ใช่อสูร”

                “แต่ข้าจะกลับเป็นอสูรถ้าหากว่าเจ้าเหลียวหลังมา เพราะข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าไป”

                “ท่านอย่าทำแบบนี้เลย”

                “แต่เจ้าจะมีความสุข”

                “อย่าทำ -- ทั้งที่ยังไม่แน่ใจว่ามันคือความรัก”

                “ข้ารักเจ้า” เขาตอบอย่างดื้อดึง “รักต่อให้เจ้าไม่ใช่เพอร์ซีโฟเน่ หรือต่อให้ข้าไม่ใช่ฮาเดส และต่อให้อีรอสไม่แม้จะน้าวคันศร”

                “ท่านไม่ได้รักฉัน! ” เธอร้องทั้งน้ำตา “ท่านไม่ได้รักตัวเองด้วยซ้ำ”

                “เจ้าบอกแทนข้าไม่ได้”

                เธอไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่แผดเผาดวงตาของเธอคืออะไร ความโกรธ ความน้อยใจ หรือความเสียใจ มันทำให้สิ่งที่อยู่ในอกนั้นปวดร้าว และเรี่ยวแรงที่มีก็เหือดหาย

                “ฉันเกลียดท่าน!

                เอรอาญ์โถมตัวเพื่อตะโกนคำนั้น ใช้เสียงและกำลังทั้งหมดที่มี ดวงตาพร่ามัวจนมองอะไรไม่เห็น เธอไม่แน่ใจว่าเขามีสีหน้าอย่างไรตอนที่ถอยหลังบไป ก่อนที่เธอจะปิดประตูและลงสลักด้วยมือที่สั่นเทิ้ม

                “แต่ข้ารักเจ้า... ”

                นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยิน มันสั่นเครือเหมือนว่าเขากำลังมีน้ำตา เช่นเดียวกับเธอที่ทรุดลงตรงนั้น และร้องไห้เหมือนจะไม่สามารถทำอะไรได้อีก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×