ตอนที่ 9 : Before the roses bloom (G-Dragon & Jessica)
ควอนจียงว่างงานในฤดูหนาว หรือที่ถูกต้องคือตั้งแต่ตอนที่เวทีละครโรมิโอแอนด์จูเลียตรูดม่านปิดในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม พร้อมกับความสำเร็จที่น่าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอันที่จริงแล้ว สิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุดสำหรับควอนจียงจะไม่ได้หมายถึงความสำเร็จของละคร แต่เป็นความสำเร็จในฐานะผู้ควบคุมระบบแสงสี และความสำเร็จในฐานะซึ่งควอนจียงยินดีจะเรียกตนเองว่า ‘กามเทพ’ ก็ตาม เขาแสดงท่าทางว่าภูมิอกภูมิใจทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องนี้อย่างเมามายและไร้สติสัมปชัญญะในร้านขายโซจู ว่าเป็นเขาเองที่ทำให้ระบบแสงสีบนเวทีขัดข้องเป็นประจำระหว่างการซ้อม และนั่นทำให้นักแสดงนำ -- คังแดซอง สามารถลดความประหม่าของตนลงและเข้าถึงบทบาทได้มากขึ้น เนื่องจากเขาสังเกตเห็นมาโดยตลอดว่าสิ่งใดทำให้คังแดซองคนนั้นตกประหม่าอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความจริงที่ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่เคยรั่วไหลและทำให้เขาเดือดร้อนมาก่อน ก็จะสามารถเรียกอย่างเต็มปากเต็มคำได้ว่าควอนจียงเป็นคนที่มีโชคอย่างล้นเหลือ
อย่างไรก็ตาม ในเวลาที่เมามายและไร้สติสัมปชัญญะเช่นกัน จียงมักจะพูดเสมอว่าพระเจ้าประทานโชคให้เขาในทุก ๆ ด้าน ทว่าพระองค์ได้มองข้ามโชคในความรักไป จียงเป็นคนมีเสน่ห์ แต่เขาบอกทุกคนว่าตนเองอาภัพรัก และน่าเสียดายที่แม้ว่าจะดื่มโซจูเพิ่มขึ้นอีกหลายขวด เขาก็ไม่เคยปริปากอธิบายเพิ่มเติม
จียงเรียกเธอ “คุณครับ”
เธอไม่ตอบ หรือพูดให้ถูกต้องคือไม่ตื่น เธอไม่ลืมตาเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนท่าทาง
“คุณครับ” เขาเรียกซ้ำ “คุณผู้หญิง”
เธอเป็นคนสวยอย่างสมบูรณ์แบบคนหนึ่ง ทั้งด้วยใบหน้า รูปร่าง ทรงผม แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่สวมใส่ แต่สิ่งที่ทำให้จียงเป็นกังวลคือการที่เธอกำลังนอนหลับ -- อย่างสนิท บนม้านั่งสาธารณะด้านหน้าที่พักของเขา ซึ่งมืดมิดและไร้ผู้คนในเวลาเที่ยงคืน
จียงเขย่าตัวเธอ “คุณครับ! ” เขาเสียงดังขึ้น “คุณครับ -- ตื่นเถอะ! ”
เธอลืมตาขึ้น มองเขาผ่านมุมมองแคบ ๆ ของดวงตาหรี่ปรือ และ -- โดยที่จียงไม่ทันตั้งตัว เธอตะโกนเสียงดังจนเขาตกใจว่า “เขาเป็นบิดาแท้ ๆ ของท่าน! ” จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งอย่างง่ายดาย
จียงอยากจะหัวเราะ แต่เขาหัวเราะไม่ออก และแล้ว เพราะเขาทั้งเป็นและไม่เป็นสุภาพบุรุษในเวลาเดียวกัน จียงจึงนั่งลงข้าง ๆ เธอ และไม่ช้าก็หลับตาลงอย่างอ่อนล้าในที่สุด
เขาลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงจามของคนกวาดถนน มองเห็นแสงแดดปลายฤดูหนาวเป็นสีแดงสดอยู่ที่ไหนสักแห่งด้านหลังคลื่นสีเทาของตึกระฟ้า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือยังคงมองเห็นเธอหลับสนิทอยู่ข้าง ๆ โดยไม่มีท่าทางที่เปลี่ยนไปจากหลายชั่วโมงก่อนเลยสักนิด
“คุณครับ” เขาเขย่าตัวเธออีกครั้ง “คุณครับ -- ตื่นเถอะ”
คราวนี้เธอตื่นขึ้นจริง ๆ และมองเขาอย่างงัวเงีย “สวัสดีค่ะ” เธอพูด “ยินดีที่ได้รู้จัก”
เขาผงะ “ผมไม่รู้จักคุณ” จียงปฏิเสธ “แต่ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ ผมจะพาคุณไปส่งตำรวจที่ป้อมใกล้ ๆ ”
“ตำรวจ! ” เธออุทาน เห็นได้ชัดว่าตกอกตกใจอย่างยิ่ง “ฉันทำอะไรผิดหรือคะ! ”
“เออ -- ” จียงพูดไม่ออก ปกติแล้วเขาเป็นคนช่างพูด -- อย่างน้อยก็สำหรับคนที่พูดกับเขา ไม่ใช่ลมฟ้าอากาศ “โอเคครับ” เขาตัดสินใจว่าจะต้องตั้งสติให้มั่นคง แม้ว่าฤทธิ์ของโซจูหลายขวดช่วงค่ำวานนี้จะไม่เอื้ออำนวยคุณสมบัตินั้นมากนักก็ตาม “ผมชื่อควอนจียง”
“ฉันชื่อจองซูยอนค่ะ” เธอตอบอย่างร่าเริง “แต่คุณเรียกฉันว่าเจสสิก้าก็ได้”
“ชื่อคุณเหมือนกับดาราคนหนึ่งเลยนะ”
“เอ๋ -- ” เธอแสดงออกถึงอารมณ์แบบอื่นนอกจากความง่วงงุนเป็นครั้งแรก “แต่ว่าคุณ – ”
จียงสะดุ้งสุดตัว เขาจำเธอได้ในตอนนั้นนั่นเอง “คุณคือเจสสิก้า! ”
“ค่ะ” ซูยอนพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันคือเจสสิก้า”
“แล้วดารามาทำอะไรที่หน้าบ้านผม”
“ฉันหรือ? ”
“คุณนอนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ผมปลุกคุณไม่ตื่น แต่ไม่กล้าพาคุณเข้าไปนอนพักในบ้าน แล้วก็ไม่กล้าให้คุณนอนอยู่ตรงนี้คนเดียวด้วย มันเปลี่ยวเกินไป”
“ฉันอยู่ที่นี่ทั้งคืนอย่างนั้นหรือ! ”
จียงมองหน้าเธอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังรู้สึกหวาดผวาอย่างแท้จริง และคราวนี้เขาก็หัวเราะออกมาได้
“คุณตื่นแล้วใช่ไหมครับ? ” เขาถามอย่างอ่อนโยน
“ฉันไม่หลงทางด้วย -- ช่างเป็นคนที่โชคดีอะไรอย่างนี้นะ! ”
จองซูยอนมาที่นี่เพื่อติดต่อเขา แต่เขาไม่อยู่ และมีค่านิยมในการพกพาโทรศัพท์มือถือที่ผิด จียงทิ้งมันไว้ใต้กองผ้าห่มในห้องนอน และทำให้ซูยอนที่รอคอยอย่างอดทนได้บรรจุความอดทนเหล่านั้นของเธอลงในการหลับใหลอันยาวนาน
จียงคนกาแฟเร็วขึ้น เขาไม่คิดว่าเธอโชคดีนักเมื่อพิจารณาจากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“คุณดื่มกาแฟขม ๆ แบบนี้ประจำหรือคะ” เธอพูดขึ้น และทำให้เขาตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของเธออยู่ใกล้เพียงครึ่งฟุต “มันไม่ดีต่อสุขภาพนี่นา”
จียงรู้สึกเหมือนกำลังพบกับปรากฏการณ์เดจาวู “เมล็ดกาแฟสด ๆ หนึ่งกำมือ น่าจะดีต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาลในปริมาณเท่ากันนะครับ” เขาหลิ่วตาไปทางถ้วยกาแฟของเธอ ซูยอนหัวเราะและฟาดเขาทีหนึ่ง
“คุณสะดวกจะเริ่มงานกับเราในเวลาไหนหรือคะ? ” เธอถามตอนที่เขานั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงกันข้าม
“ทันทีที่คุณพร้อม”
“ใคร ๆ ก็บอกฉันว่าคุณจะตอบแบบนี้ -- ” ซูยอนว่า “เรากำลังจะจัด Special Stage ของศิลปินภายในบริษัทในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าค่ะ”
“ที่ไหนหรือครับ”
“โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่นค่ะ” เธอตอบ “ภายในโยโกฮาม่า อารีน่า จะแบ่งออกเป็นสี่เวที เรียงจากฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ – ฉันขึ้นแสดงบนเวทีฤดูหนาวเวทีเดียว แต่คุณต้องควบคุมระบบแสงสีสำหรับทั้งสี่เวทีนะ” ซูยอนหัวเราะ และเสริมว่า “จริง ๆ แล้ว -- ทิฟฟานี่ เพื่อนของฉันจะต้องมากับฉันในวันนี้ด้วย แต่จู่ ๆ เธอก็เป็นไข้ ตัวร้อนจี๋เลย ฉันก็เลยต้องมาคนเดียว -- ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ ในบริษัทไว้ใจฉันได้ยังไงกัน -- ”
“เดี๋ยวก่อน! ” ช้อนกาแฟตกลงบนพื้นโต๊ะเสียงดัง “เดี๋ยว! ” จียงมองเธออย่างคาดคั้น “มิยอง -- ผมหมายถึง -- คุณทิฟฟานี่ จะขึ้นแสดงด้วยหรือครับ”
“ใช่ค่ะ -- เวทีฤดูใบไม้ร่วง”
ซูยอนเสริมขึ้น “มีอะไรที่ไม่สะดวกหรือเปล่าคะ? ”
“เปล่าครับ” เขารีบตอบ “ไม่มีปัญหา คุณนัดแนะผมได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะเริ่มงานกันภายในวันพรุ่งนี้เลยนะคะ” ซูยอนพูดอย่างร่าเริง “ฉันจะนัดคุณไว้กับท่านประธาน วันพรุ่งนี้ เอาเป็น -- เวลาสิบนาฬิกาสามสิบนาที สะดวกไหมคะ? ”
“ที่บริษัทหรือครับ? ”
“ที่บริษัทค่ะ ” เธอมองเวลาแล้วลุกขึ้น “ฉันคงต้องไปแล้วล่ะ ขอบคุณมากนะคะสำหรับกาแฟถ้วยนี้ ทำให้สดชื่นขึ้นเยอะเลย”
“ยินดีครับ”
จียงมองส่งเธอจนลับตา
เคยมีคนบอกเขาว่ากาแฟที่ขมเกินไปเป็นพิษต่อสุขภาพ
ภาพของซูยอนซ้อนกับฮวังมิยองในความทรงจำซึ่งยังคงแจ่มชัด แต่แล้วจียงก็ละความสนใจจากมัน เขาเป็นคนมีเสน่ห์ แต่มีไม่พอจะรั้งเธอ -- ซึ่งจากเขาไปในวันที่ทุกสิ่งร่วงโรยได้เลย
วันที่เขาต้องซ้อมระบบแสงสีพร้อมกับนักแสดงทั้งหมดมาถึงเร็วกว่าที่คาดเอาไว้ในอีกสองสัปดาห์ถัดมา และจียงก็พบว่าตนเองรู้สึกกังวลกับการหลบหน้าหลบตาฮวังมิยองมากกว่าความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นบนเวทีเสียอีก เขาพบซูยอนหลายครั้งระหว่างการวางแผนงานร่วมกับคนอื่น ๆ ภายในบริษัท แต่ก็จะหายหน้าไปเสมอเมื่อฮวังมิยองปรากฏตัวขึ้น จียงรู้ดีว่าเขาและเธอจากกันด้วยความเข้าอกเข้าใจ ทว่าการใช้หัวใจที่ปวดแปลบฉีกยิ้มเป็นเรื่องยากกว่าที่ใครจะคาดคิด
“คุณจียง! ” ซูยอนเรียกเขา และหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นว่าทำให้เขาตกใจได้ “คุณแม่ของฉันทำเค้กมาเผื่อทุกคนน่ะค่ะ คุณรับไปสิ”
“ขอบคุณครับ” เขาตอบ พร้อมกับเอ่ยว่า “คุณนี่ชอบความมืดไม่ใช่เล่นเลยนะ”
“หมายความว่ายังไงคะ? ”
“ผมเคยถามคุณ -- ตอนที่คุณมานอนอยู่ในที่มืด ๆ คนเดียวที่หน้าบ้านของผม -- ว่าดาราอย่างคุณไปทำอะไรที่นั่น -- เหมือนกับตอนนี้เลย -- ดาราอย่างคุณเข้ามาทำอะไรในห้องมืด ๆ แบบนี้กันนะ ถ้าไม่ใช่ความชอบส่วนตัว”
จียงหลิ่วตาให้เธอ
เธอหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดี! ” ซูยอนว่า เธอดึงกล่องเค้กเล็ก ๆ ที่อยู่ในมือเขากลับไปด้วย “ถ้าอย่างนั้น คุณก็อดทานเค้ก”
“ใจร้ายที่สุด” จียงยกมือยอมแพ้
“ก็ถ้าไม่มีดาราอย่างฉันเข้ามาในห้องมืด ๆ นี่ -- ก็จะไม่มีใครเอาเค้กมาให้คุณน่ะสิ”
“ผมฝากให้ใครเอาเข้ามาก็ได้”
“ดีล่ะ! ” ซูยอนคำรามด้วยดวงตา “ได้เลยค่ะ” แล้วเธอก็หมุนตัวกลับไปที่ประตู
เกิดความชุลมุนขึ้นภายในห้องนั้นทันที! ขณะที่เขาคุ้นเคยกับห้องควบคุมมาทั้งชีวิต ซูยอนดูราวกับสามารถมองเห็นได้จากทางแผ่นหลัง และเสียงขลุกขลักที่เกิดขึ้นก็สะท้อนไปทั่วทั้งห้อง จากนั้น มันก็จบลงด้วยการที่ซูยอนกระแทกตัวลงไปบนแผงควบคุมโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลให้ไฟในห้องควบคุมสว่างโร่ขึ้น ขณะที่สิ่งอื่น ๆ ตกอยู่ในความมืดมิด ทุกคนมองเห็นเขากับซูยอนที่กำลังยื้อยุดกันได้อย่างชัดเจนในระยะที่จียงมั่นใจว่าหลายสิบเมตร ซึ่งหนึ่งในสายตาคู่ที่แหงนขึ้นมองเขากับเธอ -- จียงมั่นใจว่าเขากำลังสบตากับมิยอง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความขัดเขินและอึดอัดนั่นเอง เขากลับรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
“สวัสดีค่ะ จียง” เธอพูด “เราไม่ได้พบกันนานทีเดียว”
“เช่นกันครับ”
เขาตอบ และมิยองก็พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ ส่งผลให้รสชาติขมฝาดเอ่อท้นอยู่ในลำคอของจียง มันขมยิ่งกว่ากาแฟที่เขาดื่มเป็นประจำ และกำลังยกถ้วยขึ้นจิบเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตาเธอ ฮวังมิยองยังคงมีอิทธิพลต่อเขาอย่างเต็มที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไร
“ไม่เอาน่า” ซูยอนกระตุกแขนเขา เธอเกือบทำให้จียงสำลักกาแฟ “คุณควรจะร่าเริงกว่านี้นี่นา”
มิยองมองซูยอน เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของเขาและเธอไม่เป็นที่เปิดเผย “คุณจียงอาจจะรู้สึกอัดอัดใจก็ได้ที่ฉันอยู่ที่นี่” มิยองว่า “เราไม่ค่อยสนิทสนมกันเท่าไหร่”
“ไม่นะ” ซูยอนแย้ง “เขาเป็นคนร่าเริงจะตายไป”
“คุณซูยอน”
เขาพูด ตัดสินใจจะทำสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ แม้จะรู้สึกว่ามันเลวร้ายก็ตาม จียงรู้ดีว่าเขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว แต่เสียงของเขาก็ยังสั่น -- แม้จะเล็กน้อย แต่ก็ชัดเจนอยู่ในจิตใต้สำนึก “ผมชอบคุณ” เขาโพล่งออกไป “ให้เกียรติคบหากับผมเถอะ”
“เขาชอบล้อฉันเล่นน่ะ” ซูยอนบอก
“ผมพูดความจริง” จียงมองเธอ “ผมชอบคุณ -- รู้สึกดีกับคุณตั้งแต่ตอนที่เราได้พบกันครั้งแรก ยิ่งเราได้พบกันบ่อยขึ้นเท่าไหร่ แม้ว่าจะเป็นเวลาน้อยนิดในแต่ละครั้ง ผมก็ยิ่งรู้สึกโหยหาคุณมากเท่านั้น”
“ไม่ตลกเลยนะคะ”
“ผมพูดความจริง”
ไม่มีใครพูดอะไรเลย จนกระทั่งมิยองลุกขึ้นและโค้งให้เขา “ฉันคงต้องขอตัวก่อน”
จียงกลืนน้ำลาย แต่ยังคงจ้องมองซูยอน เขาเห็นร่างกายของมิยองที่เลือนรางลงจากปลายหางตา พร้อม ๆ กับที่กลิ่นน้ำหอมของเธอละลายหายไปในอากาศ
“ฉันก็ชอบคุณ” ซูยอนตอบ “เรามาคบกันเถอะค่ะ”
จียงรู้ดีว่าทั้งมิยองและซูยอนสงสัยในการกระทำของเขา เพราะนอกจากมันออกจะรวดเร็วเกินไปแล้ว ยังมุทะลุและบุ่มบ่ามจนเกินไปอีกด้วย โดยปกติแล้ว จียงไม่ใช่คนรีบร้อน และไม่ทำอะไรที่ทำให้เขาหรือใครโดดเด่นเกินกว่าความตั้งใจของตนเอง อาจเป็นเพราะมิยองมีอิทธิพลต่อเขาอย่างแท้จริง มันทำให้จียงไม่อาจทนอยู่เฉยได้เมื่อสายตาของเธอทิ่มแทงลงมาในเนื้อหนัง จียงไม่รู้ว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะอะไร และถ้าหากมันเป็นเพียงความพยายามเรียกร้องความสนใจแบบเด็ก ๆ ซึ่งใคร ๆ ก็ดูออกหากการกระทำแบบนั้นของเขาปรากฏขึ้นในละครสักเรื่องหนึ่ง จียงก็รู้สึกว่าเขาได้ทำเรื่องที่น่าอับอายลงไป
อย่างไรก็ตาม มิยองและซูยอนไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย และเขาก็ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์แบบจนถึงเวลาสิบเจ็ดนาฬิกาตรง ตอนที่ซูยอนเปิดประตูห้องควบคุมเข้ามาและถามเขาว่า “คุณจะไปไหนหรือเปล่า -- ฉันจะได้กลับพร้อมกับทิฟฟานี่เลย”
เขาขมวดคิ้ว “ไปไหนหรือครับ”
“เผื่อว่าคุณอยากจะชวนฉันไปทานอะไร -- หรือว่าไปที่ไหนสักหน่อย” ซูยอนอ้อมแอ้ม “แต่ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นกังวลกับของแบบนั้นมากนักหรอก”
จียงหลับตา นึกขึ้นได้ว่าเขาและเธอกำลังคบหากัน
“ผมมีร้านที่ไปบ่อย ๆ ร้านหนึ่ง” เขาตอบ “คุณจะรังเกียจไหมถ้า -- ”
“ฉันไม่รังเกียจอะไรทั้งนั้น” ซูยอนยิ้ม และถ้าหากสายตาของมิยองทิ่มแทงลงในเนื้อหนังของจียง รอยยิ้มของซูยอนก็ตอกลิ่มแห่งความรู้สึกผิดลงในหัวใจของเขาอย่างหนักหน่วงที่สุด
อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่อยู่กับซูยอนในร้านอาหารและในรถของเขา -- จียงก็รู้สึกว่าเขาทำได้ดีในระดับที่น่าพึงพอใจ อย่างน้อยเขาก็ชอบซูยอนจริง ๆ เพียงแต่ไม่เชิงเป็นความชอบชู้สาวที่นำไปสู่การคบหาเท่านั้น ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้ดีเช่นกันว่าตนเองกำลังทำบางสิ่งที่ไม่อาจถูกอภัย ทั้งสำหรับมิยองที่ไม่ได้รู้สึกรู้สมกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือซูยอนที่จียงยังคงดูไม่ออกว่าเธอตกลงใจจะคบหากับเขาด้วยเหตุผลใด แต่ในเมื่อเขากล้าพอที่จะปีนขึ้นไปหลังเสือ จียงก็ต้องมีความกล้ามากพอที่จะอยู่บนหลังของมันต่อไป ประคองตนเองเอาไว้ และปิดตาเสือให้มืดมนที่สุด
“ผมคงส่งคุณได้แค่ตรงนี้ล่ะนะ” เขาบอกตอนที่ชะลอความเร็วของรถลง “หรือคุณอยากจะให้ผม -- ”
“หยุดความคิดชองคุณไว้ตรงนั้น ควอนจียง” ซูยอนพูด “ฉันมองเห็นค่าความเป็นไปได้ของอันตรายเต็มไปหมด”
จียงกะพริบตา “อย่างเช่นอะไรบ้างล่ะครับ”
“ก็แหม -- ” ซูยอนมีท่าทางขัดเขิน แล้วเธอก็เปิดประตูรถ “ฉันจะลงล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน -- ”
เขาดึงตัวเธอด้วยสันชาตญาณ หลังจากความคิดเกี่ยวกับการล่ำลาระหว่างคู่รักปรากฏขึ้นในสมอง จียงนึกว่าเขาจะจูบเธอ แต่เขาเพียงแต่จุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผาก
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ” จียงตอบ “คุณบอกว่าจะชงนมอุ่น ๆ ก่อนนอน ถึงยังไงก็ -- ” เขาหลิ่วตา “อย่าใส่น้ำตาลมากนักแล้วกัน”
ซูยอนโบกมือให้เขาตอนที่รถเคลื่อนออกไป
เมื่อลับสายตาเธอ จียงกระแทกเท้าลงไปบนคันเร่งสุดแรงเกิด ขณะที่ความรู้สึกรังเกียจตัวเองอย่างที่สุดพลุ่งพล่านอยู่ในอก -- เขาจูบเธอที่หน้าผาก โดยที่ปล่อยให้สายตามองขึ้นไปที่หน้าต่างห้องของมิยอง ถ้าหากจะหาใครสักคนบนโลกที่ชั่วช้าอย่างยิ่ง จียงก็คิดว่าเป็นตัวเขาเอง
ฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามา พร้อมกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่โจมตีเขาด้วยระลอกความนึกคิดที่มีประสิทธิภาพ ซูยอนและเขายังคงปฏิบัติต่อกันและกันในรูปแบบของคู่รัก ซูยอนไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้กับใคร มิยองและเขาเองก็เช่นกัน
ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา จียงไม่เคยล่วงเกินเธอเกินไปกว่าการจูบเบา ๆ ที่หน้าผาก ซึ่งในบางครั้งมันก็เกิดขึ้นต่อหน้ามิยองที่ยังคงไม่รู้สึกรู้สมเช่นเคย จียงไม่เข้าใจ และในทุกครั้งก็รู้สึกปวดแปลบอยู่ในอก โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะมิยองไม่มีท่าทีอะไรเลย หรือเพราะดวงตาสดใสของซูยอนที่จ้องมองเขากันแน่
“ฉันรักคุณค่ะ”
ซูยอนบอกกับเขาในคืนวันหนึ่งที่หน้าบ้านพักของเธอ “มันอาจจะเร็วเกินไป -- แต่คุณทำให้ฉันรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน พูดคุยกัน ทานอะไรด้วยกัน -- ทุกสิ่งทุกอย่าง” เธอบอก “ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
และ -- โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ซูยอนขยับตัวเข้ามาใกล้ เธอจูบเขาเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่าง ก่อนจะเปิดประตูรถ แล้วก็จากไปในความมืดมิดที่ทอดเงาลงมาทั้งบนผืนดินและหัวใจของจียง เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะมองหาหน้าต่างห้องนอนของเธอมากกว่าของมิยอง ขณะที่รสชาติของจุมพิตร้อนเหมือนจะละลายใบหน้า จู่ ๆ จียงก็รู้สึกป่าเถื่อน เขาอยากจะดึงตัวซูยอนเข้ามากอดและจูบให้นานที่สุด ทว่าสิ่งที่เขาทำกลับเป็นเพียงการโบกมือลาเธอโดยที่ไม่รู้ว่าซูยอนมองเห็นหรือไม่
เขาต้องใช้เวลา -- จียงเชื่ออย่างนั้น -- ต้องใช้เวลามากกว่านี้ เพื่อให้ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงความต้องการที่จะเรียกร้องเอาความสนอกสนใจกลับคืนมาจากมิยอง และโดยที่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายเท่าไหร่ – จียงตัดสินใจว่ามันอาจจะต้องเป็นไปตลอดกาล
ลมทะเลทำให้เส้นผมของเขาเหนียวและพันกัน แต่กลิ่นเค็ม ๆ ของมันทำให้เขารู้สึกสดชื่น จียงจิบกาแฟจากถ้วย มันยังคงเป็นกาแฟรสขมสนิท ขณะที่มองไปยังเส้นขอบฟ้าสีแดงเรื่อเรือง ซึ่งคลื่นทะเลที่ทำให้ร่างกายเอนไปมาดูราวจะโยนเขาเข้าไปหามัน เรือกำลังจะเทียบท่าที่โยโกฮาม่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว และงานของเขาก็จะเริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงในโยโกฮาม่า อารีน่า
ต้องยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นดีเห็นงามกับความคิดสร้างสรรค์ของประธานบริษัท ซึ่งกำหนดให้การเดินทางไปยังโยโกฮาม่าเป็นการเดินทางโดยเรือสำราญ ไม่ใช่เครื่องบิน เพื่อความแปลกใหม่ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องหรูหราฟู่ฟ่ากว่าเก่า จียงชอบความคิดนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาชอบทะเล และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาอยากจะอาศัยเวลาเพื่อครุ่นคิด
“คุณยังชอบยืนพิงกราบเรือเหมือนเคย”
เขาได้ยินเสียงมิยอง “คุณล่ะ” จียงพูด “คุณก็ยังชอบขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือเวลาที่ไม่มีใคร”
“แต่ตอนนี้มีคุณ” มิยองตอบ เสียงของเธอเลื่อนไหลเหมือนน้ำทะเล เยือกเย็นท่ามกลางท้องฟ้าสีหม่นในเวลาเช้ามืด “คุณทำแบบนี้ทำไม จียง”
“ผมทำอะไร”
“คุณขอคบหากับซูยอน”
จียงนิ่งไปเพียงอึดใจเดียว “แล้วทำไมล่ะ” เขาโคลงหัวไหล่ “คุณหึงหวงผมหรือไง”
“คุณไม่ได้รักเธอ”
เขาสบตาเธอ รู้ดีว่ามิยองหมายความตามที่พูด “คุณไม่ชอบทำอะไรโจ่งแจ้ง คุณรักอิสระ ไม่ค่อยจะตามติดดูแลใคร -- คุณทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลบางอย่าง”
กาแฟในถ้วยเหมือนจะเย็นชืด ระหว่างที่มิยองกับเขาจ้องมองกันอย่างยาวนาน “ใช่” เขาตอบในที่สุด “ผมไม่ได้รักเธอ – ผมทำ เพราะอยากให้คุณกลับมา”
“ฉันจะไม่กลับไป” มิยองตอบอย่างเด็ดขาด “เส้นทางระหว่างเราจะไม่มีทางกลับมาบรรจบ และคุณไม่ได้รักฉันอีกต่อไปแล้ว”
“คุณจะรู้ดีกว่าผมได้ยังไง”
“ฉันรู้ -- เพราะฉันรู้จักคุณดี” เธอพูด “รู้จักดีกว่าใคร -- คุณไม่ใช่วิธีสกปรกแบบนี้ ถ้าคุณรักฉัน และต้องการฉันจริง ๆ -- คุณจะเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง ตัวฉันเอง -- ไม่ใช่ซูยอนที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณ”
เขาสะดุ้งเฮือก ไม่กล้าหันหลังกลับไป มิยองไม่พูดอะไรเลย แม้ว่าเธอจะดูเหมือนกำลังหลั่งน้ำตาอยู่อย่างเงียบเชียบก็ตาม ไม่ช้ามิยองก็เดินจากไป พร้อมกับที่เขาต้องหันหลังกลับ -- ซูยอนจะต้องขึ้นแสดงบนเวทีฤดูหนาว เธอจึงแต่งกายด้วยชุดสีขาว เครื่องประดับสีขาวและสีเงิน พร้อมกับแต่งหน้าด้วยโทนสีเดียวกันที่แสนซีดเซียว เพียงแต่ตอนนี้ใบหน้าของเธอแดงก่ำ โดยเฉพาะที่ปลายจมูกและรอบดวงตา และจียงมั่นใจว่าหยดน้ำจากดวงตาของซูยอนไม่ได้เป็นหนึ่งในเครื่องประดับเหล่านั้น
“คุณโกหกฉัน”
“ผมขอโทษ” เขาพูดอย่างง่ายดายพอ ๆ กัน
“ฉันคิดอยู่ตลอดเวลา -- กว่าจะตัดสินใจได้ว่าคุณคือคนที่ฉันต้องการจริง ๆ ” ซูยอนสะอื้น “แต่คุณกลับใช้เวลาเท่า ๆ กันกับฉัน คิดแต่ว่าเพื่อนของฉันคือคนที่คุณรักเพียงคนเดียว”
“ผมขอโทษจริง ๆ ”
ซูยอนไม่พูดอะไรอีกเลย
จียงรู้อยู่แล้วว่าซูยอนจะร้องเพลงเศร้า ๆ บนเวที เพียงแต่คราวนี้มันเศร้ายิ่งกว่าความเศร้าที่เขาเคยฟัง เจ็บปวดยิ่งกว่าความเจ็บปวดใด ๆ ที่เขาเคยรู้สึก
ดวงตาของซูยอนมองตรงขึ้นมาที่ห้องควบคุมด้านบน เขารู้สึกว่าเธอสบตาเขา และดวงตาของเธอก็มีน้ำตาคลอคลอง ซึ่งจียงรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจากความเข้าถึงบทเพลงเท่านั้น
“And will he see,how much he means to me. – I think it’s not to be”
เสียงของซูยอนเหมือนถูกมีดกรีดจนแหลกสลาย และจียงก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขาเจ็บปวดไม่ต่างกับเธอ ตอนที่น้ำตาของเขาหยดลงบนแผงควบคุมหยดต่อหยอดด้วยความเร็วที่น่าใจหาย
เพียงแต่เขาไม่อาจหันหลังกลับไปได้เหมือนบนดาดฟ้าเรือแห่งนั้น...
มิยองเคยบอกเขา ว่าเขาควรจะหันหน้ามองไปทางท้ายเรือมากกว่าหัวเรือ เพราะเขาไม่เคยเลยที่จะทิ้งอดีตเอาไว้กับอดีต เขาพกพาอดีตไปพร้อมกับปัจจุบันและนำมันไปสู่อนาคตเสมอ
ไม่ว่าอดีตนั้นจะทำร้ายปัจจุบันและอนาคตของตนเองหรือไม่ก็ตาม --
มีเสียงปรบมือและโห่ร้องตอนที่ซูยอนร้องจบเพลง ตอนนั้นเองที่จียงฟุบหน้าลงกับแผงควบคุม และร้องไห้อย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป
เขาอยู่ตรงกลาง
บางทีตรงกลางอาจเป็นจุดยืนที่เจ็บปวดที่สุด เมื่อเขาไม่อาจปล่อยมือจากมิยองที่ก้าวเดินจากไป และไม่สามารถดึงตัวซูยอนเข้ามาในอ้อมแขนเพื่อยืนอยู่บนจุดยืนเดียวกันได้ แม้ว่าเธอจะเอื้อมมือมาถึงเสี้ยวหนึ่งของหัวใจเขาแล้วก็ตาม
จียงอ้าปากกลืนก้อนสะอื้น เขายังคงทำหน้าที่ต่อไป -- เสียงเพลงบนเวทีฤดูใบไม้ผลิก็เริ่มต้นบรรเลง
ถึงแม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะเดินทางมาถึง และดอกไม้ทุกดอกในโยโกฮาม่าล้วนแต่เบ่งบานสะพรั่ง ขอให้เว้นไว้แต่ในหัวใจของชายคนหนึ่ง ที่ซึ่งดอกไม้จะไม่เบ่งบานอีกเลย
จะโดนรุมตื้บไหมเนี่ยย TT
หักมุมจบ Sad Ending ซะแล้วววว พระเจ้าลืมประทานโชคในเรื่องรักไว้ให้นายจริง ๆ สินะ... ควอนจียง = ="
ใจจริงอยากจะเขียนให้จียงตามเจสสิก้ากลับมาค่ะ แต่มาคิดดูแล้ว... เอ... การที่คนเราจะตัดสินใจได้จริง ๆ ว่ารักใคร มันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอกนะ
จริง ๆ แล้ว ทั้งเจสสิก้าและจีจี้จะได้กลับมาเป็นคู่รักกันหรือเปล่า ก็ต้องขึ้นอยู่กับทั้งสองคน เพราะฉะนั้น บทสรุปของเรื่องนี้จึงไม่แน่นอนนัก
สุดท้ายนี้... ขอขอบคุณนักอ่านทุกคนมาก ๆ เลยนะคะ ที่คอยติดตามมาจนถึงวันนี้ ขอโทษด้วยที่บางทีอาจจะอัพช้า เขียนมึน พร่ำเพ้อ ฯลฯ
หวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้งค่ะ :))
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขียนต่อไปนะคร้าบบบ ^o^
แต่ขอตื้บบบบบ ! ไรเตอร์อะ จะหักมุมจบ
แต่ไม่ต้องมาหักอารมณ์กันขนาดนี้ได้มะ
เคาะเว้นลงไปยาวๆหน่อยดิ - -
ชอบจริงๆนะเนี่ยเรื่องนี้
เห็นภาพในเรื่องแบบที่หลากหลายมากขึ้น
ชอบเซ็ตนี้แล้วก็ชอบการเขียนของไรเตอร์มากๆ
ชอบตรงที่บรรยายอารมณ์ตัวละครชัดเจนดี
สถานที่ ฉาก ก็เห็นภาพ ทั้งเรื่องเปรียบเทียบ
อะไรพวกนี้ มันมีเอกลักษณ์อะ
เอาหละไหนๆก็จบเซ็ตแล้ว TT ขอบอกอะไรหน่อย
*ที่เม้นมาทั้งหมดแล้วต้องเรียกแกว่า "ไรเตอร์"
ก็เพราะมันชิน และจะเม้นได้ลื่นไหลมากขึ้น
เหมือนเป็นคนอ่านที่กำลังคอมเม้นให้คนเขียน
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะ รักคนเขียน จุ๊ฟๆ 555
แต่หลังๆมันเศร้าไปหน่อยอ้ะ TT
จียองซูยอน เศร้าได้อีกค่ะ
เพียงแค่เอื้อม แต่เอื้อมยังไงก็ไม่สามารถคว้าได้
เค้าอ่านจุดจบแล้วอ่ะ ไม่อยากเศร้า ขอแบบหวานๆได้ยิ่งดีค่ะ 55+
สู้ๆนะค่ะ