ตอนที่ 26 : L O N E W O L F | To heal a wound you have to stop touching it.
? cactus
Chapter 21
To heal a wound
you need to stop touching it.
(เพื่อเยียวยาบาดแผล จำเป็นต้องหยุดสัมผัสบาดแผลนั้น)
หนังสือเล่มนั้น... ปกสีน้ำทะเลเป็นเงาวับ มีเงือกสาวท่าทางกระมิดกระเมี้ยนที่มุมหนึ่ง ไม่ไกลกันนักเป็นตัวอักษรสีทองดุนนูน “Die Kleine Meerjungfrau” ( “ดี ไคลเนอ เมียร์ยุงเฟรา” ) เรื่องราวของเจ้าหญิงชาวเงือกผู้ตกหลุมรักมนุษย์ โดยนักประพันธ์ชาวเดนมาร์กผู้อาภัพ แปลเป็นภาษาเยอรมัน
ทั้งหน้าปกและเนื้อความ... ยังชัดเจนในความทรงจำ
เงือกมีอายุขัยสามร้อยปี จากนั้นจะกลายเป็นฟองคลื่น ไม่อาจไปสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าได้อย่างมนุษย์ เธอที่ตกหลุมรักเจ้าชายพระองค์หนึ่ง หลังกู้เขาขึ้นจากทะเลอันครืนครั่น แลกเสียงอันไพเราะของตัวเองกับขาซึ่งให้ความรู้สึกราวถูกเถือด้วยมีดทุกครั้งที่เคลื่อนไหว อนิจจา เจ้าชายไม่รู้ว่าเธอคือผู้รักษาชีวิต ท้ายที่สุดก็ตกล่องปล่องชิ้นกับเจ้าหญิงจากต่างเมืองผู้ซึ่งพระองค์เชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณ
เงื่อนไขหนึ่งในการได้มาซึ่งขาทั้งสอง คือหากเจ้าชายปลงใจแก่หญิงอื่น เธอจะกลายเป็นฟองคลื่นโดยไม่มีข้อยกเว้น ในพิธีมงคลอันหวานชื่น พี่สาวทั้งห้าจึงมาพบเจ้าหญิงชาวเงือกและส่งมีดเล่มหนึ่งให้ “สังหารเขาด้วยมีดเล่มนี้เถิด น้องรัก” พี่สาวว่าอย่างนั้น “และกลับสู่ใต้บาดาล”
เพียงแต่เธอไม่อาจทำเช่นนั้น เจ้าหญิงชาวเงือกละทิ้งโอกาสสุดท้ายและกระโจนลงสู่ท้องทะเล กลายเป็นฟองคลื่นเมื่อฟ้าสาง แต่ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ฟองคลื่นนั้นได้ถือกำเนิดใหม่เป็นเทวทูตผู้อาศัยในสายลม และจะได้เข้าสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าเช่นเดียวกับมนุษย์ในอีกสามร้อยปี
ยายโง่... แบคฮยอนเคยก่นด่าเธออย่างนั้น แค่จ้วงมีดลงไป เสียดมเสียดายอะไรกับคนที่จะไม่มีวันได้มา
ทว่า... เวลานี้ เมื่อข้อเสนอของมินโฮสะกิดความทรงจำเมื่อครั้งเล่าเรียนในพยองยางอึยกุกกอแทฮัก เขากลับเห็นใจเจ้าหญิงชาวเงือก แบคฮยอนไม่อาจประหัตประหารชายที่รักได้เช่นเดียวกับเธอ
“ว่ายังไง” ร้อยตรีซงทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ว่ายังไง... คนสวย”
“อย่าแตะต้องฉัน! ”
ชายหนุ่มร่างเล็กสะบัดมือให้พ้นจากการกอบกุมที่ชวนให้รู้สึกขยะแขยง ทว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อยมือจากเขา กลับกระชากให้เข้าใกล้ รัดรึงแบคฮยอนไว้ในอ้อมแขนที่เยียบเย็น ก่อนเขย่าแรง ๆ กระทั่งศีรษะสั่นคลอน
“จะดีดดิ้นไปทำไมเล่า! ” เสือผู้หญิงมีชื่อร้องอย่างมีชัย “เป็นความตั้งใจของนายแต่แรกไม่ใช่หรือไง เป็นความต้องการของนายนะ แบคฮยอน เป็นความตั้งใจของนายเอง เมื่อแปดปีก่อน ไม่ดีใจหรือไง! ”
เขาอาจโชคดีกว่าเจ้าหญิงชาวเงือก แบคฮยอนไม่ได้เป็นใบ้ ได้บอกแก่อีกฝ่ายว่ารู้สึกอย่างไร แต่ก็โชคร้ายกว่าเธออย่างน่าขัน จะมีอะไรตอบแทนหรือสำหรับการบูชาความรัก ชายหนุ่มร่างเล็กไม่รู้จักพระเจ้าอื่นใดนอกจากคิมอิลซองที่เฝ้าปฏิเสธอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาเติบโตขึ้นด้วยสองมือที่ฟาดฟันและสองเท้าที่ดิ้นรน อาณาจักรพระเจ้าของเจ้าหญิงชาวเงือก.... ไม่ว่าจะเรืองรองอย่างไร แบคฮยอนก็ไม่อาจสัมผัส
“แกมันไม่ใช่คน” ผู้ติดตามจอมปลอมเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “แกมันปีศาจ โหดร้ายเสียยิ่งกว่าจุนมยอนที่ฆ่าแร้งเฒ่าด้วยมือตัวเอง เขาทำลงไปเพราะไม่มีอะไรจะเสีย เพราะสิ้นหวัง เพราะถูกทำลายถึงกระดูก แต่แก... พวกแก... เฝ้ามองการเข่นฆ่าและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากเลือดและเนื้อของใครต่อใคร คงสาแก่ใจถ้าฉันฆ่าเขาเสีย ใช่ไหมล่ะ ใช่ไหม! ”
“ก็เออสิโว้ย! ต้องให้บอกหรือเปล่าว่าแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ตอนที่เห็นว่าคู่แข่งคนสำคัญทำอย่างนั้นในงานเฉลิมฉลอง เชิญ! เป็นมนุษย์ที่รู้จักตายให้พอใจ เพราะอย่างน้อยที่สุด ปีศาจที่นายขยะแขยงเหลือเกินก็เป็นอมตะ! ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ เราจะเป็นผู้ชนะ นี่แหละ... ธรรมนูญของเรา ของเปียงยาง เข้าใจหรือยัง! ”
ร่างกายของแบคฮยอนถูกเหวี่ยงอย่างสุดกำลังไปอีกทางหนึ่ง ชายหนุ่มร่างเล็กซวดเซล้มลงพลางสำลักกระอักกระไอ “ไม่รับข้อเสนอ! ” ผู้ติดตามจอมปลอมกระชากเสียง “ทุกคนจะได้ไปจากนรกนี่ ทั้งจงแด จุนมยอน และอี้ชิง ฉันจะหาทางจนได้ ไอ้เดรัจฉาน ต่อให้จะต้องแลกกับกี่ชีวิตของตัวเองก็เถอะ”
“พี่แบคฮยอน! ”
เสียงตะโกนของจุนมยอนคล้ายอยู่ห่างไกลออกไปเมื่อความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม มือของร้อยตรีซงบีบรัดลำคอ ขณะที่ปืนพกมาคารอฟจ่ออยู่ที่หน้าผาก ได้กลิ่นเขม่าดินปืนชัดเจน ดวงตาของแบคฮยอนเหลือกถลน ขาทั้งสองป่ายปัด “ไม่มีนายก็ได้นี่ สามคนนี้ก็ยังทำงานให้ฉันได้” มินโฮว่า “อยากรู้เหมือนกัน นาย... ไม่สวมเสื้อผ้า นอนคว่ำหน้าที่ประตูรั้ว ไม่มีชีวิต เห็นอย่างนั้นแล้ว ชานยอลจะทำยังไง”
“ปล่อยนะ! ปล่อยพี่แบคฮยอนนะ! ”
เด็กหนุ่มปรี่เข้าใส่เสือผู้หญิงมีชื่อ เสียงปืนดังขึ้นนัดหนึ่งเมื่อจุนมยอนถูกสลัดออกไป แบคฮยอนหลับตา พ่อ... พ่อ... เขาคร่ำครวญ พ่ออยู่ในเหมือง พ่ออยู่ในเหมืองใช่ไหม รออีกเดี๋ยว อาหารของพ่อ ผมกำลังไป...
“ฉันจะทำเอง! ”
สิ้นเสียงตะโกนแหลมสูงนั้น ทุกอย่างกลับหยุดชะงัก อี้ชิงอ้าปากค้าง กระทั่งจุนมยอนก็หยุดส่งเสียง ร้อยตรีซงเงยหน้าขึ้น ปล่อยมือจากลำคอของเขา หันไปหาเจ้าของเสียงอย่างตื่นตะลึง
“ว่ายังไงนะ”
“ฉันจะทำเอง! ” จงแดตะโกนอีกครั้ง คราวนี้ด้วยเสียงที่แหบแห้งกว่าเดิมมาก “ฉันจะฆ่าชานยอลเอง... และจะฆ่ามินกูด้วยถ้านายต้องการ ให้ฉันตายเสียที่ลานประหาร จะไม่มีใครสืบสาวถึงนาย แลกกับการคุ้มครองจุนมยอน และปล่อยพวกเราทุกคนไป”
ชายหนุ่มร่างเล็กนวดเฟ้นลำคอที่ยังปวดร้าว “บ้าไปแล้วหรือไง จงแด หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ”
“ฉันมีประโยชน์น้อยที่สุดในเรื่องวินาศสันตะโรนี่” ท้ายที่สุด อดีตคนรักก็สะอื้น “ฉันที่มีโอกาสไปจากประเทศบ้า ๆ นี่ก่อนใครเพื่อน เพราะความใจดีของจงอิน เพราะทุนการศึกษาของนาย ทั้งที่ไม่ได้เป็นคนในครอบครัว แต่จนถึงตอนนี้กลับไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อย่าว่าแต่ก่อร่างสร้างตัวเลย เงินสักแดงยังหาไม่ได้ ฉันจะทำเอง! ฉันที่ไม่มีครอบครัวนี่แหละ ฉันเป็นคนเดียวที่พวกนายจะเสียไปได้ ให้ฉันทำเถอะ! ”
คนทั้งห้าสบตากันอย่างเงียบงัน กระทั่งมินโฮก็ไม่พูดอะไร อาจเพราะเสือผู้หญิงแห่งเหล่าทัพเติบโตขึ้นท่ามกลางการห้ำหั่นและชิงไหวชิงพริบ จึงไม่เข้าใจเหตุผลของการเสียสละอันเรียบง่ายดีนัก
“นาย... ” แบคฮยอนกระซิบในที่สุด “เกลียดเขามากเท่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ฉันไม่เคยเกลียดเขา” จงแดปฏิเสธ “แต่ถ้าเกลียดเขาลงเมื่อไหร่ ก็จะเกลียดให้เท่ากับที่นายรักเขา”
“นายจะไม่ทำอย่างนี้ จงแด”
“นายก็จะไม่ทำอย่างที่พูดเหมือนกัน” อดีตคนรักโต้ “แบคฮยอน... จุนมยอนต้องการนาย จงอินกับน้าอีซึลก็เหมือนกัน อี้ชิงต้องช่วยเหลือคนอีกมาก จุนมยอนยังเด็ก เขาควรมีโอกาสใช้ชีวิต ฉันไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง ไม่มี... ” อีกคนหนึ่งกลืนน้ำลาย “คนรัก... อาจไม่ยุติธรรมสำหรับร้อย... เอ้อ ร้อยเอก แต่ฉันก็จะได้ชดใช้ความตายของเขาด้วยชีวิต ไม่มีอะไรติดค้างสำหรับครอบครัวที่เหลืออยู่ของชานยอล กับลูกของเขาหรือแม่ของเขา... ให้มันจบลงเท่านี้เถอะ ให้เราทั้งหมดได้มีชีวิตที่สงบสุขเสียที”
ชายหนุ่มร่างเล็กเม้มริมฝีปาก อับจนคำพูดอย่างสิ้นเชิง เมื่อหันไปหาพ่อค้าของเถื่อนและน้องชายบุญธรรม คนทั้งสองก็เบือนหน้าหนี และแม้จะเจ็บปวดเหลือเกิน ทว่าแบคฮยอนไม่ประหลาดใจนัก ไม่มีใครอาจหาญโต้แย้งจงแด เพราะในที่สุดเมื่อยืนอยู่ที่ขอบผา ระหว่างความเป็นและความตาย ความรักและความผูกพันย่อมมีความหมายน้อยลง
เพราะอย่างนี้เอง สุนัขที่ถูกต้อนให้จนตรอกจึงดุร้าย อาวุธจึงมักถูกชูขึ้นในสังคมที่ไร้ขื่อแป และศาลเตี้ยจึงทรงอำนาจในโลกที่ไร้หลักประกัน เมื่อมักถูกบีบคั้นด้วยอำนาจที่ไม่รู้เหนือใต้ ถูกชักเชิดด้วยมือของผู้อยู่เหนือกว่าจนชาชิน ความตระหนักในคุณค่าแห่งชีวิตย่อมลดน้อยถอยลง กระทั่งความตายที่ไม่สมเหตุสมผลก็เป็นที่ยอมรับได้
“ฉันไม่ยอมหรอก” เขาว่าอย่างดื้อรั้น แม้เสียงจะเครือด้วยจำนนต่อเหตุผลของอีกคนหนึ่งก็ตาม “ถ้าจะรอด ก็ต้องรอดด้วยกันทั้งหมด เราโตมาด้วยกันนะ นายเป็นครอบครัวของฉันพอ ๆ กับทุก ๆ คนนั่นแหละ”
รอยยิ้มของอดีตคนรักสร้อยเศร้าเหลือเกิน “ต้องรอดทั้งหมด... เราพยายามเรื่องนั้นมากี่หนแล้ว แบคฮยอน ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยไม่ใช่หรือไง”
เพียงเท่านั้น แบคฮยอนก็พูดอะไรไม่ออก
“ฉันตกลง” มินโฮพูดขึ้นในที่สุด พลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ร้อยตรีซงดูจะเป็นคนเดียวในบ้านพักหลังนั้นที่มีความสุข “โศกนาฏกรรมที่งดงาม ฉันจะเขียนเป็นบทละคร แสดงต่อหน้าท่านผู้นำเร็ว ๆ นี้แล้วกัน”
“ไปตายซะ”
“มากับฉัน” เสือผู้หญิงมีชื่อยื่นมือให้จงแดโดยไม่สนใจเขา “เจ็ดเดือนนี้อย่าตุกติก ไม่ว่าจะเป็นนาย... หรือพวกนาย” ร้อยตรีซงพูดกับทั้งสองฝ่าย “เสร็จงานแล้ว ฉันจะให้นายได้บอกลาพวกเขาก่อนก้าวขึ้นตะแลงแกง เป็น... ลานประหารที่ตำบลมูซานไหม... ฉันจะฝังนายไว้ใต้แม่น้ำ ที่ที่ชานยอลควรอยู่เมื่อหลายเดือนก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากคนที่หักหลังนาย”
ตอนนั้นทั้งเขาและจุนมยอนกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง พยายามยื้อยุดอีกฝ่ายจากมินโฮอย่างไร้ผล ใช่แต่เพราะปืนพกมาคารอฟที่ชี้มาอย่างมุ่งร้าย แต่เพราะท่าทีไม่ยินดียินร้ายของจงแดด้วย อดีตคนรักปฏิเสธทั้งเขาและน้องชายบุญธรรมอย่างเด็ดขาด โดยปราศจากคำพูด ในไม่กี่อึดใจ จงแดก็จากบ้านพักหลังนั้นไปท่ามกลางหิมะที่ตั้งต้นโปรยปรายราวกับไม่รู้จักหยุดหย่อน
“เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ควรข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้” จุนมยอนพูดเสียงสั่น “พี่จงแดคือคนเดียวในหมู่พวกเรา... ที่ไม่ควรต้องทำอย่างนี้”
“แต่เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว” อี้ชิงบอกอย่างเย็นชา พ่อค้าของเถื่อนไม่เห็นด้วยกับการกระทำหุนหันพลันแล่นของเด็กหนุ่มมาแต่ไหนแต่ไร “จากนี้ใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ใช้เผื่อเขา... เผื่อคนที่ต้องทำอย่างนี้เพื่อปกป้องนาย”
แทนคำตอบ น้องชายบุญธรรมกวาดจานอาหารทั้งหมดตกลงบนพื้น ก่อนวิ่งตึง ๆ ขึ้นบันไดไป แบคฮยอนรู้ว่าจุนมยอนเสียใจ จงแดสนิทสนมกับเด็กหนุ่มมาก ถึงอย่างนั้นอี้ชิงก็พูดถูกต้องแล้ว ความมุทะลุของจุนมยอนเป็นเหตุแห่งความเสียหายมากมาย...
แม้แบคฮยอนไม่รู้จะโทษใคร... หรืออะไรสำหรับความเคียดแค้นที่สั่งสมกระทั่งล้นปรี่จากร่างกายเล็ก ๆ นั้นก็ตาม
ท้ายที่สุดคนทั้งสองก็เพียงแต่สบตากัน เป็นดวงตาอ่อนล้าของผู้ใหญ่สองคนที่สิ้นหวัง ก่อนก้มลงเก็บกวาดจานอาหารจากคนละฟากของห้อง โดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรแม้ประโยคเดียว
“ให้ฉันเข้าไปได้ไหม”
ชานยอลเงยหน้าขึ้น ไม่คาดฝันว่าจะพบอีกฝ่ายที่หน้าประตูห้องพิเศษ ร้อยเอกปาร์คก้าวฉับ ๆ ไปหา สอดส่ายสำรวจผู้มาเยือนอย่างระมัดระวัง กระทั่งพบว่าชายหนุ่มไม่ได้พกพาอะไร นอกจากดอกซูซอนฮวาสีขาวสลับเหลืองช่อหนึ่ง
“ฉันไม่ได้เป็นสมาชิกบ้านปาร์ค บ้านซง หรือบ้านชเว” อีกคนหนึ่งว่า “ฉันจะไม่ทำอันตรายพ่อของนายหรอก”
“นายเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ความสัมพันธ์ของเราเริ่มต้น เซฮุน”
นกกระสาหนุ่มสั่นศีรษะ ร้อยเอกปาร์คไม่พูดอะไรขณะเซฮุนจัดแจงทิ้งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาในถังผง เปลี่ยนน้ำในแจกันและนำดอกซูซอนฮวาใส่ลงไปทีละดอก
“พลเรือเอกปาร์คเป็นยังไง” ร้อยตรีโอถามขึ้น
“ยังทรงอยู่” ชานยอลตอบอย่างหมดอาลัยตายอยาก “เสียเลือดมากและอาวุธถูกที่สำคัญ เราอาจทำได้แค่... ยื้อเขาไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจนี่”
“รู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนทำ”
“รู้... ” ร้อยเอกปาร์คถอนหายใจ “ฉันจำเด็กคนนั้นได้”
เซฮุนขมวดคิ้ว “เด็ก” นกกระสาหนุ่มเอียงศีรษะไปด้านหนึ่งอย่างงุนงง “เด็กเนี่ยนะ... ไม่เข้าใจเลย”
“แค่เด็กก็ทำอะไรต่อมิอะไรได้ เมื่อถูกบีบคั้นเอามาก ๆ ” ไม่รู้ว่าอะไรผลักดันให้เขาพูดอย่างนั้นกับอีกฝ่าย “แบคฮยอนเมื่อแปดปีที่แล้วก็เป็นอย่างนั้น... จำอุบัติเหตุที่ทำให้จีซูต้องนอนแบ็บอยู่กับเตียงระยะหนึ่งได้ไหม”
ร้อยตรีโอนั่งลงข้าง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่พักใหญ่ ปล่อยให้ห้องนั้นอื้ออึงด้วยเสียงปี๊บ ๆ จากอุปกรณ์การแพทย์ “ผู้ติดตามบยอนเป็นผู้ต้องหาของนายในวันนั้นน่ะเอง... ”
“พ่อทำเรื่องเลวร้ายไว้มากกับพ่อของเขา พอ ๆ กับที่ฉันทำกับเขา”
เซฮุนเอื้อมมือไปแตะที่มืออันผ่ายผอมของพลเรือเอกเขี้ยวลากดิน กดที่เส้นเลือดอันปูดโปนราวกำลังพิจารณาว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่ได้กี่ชั่วโมง “อย่างน้อยเดี๋ยวนี้เขาก็หลุดพ้นไปจากนายแล้ว”
ใบหน้าของชานยอลกระตุกหน่อยหนึ่งด้วยความเจ็บปวด “ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น... ”
“ดีแล้ว... นี่จะทำให้ลูกของนายปลอดภัย” ร้อยตรีโอแค่นหัวเราะ “ฉันแค่ไม่คิดว่านาย... จะมีลูก”
นกตัวหนึ่งเกาะลงที่ขอบหน้าต่างด้านนอก คล้ายต้องการไออุ่นจากภายในห้องนั้น หิมะเพิ่งจะหยุดตกไม่นาน ท้องฟ้ายังเป็นสีเทา และชาวเปียงยางส่วนใหญ่ก็ลืมเสียแล้วว่าแสงอาทิตย์ซึ่งย้อมทุกสิ่งเป็นสีทองเป็นอย่างไร ชานยอลรอกระทั่งนกตัวดังกล่าวกางปีกและโผทะยานจากขอบหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบงันอันเข้มข้น เขาจดจ้องแต่ที่กลีบดอกซูซอนฮวาขณะสารภาพออกไป...
“เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของฉันหรอก”
เซฮุนแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนออกมาเป็นครั้งแรก อีกคนหนึ่งหันขวับ จ้องเขม็งที่ริมฝีปากของเขาอย่างตื่นตะลึง “ไม่ใช่... ลูก แต่ชเวซึงวานเป็นเจ้าสาวของนาย”
“ฉันทำไม่ได้ ฉันนอนกับเธอ เรา... พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว” ความจริงพรั่งพรูจากปากเหมือนน้ำป่า “ซึงวานเป็นคนดี และเหมือนกับแม่ของฉัน เธอถูกสอนว่าการไม่มีลูกเป็นบาป... บาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้หญิงคนหนึ่ง ฐานะของซึงวานไม่แน่นอนกว่าฉันเสียอีก แร้งเฒ่าจากไปแล้ว และพี่ชายของเธอก็อยู่ในความควบคุมของพลเรือเอกซง ฉันไม่ได้พบซึงฮยอนอีกเลยหลังพิธีแต่งงาน ซึงวานก็เลย... ”
“มินโฮโอ่ว่าเขากำลังจะเป็นลุง หลังจากนายเซ็นรับรองลูกของเธอเป็นบุตรที่ชอบธรรม... ” ใบหน้าของร้อยตรีโอเผือดซีด “หมายความว่า... ”
ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำหยดหนึ่งจากกลีบซูซอนฮวาหยดลงบนโต๊ะไม้อัด “เด็กคนนั้น... เป็นลูกของไอ้ชาติจิ้งจอก”
มือของเซฮุนสั่นน้อย ๆ “ผู้ติดตามบยอนรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ยัง... มินโฮไม่ให้ฉันบอกเขา และฉันก็จำเป็นต้องทำอย่างนั้น หมอนั่นอาจทำร้ายแบคฮยอน... เมื่อไหร่ก็ได้”
ร้อยตรีโอเสมองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง แม้ไม่มีอะไรให้มองนอกจากเมฆก้อนใหญ่และส่วนยอดอันขมุกขมัวของตึกระฟ้าที่ไร้แสงไฟ แม่น้ำแทดงจับตัวแข็งตลอดทั้งสาย คล้ายงูเผือกตัวมหึมาทอดตัวเหยียดยาวกลางกรุงเปียงยาง ไม่ช้า นกกระสาหนุ่มก็หันกลับมาที่เตียงผู้ป่วย จ้องดูเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนถอนหายใจและลุกยืนขึ้น
เพียงอีกฝ่ายหันหลังให้ ชายหนุ่มร่างสูงก็โพล่งออกไป “อย่าทำเป็นอันขาดนะ เซฮุน”
อีกฝ่ายชะงักเพียงวินาทีหนึ่ง ก่อนหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “นายรู้จักฉันดีกว่าใครจริง ๆ ”
“นายไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” ชานยอลว่า “เท่านี้ก็โชคร้ายพอแล้ว มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยเถอะ”
“เพราะฉันถูกโยนไปโยนมา ไม่รู้เหนือใต้อย่างนี้แหละ ถึงต้องทำอะไรสักอย่าง” อีกคนหนึ่งโต้ “เดี๋ยวต้องแยกจากคนที่รัก เดี๋ยวถูกบังคับให้หักหลังนาย เดี๋ยวถูกส่งเข้าไปปั่นหัวนายถึงในที่ทำการพรรคแรงงาน แล้วก็ยังถูกโยนขึ้นศาลให้เป็นพยานเท็จ ฉันเล่นบทผู้ถูกกกระทำมามากเกินพอ ทั้งบนเตียงนอน ทั้งในชีวิตจริง ให้ฉันได้เป็นคนตัดสินใจบ้างเถอะ”
“อย่ามาพัวพันกับคนที่ต่ำช้าอย่างพวกเราทั้งหมดเลย”
“ต่ำช้า พวกนายทั้งหมดน่ะเรอะ” เซฮุนแค่นเสียง “ที่นี่ต่างหากที่ต่ำช้า ที่นี่... ที่สอนให้เราเห็นใครต่อใครเป็นผักปลา ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอง” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นเรื่อย ๆ “ผู้ติดตามบยอนเป็นผักปลาเพราะดิ้นรนจะหนีไป ซึงวานเป็นผักปลาเพราะเธอเป็นคนเดียวที่ท้องได้บนสังเวียนนี้! ฉันถูกกระทำเหมือนเป็นผักปลาเพียงเพราะรักนาย และเด็กคนนั้นก็ทำเหมือนพลเรือเอกปาร์คเป็นผักปลา... เพราะท่านเป็นพ่อของนาย” ร้อยตรีโอหันมาสบตาเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ตอบโต้กันและกัน เหมือนอีกฝ่ายไม่มีชีวิตจิตใจ ต้องมีใครสักคนหยุดมัน ตัดวงจรอุบาทว์นี่ ซึ่งไม่ใช่ฉัน... และเมื่อฉันไม่มีอำนาจจะทำได้ ก็ขอให้ได้เอาคืนด้วยวิธีของตัวเองเถอะ”
“อย่า! ” ร้อยเอกปาร์คคว้าแขนผอม ๆ ของอีกคนหนึ่งไว้ได้ทัน “นายไม่รู้หรอกว่าอันตรายแค่ไหน”
รอยยิ้มสุดท้ายที่เขาได้รับจากอีกฝ่ายเศร้าสร้อยเหลือเกิน “ถ้านี่จะเป็นอย่างเดียว... ที่ฉันสามารถทำได้ เพื่อชดเชยกับการที่เคยหักหลังหัวใจของนาย ชานยอล... ”
เขาได้นั่งตัวแข็งทื่อเมื่อร้อยตรีโอก้มลงและจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปาก เป็นจุมพิตที่xชืดเกือบจะไร้วิญญาณ ซึ่งแม้จะมีความทรงจำบรรจุอยู่ ก็เป็นความทรงจำที่เลือนรางทั้งยังปวดร้าวเหลือเกิน “ก็ให้มันเป็นของขวัญ สำหรับความรักครั้งใหม่ที่ทำให้หัวใจดวงนั้นกลับมาเต้นอีกครั้งเถอะ”
เซฮุนจากไปเสียนานแล้ว แต่เขายังนั่งอยู่ในท่าเดิม
น้ำอีกหยดหนึ่งหยดจากกลีบซูซอนฮวาสู่โต๊ะไม้อัด ช้ากว่าหยดแรกมาก
ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มร่างสูงประสานมือของตัวเองกับมือของผู้ให้กำเนิด ซบหน้ากับเตียงผู้ป่วยและร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป
เขาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะจากชั้นล่าง แบคฮยอนโงนเงนลุกขึ้น ศีรษะยังปวดร้าวกระทั่งขาทั้งสองอ่อนยวบ และเข่าก็คงจะกระแทกพื้นอย่างแรงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอี้ชิงพยุงไว้ได้ทัน
“เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มร่างเล็กถาม “ร้อยตรีซงใช่ไหม เขาพาจงแดกลับมาด้วยหรือเปล่า”
“ไม่ใช่... ” พ่อค้าของเถื่อนที่ชะโงกมองทางหน้าต่างขมวดคิ้ว “คนนี้ฉันไม่รู้จัก”
ได้ยินเสียงทหารยามด้านนอกตะโกนถาม เรียกร้องคำอนุญาตเช่นเดียวกับเมื่อเขากระเสือกกระสนไปที่บ้านของชานยอล แบคฮยอนแบะปากก่อนหลับตาลง คิดว่าไม่ช้าเสียงเหล่านั้นคงเงียบหาย แต่ผิดคาดเมื่อได้ยินเสียงที่ออกจะคุ้นเคยโต้ตอบอย่างใจเย็น และเสียงเปิดประตูรั้วดังเอี๊ยด
“เขาเข้ามาแล้ว... เขาเอาตราบางอย่างให้ทหารยามดู บอกว่าตัวเองเป็นคนของพลเรือเอกซง” อี้ชิงกระซิบ “ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของจุนมยอน เด็กนั่นกำลังจะลงไปพบเขา ฉันจะไปด้วย ไม่อยากให้จุนมยอนทำอะไรบ้า ๆ นายล่ะ... ”
“ฉันแค่อยากรู้ว่าใคร”
ด้วยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย เขาตะเกียกตะกายขึ้นเกาะที่ขอบหน้าต่าง ทันเห็นกลุ่มผมสีอ่อนและรูปร่างบอบบางพอ ๆ กับตัวเองผ่านสายตาไป ใบหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กบิดเบี้ยวขณะพูดกระชากเสียง
“ร้อยตรีโอเซฮุน” แบคฮยอนจดจำถ้อยคำยียวนและท่าทีคาดคั้นของอีกฝ่ายได้ขึ้นใจกว่าอะไร แม้ความทรงจำสุดท้ายที่มีต่อเซฮุนจะเป็นภาพที่อีกคนหนึ่งล้มพับไปในศาลก็ตาม “ฉันจะไม่ลงไปพบเขา ไม่อยากปวดหัวไปกว่านี้ นายลงไปแล้วกัน”
“แน่ใจนะ... เขาอาจนำข่าวที่น่าสนใจมา”
“เขาเป็นคนของพลเรือเอกซงมานานพอสมควรแล้ว ตั้งแต่ถูกส่งไปทำงานร่วมกับชานยอล” เขาว่า “ไม่ล่ะ... ฉันไม่พร้อมต่อการถูกปั่นหัว ไม่ว่าจากใครก็ตาม ขอบคุณนะอี้ชิง... ”
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ตลอดเวลาที่ร้อยตรีโออยู่ในบ้าน แบคฮยอนไม่ได้หลับตาลงเลย ผู้ติดตามจอมปลอมนอนกระสับกระส่าย มองฝ้าเพดานสีขาวมีคราบน้ำจับ พยายามเงี่ยหูฟังและเอาใบหูแนบกับพื้นห้องเป็นระยะ ๆ ทว่าไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงของการโต้เถียงที่ออกจะอู้อี้ และเสียงตะโกนเป็นครั้งคราว
จุนมยอนใจร้อนกว่าฉันมาก... เขาคิด ร้อยตรีนั่นได้ถูกตอกหน้าจัง ๆ หลายต่อหลายหนแน่
เมื่อเวลาผ่านไปชั่วโมงเศษ จึงได้ยินเสียงตึง ๆ กลับขึ้นบันไดมา เป็นพ่อค้าของเถื่อนนั่นเองที่กลับมาพร้อมกับน้ำขิงถ้วยหนึ่ง “ดีที่เขาติดอะไรที่จะเป็นประโยชน์มาด้วย ร้อยตรีโอเซฮุนกำลังจะไปแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ทำไม มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ฉันก็ไม่รู้จักอีกนั่นแหละ”
แบคฮยอนซึ่งแสร้งทำเป็นหลับหันกลับไป “ดี... หวังว่าจุนมยอนจะส่งแขกได้อย่างถึงใจ”
แต่จนแล้วจนรอดก็กลับไม่มีเสียงตึง ๆ ของจุนมยอนเมื่อกลับขึ้นบันไดมา ชายหนุ่มร่างเล็กดื่มน้ำขิงจนหมดก่อนหลับไปงีบหนึ่งพร้อมกับพ่อค้าของเถื่อน กระทั่งเวลาค่ำและอี้ชิงกลับลงไปอีกครั้งเพื่อทำอาหาร... ความจริงที่น่าหวาดหวั่นจึงถูกเปิดเผย
“แบคฮยอน! ” พ่อค้าของเถื่อนตะโกนอย่างร้อนใจจากชั้นล่าง “นายต้องมาอ่านนี่ เร็วเข้า! ลงมาเดี๋ยวนี้ เร็ว! ฉันอ่านภาษาเกาหลีไม่ออก! ”
เขาจึงร้องครวญครางพร้อมกับสะโหลสะเหลลงบันไดไป เพียงเพื่อในอีกไม่กี่นาทีจะตื่นเต็มตาและหัวใจกลับเต้นแรงด้วยความเป็นกังวลอีกครั้งเมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย
พี่แบคฮยอน
ร้อยตรีโอเซฮุนนำข่าวที่น่าสนใจมาบอก ลูกชายคนโตของแร้งเฒ่า ร้อยโทชเวซึงฮยอนยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งในความควบคุมของพลเรือเอกซง ผมไม่ได้อธิบายให้มิสเตอร์จางเข้าใจ เพราะท้ายที่สุดเขาจะห้ามผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ต้องการ
พี่จงแดไม่ควรต้องทำอย่างนี้ หัวใจของเขาบริสุทธิ์เกินกว่าผมจะทนเห็นมันแปดเปื้อนด้วยความรู้สึกผิดจากการคร่าชีวิต โดยเฉพาะการคร่าชีวิตที่มีผมเป็นต้นเหตุ ผมเสียใจ... และเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่ความวุ่นวายเกือบทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของผม ก็ให้คิมจุนมยอนรับผลของการตัดสินใจนั้นเองเถอะ
ร้อยตรีโอเซฮุนคือใบผ่านทางสุดท้ายที่จะทำให้เราเข้าถึงตัวพลเรือเอกซงได้ บ้านซงคิดว่าเขาไม่มีพิษสงและออกจะไว้ใจเขา ผมจะตามหาร้อยโทชเวซึงฮยอนให้พบ ให้เขารวบรวมกำลังทหารที่ยังภักดีต่อแร้งเฒ่าและยุติเรื่องทั้งหมด
อีกไม่นานจะมีโอกาสสำคัญ ผมจะเร่งมือให้ทันโอกาสที่ว่านั้น เมื่อไหร่ที่เกิดความวุ่นวายในหมู่ทหารยาม ขอให้พี่กับมิสเตอร์จางหนีไป และถ้าเป็นไปได้... ก็ช่วยพี่จงแดด้วย ทิ้งผมไว้เสียที่นี่ ผมจะตามไปถ้าทำได้
ผมรักพี่ แต่ไม่อาจเอาชนะความเกลียดชังในหัวใจได้อย่างพี่ ขอให้มันแผดเผาแต่ตัวผมเท่านั้น ไม่ใช่พวกเราทั้งหมด
และหากจะบางสิ่งที่ผมทำเพื่อพี่เป็นครั้งสุดท้ายได้ ก็คือการบอกความจริงที่ว่า ลูกในท้องของชเวซึงวาน ลูกสาวคนเล็กของแร้งเฒ่า ไม่ใช่ลูกของพี่ชาย
หวังว่าจะได้พบกันอีก
จุนมยอน
ความอบอุ่นจากน้ำขิงถ้วยสุดท้ายอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว แบคฮยอนจำเป็นต้องจับขอบโต๊ะไว้เพื่อพยุงร่างกาย เขาเกลียดความรู้สึกนี้เหลือเกิน ความรู้สึกที่แม้อยากกรีดร้องกระทั่งโลกทั้งใบหันกลับมาและมอบความยุติธรรมให้ ก็ทำได้เพียงจ้องมองออกไปข้างนอกอย่างเงียบงัน
“เกิดอะไรขึ้น เขาว่ายังไง” อี้ชิงถามอย่างร้อนรน “จุนมยอนอยู่ที่ไหน แบคฮยอน”
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไรหนอ จุดที่เบี้ยซึ่งอ่อนแอที่สุดบนกระดานแห่งอำนาจกลับแสวงหาหนทางเป็นหมากตัวสำคัญเพื่อปิดฉากการแข่งขันทั้งหมด ความบีบคั้นชนิดใดกันที่ห้อมล้อมพวกเขา การถูกกระทำอย่างถึงที่สุดอย่างนั้นหรือ... อาจใช่
ทั้งเซฮุนและจุนมยอนคือผู้ถูกกระทำอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากที่สุด ฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่ใครต่อใครมองข้าม สิ่งที่คิดว่าจะขยับโขยกได้ตามใจ โดยไม่รู้ว่าเมื่อจมลงในน้ำลึกอย่างสุดตัวกระทั่งเท้าแตะพื้นแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงจะมีกำลังถีบตัวเองกลับขึ้นไป...
“เราทำได้แค่รอ อี้ชิง”
แบคฮยอนพูดได้เท่านั้น เขาลืมใบหน้าของร้อยโทชเวซึงฮยอน หนึ่งในสามคู่ขับเคี่ยวระหว่างบ้านปาร์ค บ้านซง และบ้านชเวเสียแล้ว ทั้งยังลืมอีกฝ่ายไปในความวุ่นวายตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ใช่... เซฮุนพูดถูก ร้อยตรีโอไม่ได้หลอกลวงเด็กหนุ่ม ร้อยโทชเวเป็นกุญแจที่หายไป คือทายาทของแร้งเฒ่าที่มีอำนาจต่อรอง... ไม่ใช่ชเวซึงวาน
“จากนี้เราทำได้แค่รอ”
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้านับแต่เขากับแบคฮยอนพบกันครั้งสุดท้าย ทั้งยังสงบนิ่งคล้ายอากาศก่อนเกิดพายุใหญ่ ในความเงียบงันนั้น สมองของชานยอลเต็มไปด้วยคำถาม แม้ทุกคำถามจะลงเอยด้วยคำตอบว่า... พระเจ้าที่เขาไม่รู้จักไม่มีคำตอบจะให้ก็ตาม
อาการของพลเรือเอกปาร์คไม่กระเตื้องขึ้นเลยนับแต่วันที่เซฮุนมาพบเขาที่โรงพยาบาล และจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ติดต่อกลับมา ไม่ว่าการตัดสินใจของนกกระสาหนุ่มคืออะไร อีกฝ่ายก็ไม่ให้ชานยอลล่วงรู้ ร้อยเอกปาร์คจมลงสู่ทะเลแห่งความสงสัย ทุกคำถามในระยะเวลาไม่กี่เดือนท่วมทับเขา อะไรกันคือสิ่งที่ถูกต้อง อะไรกันคือสิ่งที่ผิด ชายหนุ่มร่างสูงควรจะทำอย่างไรต่อไป และจะมีชีวิตอยู่อย่างไรเมื่อหัวใจคล้ายจะกลายเป็นก้อนหินไปเสียแล้ว
“คุณไม่จำเป็นต้องดูแลฉัน” ซึงวานเคยบอกกับเขาอย่างนั้น “เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณ”
ชานยอลดูออกว่าเธอรู้สึกอึดอัดเมื่อเขาไปพบในเวลาเช้าที่โต๊ะอาหาร เล่นละครเป็นครอบครัวที่มีความสุข จูบที่ท้องของหญิงสาวแม้รู้ว่าที่อยู่ข้างในไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข โดยไม่อาจปริปากบอกความจริงกับใคร... กระทั่งกูยอน
ทุกคืนร้อยเอกปาร์คจะลงเอยในห้องพิเศษแห่งนี้ ขดตัวบนโซฟาและกว่าจะหลับลงได้ก็เกือบรุ่งสาง เอกสารในห้องทำงานที่ที่ทำการพรรคแรงงานให้ความรู้สึกน่าเบื่อหน่ายขึ้นทุกขณะ และแม้คยองซูก็สังเกตเห็น “ท่านเหม่อลอยบ่อย ๆ ” ต้นห้องของเขาว่า “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ทุกครั้งเขาจะตอบคำถามนั้นด้วยคำตอบเดิม แม้จะทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจก็ตาม “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ให้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับบ้านปาร์ค เข้าใจไหม คยองซู”
ความจริงจากโลกภายนอกกัดกร่อนจิตใจของเขากระทั่งเสียศูนย์ ถ้อยคำในประกาศของพรรคแรงงานไม่มีความหมายสำหรับชานยอลอีกต่อไป โกหกทั้งเพ บ่อยครั้งชายหนุ่มร่างสูงเผอเรอให้ความคิดนั้นถูกแสดงออกทางสีหน้า ที่นี่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย
“ไปหาตาและยายของผมที่แคซอง” ท้ายที่สุดเขาก็บอกกับจีซู กูยอน และคยองซูอย่างนั้นแม้ไม่รู้ว่าทำไม อาจเพราะความไม่มั่นคงอย่างปัจจุบันทันด่วนในชีวิต “อยู่ให้ห่างจากบ้านปาร์ค ให้ห่างจากครอบครัวฝ่ายพ่อของผม ตาและยายจะคุ้มครองพวกคุณได้ และแคซองก็สะดวกสบายพอ ๆ กับเปียงยาง” เพราะเป็นเมืองขนาดใหญ่ และยังเป็นเขตอุตสาหกรรมที่รุ่งเรืองด้วยนั่นเอง
ชานยอลตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ไม่เคยมีเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในห้องพิเศษ ตารางงานของเขาไม่มีอะไรแปลกใหม่ กระทั่งวันนี้...
“รู้แล้ว ผมจะรีบไป” ชายหนุ่มร่างสูงกรอกเสียงลงไปในสมาร์ตโฟน “บอกให้เขารออยู่ก่อน... คยองซู อ้อ... ”
อะไรบางอย่างทำให้เขาพูดอย่างนั้นออกไป
“คุณไม่ต้องไปด้วยหรอก กลับไปที่ห้องทำงานของผมเถอะ”
เขาปฏิเสธจีซูที่รับอาสาเป็นพลขับ ชานยอลเพียงแต่ขับรถยนต์ของตัวเองจากโรงพยาบาลไปยังจุดนัดหมาย คือแกซอนมุนซึ่งยังว่างเปล่าอย่างน่าเวทนา แตกต่างกระทั่งกับถนนสายเล็ก ๆ ในกรุงเทพมหานครที่เขาเคยสัมผัสแม้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม
ผู้นัดหมายเขามาถึงแล้ว ได้แก่นักข่าวชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่ง ร้อยเอกปาร์คเหลือบมองตราสัญลักษณ์สีแดงสดที่ข้างรถยนต์รูปร่างทันสมัยของคนเหล่านั้น ประกอบด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวสามตัววางเบียดเสียดกัน
“Here he comes. ” ( “เขามาแล้วล่ะ” ) ร้อยตรีซงพูดกับคนเหล่านั้นเป็นภาษาอังกฤษ “Captain Park Chanyeol’ll be your guide, Aw… Don’t frown, my Juliet! I’m still be your guide, though. ” ( “ร้อยเอกปาร์คชานยอลจะเป็นผู้นำทางพวกคุณ โอ๋... อย่าทำหน้างอซี่ จูเลียตของผม ผมยังเป็นผู้นำทางของคุณอยู่หรอกน่า” )
เมื่อมีผู้มาเยือนจากต่างชาติ โดยเฉพาะชาติซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศัตรู รัฐบาลจะให้เจ้าหน้าที่ในพรรคแรงงานเป็นผู้นำทางเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ เสมอ การเยี่ยมชมนั้นจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่ผู้นำทางจะมีน้อยกว่าหนึ่งคนไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการรับสินบนจากผู้มาเยือน ช่างคิดแท้ ๆ ให้ฉันกับหมอนี่เป็นผู้นำทาง ชานยอลอดแค่นหัวเราะในใจไม่ได้ รู้กันทั่วสินะว่าเราไม่ถูกกัน อย่างนี้ขืนใครคนหนึ่งรับสินบน อีกคนคงแจ้นไปฟ้องแทบไม่ทัน
วันนั้นไม่มีหิมะตก ไม่มีกระทั่งเมฆสีเทาที่มักปกคลุมเปียงยางอยู่เป็นนิตย์ ทว่ากลับไม่มีแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน ถนนซุงรีเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ไม่มีแม้เสียงนกร้องหรือเสียงของการจราจรในที่ห่างไกลออกไป นครหลวงอันผาสุกสถาพรแน่นิ่งราวไร้ชีวิต กระทั่งต้นไม้ทุกต้นก็นิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อน ลมไม่พัดเลยราวกับอยู่ใจกลางตาพายุขนาดใหญ่
“ร้อยเอกปาร์คชานยอลเป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของพวกเขา” เขาได้ยินมินโฮหันไปบอกล่ามของคนเหล่านั้น “พวกคุณเป็นแขกคนสำคัญ รัฐบาลสหรัฐอเมริกากับรัฐบาลของเรา... อาจมีความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีนัก เพราะอย่างนี้ ยิ่งต้องดูแลพวกคุณให้ดี ไม่ให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลงกว่าเก่า ใช่ไหม ชานยอล... ”
“อะไรก็ช่าง” ร้อยเอกปาร์คตอบอย่างไม่แยแส
ตลอดทางบนรถยนต์คันดังกล่าว เขาปล่อยให้ร้อยตรีซงเป็นฝ่ายเดียวที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ขณะที่ตัวเองนั่งเท้าคาง จ้องออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบงัน รถยนต์กระเทือนอย่างแรงครั้งหนึ่งกระทั่งนักข่าวหญิงส่งเสียงร้องแหลมอย่างตกใจ ก่อนดับสนิทที่ด้านหน้าด่านตรวจขนาดใหญ่บนสะพานโอกริว สะพานซึ่งครั้งเขาเคยชมดวงอาทิตย์ตกดินพร้อมกับอดีตผู้ติดตาม ก่อนให้คำสัญญาว่าจะให้อีกฝ่ายขี่คอเมื่อ...
“ชานยอล ลงไปดูหน่อย”
ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้ว ไม่เคยมีด่านตรวจบนสะพานโอกริวมาก่อน ชานยอลก้าวลงจากรถยนต์ ปิดประตูเสียงดังอย่างหงุดหงิด สะพานขนาดใหญ่ว่างเปล่าอย่างน่าประหลาด เดิมสะพานแห่งนี้เป็นไม่กี่แห่งในเปียงยางที่จะมีผู้คนคลาคล่ำเสมอ แต่วันนี้กลับเงียบเหงาจนวังเวงอย่างผิดสังเกต
“ยกมือขึ้น”
หัวใจของร้อยเอกปาร์คเต้นแรงขึ้น “ผม ร้อยเอกปาร์คชานยอล” ชานยอลตอบกลับนายทหารชั้นประทวนที่ต่างจ่ออาวุธมาที่เขาอย่างงุนงง “พวกคุณจะทำอะ... ”
แต่ก่อนที่จะอีกฝ่ายจะทันให้คำตอบ หรือก่อนที่เขาจะถามคำถามได้จบเสียอีก ร่างเล็ก ๆ ร่างหนึ่งตะเกียกตะกายขึ้นจากกระสอบทรายด้านหน้า แม้ใบหน้านั้นจะขะมุกขะมอมอย่างยิ่ง ชานยอลก็จำได้ว่าเป็นจุมยอน
“พี่ชาย! ” เด็กหนุ่มกรีดร้อง “ระวัง... นี่เป็นกับดักของร้อยตรีซง ที่นี่มีระ... ”
ไม่ทันขาดคำ เสียงกึกก้องก็ดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งของสะพานโอกริว และก่อนที่ร้อยเอกปาร์คจะทันกะพริบตา ร่างกายสูงใหญ่ก็ปลิวหวือ ปะทะขอบสะพานอีกด้านหนึ่งพร้อมกับกำแพงเพลิงสูงตระหง่าน
ระเบิดลูกนั้นทำงานเสียก่อนที่จุนมยอนจะพูดจบ
“อี้ชิง” แบคฮยอนพูดปากคอสั่น “ดูที่ทหารยามสิ”
หลายวันที่เขาเฝ้ามองจากทางหน้าต่าง ดูว่าจะเกิดเหตุการณ์พิเศษอะไรขึ้นอย่างที่จุนมยอนเขียนไว้ในจดหมาย กระทั่งวันนี้เองที่ทุกสิ่งกลับระเบิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน วันที่ไร้แสงอาทิตย์แม้ฟ้าโปร่ง วันที่ไม่มีหิมะตก ทว่าอากาศยังเย็นเยียบแม้ไร้ลมพัด
มันเริ่มจากการที่ทหารยามนายแรกได้รับข้อความจากวิทยุสื่อสาร จากนั้นนายอื่น ๆ จึงวิ่งพล่านราวกับมด ต่างตะโกนโต้ตอบกัน ท่าทีสับสน เหงื่อขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพดผุดขึ้นบนใบหน้าของทุกชีวิตในที่นั้น
“กระเป๋าของนายอยู่ที่ไหน” พ่อค้าของเถื่อนถามอย่างรีบร้อน “ใช่เวลานี้หรือเปล่า”
“ไม่ผิดแน่ เกิดอะไรบางอย่างขึ้น และเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ” มือของแบคฮยอนสั่น “เกิดอะไรขึ้นนะ... แล้วจุนมยอนอยู่ที่ไหน”
ลึกลงไป... เขามีอีกคำถามหนึ่งที่คาใจ ชานยอลล่ะ แล้วชานยอลล่ะ แบคฮยอนหวาดกลัว ถึงจะบอกตัวเองว่าร้อยตรีโอจะไม่ทำร้ายเขาก็เถอะ แต่ชานยอลอยู่ที่ไหน เขาปลอดภัยหรือเปล่า...
“แบคฮยอน ไม่มีใครอยู่ที่ประตูหลังบ้านแล้ว เร็วเข้า! ”
คนทั้งสองวิ่งหัวซุนลงบันได ก้มศีรษะลงต่ำ คลานผ่านประตูรั้วด้านหลังไปอย่างยากเย็น ได้ยินเสียงตะโกนที่ฟังดูสับสน เช่น “พลเรือเอกซงซอนบีเรียกระดมพล” และ “ลูกชายของท่านตกอยู่ในอันตราย” เสียงเหล่านั้นไม่มีความหมายเลยสำหรับชายหนุ่มร่างเล็ก กระทั่งคำบอกเล่าสุดท้าย
“ร้อยตรีซงมินโฮยังอยู่ในที่เกิดเหตุ ยังไม่มีใครนำร้อยเอกปาร์คชานยอลส่งโรงพยาบาล”
ก้าวของอดีตผู้ติดตามจึงชะงัก หัวใจเต้นแรงกระทั่งรู้สึกเจ็บปวด แบคฮยอนปลดกระเป๋าเป้ ส่งให้อี้ชิงก่อนรุนหลังอีกฝ่ายอย่างแรง
“ไปซะ! ” ชายหนุ่มร่างเล็กกรีดร้อง “ไปซะ ไปที่มูซาน ไปที่แม่น้ำ ฉันยังไปด้วยไม่ได้”
“แบคฮยอน... นี่เป็นโอกาสสุดท้าย”
“ช่างมัน” ผู้ติดตามจอมปลอมกลืนน้ำลาย “อีกสามวัน ถ้าฉัน จงแด หรือจุนมยอนไม่ไปพบ ก็ให้ข้ามไปได้เลย อย่ารอพวกเรา ไปซะ อี้ชิง! ”
พ่อค้าของเถื่อนท่าทางงุนงง อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือจากเขา กระทั่งแบคฮยอนออกแรงสะบัดครั้งสุดท้าย และทหารยามหลายนายสำเหนียกว่าประตูหลังของบ้านพักเปิดอยู่
“ไป... ”
ชายหนุ่มร่างเล็กกระซิบบอกอีกคนหนึ่งอย่างหมดความอดทน อี้ชิง... ซึ่งร่วมชะตากรรมกับเขามาตลอดหลายเดือน จึงหันหลังและวิ่งจากไปท่ามกลางอากาศขมุกขมัว
“พี่ชาย... พี่... ”
เมื่อเสียงวิ้งแหลมยาวในหูอันเกิดจากแรงระเบิดสงบลง ร้อยเอกปาร์คจึงได้ยินเสียงเล็ก ๆ ท่ามกลางเสียงปืนหลายนัดและเสียงกรีดร้องของนักข่าว “จุนมยอน นายใช่ไหม” ชานยอลถามออกไปท่ามกลางฝุ่นควันอันคลุ้ง “นายใช่ไหม อยู่ที่ไหน... ”
เพียงแต่เขาได้รับคำตอบก่อนหน้าที่อีกฝ่ายจะส่งเสียงเสียอีก เมื่อมือที่กวาดสะเปะสะปะไปบนพื้นสัมผัสถูกมือเย็นชืดของอีกคนหนึ่ง ชายหนุ่มร่างสูงจับมือนั้นไว้แน่น “เจอนายแล้ว... เจอนายแล้ว เอาล่ะ ทีนี้ก็... ”
ชานยอลต้องกลืนน้ำลายและใช้มืออีกข้างหนึ่งปิดปากอย่างกะทันหันเพื่อสะกดกลั้นเสียงร้องอย่างขวัญเสีย แรงระเบิดฉีกกระชากร่างกายส่วนล่างของเด็กหนุ่มจนเกือบแหลกละเอียด ประสบการณ์ในกองทัพสอนให้รู้ว่าเวลาของอีกฝ่ายเหลือไม่มากนัก ชายหนุ่มร่างสูงถลันเข้าใกล้ วางศีรษะที่เปรอะคราบเขม่าไว้บนตัก ก่อนตบที่แก้มของจุนมยอนเพื่อเรียกสติ และประทับมือข้างเดียวกันบนหน้าผากของอีกคนหนึ่ง เขาจะปิดตาคู่นั้นเสียเมื่อน้องชายบุญธรรมสิ้นใจ
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว” ร้อยเอกปาร์คปลอบโยน “ไม่รู้ว่านายจะให้ฉันเป็นพี่ชายจริง ๆ หรือเปล่า แต่พี่อยู่ตรงนี้แล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว จุนมยอน... ”
น้ำตาหยดหนึ่งปรากฏขึ้นที่หางตาพร้อม ๆ กับที่เลือดสีเข้มไหลซึมจากมุมปาก “ไม่ต้อง... เป็นห่วง” เด็กหนุ่มพูดกระท่อนกระแท่น “เป็นแผนการของ... ร้อยตรีโอ ผมกับเขา... พาร้อยโทชเวออกจากที่กักบริเวณ เขารวบรวม... ทหารที่ยังภักดีต่อแร้งเฒ่ามาที่นี่แล้ว เรารู้ว่า... ” จุนมยอนสำลักกระอักกระไอ “ร้อยตรีซงจะให้เกิดระเบิดขึ้นที่นี่ ป้ายสีพี่ชายว่าตั้งใจทำร้ายนักข่าวต่างประเทศ ตั้งใจให้พี่... พิกลพิการ และฐานะของพี่ชายจะยิ่งตกต่ำลง... ”
อาชีพนักข่าวเป็นอาชีพหนึ่งซึ่งท่านผู้นำคนก่อนให้ความสำคัญ เพราะเห็นว่าเป็นกระบอกเสียงซึ่งอาจป่าวประกาศได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แม้กับนักข่าวต่างประเทศก็ตาม การทำร้ายนักข่าว... ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด จึงอาจนำมาซึ่งโทษที่ใหญ่หลวงได้ทั้งสิ้น
“นายรู้ว่าจะมีระเบิด... ”
“ใช่... ร้อยตรีโอ กับร้อย... โทชเว เลือกวันนี้ เขาจะอาศัยจังหวะชุลมุน... กำจัดร้อยตรีซงแบบไม่มี... ความผิด อ้างว่าเป็นลูกหลง”
“ไม่ ที่พี่อยากรู้คือเมื่อนายรู้ว่าจะมีระเบิด... ” ชานยอลพูดเสียงดังขึ้น “แล้วจะออกมาจากที่ซ่อนทำไม”
รอยยิ้มของอีกฝ่ายบิดเบี้ยว กระนั้นก็เศร้าสร้อยเหลือเกิน “พี่แบคฮยอน... รักพี่ชาย และพี่ชายก็ยัง... ดีต่อผมอยู่มาก ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำ จะให้พี่ชายตายไปเฉย ๆ ไม่ได้... หรอกนะ”
“รักษาชีวิตของนายเถอะ”
“อย่าเป็นห่วงคนที่แม้แต่พ่อแท้ ๆ ยังไม่ต้องการเลย” เด็กหนุ่มพูดทั้งน้ำตา “ช่างเถอะ... อย่างน้อยผมก็ได้ใช้ชีวิตอย่างใจมาตลอด ไม่เหมือนพี่ชาย แม้แต่ความตาย... ยังเป็นการทำตามใจเลย สัญญานะ... ”
ชานยอลจับมือเล็ก ๆ นั้นไว้แน่นกว่าเก่า
“ช่วย... พี่จงแด เขาอยู่ที่บ้านของร้อยตรีซงมินโฮ ไม่ต้องเป็นห่วง... พี่แบคฮยอน เขารู้เวลาที่จะ... หนีไปแล้ว ช่วย... พี่จงแดด้วย” เด็กหนุ่มสำลัก “เขาไม่เคยเกลียดพี่ชาย... พี่จงแดไม่เคย... ”
“รู้แล้ว! รู้แล้ว จุนมยอน! เดี๋ยว! ”
ร้อยเอกปาร์คร้องลั่นคล้ายสัตว์บาดเจ็บเมื่อร่างกายของเด็กหนุ่มกระตุกอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนดวงตาเบิกโพลงเป็นประกายอันไร้ชีวิต เขาปิดมันลงอย่างรวดเร็ว ซบหน้ากับหน้าผากสกปรกอึดใจหนึ่ง ก่อนฉีกชายเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดของจุนมยอนติดมือมา
ยังมีเรื่องต้องทำ ชานยอลปลอบโยนตัวเอง ไป... ไปหาจงแด ไป... หยุดเรื่องบ้า ๆ นี่เสียที
เลือดของน้องชายบุญธรรมยังชุ่มโชกอยู่ในมือ แม้จะไม่เคยได้ใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะพี่น้อง และแม้ไม่มีศาสนา ถึงอย่างนั้น...
ร้อยเอกปาร์คสะกดกลั้นน้ำดีที่ถูกขย้อนขึ้นมาตามลำคออย่างสุดความสามารถ
น้องชายของเขาต้องมีที่ทางในการเดินทางสู่โลกหลังความตาย
“ร้อยเอกปาร์คชานยอลไม่อยู่ที่นี่ค่ะ ท่านเพิ่งจะออกไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว และยังไม่กลับมา”
“เป็นไปได้ไม่ได้” แบคฮยอนสั่นศีรษะอย่างรีบร้อน “อย่างน้อยให้ผมไปที่ห้องของพลเรือเอกปาร์คมินกู เขาอาจอยู่ที่นั่น”
“ไม่ได้นะคะ” พยาบาลปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาเยี่ยม และดิฉันไม่สามารถพาคุณไปได้เมื่อไม่ได้รับอนุญาต นี่คุณ... คุณ... เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณ! ”
แต่ชายหนุ่มร่างเล็กไม่ฟังเสียงเสียแล้ว เขาเพิ่งจะมองเห็นใครบางคนที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับคำถามของตัวเอง
พลเรือเอกซงซอนบีที่ใบหน้าเป็นสีแดงเข้มก้าวฉับ ๆ ผ่านไปด้านหน้า ผลักไสพยาบาลที่ส่งเสียงห้ามปราม แบคฮยอนถลันเข้าหา แม้ถูกขัดขวางด้วยบุรุษพยาบาลมากหน้าหลายตา ผู้ติดตามจอมปลอมยังดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้
เขามาที่นี่ทำไม... หัวใจของเขาตั้งคำถามอย่างหวาดหวั่น พ่อของมินโฮมาที่นี่ทำไม
อีกฝ่ายเดินลับหัวมุมทางเดินไปแล้วเมื่อเขาสลัดหลุดจากบุรุษพยาบาลคนล่าสุด ก่อนถูกรวบตัวไว้อีกด้วยแขนที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็ก แบคฮยอนดิ้นรน แทบจะส่งเสียงขู่แฟ่คล้ายแมวที่โกรธจัด เขากัด ข่วน และเตะทุกคนที่ขวางทาง กระทั่งเมื่อเท้าสัมผัสพื้นอีกครั้งจึงออกวิ่งโดยไม่หันไปมอง
เร็วเข้า เร็วอีก... ชายหนุ่มร่างเล็กเร่งเร้าตัวเอง เร็วอีก... เขาอยู่ไหนนะ อยู่ไหนนะ
ประตูห้องพิเศษเรียงรายคล้ายจะมีอยู่ถึงหนึ่งร้อยบานต่อชั้นด้วยอุปทานของแบคฮยอน เสียงฝีเท้าเปลือยเปล่าดังสะท้อนไประหว่างทางเดินแคบ ๆ ที่มีแสงไฟสลัวรางเหล่านั้น
อยู่ไหน... มินกู อยู่ไหน...
เขาหยุดชะงักเมื่อเห็นประตูบานหนึ่งเปิดทิ้งไว้ และได้ยินเสียงของการสำลักอย่างรุนแรงเล็ดลอดออกมา เมื่อถลันเข้าไปภายในก็พบภาพที่ทำให้สองมือเย็นเฉียบราวกับกลายเป็นน้ำแข็ง คือพลเรือเอกเขี้ยวลากดินที่ถูกถอดเครื่องช่วยหายใจและกำลังดิ้นรนอยู่อย่างทุรนทุราย
“พวกแกฆ่าเขา” พลเรือเอกซงที่สติสัมปชัญญะคล้ายจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกระซิบ “พวกแกฆ่าเขาแล้ว ลูกชายของแกกับคนรักผิดเพศของมัน ใช่ไหม... ใช่ไหม... มินกู”
น้ำเกลือในถุงหยดด้วยความเร็วที่น่าใจหาย ขณะที่พ่อของร้อยตรีซงยังคร่ำครวญ “ลูกชายคนเดียวของฉัน... ลูกชายคนเดียว” ซอนบีพูดด้วยน้ำลายที่ฟูมปากอย่างโกรธจัด “ลูกนอกไส้ของแก... ใครนะ ไอ้เด็กเวรนั่นกับโอเซฮุนหลอกฉัน ปล่อยลูกชายของแร้งเฒ่าไป เป็นแผนของชานยอลใช่ไหม ใช่ไหม! บอกมานะ! พวกแกฆ่าเขา พวกแกฆ่ามินโฮ พวกแกฆ่าลูกชายคนเดียวของฉัน! ”
ร้อยตรีซงเสียชีวิตแล้วหรือนี่... แม้จะเกลียดชังอีกฝ่ายอย่างสุดขั้วหัวใจ ดวงตาของแบคฮยอนยังแทบจะถลนจากเบ้าขณะยืนตัวแข็งทื่อ ไม่อาจขยับเขยื้อน กระทั่งพลเรือเอกซงชูปืนพกของตัวเองขึ้น และชี้ที่หน้าผากของมินกูอย่างมุ่งร้าย... “แก... แก... ตายเสียเถอะ”
“หยุดนะ! ”
เขาไม่เคยคาดฝันว่าตัวเองจะทำอย่างนั้นได้ โถมตัวใส่ซอนบีก่อนฟาดอีกฝ่ายที่ศีรษะด้วยแจกันที่เต็มไปด้วยดอกซูซอนฮวาสีเหลืองสลับขาวอันเหี่ยวเฉาอย่างแรง แจกันแตกกระจายพร้อมกับสติสัมปชัญญะของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ พลเรือเอกซงล้มตึง ขณะที่ชายหนุ่มร่างเล็กกระวีกระวาดสวมเครื่องช่วยหายใจกลับไป
“ไม่ต้อง อย่า... ” เพียงแต่มืออันอ่อนแรงของคนป่วยแตะที่มือของเขา “ไม่ต้อง... ฉันทรมานเหลือเกิน ไม่อยากทรมานอีกต่อไปแล้ว”
ใบหน้าของชายหนุ่มร่างเล็กเผือดซีด เป็นครั้งแรกที่มินกูพูดกับเขาอย่างสงบ ปราศจากท่าทีรังเกียจและประชดประชัน “ช่างเถอะ... ไม่ไหวแล้ว” อีกฝ่ายพูดอีกครั้ง “เป็นแกก็ดี... เป็นแกก็ดี บยอนแบคฮยอน”
เลือดไหลจากบาดแผลของอีกคนหนึ่ง หูของเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของบุรุษพยาบาลจากที่ไกล ๆ
“ตัดดอกพลัมให้คงซู และตัดดอกซานซูยูให้ดาจอง” มินกูพูดพร้อมกับการขย้อนเอาเลือดอันข้นเหนียวส่งกลิ่นชวนสะอิดสะเอียนออกมา “บยอนคงซูเป็นเพื่อน... เพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน และฮวังดาจองก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันรัก... บยอนแบคฮยอน”
“หมายความว่ายังไง” ชายหนุ่มร่างเล็กถามอย่างไม่เชื่อหู “ฉันไม่เข้าใจ”
“แกเป็นบูลซุน” อีกฝ่ายหมายถึงสายเลือดที่มีมลทิน หมายถึงเด็กที่เกิดจากชนชั้นศัตรู... อันหมายถึงชนชั้นล่างสุดในปัจจุบัน ผู้ที่เดิมอาศัยอยู่ใต้ขนานที่สามสิบแปด และจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่ปิตุภูมิแห่งนี้ด้วยเหตุผลต่างกัน “คงซูเป็นทหาร... จากฝั่งโน้น ฝั่งเสรีนิยมระหว่างสงคราม เขาเป็นหนึ่งในเชลยที่ถูกควบคุมตัว เราส่งเขา... ไปทำงานที่มูซาน ในเหมือง ฉันเองที่ควบคุมตัวเขาไป”
“แล้ว... ยังไง”
“ฮวังดาจองไม่ใช่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานีอนามัยแต่แรก เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉัน” มินกูว่าอย่างอ่อนแรง “แต่เพราะเธอรักมัน... แทนที่จะรักฉัน ฐานะของเธอจึงต่ำลงและกลายเป็นสามัญชน ดอกพลัมจะบานในเดือนมีนาคม... นั่นคือเดือนแต่งงานของพวกเขา และดอกซานซูยูจะบานในเดือนเมษายน นั่นคือเดือนที่ควรจะเป็นเดือนเกิดของแก แต่แกกลับคลอดหลังกำหนด”
ใช่... ถูกต้องอย่างที่สุด อีกฝ่ายรู้กระทั่งเดือนเกิดของเขาที่แม้แต่ชานยอลยังไม่รู้ “แกเป็นเพื่อนของเขา” แบคฮยอนกลืนน้ำลาย “แต่ก็ยังฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ”
บุรุษพยาบาลมาถึงหน้าประตูและส่งเสียงอุทานแล้วเมื่อพลเรือเอกปาร์คสำรอกความจริงสุดท้ายออกมา
“ฉันไม่เคยฆ่าคงซู” มินกูว่าพลางสะอื้นพลาง “แต่ฐานะของฉันจะตกต่ำลงเมื่อมีคนรู้ว่าสนิทสนมกับชนชั้นศัตรู พ่อของฉันต่างหากที่ทำให้เหมืองถล่ม เพื่อปกป้องฉัน แต่ใครจะชดใช้เรื่องนี้ได้ถ้าไม่ใช่ฉัน ในเมื่อพ่อของฉันตายไปแล้ว”
ความจริงนั้นผ่าความรู้สึกของชายหนุ่มร่างเล็กเป็นสองซีก แบคฮยอนล้มทั้งยืน ก่อนพ่อของชานยอลใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายตะโกนคำสารภาพออกมา
“ฉันไม่อยากให้ชานยอลข้องเกี่ยวกับแก... กับบูลซุน กับคนชั้นล่าง ชนชั้นศัตรูเพราะอย่างนี้ ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก ฝากขอโทษ... คงซู และฝากขอโทษอีซึล ขอโทษ... เด็กคนนั้น ฉันเมาและเห็นว่าเป็นดาจองถึงทำอย่างนั้น ฉันไม่รู้มาก่อนว่ามีลูกกับเธอ ไม่รู้มาก่อนว่าทิ้งลูกชายที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงไว้ และคงซูต้อง...รับผิดชอบเธอแทนฉัน” ลมหายใจของอีกฝ่ายแผ่วเบาลงทุกขณะ “แต่ฉันไม่เคยเกลียดแก... ไม่เคยเกลียด บยอนแบคฮยอน ฉันเกลียดลูกของดาจองไม่ลงหรอก เพราะฉันรักเธอเหลือเกิน ฉันรัก... ”
ตอนนั้นเองที่พลเรือเอกปาร์คสิ้นใจ
ห้องนั้นอื้ออึงด้วยเสียงปี๊บแหลมยาว แบคฮยอนปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น บุรุษพยาบาลมองเขาสลับกับร่างที่พลิกคว่ำพลิกหงาย ครวญครางอย่างกระสับกระส่ายด้วยความเจ็บปวดของพลเรือเอกซง ชายหนุ่มร่างเล็กละล่ำละลักออกไป “ไม่ใช่ผม... ” เขากระซิบ “ผมเพียงแต่พยายามช่วยชีวิตเขา คุณจะดูจากกล้องวงจรปิดก็ได้ แต่เร็วเข้า ผมต้องรีบไป”
เพราะตอนนั้นเองที่แบคฮยอนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด... ว่าความเกลียดของเขาไม่เคยมีอยู่จริง
ผู้สร้างความเจ็บปวดทั้งหมดนอนเน่าเปื่อยอยู่ใต้พื้นดิน แล้วเขาเล่า... มีสิทธิ์อะไรจะเอาผิดจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมินกูหรือชานยอล
“ผมต้องไปหาเขา” ชายหนุ่มร่างเล็กบอกเสียงแห้ง “เร็วเข้า ผมต้องหาร้อยเอกปาร์คชานยอลให้พบ”
สายตาของจงแดทำให้เขาปวดร้าวยิ่งขึ้น เมื่อชานยอลปล่อยอีกฝ่ายจากที่คุมขัง อดีตคนรักของแบคฮยอนเพียงแต่มองเขาเงียบ ๆ อึดใจหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ดวงตาคู่นั้นสับสน จงแดดูเหมือนที่คนที่อาจจ้วงแทงเขาด้วยมีดเดี๋ยวนั้น หรือร้องไห้คร่ำครวญต่อหน้าเขาก็ได้
“จุนมยอนตายแล้ว” เขาส่งผ้าเปื้อนเลือดผืนที่กำมาด้วยให้ “แบคฮยอนกับอี้ชิงหนีไปแล้ว... ส่วนนาย... ไปซะ”
“แค่บอกฉันว่านายไม่ได้ฆ่าเขาก็พอ”
ร้อยเอกปาร์คสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบอีกฝ่ายอย่างสงบ “ไม่ใช่ฉัน สาบานได้ จงแด” ชานยอลบอก “นายรู้จักฉัน ได้โปรดเถอะ... ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่สั้นเอามาก ๆ ก็ตาม”
อดีตคนรักของแบคฮยอนหลุบตาลงต่ำในที่สุด “หวังว่านายจะปลอดภัย และขอบคุณที่เป็นตอนนี้ ฉันจะได้ไม่ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” จงแดรับผ้าเปื้อนเลือดจากมือเขาไป “ขอบคุณสำหรับผ้าผืนนี้ ฉันจะเป็นคนไปส่งเขาเอง อ้อ... ”
เขาหันไปมอง เช่นเดียวกับอีกคนหนึ่งซึ่งหันกลับมามองชายหนุ่มร่างสูงด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
“ขอให้โชคดีนะ... ซอนยอล”
ชื่อนั้นทำให้หัวใจของเขาหย่อนยวบลงด้วยความเจ็บปวด แม้จะไม่มีเวลาสำหรับความอ่อนไหวมากนัก ร้อยเอกปาร์คออกแรงรุนหลังจงแด ซึ่งหายลับไปในความหม่นมัวแห่งวันในไม่ช้า เขาต้องกลับไปที่บ้าน และไปเดี๋ยวนี้... ชานยอลรู้เท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงไม่เป็นกังวลเกี่ยวกับกูยอน คยองซู หรือจีซูที่เข้มแข็งนัก จะห่วงก็แต่แม่ของเขาที่ยังอาศัยอยู่อย่างหวาดผวาในบ้านหลังเดิม
กว่าจะถลันกลับไปถึงบ้านก็มีรถยนต์คันหนึ่งจอดอยู่แล้ว ประตูรถยังเปิดกว้าง มองเห็นรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าสู่ตัวบ้านซึ่งประตูเปิดแง้มไว้ หัวใจของร้อยเอกปาร์คเต้นแรงกว่าทุกครั้งในชีวิต
“แม่! ” ชานยอลตะโกน “แม่! อยู่ที่ไหน! ”
คำตอบรอเขาอยู่แล้วที่โถงทางเดิน พลเรือเอกซงยืนโงนเงนอยู่กับหญิงวัยกลางคนที่นอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่แทบเท้า ภาพนั้นให้คำตอบอย่างเผด็จการ เป็นคำตอบเดียวไม่อาจบิดพลิ้วได้อีก
“แม่! ” เสียงของเขาคล้ายจะแตกสลาย “แก... แม่... ทำอะไรแม่! ”
ซอนบีหันกลับมาไวกว่าการกะพริบตา เพียงแต่ภาพนั้นกลับช้าลงอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นนกปืนและนิ้วของพลเรือเอกซงที่แตะยังไกปืน ชานยอลยืนตัวแข็งทื่อ กระทั่งกระสุนระเบิดจากปืนพกของอีกคนหนึ่ง พุ่งตรงมาที่ขั้วหัวใจของเขาอย่างแม่นยำ
“ชานยอล! ระวัง! ”
กระสุนกระทบต้นเสาด้านหลัง ใครคนหนึ่งโถมตัวใส่เขาทันเวลา ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงกลิ้งไปบนพื้นหินอ่อนเยียบเย็น ก่อนฉุดให้ยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและกอดไว้แน่น
“แบคฮยอน แบคฮยอน... ” ชานยอลกระซิบอย่างคนที่สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “มาทำอะไรที่นี่... มาได้ยังไง”
“อย่าเพิ่งถาม ฉันมาไม่ทัน” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดแทบไม่เป็นภาษา “ฉันผิดเอง... ฉันไม่ได้ฆ่าเขา เห็นเขาขับรถคันนั้นออกจากโรงพยาบาลตอนที่ฉันวิ่งมา ฉัน... ฉัน... ”
ปืนพกของซอนบีส่งเสียงคำรามอีกครั้งก่อนแบคฮยอนพูดจบประโยค ร้อยเอกปาร์คผลักผู้ติดตามไปอีกทางหนึ่ง พลเรือเอกซงไม่พูดอะไร ไม่เลย... กระทั่งคำเดียว ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างแทบตลอดเวลา ราวกับเสียสติไปแล้ว
“ซงมินโฮตายแล้ว” แบคฮยอนกรีดร้องจากอีกฟากหนึ่งของโถง “เขาตายแล้ว และพ่อของนายก็จากไปแล้วเพราะเขา ไปจากที่นี่ ชานยอล... ไปจากเรื่องนี้”
“นายนั่นแหละที่ต้องไป! ”
แบคฮยอนหมอบลงทันเวลากับที่ปืนกระบอกนั้นแผดเสียง ร้อยเอกปาร์คกระโจนเข้าโรมรันกับซอนบี มองไม่เห็นว่ามือของใครเป็นมือของใคร ตาขาวของอีกคนหนึ่งมีเส้นเลือดแผ่กระจายอยู่ บอกภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติ พลเรือเอกซงกัดฟันแน่นกระทั่งมองเห็นสันกรามเป็นแนวเส้นตรงอันคมกริบ กำลังของอีกฝ่ายมากอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าชายวัยกลางคนคนหนึ่งจะทำอย่างนั้นได้
ฉับพลันนั้นเองที่เขาได้กลิ่นอันแปลกประหลาด ชานยอลชะงัก คู่ต่อสู้จึงออกแรงผลักเขากระทั่งหงายหลัง ก่อนกระโจนตามลงมา ร้อยเอกปาร์คยกมือทั้งสองขึ้น กันไว้ด้วยพละกำลังทั้งหมด
“ชานยอล” สุ้มเสียงกระวนกระวายของชายหนุ่มร่างเล็กยืนยันข้อสงสัยของเขา “มีแก๊สรั่ว... แก๊สรั่ว... อย่าให้เขายิงปืนอีก”
เพราะเมื่อแก๊สหุงต้มรั่วแล้วนั้น แม้ประกายไฟเพียงน้อยนิดก็อาจก่อให้เกิดการระเบิดได้ กระทั่งการปิดหรือเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยเอกปาร์คไม่รู้ว่าที่แก๊สรั่วนั้นเป็นเพราะความจงใจของซอนบีหรือความบังเอิญ ทว่าเมื่อสบตาอีกคนหนึ่งอีกครั้ง เขาก็ได้คำตอบแทบจะในวินาทีเดียวกัน
พลเรือเอกซงไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป...
และนั่นเองคือผลลัพธ์ของการห้ำหั่นกันและกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา
จากสามตระกูลที่มีอำนาจล้นฟ้า กำลังจะถูกกวาดล้างจนเหี้ยนเตียนในวันเดียวอย่างนั้นหรือ ชานยอลแค่นหัวเราะในใจ แน่ล่ะ... ก็พวกเราตีเข้าที่ขนดหางของงูอย่างจังนี่นา
เพราะการห้ำหั่นของพวกเขาได้ทำร้ายคนมากมายอย่างถึงพริกถึงขิงแล้วต่างหาก ท้ายที่สุดเบี้ยที่อ่อนแอกว่าใครเพื่อนก็กลับรวบรวมกำลังพลิกทั้งกระดาน กวาดเอาหมากที่สำคัญกว่าตกกระทบพื้น แตกบิ่นไม่เหลือชิ้นดี
“อย่ายุ่งกับแบคฮยอน” ชายหนุ่มร่างสูงกัดฟันพูด “ฆ่าทุกคนในครอบครัวของผมแล้วนี่ ถ้าฆ่าผมสำเร็จล่ะก็ พอเสียที ปล่อยเขาไป”
อีกฝ่ายไม่ตอบ มีแต่เสียงคำรามราวกับสัตว์ป่า
“ร้อยตรีซงมินโฮ! ” จู่ ๆ แบคฮยอนก็ร้องเสียงแหลมขึ้น “ร้อยตรีซงมินโฮยังไม่ตาย! ”
ได้ผล... ซอนบีชะงัก เปิดโอกาสใช้ชานยอลถีบเข้าที่หน้าท้องอย่างแรงและปล่อยมือจากปืนพกซึ่งเขากำไว้แน่น อีกคนหนึ่งซวดเซลุกขึ้น คลานเข่าเปะปะไปมาบนพื้น “ระวัง! ” ชายหนุ่มร่างเล็กแผดเสียง เพียงแต่สายไปเสียแล้ว พลเรือเอกซงคว้าปืนพกทูลา-โทกาเรฟของชายหนุ่มร่างสูงที่ตกอยู่กับพื้นได้ และโดยไม่ลังเลเลย อีกคนหนึ่งสับนกปืน ชี้มาที่ชานยอล แม่นยำอย่างไม่ต้องสงสัย รวดเร็วเกินกว่าจะหลบได้ทัน
“ชานยอล! ”
ด้วยสันชาตญาณ เขาลืมคำเตือนของอดีตผู้ติดตาม ชายหนุ่มร่างสูงชี้ปากกระบอกปืนไปที่อีกฝ่าย คนทั้งสองสบตากันอย่างมุ่งร้ายเพียงเสี้ยววินาที แล้วจึงเหนี่ยวไกพร้อมกัน
กำแพงเพลิงระเบิดจากครัวและลามเลียทุกส่วนของห้องโถง ลูกชายคนเดียวของพลเรือเอกปาร์คทันเห็นแบคฮยอนผงะถอยขณะที่ยังร้องเรียกชื่อเขาราวจะขาดใจ ปืนพกในมือชานยอลร่วงผล็อย ร้อยเอกปาร์คไม่มีโอกาสกระทั่งจะบอกลา...
ออกซิเจนในอากาศถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว ชานยอลยกแขนข้างหนึ่งขึ้นอย่างอ่อนล้า แต่ก็ทำได้เพียงเท่านั้น ก่อนทรุดฮวบลงท่ามกลางทะเลเพลิง สติสัมปชัญญะและลมหายใจถูกพรากไปอย่างรวดเร็ว
ขอให้นายมีความสุข... ขอให้นายมีความสุข...
ริมฝีปากของเขาขยับได้เท่านั้น ก่อนดวงตาทั้งสองปิดลงสนิทคล้ายจะไม่เปิดขึ้นอีกเลย
#ฟิคเปียงยาง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กินจุดแบบจุดจุดจุด คือโล่งใจที่ไม่ใช่ลูกของชานยอลจริงๆ แล้วอะไรอีกเนี่ย จิ้งจอก-จริงมินโฮ สมควรกับสิ่งที่ทำ สิ่งที่เสียดายคงจะเป็นไม่ได้เห็นวาระสุดท้ายของมันนี่ล่ะ เล่นไล่บี้ให้คนๆ หนึ่งเป็นหมาจนตรอก ถูกล่ะที่ทุกอย่างจะพังพินาศ แต่คือชานยอล แบคจะมีความสุขยังไงวะ ถ้าตายก็ฟื้นขึ้นมานะเว้ย! นายยังไม่ทันได้มีความสุขจริงๆ ซะทีเลยนะ T-T
ไอ่เชี้ยมมมมมมมมมมมมม
จุนมยอนม้างงงงงงงงงงงงงงงงแง้งงงงงงงงงง
เรียกน้ำตาสุด จุนมย๊อนนนนนนนนนนนนนนนนนน