ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - ครั้งหนึ่งในวสันตกาล

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 6 ตอนที่ 1

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 461
      3
      14 ก.ย. 55




    บทที่ 6

             “ไม่ต้องทำสนใจไยดีข้าหากมันเป็นการเสแสร้งที่พวกเขาสอนเจ้ามา --

             “ข้าไม่ได้เสแสร้ง! ” เธออาจจะตะโกนอยู่ แต่เสียงกลับสั่นเครือ “ไยจึงเอาแต่ย้ำคิดเช่นนั้น มันทำให้ท่านมีความสุขนักหรือ เทพฮาเดส!

               “แล้วที่ข้าคิดมันผิดหรือ! โลกข้างบนนั่นมีแต่ความจอมปลอม หรือเจ้าไม่เคยรับรู้ว่าพวกเขาทำอะไร ถ้าหากจะต้องทนอยู่ท่ามกลางโลกแบบนั้น ข้าขออยู่กับตัวข้าเองไปจนสิ้นกัลปาวสานเสียดีกว่า อย่างน้อยตัวของข้าเองก็ใช้สัตย์จริงกับตนเอง ไม่ได้เป็นเช่นเจ้าหรือใครก็ตาม!

             เพียะ!

             ไม่เคยเกิดเสียงแบบนี้บนใบหน้าของเขามาก่อนเลย

             “ท่านน่ะหรือไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ เปล่าเลย -- ท่านทำมาตลอดต่างหาก”

             “เจ้า!

             “เอาตัวของท่านเองที่ปิดหูปิดตาตัวของท่านเองออกไปสักครั้งหนึ่งได้ไหม เผื่อจะได้ยินคำว่า ข้ารักท่าน’!  บ้าง ได้ยินหรือเปล่า! ได้ยินไหม!

                เขาเกลียดเธอ ฮาเดสบอกตนเองอย่างนั้นมาตลอดหลายพันปี เขาเกลียดเพอร์ซีโฟเน่ เทพีจากโลกเบื้องบนผู้แตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง เขาเกลียดทุกอย่าง เกลียดศรกามเทพที่บังคับให้เขาต้องรักเธอ และเกลียดเธอ -- ที่จากไปโดยทิ้งมรดกอันขมขื่นไว้เพียงอย่างเดียวคือคำโกหก

                ทว่าในความชิงชังอันยาวนาน เขากลับยังคงเก็บรักษา มันไว้ใต้ผืนม่านผืนใหญ่ในห้องนอน ผืนที่ถูกแขวนไว้อย่างแปลกที่ทางและเป็นปริศนา เพียงเพราะมันเป็นจุดที่สามารถจะมองเห็นได้ง่ายที่สุดเมื่อมีกระแสลมโบกพัด ไม่ว่าเมื่อเขากำลังหลับหรือตื่น

                และตอนนี้เมื่อเธอกลับมายืนอยู่ในสายตา สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากผ่านคำว่าเกลียดแสนเกลียดมานานนับพันปี คือโอบกอดเธอเอาไว้อย่างหวงแหน

     

                “เทพฮาเดส! ปล่อยฉัน!

                เธอดิ้นรน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขากลับมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือจนน่ากลัว เอเรอาญ์ได้ยินเสียงเขาสูดกลิ่นจากผมเธอ และแขนของเขาก็รัดแน่นขึ้นจนเธอเกือบจะหายใจไม่ออก

                “เทพฮาเดส!

                เธอตะโกนสุดเสียงและผลักเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดเท่าที่มี ทันใดนั้นเขาเหมือนจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเป็นครั้งแรก เขาผละไป แต่ก็ไม่ได้ยืนห่างไปจากเธอมากนัก เอเรอาญ์หอบหายใจ สบตากับอีกฝ่ายที่ยังคงจ้องมองเธอเขม็ง

                “เจ้า... ”

                เขาขมวดคิ้ว จากนั้นแววตาก็เปลี่ยนไป มันกลายเป็นอย่างคนที่กราดเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลาคู่เดิม

                “หญิงจากโลกมนุษย์”

                “ค่ะ ฉันเอเรอาญ์”

                “มาทำอะไรที่นี่”

                “ฉัน -- ” เธอพูดไม่ออก จ้องมองเขาสลับกับปลายเท้าของตัวเอง “ฉัน -- คือ --

                แต่แทนที่จะรอฟังคำตอบ เขากลับถามเธอว่า “เจ้าเอามันมาจากไหน”

                เขาหมายถึงชุดที่เธอกำลังสวมอยู่ ผ้าคลุมสีดำน่าจะหล่นหายไปตั้งแต่ตอนที่เธอเสียหลักล้มลง ตอนนี้เธอจึงกำลังสวมชุดเนื้อผ้าบางเบาที่เหมือนถูกตัดเย็บจากเส้นใยของดอกไม้ สีของมันนวลเหมือนแสงจันทร์    อ่อน ๆ และมองดูราวกับเป็นเครื่องแต่งกายจากภาพยนตร์บางเรื่องอย่างเจสันกับขนแกะทองคำหรือสงครามกรุงทรอย

                เอเรอาญ์กัดลิ้นตัวเอง

                เธอน่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้ -- มันดูเหมือนชุดของเทพีกรีกในภาพเขียนหรือตามผนังวิหาร และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคิดว่าเธอเป็นใคร

                “เทพทานาทอสให้ฉันค่ะ”

                “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!

                “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเอาไปคืน” เธอคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในเวลานั้นแล้ว “ฉันจะไม่สวมมันอีกแล้ว ถ้ามันทำให้ท่านไม่สบายใจ”

                “ไม่เป็นไร ใช้มันเถอะ แล้วกลับไปที่ห้องของเจ้าเสียที”

                คำพูดของเขาเหมือนการตัดบท เพราะหลังจากคำสั่งห้วน ๆ ฮาเดสก็หมุนตัวเดินกลับไปที่เตียงนอนทันที เอเรอาญ์ค่อย ๆ ก้าวตามอย่างหวาด ๆ ก่อนที่ขาจะสะดุดกับผืนม่านใหญ่โตซึ่งหลุดออกจากราว เธอก้มลงหอบมันไว้ในอ้อมแขน และกำลังเบือนหน้ากลับไปมองที่ที่มันเคยอยู่ในขณะที่พูด --

                “คือ -- เรื่องม่าน ถ้าจะให้ฉันช่วย --

                “อย่าหันไปมองนะ หันหน้ากลับมาเดี๋ยวนี้!

                นั่นเป็นคำสั่งที่ร้อนรนอย่างน่าประหลาด แต่ไม่ทันเสียแล้ว ผนังที่เธอเคยคิดว่าว่างเปล่าปรากฏอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง

                “นี่มัน --

                “หันหน้ากลับมา!

                เธอสะดุ้งสุดตัว หันหลังกลับ ผืนม่านพลัดจากมือเพราะความตกใจ

                “คือ -- ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

                เขาสะบัดมือหนึ่งครั้ง แล้วม่านก็กลับไปสู่ที่ที่มันเคยอยู่ในพริบตาเดียว ขณะที่เธอยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะส่งยิ้มอย่างหวาดหวั่น

                “อย่าเข้ามาในนี้อีกหากข้าไม่อนุญาต”

                “แต่ว่า --

                “กลับไปได้แล้ว”

                เอเรอาญ์อยากจะพูดเหลือเกินว่าต่อให้เขาเป็นเทพเจ้าก็ไม่ควรที่จะกักขังเธอไว้ไม่ให้พบหน้าใคร และสิ่งที่เขาทำอยู่ก็ไม่มีทางเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เธอกลับไม่มีความกล้าที่จะทำอย่างนั้นเลย สิ่งสุดท้ายที่เธอได้เห็นในค่ำคืนนั้นจึงยังคงเป็นห้องอันมืดมิดและโดดเดี่ยวเหมือนเดิมกับที่เป็นมาตลอดสองสัปดาห์

     

                “ฉันทนไม่ไหวแล้วนะคะ”

                เอเรอาญ์กล้ามากกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าทานาทอส เทพแห่งความตายอาจจะดูเจ้าเล่ห์และมีดวงตาที่น่าหวาดผวา แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยระเบิดอารมณ์ร้ายใส่ใคร  และไม่ใช่ราชาที่สามารถชี้เป็นชี้ตายในปรภพได้อย่างทรงอำนาจ

                “เรื่องใดหรือขอรับ”

                “ก็เรื่อง -- ” เธอถอนหายใจ “ที่ฉันต้องอยู่ที่นี่นั่นแหละ”

                “นายหญิงมีอะไรขาดเหลือหรือขอรับ”

                “ทุกอย่างที่ท่านให้เรียบร้อยดีค่ะ ฉันต้องขอขอบคุณมาก แต่ว่า -- ราชาของท่าน”

                “นายท่าน? ”

                “เทพฮาเดสจะปล่อยฉันไปเมื่อไหร่หรือคะ”

                “ข้อนี้ข้าไม่อาจทราบ”

                เอเรอาญ์รู้ดีว่ามีใครจะรู้คำตอบอย่างแน่นอนถ้าหากทานาทอสใช้ประโยคนี้ และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอสิ้นหวัง

                “เทพทานาทอส ได้โปรดเถอะ ทำไมถึงต้องให้ฉันอยู่แต่ที่นี่ ฉันไม่รู้หรอกว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น คิดว่าตัวเองไม่มีทางเป็นเทพีเพอร์ซีโฟเน่ได้เลยด้วย!

                เทพแห่งความตายนิ่งเงียบไป เธอเดาว่าเขากำลังครุ่นคิด และก็เป็นความจริง เพราะประโยคถัดมาของเขาทำให้เธอแทบจะร้องกรี๊ดอย่างดีอกดีใจ

                “อันที่จริง -- ก็พอมีที่หนึ่งซึ่งนายหญิงจะไปได้ขอรับ”

     

                วันนี้เขาไม่อยู่ที่ห้อง ทานาทอสจึงพาเธอออกมาข้างนอก และทำให้เอเรอาญ์เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังเดินออกมาจากสิ่งที่เรียกว่า ปราสาท หน้าตาเหมือนปราสาทของขุนนางในยุคกลาง มันตั้งอยู่บนเนินหินสีดำสนิทสูงประมาณสามเมตร ล้อมรอบด้วยทุ่งนาร์ซิสซัสสีขาว ไกลออกไปจะมองเห็นทุ่งแอสโฟเดลอันกว้างขวาง กับปราสาทเล็ก ๆ อีกหลังหนึ่งซึ่งทานาทอสเรียกว่า พระบัญชรว่าการ -- ใช้เป็นสถานที่สำหรับการพิพากษาวิญญาณทุกดวง ส่วนที่ไกลออกไปกว่านั้นเป็นสะพานเก่าโทรมข้ามแม่น้ำสีดำเหมือนน้ำมัน ได้ยินเสียงคำรามดังแว่ว ๆ ซึ่งเอเรอาญ์เดาได้ถูกต้องว่าเป็นเสียงของเซอร์เบอรัส[1] แต่สำหรับส่วนอื่น ๆ นั้นไกลเสียจนทานาทอสไม่ กล้าพาเธอไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฮาเดส และหญิงสาวก็เห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

                จะว่าไปแล้ว เธอรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับภาพของยมโลกที่มองเห็นหลังออกมาจาก คุกคุกของเธอมีแต่สีดำสนิท สีเทา และสีขาว และข้างนอกที่น่าจะมีสีสันยิ่งกว่าก็ไม่ได้แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ต้นไม้               ใบหญ้า ปราสาท หรือแม่น้ำ ปรภพไม่มีสีสันอื่นเลย

                ทานาทอสพาเธอเดินตัดทุ่งนาร์ซิสซัสออกมาทางทิศตะวันออกของปราสาท คล้อยมาทางด้านหลัง    พระบัญชรว่าการและไม่ไกลกันนัก จากนั้นเขาก็หยุดที่พื้นซึ่งมีประตูกลสีดำแวววาวบานหนึ่งปิดอยู่ หญ้าสีเทาขึ้นแซมตามขอบเป็นปื้นหนา ทำให้รู้ว่ามันไม่ได้ถูกใช้งานมานานแสนนาน

                “ที่ไหนกัน --

                แต่เทพแห่งความตายไม่ตอบเธอ ทานาทอสดีดนิ้ว จากนั้นบานประตูกลก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิดอย่างอ้อยอิ่ง ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ประตูกลอันเชื่องช้าดูจะคุ้มค่าเมื่อเทียบกับความเชื่องช้าของมัน

                ถึงจะมองจากข้างบน มันก็ยังมองดูราวกับเป็นโลกอีกฟากหนึ่ง ทันทีที่บานประตูเปิดออกจนสุด แสงสว่างสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ก็เลื้อยออกมาปกคลุมอย่างแช่มช้าบนผืนหญ้าหม่นหมอง แผ่ไอระยิบระยับอยู่เหนือสีสันอันทึบทะมึน เอเรอาญ์มองเห็นบันไดหินอ่อนสีขาวทอดยาวลึกลงไปท่ามกลางแสงจากตะเกียงสาดขนาบสองฝั่งอยู่ตลอดทาง

                “ที่ไหนกันคะ --

                “เป็นสถานที่ซึ่งกำเนิดขึ้นด้วยหัวใจรักของนายท่าน -- ขอรับ”

                คำตอบแปลกประหลาดเกินไป แต่เธอสนใจเฉพาะความสว่างไสวและอบอุ่นที่โบกมือรอคอยอยู่เบื้องล่างเท่านั้น เอเรอาญ์ก้าวเท้าลงไป พื้นผิวเรียบลื่นเป็นมันของหินอ่อนที่ไร้ฝุ่นจับทำให้เธอหัวเราะอย่างร่าเริง หญิงสาวก้าวต่อไปจนสุดทาง ก่อนที่เส้นทางจะเปลี่ยนเป็นอุโมงค์ทรงโค้งทอดยาวไปตลอดขวามือ และเมื่อถึงตอนนั้นเธอก็ออกวิ่งอย่างที่ไม่สามารถระงับความตื่นเต้นไว้ได้ ที่สุดปลายอุโมงค์มีประตูไม้ทาสีขาวประดับลวดลายสีทองสวยงามปิดเอาไว้ และเอเรเอาญ์ก็ผลักให้มันเปิดออกโดยไม่มีความลังเลเลย

                “พระเจ้า --

                นั่นคือคำอุทานเดียวของเธอ



    [1] สุนัขสามหัวที่เฝ้าปากทางสู่ยมโลก จะยอมให้คนตายเดินผ่านไปได้เท่านั้น

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×