ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #29 : บทที่ 12 ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 363
      2
      2 ต.ค. 55

     


                ศีรษะของเธอเจ็บเหมือนถูกทุบแรง ๆ อย่างไม่ปรานีปราศรัย ดวงตาหนักอึ้งและอ่อนล้า แขนขาปวดร้าวเหมือนมันเคยถูกฉีกไปคนละทิศละทาง

                ในระหว่างที่ยังคงหลับตา เธอจำได้ว่าความฝันของเธอแปลกประหลาด มันเต็มไปด้วยแสงสีฉูดฉาด -- บ้าคลั่งและทำให้รู้สึกคลื่นไส้ นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เอเรอาญ์ต้องใช้เวลานานกว่าแสงสีฉูดฉาดในความนึกคิดจะประกอบกันจนกลายเป็นรูปร่างของพี่ชายฝาแฝด ปีกสีแดง เวเรน่า แม่น้ำ เรือ และฮาเดส

                “ฮาเดส... ”

                เหมือนมันจะเป็นคำที่เปล่งเสียงออกมาได้ง่ายทื่สุด ขณะที่ภาพต่างๆ ค่อยๆ เคลื่อนไหวและกลายเป็นเรื่องราว

                “อาเธอร์!

                เอเรอาญ์รู้สึกเหมือนว่าลำคอกำลังแตกออกตอนที่ผวาลุกขึ้นและตะโกนสุดเสียง เธอมองไปรอบตัว ราวกับหวังว่าจะเห็นพี่ชายเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งเสียงประท้วงและล้อเลียน แต่ไม่มีใครเลย

                “อาเธอร์! เทพทานาทอส! ” เธอตะโกนอีก แต่เบากว่าครั้งแรก “มีใคร... ”

                “ไม่อยู่หรอก”

                เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เอเรอาญ์ร้องกรี๊ดออกมาเบา ๆ ก่อนจะมองเห็นราชันแห่งยมโลกที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นอยู่ที่ปลายเตียง

                “ท่านเข้ามาในนี้ทำไม”

                “เผื่อเจ้าจะตั้งใจมองหาพี่ชายจนลืมสังเกต... มันเป็นห้องข้า”

                เขาตอบเรียบๆ พร้อมกับสิ่งที่อาจจะเป็นรอยยิ้มถ้าหากโชคดีพอที่มุมปากด้านขวา

                “เจ้านอนอยู่ในห้องข้า”

                เขาย้ำ และแม้จะรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่จะทำ เอเรอาญ์ก็ยังคงมองไปรอบๆ ตัวอย่างวิตกจริต คลำหาเสื้อผ้าบนตัวและถอนหายใจที่เห็นว่ามันยังอยู่ครบ

                “ทำอะไร”

                “ฉันไม่รู้ค่ะ”

                “แต่ข้ารู้... ” เขายังคงใช้น้ำเสียงเรียบเรื่อยเหมือนพูดถึงลมฟ้าอากาศ แต่มุมปากด้านขวาโค้งสูงขึ้นหลายองศา คราวนี้มันเกือบจะเป็นรอยยิ้มถ้ามองในมุมและแสงที่บิดเบือนระดับพอใช้ “เจ้าอยู่บนนี้ทั้งคืน”

                “แต่ท่าน... ”

                “ข้าอยู่ตรงนั้น”

                เขาชี้ไปที่โต๊ะทำงานตัวมหึมา

                “ขอบคุณค่ะ”

                “ขอบคุณอะไร” ริมฝีปากของฮาเดสโค้งขึ้นอีกหลายองศา เพียงแต่มันดูเหมือนการแสยะยิ้มแกนๆ ไม่น่ามองมากกว่า

                เอเรอาญ์จ้องเขม็ง ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกฮาเดสต้อน เพียงแต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะแตกต่างจากครั้งก่อนๆ เล็กน้อยตรงที่ฮาเดสเลือกใช้คำพูดยั่วเย้าเธอมากขึ้น และดูเหมือนคนที่ล้อเลียนกันตามปกติมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะดูน่ากระอักกระอ่วนตรงที่เขาคล้ายจะประดิษฐ์มันขึ้นมาอย่างไม่สมบูรณ์ อาจจะเป็นเพราะความไม่เคยชินก็ได้ แต่ก็เหมือนทุกครั้งที่เธอพบว่าการสรรหาคำพูดมาใช้เป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างที่สุด

                “ขอบคุณที่ให้ที่พักพิงค่ะ”

                เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำริมฝีปากยื่นน่าเกลียด และเพื่อไม่ให้เขาเห็นใบหน้าแบบนั้น เอเรอาญ์จึงถดตัวลงจากเตียง ขยี้ผมแรงๆ  ให้ความคิดตื่นตัว อีกฟากหนึ่งของห้องยังคงมีผืนม่านผืนเดิมปิดเอาไว้อย่างผิดที่ผิดทางเช่นเคย และการได้มองเห็นมันก็ทำให้เธอรู้สึกปวดมวนในท้องเมื่อนึกถึงรูปเขียนที่ซ่อนอยู่และครั้งสุดท้ายที่เธอปะทะคารมกับฮาเดสในห้องนี้

                “คือ... ” เธอพยายามทำลายความเงียบลง “พี่ชายฉันล่ะคะ”

                “ไปแล้ว”

                “ไปไหนคะ” เธอไม่ชอบน้ำเสียงเขาตอนที่พูดแบบนั้นเลย บางทีอาจเพราะเขาเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งความตายก็ได้

                “เจ้าจำไม่ได้หรือ”

                “อะไรคะที่ฉันจำไม่ได้”

                เขาทำท่าบิดไหล่ไปมาอย่างผิดธรรมชาติก่อนจะพูดว่า “เรื่องเมื่อคืนนี้ -- เจ้ากับข้า... เรา...”

                “เทพฮาเดส!

                ไม่ผิดจากที่คิดเลย ถึงจะดูเหมือนกับปาฏิหาริย์ก็ตามที่ฮาเดสหัวเราะ และหัวเราะต่อหน้าเธอด้วย! จู่ๆ ก็เหมือนกับว่าแสงอาทิตย์จากเอลลีเซียมแผ่เข้ามาถึงในตัวปราสาท และชุดคลุมสีดำสนิทของเขาก็ดูช่างไร้ความหมายเสียจนถ้ามีใครบอกเธอว่าเขาคือเทพไดโอนีซุส หรือเทพอพอลโล หรือเทพเฮอร์มีส หรือแม้แต่กามเทพ เธอก็คงหลงเชื่ออย่างง่ายดาย

                “ไม่ผิดจากที่ทานาทอสบอกไว้เลย -- ไม่น่าเชื่อว่าการไล่ต้อนด้วยวิธีที่ออกจะทะลึ่งตึงตังไปเสียหน่อยจะทำให้ -- ” ฮาเดสหอบหายใจ “เจ้ามีท่าทีน่าขันอย่างนี้”

                มันคงจะสนุกกว่านี้ -- เธอคิดอย่างอดกลั้น ถ้าจริงๆ แล้วท่านจะไม่ใช่เทพเจ้าเลือดเย็นที่ปกครองยมโลกมานานเสียจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าเป็นอัมพาต และลืมไปแล้วว่าการพูดคุยตามปกติเป็นยังไง

                “แต่ฉันไม่ขันเลยค่ะ และถ้าจะกรุณา ท่านก็บอกฉันด้วยว่าอะไรที่ฉันจำไม่ได้”

                “เจ้าไม่ควรมีสีหน้าแบบนี้ เจ้าต้องรื่นเริงกว่าข้า”

                “ฉันเป็นมนุษย์นะคะ...”

                “มีความรู้สึก” เขาต่อให้ รอยยิ้มหายไปอย่างรวดเร็วและน่าเสียดาย เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น  “พี่ชายของเจ้าจากไปแล้ว เขาสลัดบ่วงพ้นแล้ว เขากลับไปสู่โลกของเจ้า”

                “แต่ว่า... ” เธออ้าปากค้าง “ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน --

                “เจ้าจำอะไรได้บ้าง”

                เอเรอาญ์ไม่ได้ตอบในทันที ยากทีเดียวเมื่อดูเหมือนเหตุการณ์ที่ผ่านมาอาจจะหนักและน่าตื่นตระหนกเกินไปสำหรับเธอ ภาพส่วนใหญ่ยังคงเป็นสีสันที่เปรอะเปื้อนเหมือนมีใครสะบัดพู่กันหลากสีใส่ผืนผ้าใบที่มีรูปวาดอยู่แล้วอย่างไม่ยั้งมือ เธอหลับตา พยายามจะคิด ภาพวาดที่ควรจะเป็นภาพจริง ๆ ปรากฏอยู่ในความคิดแล้ว เพียงแต่มันไม่ชัดเจนนัก

                “อาเธอร์ฟื้นแล้ว เขาผลุนผลันไปจากที่ที่พวกเราอยู่... ” เธอพยายามลำดับเหตุการณ์ “เวเรน่าตามไป แล้ว... ” เธอพยายามคิดอีก แต่ไม่ได้ผล “ฉันจำอะไรไม่ได้อีกเลย”

                “ไม่แปลกหรอก -- เจ้าหลับไป”

                “แล้วทำไมถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรก”

                “แล้วทำไมต้องมีปัญหากับวิธีการของข้า”

                “เผด็จการ”

                “ข้าไม่เข้าใจคำนั้น”

                “เผด็จการก็คือคนที่รวมอำนาจตัดสินใจไว้ที่ตัวเองคนเดียว”

                เขาไม่แยแส “ข้าไม่ได้รวมอำนาจเองเสียหน่อย ข้าคือองค์ราชัน หรือเจ้าจำไม่ได้”

                “ฉันไม่เถียงกับท่านแล้ว” เธอเม้มริมฝีปาก กอดอก บ่งบอกว่าจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ “บอกฉันได้แล้วค่ะ”

                “เจ้าต่างหากที่เผด็จการ”

                “ฉันบอกว่าไม่เถียงแล้ว... ”

                “ไม่ได้เถียงเสียหน่อย ข้าพูดหรอก -- ” เขากอดอกบ้าง “เจ้าร้องไห้อีกหลังจากที่พี่ชายลับตาไป แต่ไม่ฟูมฟายนัก ข้าเสนอว่าจะเราจะไปกลับที่ปราสาท ส่วนเจ้าบอกว่าอยากเดินกลับไป เพราะอยากจะคิดอะไรไปพลาง ข้าก็ทำตามใจเจ้า พอเดินไปได้หน่อยเจ้าก็ทนไม่ไหว ร้องไห้ ร้องไห้ แล้วก็กอดข้า -- ข้าอยู่เฉยๆ ให้เจ้ากอดจนหลับไป แล้วก็พามาที่นี่”

                เขาบรรยายอย่างเฉยเมยโดยไม่รู้สึกรู้สมอะไรอีกแล้ว ทั้งที่เธอกลัวว่าใบหน้าของตัวเองกำลังจะกลายเป็นสีแดงอย่างโจ่งแจ้ง

                “ละ... แล้ว ทำไมไม่ไปที่ห้องฉันล่ะ”

                เขาแค่โคลงไหล่ “ข้าไม่รู้”

                “อะไรนะ!

                “จะเสียงดังทำไม ข้าบอกว่าไม่รู้”

                เธอหน้างอ “ท่านบอกว่าท่านไม่ใช่เผด็จการ”

                “เจ้าบอกว่าจะไม่เถียงแล้ว และนี่ไม่ใช่การรวมการตัดสินใจไว้ที่ข้า เจ้าตัดสินใจที่จะหลับเองโดยที่ยังไม่ถึงห้อง”

                ริมฝีปากของเธอต้องกลายเป็นเส้นตรงที่ตรงยิ่งกว่าเอาไม้บรรทัดมาตรฐานโลกมาวัดแล้วแน่ ๆ                   เอเรอาญ์แน่ใจอย่างนั้น เธอเม้มริมฝีปากสนิทขึ้นอีก ห่อไหล่ และกอดอกมากขึ้นด้วย

                “เจ้าจะไปแล้วใช่ไหม”

                จู่ๆ เขาก็พูดออกมาท่ามกลางสงครามเย็นทางสายตาและการกอดอก เสียงเบากว่าเดิม และ -- เธออาจจะคิดไปเอง -- มันสั่นกว่าเดิม เหมือนเด็กชายที่หวาดกลัวเลยด้วยซ้ำถ้าหากดวงตาของเขาจะแสดงความรู้สึกมากกว่านี้

                “ไปไหนคะ? ”

                “พี่ชายเจ้าไปแล้วนี่”

                นั่นทำให้เธอตกใจ มันแปลกมาก -- พี่ชายของเธอกลับไปยังโลกที่เขาจากมาแล้ว แต่ทันทีที่เธอได้ยินอย่างนั้น เธอกลับไม่ได้รู้สึกอะไรไปมากกว่าประหลาดใจและใจหายเล็กน้อย และที่อาจจะน่ากลัวกว่านั้น -- เธอไม่ได้รู้สึกว่ามีความกระตือรือร้นที่จะกลับไปพร้อมกับอาเธอร์เลย

                “ชะ... ใช่... ”

                ลิ้นเธอเหมือนจะติดอยู่กับเพดานปาก เอเรอาญ์จ้องมองม่านที่ห่อหุ้มโครงเตียงสี่เสาราวกับมันมีสิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษทันที ขณะที่ความคิดมากมายก่อวินาศกรรมในสมองจนคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นควัน

                อะไรที่ทำให้เธออยู่ที่นี่ หรืออย่างน้อยคือกลับไม่มีความรู้สึกว่าอยากจะกลับไปเหมือนเคย เพราะเธอเกิดสนใจหนังสือกับห้องสมุดในปรโลกขึ้นมาอย่างสุดชีวิตอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่นอน -- หรืออาจเพราะเธอกลับรู้สึกอุ่นใจในยมโลกได้โดยไม่ต้องมีฝาแฝด --

                “ข้าคิดว่าเจ้าอาจต้องการจะ -- กลับไป”

                “อะไรนะคะ”

                “เขาเป็นพี่เจ้า และเจ้าทั้งสองก็โหยหาโลกที่จากมาเหลือเกินอยู่แล้ว”

                “ท่านจะปล่อยให้ฉันไปหรือ!

                เธอร้องเสียงดัง มันเหมือนเพิ่งได้ยินข่าวว่าพีระมิดกลางทะเลทรายถูกพายุหิมะถล่ม

                “ถ้าเจ้าต้องการมาตลอด... ”

                เขาขยับตัวเล็กน้อย ใบหน้าจึงซ่อนอยู่ในเงามืดจนเธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดหรือรู้สึกอย่างไร และน้ำเสียงของเขาก็เรียบเฉยจนยากที่ประเมินอะไรได้

                เธอรู้ว่าเธอต้องการมาตลอด เพียงแต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกว่าการได้กลับสู่โลกที่คุ้นเคยนั้นมีความจำเป็นหรือส่งผลกระทบต่อความสุขของเธอ

                “ทำไม” ความไม่มั่นใจที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้เสียงของเธอดูตะกุกตะกัก “ท่านไม่น่าจะทำอย่างนี้ได้ ท่านไม่น่าจะ -- ไม่น่าจะ -- จะให้ฉันกลับไปง่ายๆ”

                “ข้าคิดว่าเจ้าต้องการอย่างนั้น”
                “แต่ท่านไม่เคยสนใจเรื่องความต้องการของฉัน
    -- หรือของใครนี่”

                มันไม่ได้เต็มเสียง แต่เอเรอาญ์กลับรู้สึกเหมือนเพิ่งตะโกนอะไรที่ร้ายกาจมากๆ ออกไปจนต้องซุกริมฝีปากไว้ในฝ่ามือ

                เขาเงียบ เงียบมาก และนานมาก

                “แต่ตอนนี้ข้าสนใจ”

                “แต่ว่า -- แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นล่ะ ท่านไม่อยากรู้แล้วหรือว่าทำไมเทพีเพอร์ซีโฟเน่ถึงจากไป”

                “เจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ใช่นาง เจ้าไม่มีทางรู้เรื่องนั้น”

                “แต่เทพเจ้าทุกองค์บอกว่าฉันเป็น... บางทีฉันอาจจะ --

                “เจ้าบอกเองว่าเจ้าไม่ใช่นาง” เขาตัดบท เสียงแข็งขึ้น ดังขึ้น แต่ก็สั่นอย่างน่ากลัวมากขึ้นด้วย “ข้าเชื่อเจ้า!

                เธอพยายามขยับตัวเพื่อจะมองใบหน้าของเขา แต่ฮาเดสกลับถอยหลังอย่างแนบเนียนราวกับรู้ว่าเธอจะทำอะไร

                จู่ ๆ คำว่า โลกที่สว่างไสวก็ดังขึ้นในความคิดของเธอ และสีหน้าของทานาทอสตอนที่อ้อนวอนเธอก็ดูจะชัดเจนยิ่งกว่าภาพที่กำลังลืมตามองอยู่เสียอีก

                เธอควรจะกลับไป -- เรื่องนั้นเธอรู้ดีที่สุด เธอต้องกลับไปหาพี่ชาย กลับไปดูแลแม่ และบางทีถ้าเผื่อการกลับไปจะทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกที่พ่อต้องการจะบอก -- บางทีถ้าเผื่อเธอกับพ่อจะเข้าใจกันมากขึ้น บางทีถ้าเผื่อพ่อจะกลับมา --

                แล้วฮาเดสล่ะ?

                เขาเพิ่งบอกว่าสนใจความรู้สึกของเธอ เขาเพิ่งบอกว่าเขาเชื่อเธอ เธอเพิ่งได้รู้ว่าเขาลุยผ่านตมแห่งความขมขื่นมายาวนาน เธอเพิ่งได้รู้ว่าเขามีความรู้สึก และอาจจะมี หัวใจเหมือนมนุษย์ สัตว์ หรือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ และถ้าเธอไป --

                เอเรอาญ์ไม่อยากจะให้ความสำคัญกับตัวเองจนเกินควร แต่เธอกลับมั่นว่าการจากไปในเวลานี้จะทำให้ โลกที่สว่างไสวของเขา อย่างที่ทานาทอส -- และอาจจะตัวฮาเดสเองต้องการไม่มีทางเกิดขึ้น เขาอาจใส่ใจความรู้สึกเธอ อาจไว้ใจเธอ เชื่อเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใส่ใจความรู้สึก ไว้ใจ และเชื่อใจทุกคน หรือเป็นอย่างนี้ไปตลอดกาลอย่างที่ -- เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องการ

                “แล้วถ้าฉันบอกว่า... ฉันจะอยู่ที่นี่ล่ะ”

                เขาขยับตัวออกมาจากเงามืด จ้องมองเธอด้วยดวงตาเรียบเฉย มันอาจจะมีร่องรอยของความตกตะลึงแวบหนึ่ง เพียงแต่เธอไม่ทันสังเกตเห็น

                “เจ้ามีเหตุผลอะไร”

                “ฉันอยากอยู่ที่นี่”

                “เจ้าไม่เคยแสดงท่าทีอย่างนั้น”

                “ฉันจะอยู่” เธอพูดหนักแน่น ทั้งที่ความมั่นใจยังคงเบาบาง “ฉันจะอยู่ที่นี่ จนกว่าจะได้เห็นท่านอย่างที่ฉันอยากจะเห็น”

                “เกิดอะไรขึ้นกับความคิดของเจ้ากัน... ”

                “ท่านก็ถือเสียว่าฉันยังไม่ได้ให้คำตอบเรื่องที่เทพีเพอร์ซีโฟเน่จากไปสิคะ”

                “แต่เจ้า --

                เขาอาจจะตกตะลึง แต่ไม่ได้แสดงอาการออกมาเลยสักนิด

                “ฉันจะอยู่ค่ะ”

                เธอย้ำ ส่วนฮาเดสมองเธอราวกับเขาไม่เคยเห็นเธออยู่ที่นั่นมาก่อน นาน -- นานเหมือนตลอดไป เพียงแต่เธอจดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองมากกว่าจะสังเกตว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน และเขาพูดขึ้น --

                “ไม่น่าทำยิ้มหัวให้เจ้าเห็นเลย”

                “อะไรนะคะ? ”

                “ข้าคิดว่าเจ้าต้องไปแน่ๆ ถึงได้ถามหาวิธีจากทานาทอสว่าควรจะทำอะไรที่ทำให้ตัวเองขันเสียจนหัวเราะออกมาให้เจ้าเห็น -- ข้าก็แค่ -- คิดว่าเจ้าอยากจะเห็นมัน”

                “ท่านนี่!

                เธอพูดอะไรไม่ออก

                “อะไร”

                เธอสั่นศีรษะ “เปล่าค่ะ แต่เอาเป็นว่าท่านรับรู้แล้วว่าฉันจะอยู่ที่นี่”

                “ไม่กลัวว่าจะไม่ได้กลับไปหรือ”

                “ไม่ค่ะ”

                “แล้วแต่ใจเจ้า”

                ถ้าเขาแผ่ไอที่เย็นยะเยือกจากดวงตาน้อยกว่านี้ และมีบรรยากาศรอบๆ ตัวที่น่ากลัวน้อยกว่านี้ เอเรอาญ์มั่นใจว่าเธอต้องวิ่งเข้าไปกอดเขาแน่ๆ และถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าอะไรทำให้เธอรู้สึกลิงโลดจนผิดปกติ เธอก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนใจกับการที่ไม่ได้คำตอบ

                “แต่เจ้าต้องกลับมาอยู่ในห้องเดิม”

                รอยยิ้มของเหือดแห้งลงทันทีตอนที่เขาชี้มือไปยังห้องที่เล็กและมืดมน “ท่านกำลังเผด็จการนะ”

                “เจ้าจะอยู่ในห้องนี้ แต่ได้รับอนุญาตให้มีอิสระ”

                “อิสระที่ต้องผ่านเข้าออกห้องของท่านตลอดเวลาน่ะหรือ”

                “ใช่”

                “แต่ว่าฉัน --

                “อย่าตั้งคำถาม” เขาตอบ ก่อนจะเสริมว่า “ข้าแค่อยากจะคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้คิดถึงบ้านอีกเมื่อไหร่”

                “แล้วท่านจะให้ฉันกลับไป? ”

                “ไว้คิดดูอีกที”

                เธอยิ้มกับคำตอบที่กำกวมนั้น ขณะที่ความรู้สึกแปลกๆ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ฮาเดสมีอะไรหลายอย่างที่ชวนให้หงุดหงิด และหวาดหวั่น แต่ตอนนี้เธอกลับไม่คิดว่าตัวตนที่เขาแสดงออกเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่มีความสุข

                บางที อาจเพราะอย่างน้อยเขายังคงเป็น ฮาเดสก็ได้ เอเรอาญ์คิดว่าเธออาจไม่มีวันรู้เลย


    WRITER : ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าพระ-นาง คู่นี้ ( โดยเฉพาะอย่างยิ่ง -- พระเอก ) จะมีพัฒนาการขึ้นมาอีกหน่อย อย่างน้อยๆ ฮาเดสก็พยายามจะทำตัวเป็นหนุ่มหน้ามนคนอารมณ์ดี แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ จริงๆ แล้วโรมจักรก็ไม่ได้ลงรายละเอียดเอาไว้ว่าทานาทอสแนะนำให้ฮาเดสทำอะไร แต่แน่นอน... ในเมื่อมันออกจะเป็นวิธีพูดจาและไล่ต้อนที่เฟี้ยวฟ้าวและทะลึ่งตึงตังนิดหน่อย -- ผิดตรงที่ฮาเดสเล่นแข็งเสียไม่มี แถมยังไม่ขึ้นอย่างแรง ก็อาจอนุมานได้ว่า รสนิยม 'สตรีย่อมนิยมแบดบอยและเพลย์บอย' มันลามไปถึงในไอเดียของเทพเจ้าในยมโลกแล้วนะเนี่ย...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×