ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #27 : บทที่ 11 ตอนที่ 4

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 388
      3
      2 ต.ค. 55




                อาเธอร์รู้สึกว่าฝ่าเท้าปวดแปลบและร้อนผ่าว อันที่จริง ใช่เพียงแต่ฝ่าเท้าเท่านั้น แต่เป็นทั้งตัวต่างหาก มันเหมือนกับเขาเพิ่งเดินทางมาไกลแสนไกลโดยที่ตลอดเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยก้อนกรวดแหลมคมซึ่งร้อนเหมือนถ่านไฟคุ

                เขาเดินย่ำเลียบไปตลอดลำน้ำ ต้นหญ้าสีเทาทิ่มแทงฝ่าเท้าเปลือยเปล่า มันทำให้รู้สึกเจ็บเหมือนถูกเข็มตำ ใบหน้าของเขากราดเกรี้ยวเดือดดาลแต่ไหล่ตก ห่องุ้ม ราวกับว่าการเดินอย่างรวดเร็วไม่ได้เป็นไปเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกรุ่น แต่เป็นไปเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทิ่มแทงหัวใจมากกว่า

                อาเธอร์ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ไล่ตามมาไกลๆ มันค่อยๆ แผดเผาความร้อนผ่าวจากทุกส่วนในร่างกายจนเหือดหาย เพียงเพื่อมารวมกันเป็นกระจุกอยู่ที่ขอบตา กลั่นหยดน้ำร้อนๆ มากมายจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อบังคับให้มันหล่นหายไปในลำคอที่ตีบตัน แน่นอนว่าไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของอาเธอร์บูดเบี้ยว และแล้ว เขาก็ออกวิ่ง

                “อย่าตามฉันมา!

                เขาคิดว่าเขาวิ่งได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขากลับนึกกลัวว่าเจ้าของเสียงฝีเท้าจะตามเขามาไม่ทัน แน่นอนว่าเขารีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นข้อความหยาบคาย ระหว่างที่พยายามก้าวเท้าให้ยาวขึ้น ถี่ขึ้น และอีกฝ่ายส่งเสียงหอบหายใจดังลั่นจนน่ากลัว

                “อย่าวิ่งตามฉัน! อย่า! อย่าวิ่ง!

                เขาหยุดในที่สุดและหันไปตะเบ็งสองพยางค์สุดท้ายสุดเสียงจนเหมือนลำคอจะปริแตก น้ำตาที่พยายามใช้แขนเสื้อปัดออกครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดทางยังคงไหลรินอย่างดื้อดึง

                “หยุดสิ! เธอเป็นโรคหอบหืดไม่ใช่หรือไง!

                ใครคนนั้นมาถึงตัวเขาทั้งที่ไม่ได้ชะลอฝีเท้าลงเลย เธอกำลังยิ้มกว้าง “ฉันเป็นวิญญาณนะ ถ้าเผื่อนายจะลืมไปแล้ว”

                อาเธอร์สบถ เขาตรงไปยังริมฝั่งน้ำ กระแทกตัวลงนั่งก่อนจะจุ่มศีรษะลงในนั้น เงยหน้าขึ้นมา หอบหายใจ และวักน้ำสาดใส่ใบหน้าอย่างบ้าคลั่ง เวเรน่าเดินตามเขามาเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และแล้วเมื่ออารมณ์เดือดดาลละลายหายไป ด้วยใบหน้าที่แหงนเงยจนสุด เขาสบตากับเธอที่ยืนอยู่เหนือศีรษะ

                ไม่ยากเลยที่จะสังเกตว่าดวงตาของเธอแดงก่ำ รอยยิ้มของเวเรน่าปิดมันไม่เคยมิด “นายรู้สึกดีขึ้นหรือเปล่า” เธอถาม

                แต่เขาไม่ตอบ เขาก้มศีรษะกลับลงมา ไม่สบตาเธอที่ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เขา

                “นายวิ่งมาถึงเอลีเซียมเลยนี่... ” เวเรน่าพูด จ้องมองผืนหญ้ารอบตัวที่เป็นสีเขียวสดใส “ไกลเหมือนกันนะอาเธอร์ ฉันด้วย... ฉันไม่เคยวิ่งได้ไกลขนาดนี้มาก่อนเลย การเป็นวิญญาณก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมดนี่นา”

                “ฉันไม่ต้องการคำปลอบใจแบบนั้นของเธอ” เขาพูดห้วนๆ จ้องมองก้อนกรวดใต้สายน้ำอย่างเอาเป็นเอาตาย

                “ทำไมหรือ อาเธอร์”

                “เพราะมันหมายความว่าเธอตายไปแล้วไงล่ะ! ” อาเธอร์ตะโกนใส่ผิวน้ำ “ตายเพราะฉัน เพราะฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ไม่เคยทำอะไรได้เลย!

                เขาคิดว่าจะได้ยินเสียงเธอร้องไห้สะอึกสะอื้น ตัดพ้อและโวยวาย แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น เวเรน่าไม่แม้แต่จะมีเสียงสะอึกในลำคอเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน อาเธอร์ไม่รู้ว่าเธอมีสีหน้าแบบไหน เขายังคงจ้องมองก้อนกรวดสีขาวไหวกระเพื่อมและพร่าเลือนที่ก้นแม่น้ำ

                “เท้านายเจ็บมากไหม” เธอพูดเบา ๆ ในอีกหลายนาทีต่อมา “ทำแบบฉันสิ จุ่มเท้าลงในน้ำ มันช่วยได้เยอะเลยนะ”

                เพราะยากที่จะพูดโต้ตอบ เขาจึงทำอย่างที่เธอบอก ทว่าเมื่อร่างกายสัมผัสน้ำ อาเธอร์ก็ไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป พื้นผิวนั้นเยียบเย็นและนิ่งสนิท ก้อนกรวดที่พร่าเลือนไม่ได้เกิดจากสายน้ำที่สั่นไหว มันเกิดจากน้ำร้อน ๆ บนขอบตาของเขาต่างหาก อาเธอร์รีบแหงนใบหน้าขึ้น

                “ท้องฟ้าสวยนะอาเธอร์” เสียงของเวเรน่าดังอยู่ข้างหู “บางทีอาจจะมองเห็นทางช้างเผือกได้ด้วย”

                แต่เขาไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร เขามองไม่เห็นดวงดาวด้วยซ้ำ น้ำตาของเขาทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนกระดาษซึ่งถูกระบายด้วยหมึกสีน้ำเงินอมดำเลือน ๆ มีหยดสีขาวที่ผสมน้ำมากเกินไปกระจายเชื่อมกันอยู่เต็มหน้าไปหมด มันไม่สวยเลยสักนิด ริมฝีปากของเขาเจ็บแปลบตรงที่ถูกฟันขบเอาไว้ และลำคอของเขาก็ขมเฝื่อน

                “เวเรน่า... ” อาเธอร์ไม่คิดว่าจะมีครั้งไหนที่เสียงเขาสั่นไปมากกว่านี้อีกแล้ว “ฉันขอโทษ”

                “ไม่มีอะไรที่ทำให้นายต้องพูดแบบนั้นนี่... ”

                เขาเกลียดน้ำเสียงที่อ่อนโยนและสำเนียงที่แผ่วเบาของเธอเหลือเกิน  เกลียดที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่เหลือเรี่ยวแรงในร่างกายเลยสักนิด เกลียดที่ทำให้เขาต้องกอดเธอ เกลียดที่ทำให้เขาต้องซบศีรษะลงกับไหล่ของเธอเพื่อไม่ให้เธอมองเห็นใบหน้าเปรอะน้ำตา และเกลียดที่ทำให้เขาสะอึกสะอื้น เนื้อตัวสั่นสะท้านเหมือนลูกนกพลัดรัง... ลูกนกสักตัวที่เธออาจจะเคยช่วยเหลือให้บินได้อีกครั้งในวันวานอันแสนไกล ก่อนที่เวลาของเธอจะหยุดลงชั่วกาลนาน

                “ฉันไม่เคยทำอะไรได้ดีเลย! ” เขาสะอื้น “ไม่ใช่แค่ตอนนี้ แต่ไม่เคย! ไม่เคยเลยสักอย่าง! ไม่เคยเลยสักครั้ง! พ่ออาจจะไม่ทิ้งฉันกับเอเรลไปถ้าฉันเรียนได้ดีกว่านี้ เป็นลูกที่พ่อเอาไปอวดใครต่อใครได้ ฉันอาจจะดูแลเอเรลกับแม่แทนพ่อได้ แม่อาจจะไม่ต้องแต่งงานกับริชาร์ด -- กับมัน ถ้าฉันเก่งกว่านี้ แข็งแรงกว่านี้ หรือมีอะไรก็ได้ที่ทำให้เราได้ชีวิตอยู่อย่างสบายๆ และเธออาจจะกำลังอยู่บนโน้น ทำงานที่เธออยากทำ กินอาหารที่เธออยากกิน เที่ยวในที่ที่เธออยากเที่ยว ถ้าฉันทำอะไรได้มากกว่านี้!

                “พอแล้ว... ” เธอกระซิบ “นายช่วยฉันไม่ให้ตกอยู่ในนรกแห่งการลงทัณฑ์ได้สำเร็จนี่... ”

                “ฉันเกือบจะทำไม่สำเร็จแล้วต่างหาก! -- ฉันทำให้เทพฮิปนอสเดือดร้อน และเทพทานาทอสก็บาดเจ็บ แล้ววันนี้ก็ยังมีเรื่องงี่เง่าเกิดขึ้นอีก ฉันเกือบจะส่งเอเรลให้ใครไปแล้วก็ไม่รู้!

                “เรื่องมันยังไม่ทันได้เกิดขึ้นเลยนะ อาเธอร์”

                “แต่มัน... ” อาเธอร์กระซิบอยู่ในวงแขนของเธออย่างดื้อดึง

                “อะไรล่ะ”

                “มันเป็นเพราะฉันทั้งหมดเลย”

                “ฉันว่า... ความผิดส่วนใหญ่เป็นของใครที่สะกดนายมากกว่านะ” เวเรน่าปลอบโยน

                “ไม่... ไม่... ” อาเธอร์ยิ่งสะอึกสะอื้น “ถ้าฉันทำได้ดีกว่านี้แต่แรก พ่อก็จะไม่ไป แม่ไม่ต้องแต่งงานกับมัน เอเรลไม่จำเป็นต้องหนี และจะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น... ”

                แต่แล้วเวเรน่ากลับทำให้เขาผิดคาดอีกครั้งด้วยการหัวเราะ! เป็นเสียงหัวเราะที่สดใสและอาเธอร์รู้สึกราวกับว่ามันอยู่ไกลแสนไกลเหลือเกินในห้วงความทรงจำ

                “นายนี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” เธอขยี้เส้นผมของเขาแรง ๆ “เอาใหม่สิ... ฉันจะได้ลำดับเรื่องได้ ริชาร์ดคิดจะทำอะไรไม่ดีสักอย่างหนึ่ง เอเรลก็เลยหนีมาเอเธนส์ แล้วก็ถูกพามาอยู่ที่นี่... อย่างนั้นสินะ”

                “เธอ... ถูกกล่าวหาว่าเป็นเทพีเพอร์ซีโฟเน่ ฉันถูกดึงมานี่โดยบังเอิญเพราะจะช่วยเธอ”

                “โธ่เอ๊ย เท่าที่ฉันเห็น เอเรลไม่ได้เดือดร้อนใจขนาดนั้นเลยนะ! ให้ตายสิ! ” เธอหัวเราะไปด้วยขณะพูด “นอกจากจะฟุ้งซ่านแล้ว นายยังชอบเอาความคิดของตัวเองไปใส่ไว้ในหัวคนอื่นด้วยหรือไง”

                “ฉันไม่ได้... ”

                “อาเธอร์... นายไม่จำเป็นต้องแบกทุกอย่าง -- ”

                “ฉันไม่ได้แบก... ฉันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”

                แต่เวเรน่าผลักเขาออกจากอ้อมแขน ดันตัวเขาให้ยืดตรง สบตาเขา เธอบอกให้เขาอยู่นิ่ง ๆ ก่อนที่จะโน้มตัวไปเหนือลำน้ำ ช้อนก้อนกรวดสีขาวก้อนเขื่อง ๆ -ขึ้นมาเต็มสองมือ

                “เอาล่ะ อยู่นิ่งที่สุดเลยนะ... ”

                เธอพูดก่อนจะค่อย ๆ วางกรวดลงบนศีรษะเขาหนึ่งก้อน

                “หนักไหม? ” เธอถาม

                “ไม่เลย” เขาตอบ น้ำเสียงยังคงสั่นเครือ

                เธอวางอีกก้อนลงไป “หนักขึ้นไหม? ”

                “ฉันยังไม่รู้สึกอะไร”

                เธอวางลงไปอีก “หนักไหม? ”

                “ไม่... ”

                แล้วเธอก็วางก้อนแล้วก้อนเล่าซ้อนกันบนศีรษะของเขาอย่างหมิ่นเหม่ โดยไม่ถามอะไรอีกเลย ก่อนที่มันจะเกินกว่าการทรงตัวของเขารับไหวในที่สุด หอคอยสีขาวพังทลายลง และอาเธอร์รู้ดีว่าศีรษะกำลังจะบวมปูด

                “ขอโทษนะ... เจ็บไหม? ”

                เขาไม่ตอบ ไม่เข้าใจว่าเธอคิดจะทำอะไร เวเรน่านวดเบา ๆ ตรงจุดที่เขาเจ็บ

                “นายบอกว่านายไม่ใช่คนที่จะแบกรับอะไร”

                เขาไม่ตอบ

                “อาเธอร์... นายไม่รู้ต่างหากว่านายแบกอะไรไว้บ้าง เรื่องราวและความนึกคิดไม่มีน้ำหนักนักหรอก เหมือนก้อนกรวดนั่นแหละ” เธอชี้ไปที่ก้อนกรวดสีขาวใต้ลำน้ำ “มันไม่ได้หนักหนาที่จะแบกไว้ นายก็เลยไม่รู้สึก แต่รู้ไหม... การที่นายมีชีวิตอยู่โดยมีของพวกนี้ทับถมอยู่ในใจ มันไม่ได้ต่างจากการเดินโดยมีก้อนหินตั้งไม่รู้กี่ก้อนวางซ้อนกันอยู่บนหัวหรอก โอเค -- ไม่หนักก็ได้ แต่ก็ไม่สบายเลยใช่ไหมล่ะ... ”

                “ฉันไม่เข้าใจ... ”

                “แล้ววันไหนที่มันทับถมกันมากเข้า... มากจนเกินไป มันก็จะล้มครืนลงมา ถ้าเป็นแค่การเดินแบบเทินหินไว้บนหัวเป็นตั้ง นายก็แค่เจ็บนิดหน่อย... แต่ถ้าเป็นการใช้ชีวิตแบบที่เทินมันไว้ในใจ นายก็ต้องเจ็บ... เจ็บมาก เหมือนวันนี้”

                เธอพูดจนเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างหนักอึ้งอยู่ในใจจริง ๆ และกำลังพังทลายอย่างรวดเร็ว เพียงแต่มันยังคงเป็นกองเศษซากที่มีน้ำหนักเท่าเดิม

                “แต่ว่า... มันเป็น... ”

                “เลิกพูดคำว่ามันเป็นความผิดของนายทั้งหมด มันเป็นความรับผิดชอบของนายทั้งหมด นายไม่เคยพยายามทำอะไรได้เลยเสียทีเถอะ! ” เธอส่ายศีรษะ “นายจะพูดคำว่า มีชีวิต ได้เต็มปากเต็มคำหรือไง ถ้ามันไม่เคยเกิดเรื่องเลวร้ายอะไรขึ้นเลยน่ะ”

                ฉับพลัน มันเหมือนว่ารอยยิ้มของเธอ หรือไม่ก็คำพูดที่อบอุ่นของเธอ ค่อย ๆ โยกย้ายเศษซากปรักหักพังที่หนักอึ้งอยู่ในใจออกไปทีละน้อย อาเธอร์พยายามยิ้ม และค้นพบอย่างประหลาดใจว่ามันไม่ได้ยากเย็นเหมือนที่เคยเป็นมาสักนิด

                “บนฟ้ามีดาวหลายดวงนี่อาเธอร์” เธอพูดอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อทุกอย่างมันแย่เกินกว่าที่ใครจะจัดการได้ นายก็แค่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของดาวบนฟ้าโน่น”

                “เธอน่ะเพี้ยนไปแล้ว! ” เขาหัวเราะในที่สุดทั้งที่ใบหน้ายังเปรอะน้ำตาจนสกปรก “เพี้ยนไปแล้ว            เวเรน่า!

                แต่เธอยิ้ม “แต่ฉันหวังว่านายจะเข้าใจในสักวันนะ”

                รอยยิ้มของเธอสว่างไสวยิ่งกว่าดาวบนฟ้าเสียอีก อาเธอร์อยากจะดึงตัวเธอมากอดให้นานที่สุดและแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ และแล้ว -- เขาก็ทำ เวเรน่าดูตกตะลึงน้อย ๆ ในตอนแรก แล้วเธอก็กอดตอบ

                “นายคิดถึงฉันบ้างไหม... อาเธอร์”

                “ตลอดมา” เขาตอบโดยไม่เสียเวลาคิดเลย “เธอล่ะ”

                “ตลอดไป”

                เขากอดเธอแน่นขึ้นอีก เนื้อตัวของเธอเย็นเฉียบจนน่าใจหาย “ฉันไม่เคยหยุดคิดได้เลยว่าเธอยังอยู่ที่นั่น บนโลกใบนั้น เดินอยู่บนถนน แล้วก็ฝันว่าจะไปเที่ยวรอบโลกกับฉัน เวเรน่า... ” เขาไม่คิดว่าเขาควรจะพูดอะไรไปมากกว่าคำนี้อีกแล้ว “ฉันรักใครไม่ได้อีกแล้ว”

                “โง่ที่สุด นายจะไม่รักใครอีกไม่ได้นะ!

                เวเรน่าประท้วง แต่เสียงของเธอสั่นจนถ้อยคำหมดน้ำหนักไป

                “ทำไมจะไม่ได้... ”

                “ไม่ได้หรอก” คราวนี้เธอกลับสะอื้นอย่างรุนแรงจนเขาตกใจ “ถ้านายจมอยู่แต่กับอดีต นายก็จะเหมือน -- 

                “เธอไม่จำเป็นต้องพูดอะไรที่เป็นปรัชญาทั้งที่กำลังร้องไห้หรอกน่า!

                “ฉะ -- ฉัน!” เธอสะอื้น ก่อนคำพูดจะพรั่งพรูออกมา “บ้าที่สุด! นายรู้ไหม ฉันนึกว่าจะตามนายไม่ทันแล้วด้วยซ้ำ ฉันอยากร้องไห้ออกมาจะแย่อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะปลอบนาย”

                “ก็ไม่ต้องปลอบแล้วนี่... ”

                “นายจะต้องมีคนรัก -- นายจะต้องมีความสุข”

                “เวเรน่า เวเรน่า... ” เขากดศีรษะของเธอให้จมอยู่กับอกของเขา "ฉันไม่เคยเสียใจที่คิดถึงเธอเลย"

                “อย่าแบกอะไรไว้อีก”

                “ไม่จริงหรอก” เขากอดเธอแน่นขึ้นอีก “ฉันไม่เคย แบกเธอไว้เลย ฉัน เก็บเธอไว้ ต่างหากล่ะ”

                เวเรน่าร้องไห้โฮ ร่างกายเล็ก ๆ สั่นสะท้านอยู่ในวงแขนของเขา ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กว่าที่เธอจะสงบลง อาเธอร์รู้แต่ว่าแสงจันทร์สีเงินคล้อยไปอีกด้านหนึ่งของฟ้ามากทีเดียว

                “เวเรน่า” เขากระซิบ

                “หือ? ”

                เธอกระซิบตอบเบา ๆ ยังคงมีร่องรอยของการสะอื้นอยู่ในน้ำเสียง อาเธอร์เงยหน้ามองฟ้า มันสวยจริง ๆ อย่างที่เธอบอก

                “ปล่อยเรื่องที่ฉันจะรักใครให้เป็น 'ภาระของดาวบนฟ้า ' เสียสิ”

                “นายอย่ามาย้อนฉันนะ” เธอบ่นอุบ

                เขาหัวเราะ ทุกอย่างเบาโหวงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม มันทำให้เขารู้สึกดี -- มาก ๆ -- รู้สึกดีมาก ๆ จริง ๆ

                “เวเรน่า”

                “อะไรอีกล่ะ... ”

                อาเธอร์กดริมฝีปากลงบนเรือนผมของเธอเป็นเวลาเนิ่นนาน เขานึกว่าเธอจะร้องไห้อีก แต่เธอยิ้ม  และคราวนี้ มันสวยงามกว่าดวงจันทร์บนฟ้าหลายร้อยเท่า

                “ฉันรักนาย”

                เขารู้ในนาทีนั้นว่าแม้แต่เสียงพิณของเทพอพอลโลก็ไม่เพราะเท่า อาเธอร์โน้มใบหน้าลง ใกล้ชิดกับใบหน้าของเธอ ลมหายใจของเวเรน่าลอยอยู่ที่เหนือริมฝีปาก...

                “อาเธอร์ เดี๋ยวก่อน! ”

                แต่มันไม่ใช่ลมหายใจของเธอ

                อาเธอร์ก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่ค่อย ๆ ละลายหายไปราวกับหยดหมึกในน้ำ เวเรน่ามองเขา เห็นได้ชัดว่าเธอหวาดกลัวและไม่เข้าใจ

                แต่เขากลับเข้าใจในตอนนั้น

                บ่วงที่ผูกมัดเขาเอาไว้ในยมโลก ไม่ใช่การที่เอเรอาญ์ถูกลักพาตัวหรือกักขัง บ่วงที่ทำให้เขาเป็นทุกข์อยู่เสมอ จริงๆ แล้วมันคือความหนักอึ้งของทุกสิ่งที่เขาแบกรับ และคือความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดจากน้ำหนักมหาศาลของมันต่างหาก

                เขากำลังจะกลับไป ไปยังโลกที่เขาคุ้นเคย ไปเพื่อทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และคราวนี้ -- ‘เท่าที่จะพอทำได้

                อาเธอร์หันกลับมามองเธอ สลับกับร่างกายของตนเอง เขารู้ทันทีด้วยสันชาตญาณว่าเร็วเกินไป... เขาจะไปจากเธอก่อนทันบอกคำว่า รักเธอ

                อาเธอร์ใช้หนึ่งวินาทีตัดสินใจ และใช้ไม่กี่วินาทีสุดท้ายในปรภพบอกด้วยการจูบลงบนริมฝีปากของเธอย่างยาวนานและอบอุ่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

                แล้วอาเธอร์ อาร์เรห์น ก็ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งในเอเธนส์ยามรุ่งสาง

    WRITER : ในที่สุดก็คลายปมของอาเธอร์และเวเรน่าได้แล้ว
    ต่อไปนี้คงได้แต่รอติดตามพัฒนาการของเขา แล้วก็... ของพระเอกตัวจริง -- ฮาเดส ด้วยค่ะ :)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×