ตอนที่ 24 : L O N E W O L F | Tears are the last gift of love.
? cactus
Chapter 19
Tears are the last gift of love.
(น้ำตาคือของขวัญชิ้นสุดท้ายในความรัก)
เขารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อเข่าทั้งสองกระทบพื้น
“เขาจะไม่แต่งงาน” แบคฮยอนแทบจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของตัวเอง “ชานยอลจะไม่แต่งงานหรอก เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้เล่า” ร้อยตรีซงพูดกลั้วหัวเราะ “ลูกชายคนเดียวของพลเรือเอกปาร์คมินกู ถูกทำให้เสียหน้าในงานเฉลิมฉลอง รอนแรมไปกับคนที่ตัวเองไม่เคยรู้จัก และกลับถึงบ้านหลังพบว่าไม่มีอะไรให้หวังในชีวิตนอกจากการลับเขี้ยวเล็บของตัวเองให้คมยิ่งขึ้น”
พ่อค้าของเถื่อนพึมพำ “พูดอะไรให้เข้าใจง่ายหน่อยได้ไหม”
มินโฮหันขวับไปทางอี้ชิง “ไม่รู้หรอกว่าชานยอลทำอย่างนี้เพราะอะไร สยบข่าวลือที่ว่าผิดเพศ จับมือกับพลเอกชเว หรือทั้งสองอย่าง” อีกฝ่ายอธิบาย “แต่เขาจำเป็นต้องทำอย่างนี้แน่ล่ะ ฉันบอกว่าต้องการหัวของแร้งเฒ่าและมินกูเชียวนะ! จะรู้ได้ยังไงว่าคนที่รักจะไม่เลือกทางนี้ จะไม่เลือกเก็บพ่อของเขาที่มีชนักติดหลัง เมื่อครั้งหนึ่งนายใช้หินก้อนนั้นเพื่อทำอย่างเดียวกันกับเขาที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาแล้ว”
“ฉันยังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“อ้อ... ยอมรับแล้วซี่”
“ฉันยังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าไม่ควรทำอย่างนั้น” แบคฮยอนกระชากเสียง “และถ้าฉันกลับไปบอกตัวเองเมื่อแปดปีที่แล้วได้ ฉันจะบอกว่าปล่อยมือจากเรื่องนี้เสียเถอะ อย่ามาที่เปียงยาง ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม อย่ารับข้อเสนอของแร้งเฒ่า อย่าคิดว่าความตายของพ่อจะโปร่งใสและได้รับการชดใช้ ประเทศเวรนี่หมดหวังแล้ว แค่เก็บหอมรอมริบแล้วหนีไปซะ! ”
“แต่นายจะไม่ได้พบชานยอลนะ”
“ไม่เห็นเป็นไร”
“หลังจากรู้ว่าเขากำลังจะแต่งงาน การมีหรือไม่มีชานยอลดูจะ ‘เป็นอะไร’ บางอย่างสำหรับนายนี่”
ชายหนุ่มร่างเล็กสะอึก แบคฮยอนก้าวถอยหลัง “รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจะเป็นอย่างนี้” เขาถามอย่างอดกลั้น “รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าชานยอลจะต้องแต่งงาน”
มินโฮยักไหล่ “ใครก็รู้ว่าพลเอกชเวพร้อมจะยกลูกสาวใส่พานถวายชานยอล... ไม่ก็ฉันทุกเมื่อ ระหว่างเรามีแต่เขาที่มีลูกสาวนี่นะ ทำให้อะไร ๆ ง่ายเข้า”
“แกไม่คิดจะช่วยเขาแต่แรก”
“ทำไมจู่ ๆ เกิดโง่ขึ้นมาล่ะ คนสวย! ” ร้อยตรีซงระเบิดเสียงหัวเราะ “ก็จริงอยู่ ฉันพยายามช่วยชานยอลในการว่าความคราวนั้นเพราะเห็นว่าจะเขี่ยแร้งเฒ่าตกจากกระดานได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ปลาที่ว่ายตามน้ำมีอายุยืนยาวเสมอ ชานยอลจะกลับไปที่บ้านและจับมือกับพลเอกชเว เป็นโอกาสดีสำหรับฉันที่จะกำจัดทั้งคู่ ขอโทษนะ... ไม่คิดจริง ๆ ว่าครั้งหนึ่งนายพยายามฆ่าเขา! เซอร์ไพรส์! ยิ่งทำให้ชานยอลผลุนผลันกลับไปเร็วกว่าที่หวัง ร่วมมือกับพวกนายนี่ได้มากกว่าเสีย! เป็นคนที่เหนือความคาดหมายจริง ๆ นะ บยอนแบคฮยอน”
“พอได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว” เป็นจงแดที่ตอบโต้เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาปราศจากสีเลือด “เราจะไปที่ร้านตัดเสื้อ พอใจแล้วใช่ไหม เราจะทำอย่างที่นายว่า เพราะฉะนั้นไปได้แล้ว”
“ไม่มีผู้ชายที่ดีกว่านายแล้วในโลก คิมจงแด ปกป้องคนที่หักหลังความตั้งใจของพวกนาย รวมถึงหัวใจของนายด้วย”
“ยังมีเรื่องที่นายไม่เข้าใจอีกมากเกี่ยวกับความรัก ฉันอาจโง่เหลือเกินที่ทำอย่างนี้ แบคฮยอนอาจโง่พอ ๆ กันที่ทำอย่างเดียวกันกับชานยอล และหมอนั่นอาจโง่ยิ่งกว่าที่ดันทุรังทำอย่างนี้กับแบคฮยอนทั้งที่รู้สถานะของตัวเองดีอยู่แล้ว”
ร้อยตรีซงปรบมือให้และแสร้งปาดน้ำตาอย่างล้อเลียน “ร้านตัดเสื้อ แล้วฉันจะมารับ” อีกฝ่ายว่าเท่านั้นก่อนสะบัดมือ จากนั้นจึงโค้งให้อย่างมากท่า และเมื่อจะไปจากบ้านพักนั้นก็หันกลับมาพูดกับช่องว่างระหว่างประตูกับบานพับที่กว้างเท่ากับกระดาษแผ่นหนึ่งว่า
“และน้องชายของพวกนายก็ทำให้ฉันประหลาดใจได้ยิ่งกว่า ขอบคุณนะ”
“จุนมยอนอยู่ที่ไหน! ”
ได้ยินเสียงประตูปิดแทนคำตอบ แบคฮยอนกรีดร้องอย่างสุดกลั้นและปาชามอาหารเช้าไล่หลังอีกฝ่าย มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อให้เกิดเศษกระเบื้องคมกริบที่ปลิวว่อน ชายหนุ่มร่างเล็กหอบหายใจ ความโกรธท่วมท้นถึงคอหอย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทสะนี้ควรตกเป็นของใคร เขาเองที่ก้าวเข้ามาอย่างเต็มใจเมื่อแปดปีก่อน จงอินที่ยุยงส่งเสริม จงแดที่ให้ท้าย จุนมยอนที่บ้าบิ่นและเคียดแค้น สามนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไร้เมตตา ชานยอลที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ...
หรือแผ่นดินแห่งความโกลาหลที่ปกคลุมด้วยเงาแห่งความอยุติธรรม
“จุนมยอนอยู่กับเขาแน่” จงแดสรุปเมื่อเห็นว่าอาการหอบหายใจของเขาสงบลงแล้ว “เขาเสียใจมาก และยังเด็กมาก ก็เหมือนนายเมื่อแปดปีที่แล้วนั่นแหละ”
“ต่างกันที่บ้าบิ่นกว่ามาก” อี้ชิงส่งเสียงงึมงำ “ให้ตายสิ นายที่ดั้นด้นถึงเปียงยางด้วยตัวคนเดียวและพยายามฆ่าเขาที่ถนนซุงรีก็ทำให้ฉันประหลาดใจมากแล้ว เด็กนั่นทั้งมีโรคประจำตัว ทั้งทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังกว่ามาก จุนมยอนตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ รู้หรือเปล่า... ”
“ไม่มีใครรู้หรอก”
ดูเหมือนคนทั้งสองจะเห็นตรงกันว่าปล่อยเขาไว้ลำพังเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด ไม่ช้าทั้งพ่อค้าของเถื่อนและอดีตคนรักก็หันหลังให้อย่างเงียบ ๆ เพื่อจะจากไปยังห้องนอนของใครของมัน เพียงแต่ก่อนที่จงแดจะคล้อยหลังไปนั้น ชายหนุ่มร่างเล็กหันกลับไปและถาม
“ที่พูดอย่างนั้นหมายความว่ายังไง”
อีกฝ่ายหันกลับมาและเลิกคิ้ว “ที่พูดอย่างไหน”
“ที่ว่าไม่ว่าฉัน นาย หรือชานยอล ก็โง่เหลือเกินที่ปกป้องอีกคนหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา”
“นายเคยฉลาดกว่านี้นะ” รอยยิ้มของอดีตคนรักให้ความรู้สึกเยาะหยันคล้ายร้อยตรีซงอยู่อึดใจหนึ่ง เพียงแต่เป้าหมายของการเยาะหยันนั้นไม่ใช่เขา แต่เป็นเจ้าของรอยยิ้มเอง “นายเสียใจเหมือนจะเป็นบ้า ตอนที่รู้ว่เขากำลังจะแต่งงาน ไม่ว่าใครที่โง่กว่าฉันก็น่าจะรู้แล้ว... ”
“จงแด ฉันไม่... ”
“มีประโยชน์อะไรกับการถนอมน้ำใจกันด้วยการโกหกล่ะ แบคฮยอน” อีกฝ่ายตอบอย่างขมขื่น “ฉันก็แค่โชคร้ายนิดหน่อย ชานยอลโง่พอที่จะปกป้องนาย พอ ๆ กับที่นายโง่พอที่จะปกป้องเขา ฉันเองก็โง่พอที่จะปกป้องนายเหมือนกันกับเขา เพียงแต่นายไม่โง่พอที่จะทำอย่างเดียวกันกับฉัน... ก็เท่านั้นเอง”
“พูดอะไรอย่างนั้น ฉันพร้อมจะปกป้องนายนะ”
“แต่ด้วยความทุ่มเทที่ต่างกัน” จงแดว่าพลางชี้ไปที่ชามอาหารเช้าซึ่งแตกกระจายอยู่ใกล้กับประตู “ให้มันแตกดีกว่า เหมือนชามใบนั้น ฉันจะไม่ใช้ชามที่ร้าว เพราะไม่รู้ว่าชามที่ว่าจะปริจากกันและบาดมือเข้าเมื่อไหร่ ให้มันแตก... ให้รู้ว่าต่อให้ติดไม่ได้ เราจะได้ทิ้งมันไปเสีย หรือตัดใจทิ้งไม่ลง ก็จะได้ถูกเศษกระเบื้องตำเท้าให้สำนึกเอาบ้าง อย่างน้อยบาดเท้า... ก็ดีกว่าบาดมือ ไกลหัวใจกว่า และก็อาจเจ็บปวดน้อยกว่า เพราะที่ถูกบาดเอาก็เพราะความโง่งมของเราเท่านั้น ไม่ใช่ถูกบาดเข้าที่มือ เพียงเพราะหลอกตัวเองว่าชามใบนั้นยังใช้การได้”
แบคฮยอนอ้าปากจะโต้แย้ง เพียงแต่อีกคนหนึ่งไม่สนใจเสียแล้ว และแม้จะเป็นอย่างนั้น เขาก็รู้แก่ใจว่าจงแดพูดถูก ไม่ผิดเลยแม้ประโยคเดียว
ความรักก็น่าชิงชังอย่างนี้ ไม่รู้จักกาลเทศะและไม่มีศีลธรรม เปลี่ยนแปลงง่ายกว่าคลื่นในทะเล และยังเปราะบางกว่าแก้วเจียระไน แบคฮยอนไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะต่อคนที่อ่อนโยนเหลือเกินและมีบุญคุณต่อเขา ถึงอย่างนั้นก็จำเป็นต้องยอมรับ ว่าความรักอย่างเด็ก ๆ ของเขากับจงแดจบลงแล้ว ความรักที่สวยหรูราวกับเรื่องในนิทาน คำสัญญาระหว่างเด็กหนุ่มสองคนที่ว่าจะอยู่เคียงข้างกัน ถูกทำลายลงอย่างง่ายดายด้วยความห่างเหินนานหลายปี ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่า และประสบการณ์ที่ถึงเป็นถึงตายกว่า เรามักเลือกสิ่งที่จับต้องได้ในท้ายที่สุด และสิ่งที่จับต้องได้มากที่สุดในเวลานี้สำหรับเขา... คือชานยอล
อย่างน้อยก็ขอให้ฉันแน่ใจว่าไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้ความรับผิดชอบ แบคฮยอนคิดขณะคุกเข่าลงด้านหน้าประตูบ้านพัก ขอให้ฉันแน่ใจว่าได้ทำอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเราจนวันนี้ วันที่จงแดไม่ต้องการมันอีก
เขานึกถึงการผลักไสอดีตผู้บังคับบัญชาตลอดหลายครั้งที่ผ่านมา ทั้งหมดก็ด้วยความรู้สึกนั้น เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันอย่างนี้ แบคฮยอนหวังว่าวันหนึ่งเมื่อเส้นทางของร้อยโทปาร์คแยกจากเส้นทางของเขาโดยสมูบรณ์ จะไม่มีใครต้องเจ็บปวดอีกไม่ว่าจะเป็นตัวเอง จงแด หรือชานยอล
น่าขันที่ยิ่งอยากให้ทางทั้งสองนั้นแยกจากกัน เขายิ่งถูกโชคชะตาจับพลัดจับผลูให้ร่วมหัวจมท้ายกับชานยอลอยู่เรื่อย ๆ เพียงเพื่อวันหนึ่งเมื่อคนทั้งสองจวนจะหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทางนั้นกลับถูกฉีกกระชาก ห่างเหินจากกันอย่างง่าย ๆ
หยดเลือดสีแดงสดปรากฏบนเศษข้าวต้มเละ ๆ ก่อนแบคฮยอนจะทันรู้ตัว
ชามใบนั้นบาดมือเขาเสียแล้ว
สูทที่มินโฮให้ร้านประจำของตัวเองตัดให้คนทั้งสามทำจากผ้าเนื้อดีที่สุดเท่าที่แบคฮยอนเคยสัมผัส เป็นสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องทะเลส่วนที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง ขณะที่ของจงแดและอี้ชิงเป็นสีดำ ไม่รู้ว่ามีเหตุผลอะไรเบื้องหลังสีสันเหล่านั้น เพราะนับแต่การรับรู้ว่าอดีตผู้บังคับบัญชาจะร่วมพิธีอันหวานชื่นในฐานะเจ้าบ่าว ชายหนุ่มร่างเล็กก็ไม่เป็นคิดหาเหตุผลอะไรอีก
ชานยอลจะไม่มีวันรักเธอ แบคฮยอนบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ว่า... จริงหรือเปล่า...
ก็เขาเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นได้บ้างบนสังเวียนแห่งอำนาจ การหักหลังกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย รวมถึงการปฏิบัติต่อชีวิตอื่นราวกับเป็นผักปลา อำนาจเป็นเหมือนไฟในวันที่อารยธรรมมนุษย์เริ่มต้น ผู้คนต่างตะเกียกตะกายเพื่อปลูกสร้างและรักษา เพียงแต่ไฟที่ไร้การควบคุมนั้นท้ายที่สุดจะแผดเผาทุกสิ่ง เริ่มจากผู้สร้าง ผู้พยายามรักษา หมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน หรือป่าทั้งป่า
หากเปียงยางเป็นหมู่บ้านที่น่าเวทนานั้น และปิตุภูมิแห่งนี้คือป่า สำหรับเขา ทั้งหมดนั้นล้วนมอดดำเป็นตอตะโก ไม่มีอะไรเหลือหลออยู่แล้ว
“ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นได้เรอะ” อี้ชิงเคยถามเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ในวันหนึ่ง “ก็... เอ้อ... เขารักนาย และเคยรัก... เพื่อนในกองทัพ ของแบบนี้นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้ที่ไหน”
“เขาทำได้ทั้งนั้นเมื่อจำเป็น”
พ่อค้าของเถื่อนพยักหน้าและเม้มริมฝีปากอย่างที่เดาอารมณ์ไม่ถูก “โกรธชานยอลหรือเปล่า”
“ไม่” แบคฮยอนถอนหายใจ “ฉันเกลียดทุกอย่างเสียจนโกรธอะไรไม่ลง สิ้นหวังมากกว่า”
จุนมยอนไม่กลับมาที่บ้านพักตลอดหลายวันก่อนพิธีแต่งงาน และมินโฮก็ไม่เอ่ยถึงเด็กหนุ่ม แน่นอนว่าแบคฮยอนที่อยู่ในอารมณ์ซังกะตายไม่ถามไถ่ ความชิงชังตลอดหลายปีที่ผ่านมาแผดเผาเขาถึงกระดูก และที่เหลืออยู่คือเถ้าถ่าน มีเพียงจงแดที่กระวนกระวาย ซึ่งไม่น่าประหลาดใจอะไร อีกฝ่ายใกล้ชิดจุนมยอนมากกว่าชายหนุ่มร่างเล็กที่จากบ้านมาแล้วหลายปีมาก
ก่อนหน้าพิธีแต่งงานของชานยอลหนึ่งวัน ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีขาวตลอดฤดูหนาวกลับเป็นสีเทาด้วยเมฆฝน ไม่ช้าฝนก็กระหน่ำลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ด้านนอกก่อนส่งเสียงคำรามดังลั่นคล้ายเทพเจ้าในเรื่องปรัมปรากำลังพิโรธ ชายหนุ่มร่างเล็กกระวีกระวาดเก็บเสื้อผ้าที่ตากอยู่ด้านนอก คนทั้งสามวิ่งวุ่นทั่วบ้านพัก ปิดหน้าต่างและอุดรูรั่วตรงนั้นตรงนี้ นำถ้วยชามเท่าที่มีมารองหยดน้ำฝนจากฝ้าเพดาน อากาศหนาวเย็นยิ่งขึ้นในชั่วอึดใจ อี้ชิงจึงชงน้ำขิงสำเร็จรูปซองสุดท้ายที่เหลืออยู่และแบ่งกันดื่มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
ทันใดนั้นกลับมีเสียงที่น่าหวาดหวั่น คือเสียงทุบประตูบ้านพักอย่างแรงและเสียงคำรามเมื่อไม่ได้อย่างใจ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” พ่อค้าของเถื่อนผงกศีรษะขึ้นจากโต๊ะอาหารและถามอย่างตื่น ๆ “ลมหรือไง”
“ไม่... ไม่ใช่ลม” จงแดกระซิบพร้อมกับที่เกิดเสียงแหลมยาวแหวกอากาศ “คนต่างหาก... เกิดอะไรขึ้น”
เสียงตะโกนและเสียงแหลมยาวนั้นดังอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนสงบลงพร้อมกับเสียงปืนหนึ่งนัด แบคฮยอนกลั้นหายใจ ใครคนหนึ่งถีบประตูเปิดออก ฝนกรรโชกเข้ามาภายในพร้อมกับลมเย็นจัด เป็นร้อยตรีซงนั่นเองที่อยู่ในชุดกันฝนสีดำสนิท อีกฝ่ายโยนร่างที่ขาวซีดและอ่อนปวกเปียกเข้ามาด้วย
“ไอ้เด็กบ้า” มินโฮคำราม “ฉันบอกหรือไงว่าให้ลงมือเดี๋ยวนั้น”
“จุนมยอน! ” แบคฮยอนเป็นคนแรกที่จำเด็กหนุ่มได้ เขาถลันเข้ากันน้องชายบุญธรรมไว้ก่อนร้อยตรีซงจะกระทืบซี่โครงอีกฝ่าย “อย่าทำอะไรเขานะ! เกิดอะไรขึ้น จงแด ขอน้ำขิงส่วนของฉันให้จุนมยอนที”
แทนคำตอบ มินโฮเดินกลับไปกลับมาอย่างงุ่นง่าน ทิ้งรอยน้ำฝนหยดจากเสื้อคลุมเป็นทางบนพื้นเสื่อที่มีรอยขาด “ปิดแก๊ส” เสือผู้หญิงมีชื่อว่า “บอกให้ปิดยังไงล่ะ”
“ไม่ได้นะ หนาวจะตายอยู่แล้ว”
“ความหนาวจะฆ่าพวกแกในหลายชั่วโมง” ร้อยตรีซงพูดลอดไรฟันก่อนชักปืนพกมาคารอฟจากเสื้อคลุม “แต่ลูกปืนจะฆ่าพวกแกในไม่กี่วินาที ปิดแก๊สเดี๋ยวนี้ ปิดระบบทำความร้อน ปิดไฟด้วย ปิดให้หมดทุกอย่าง เดี๋ยวนี้! ”
จงแดตัวสั่นขณะหันมาสบตาเขา แบคฮยอนพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ให้ทั้งอดีตคนรักและพ่อค้าของเถื่อน ไม่ช้าบ้านพักหลังนั้นก็มืดสนิทและเหน็บหนาวอย่างที่สุด แสงเท่าที่มีอยู่คือแสงไฟจากปลายบุหรี่ของมินโฮเท่านั้น อีกฝ่ายสูบมันอย่างรีบร้อนและเคร่งเครียด ยังกำปืนพกไว้แน่นแนบอก
“รู้หรือเปล่าว่าเด็กนี่ทำอะไรลงไป”
มือของจุนมยอนที่เขาจับอยู่เย็นเฉียบ ชายหนุ่มร่างเล็กพยายามสบตาอีกคนหนึ่งในความมืด “ไม่รู้ แต่เขาเป็นแค่เด็ก นายไม่ควร... โหดร้ายกับเขา”
“เด็กเรอะ เด็ก... เฮอะ” ร้อยตรีซงส่งเสียงเยาะหยัน “เด็กอะไร โหดร้ายอะไร มันต่างหากที่โหดร้าย มันไม่ใช่เด็ก แต่เป็นปีศาจ! ”
เงียบงันไปอึดใจหนึ่ง มีเพียงเสียงพายุด้านนอกและเสียงติ๋ง ๆ ของน้ำที่ตกสู่ถ้วยชามบิ่น ๆ จุนมยอนไอโขลก ๆ ตัวสั่นด้วยความหนาว
“เกิดอะไรขึ้น” จงแดถามซ้ำ
“มันฆ่าแร้งเฒ่า” มินโฮว่า “มันฆ่าเขาแล้ว และทำให้มินกูอยู่ในอาการโคม่า มันทำลงไปแล้ว ไอ้เด็กบ้า”
แบคฮยอนอ้าปากค้าง ก่อนกล้ำกลืนคำว่า “แล้วชานยอลล่ะ” ลงคอไปอย่างยากลำบาก “เป็นไปได้ยังไง” เขาถาม “จุนมยอนทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เขาเป็นแค่เด็ก”
“นายก็เป็นแค่เด็กเหมือนกันวันที่เกือบจะฆ่าชานยอลแล้ว”
อี้ชิงขยับตัวอยู่ที่มุมห้องด้านหนึ่งอย่างอึดอัด “ยังไง เขาทำได้ยังไง”
ร้อยตรีซงระบายลมหายใจจากปากพร้อมกับควันบุหรี่ “หมอนี่ใช้เวลาอยู่ที่หน้าบ้านของพลเอกชเวเป็นวัน ๆ จนรู้ตารางเวลา... แขกไปใครมา ใครเข้าและออก เขาฆ่าเด็กรับใช้ตอนที่ออกมาจ่ายตลาด ใช้เสียงฝนกลบเสียงฝีเท้า ปลอมตัวเข้าไปในบ้านของแร้งเฒ่าตอนที่มินกูกับชานยอลอยู่ที่นั่น ทำให้ยางรถยนต์ของพวกเขามีปัญหา ไม่รู้ว่าทำอะไรกับสายเบรกด้วยหรือเปล่า” มินโฮบอกอย่างเคร่งเครียด “บนถนนส่วนที่แคบที่สุด เขาวิ่งตัดหน้ารถยนต์ของแร้งเฒ่า มันตกลงไปในแม่น้ำแทดง ในเวลาที่มีพายุและเย็นจัดจนเกือบจะเป็นน้ำแข็งตลอดทั้งสายอย่างนี้”
“อะไรนะ! ”
“แร้งเฒ่าตะเกียกตะกายขึ้นมาก่อน เด็กนี่คิดว่าเขาเป็นมินกู ทำทีจะช่วยเหลือและแทงเขาด้วยเศษแก้ว พวกนายน่าจะเห็นตอนที่เขาทำอย่างนั้น แทงแล้วแทงอีก แร้งเฒ่าไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตด้วยซ้ำ! เขาแทงมินกูได้หลายแผลแล้วตอนที่ถูกชานยอลกับทหารอารักขาของพลเอกชเวรวบตัว ไอ้เด็กนี่ตั้งใจจะตาย... รู้หรือเปล่า ลำบากแค่ไหนกว่าจะพามันฝ่าวงล้อมออกมาได้ ชานยอลดวงแข็งเหลือเชื่อ หมอนั่นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ไอ้บ้าเอ๊ย! ”
เขาหันกลับไปมองน้องชายบุญธรรม จุนมยอนยังไออยู่และตัวก็ยังสั่น ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีเสียงคร่ำครวญ ไม่มีอาการตื่นตระหนกแม้เป็นครั้งแรกที่พรากลมหายใจมนุษย์ ฝนสงบลงเล็กน้อย ไม่ช้าเขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดบนเสื้อผ้าของเด็กหนุ่ม มันฉุนและอับเนื่องจากตากฝนเป็นเวลานาน
“แล้วจะทำยังไงต่อไป” จงแดถาม “พิธีแต่งงานจะยังมีอยู่หรือเปล่า”
“ต้องมีแน่! ” ร้อยตรีซงว่าอย่างหนักแน่นก่อนปาบุหรี่ไปอีกทางหนึ่งและใช้ปลายเท้าขยี้ “ฉันจะทำให้มีจนได้ บ้านชเวขาดเสาหลัก ต้องรีบ... ให้เร็วกว่าชานยอล ให้พ่อของฉันเข้าไปมีอิทธิพลเหนือบ้านหลังนั้น ถ้าพิธีแต่งงานในวันพรุ่งนี้ยังเกิดขึ้นภายใต้การนำของพลเรือเอกซง ก็หมายความว่าฉันชนะแล้ว มันก็เท่านั้น”
ชายหนุ่มร่างเล็กตัวสั่นด้วยความโกรธ “ถึงขนาดนี้แล้ว จะยังมีพิธีแต่งงานอยู่หรือไง”
“ต้องมีซีวะ น้ำขึ้นให้รีบตัก ต่อให้น้องชายโง่ ๆ ของนายทำเสียแผน ฉันก็ต้องกู้มันขึ้นมาให้ได้ มีปัญหาหรือไง! ”
“ฉันไม่โง่พอจะมีปัญหากับคนถือปืนหรอก! ”
“ได้ยินอย่างนั้นก็ดี” มินโฮตอบอย่างอดกลั้น “ไม่ต้องไปที่พิธีแต่งงาน อยู่ที่นี่และเฝ้าเขาไว้ ใช้แก๊สและไฟฟ้าให้น้อยที่สุด อย่าให้เป็นที่สังเกต อย่าให้เด็กเวรนี่คลาดสายตา และฉันจะเพิ่มจำนวนทหารยาม”
“พวกเราไม่ใช่นักโทษนะ! ”
“อ้อ... ไม่ใช่อย่างนั้นเรอะ” แม้จะมองไม่เห็น แต่อีกฝ่ายกลับจับที่คางของเขาได้อย่างแม่นยำก่อนออกแรงบีบ “ไม่เป็นก็ต้องเป็น เป็นกันให้หมด! จนกว่าจะสบโอกาสเก็บมินกูแบบไม่เอิกเกริกอีกครั้ง จากนี้จะต้องอยู่แต่ในสายตาของฉัน ฉันจะชักใยบ้านปาร์ค เหมือนกับที่กำลังชักใยพวกนายนั่นแหละ”
“อย่างน้อยนายก็ควรรักษาสัญญา! ” แบคฮยอนตะโกนไล่หลังเมื่อเสือผู้หญิงแห่งเหล่าทัพทำท่าจะก้าวออกจากประตูที่เปิดกว้างไป เสียงตะโกนนั้นดังขึ้นพร้อมกับแสงฟ้าแลบแวบหนึ่งและเสียงฟ้าร้องดังสนั่น “หนึ่งชีวิตแลกกับสองชีวิต นายได้หัวของแร้งเฒ่าแล้ว ปล่อยสองในสี่ของพวกเราจากค่ายกักกันไป! ”
ทั้งจงแดและอี้ชิงส่งเสียงอุทานขึ้นพร้อมกันขณะที่เขาต่อรอง “ปล่อยจงอินกับจื่อเทาไป ฉันเลือกพวกเขา และขอให้นายทำตามนี้ ไม่จำเป็นต้องส่งพวกเขาที่ชายแดน แค่ปล่อยพวกเขาไป”
“จะมักน้อยอย่างนั้นก็ได้ หวังว่านายคงไม่โง่ไปแล้วจริง ๆ อย่างที่ฉันเคยสบประมาทหรอกนะ คนสวย”
“จุนมยอนทำให้มินกูคางเหลือง ฉันควรจะขอร้องนายได้อีกเรื่อง” ชายหนุ่มร่างเล็กยื่นข้อเสนอ “ค่ายกักกันที่สิบสี่อยู่เหนือเปียงยาง ริมแม่น้ำแทดง ให้ปล่อยจงอินที่กำแพงค่ายส่วนที่ติดกับแม่น้ำ ได้หรือเปล่า บอกฉันซิว่าได้”
“ไม่ว่านายมีแผนอะไร ขอให้รู้ว่ามันจะไม่มีวันสำเร็จ”
“ถ้ารู้ว่ามันจะไม่มีวันสำเร็จก็อย่ากลัวที่จะรับคำท้า”
“ได้” มินโฮเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ได้... แบคฮยอน ได้ตามคำขอ พวกนายเองซ่อนตัวให้ดีเถอะ เพราะสิ่งที่ฉันรับรองไม่ได้คือความปลอดภัยของพวกนายต่างหาก โทษเด็กเวรนี่สำหรับการถูกตามล่าจากคนของแร้งเฒ่ากับมินกูแล้วกัน”
ไม่มีใครพูดอะไรอยู่หลายนาทีแม้เมื่อประตูปิดลงแล้ว กระทั่งอี้ชิงพูดกระชากเสียงอย่างเหลืออด
“ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่านายยังเด็กเกินไป” พ่อค้าของเถื่อนตำหนิอย่างตรงไปตรงมา “ทำอะไรอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”
“นายไม่รู้อะไร... จุนมยอน”
“พวกพี่ต่างหากที่ไม่รู้อะไร! ” เด็กหนุ่มโต้อย่างเผ็ดร้อน “ได้ยินร้อยตรีซงคุยกับพ่อของเขา ไอ้... สารเลวนั่นไม่สนใจความปลอดภัยของเรา หรือการรักษาสัญญาห่าเหวอะไรหรอก! บ้านซงตั้งใจจะใช้งานเรา และส่งเราขึ้นตะแลงแกงเอาหน้า ได้ทั้งกำจัดบ้านปาร์ค บ้านชเวที่เป็นเสี้ยนหนาม ได้ทั้งความดีความชอบ พวกมันจะเอาคอเราไปขึ้นเขียงหลังจากนั้น ไม่ได้คิดจะปล่อยเราไป! ”
จงแดกระซิบ “นายได้ยินอย่างนั้นจริง ๆ ใช่ไหม”
“เต็มสองรูหูเลยล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ทำอะไรบ้า ๆ เหมือนไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่หรือจะไปแบบนี้หรอก”
“ก็แค่หวังว่าเขาจะไม่ผิดคำพูดเรื่องที่จะปล่อยจงอินกับจื่อเทา” แบคฮยอนพึมพำ “ก็ไม่น่าจะผิดสัญญาหรอก เขาอยากให้เรามีแรงจูงใจในการอยู่รับใช้ต่อไป”
“นายไม่ควรเลือกจงอิน” อดีตคนรักแย้ง และแม้อี้ชิงก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย “ควรเป็นแม่กับเด็กรับใช้มินซอก สองคนนั้นอ่อนแอกว่า พวกเขาทนอยู่ในค่ายกักกันนาน ๆ ไม่ได้หรอก”
“เชื่อสิว่าฉันตัดสินใจถูกต้องแล้ว”
แบคฮยอนถอนหายใจหนักหน่วง
“เชื่อสิว่าฉันตัดสินใจถูกต้อง จงแด... แม้ตอนนี้เราจะไม่มีอะไรให้เชื่อได้เลย ต่อให้เป็นพระเจ้าที่เราไม่รู้จักก็เถอะ”
มินโฮเพิ่มจำนวนทหารยามรอบ ๆ บ้านพักของพวกเขาจริง ๆ อย่างที่พูดไว้ ไม่ว่ากี่ครั้งที่มองออกไปนอกหน้าต่างจะเห็นคนเหล่านั้นเดินขวักไขว่ ข่าวคราวเรื่องพิธีแต่งงานของชานยอลมาถึงพวกเขาในวันต่อมา หนึ่งในทหารยามว่าพิธีนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นแม้จะปะปนด้วยความหม่นหมอง บ้านซงทำสำเร็จแล้ว พวกเขาเข้าควบคุมและครอบครองกิจการของพลเอกเชวรวมถึงของพลโทชเว ลูกชายคนโตของแร้งเฒ่า หนึ่งในสามคู่ขับเคี่ยว ชเวซึงวานหรือเจ้าสาวของชานยอลจะเป็นก็แต่ตัวประกันเพื่อยับยั้งการต่อต้านของพี่ชาย และในระหว่างที่มินกูยังอยู่ในอาการโคม่า เขาก็ไม่อาจคาดหวังว่าชานยอลจะปลดแอกตัวเองจากอิทธิพลของพลเรือเอกซงได้ในเร็ววัน
หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง แบคฮยอนก็ได้รับข้อความจากจงอิน ส่งมาพร้อมกับความงุ่นง่านของร้อยตรีซง ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลเป็นอิสระพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของอี้ชิง มินโฮบอกเล่าว่าให้คนทั้งสองจับรถไฟกลับไปที่เมืองเฮวรยองแล้ว เพียงแต่ชายหนุ่มร่างเล็กรู้ว่าพี่ชายบุญธรรมฉลาดเฉลียวกว่านั้นมาก แม้จะได้เพียงหวังก็ตาม
เขาหวังว่าจงอินจะรู้ว่าเพราะเหตุใดจึงถูกเลือก...
เวลาล่วงเลยสู่เดือนมกราคม ซึ่งอากาศหนาวเหน็บยิ่งขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ น้ำขิงซองใหม่ไม่เคยมาถึงบ้านพักคับแคบนั้น และอี้ชิงจำเป็นต้องปรุงอาหารให้มีรสจัดยิ่งขึ้นแม้จะไม่เป็นผลดีนักต่อโรคกระเพาะอาหารของพวกเขาที่เกิดขึ้นหลังภาวะเครียดที่เรื้อรัง
“พวกเราจะต้องติดอยู่ในนี้ไปอีกนานเท่าไหร่” บ่อยครั้ง จงแดจะถามอย่างสิ้นหวัง “นี่ก็เข้าสู่เดือนที่สองแล้ว”
“ก็จนกว่าจะมีจังหวะ อย่างที่มินโฮว่า” แบคฮยอนตอบ “มาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าทำงานให้เขาสำเร็จแล้ว จะหนีไปจากเปียงยางยังไง และหนีไปจากประเทศนี้ยังไง”
“แล้วแม่กับมินซอกล่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรอก”
“บ้าไปแล้วหรือไง แบคฮยอน! ” อดีตคนรักอุทาน “นายจะทอดทิ้งพวกเขาไม่ได้นะ! ”
“ไม่เคยพูดอย่างนั้นสักคำ ให้ตายสิ! ”
เขารู้ว่าจะต้องทุ่มเถียงกับทั้งจงแดและจุนมยอนในประเด็นที่ว่านั้นอีกหลายครั้งทีเดียว อย่างน้อยก็จนกว่าร้อยตรีซงจะกลับมาที่บ้านพักแห่งนี้อีกครั้งพร้อมกับโทสะ โทสะอย่างแรงกล้าเสียด้วย...
ก่อนหน้าวันที่ว่านั้นมาถึง หิมะตกหนักกระทั่งมองไม่เห็นอะไรด้านนอกนอกจากพื้นผิวสีขาวสุดลูกหูลูกตา เกล็ดน้ำแข็งทับถมกันสูงขึ้นทุกขณะ แม้จะยังตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย คนทั้งสี่เติมพริกไทยป่นลงในน้ำร้อนเปล่า ๆ และดื่มก่อนขดตัวแนบสนิทกับพื้นห้อง รับไออุ่นจากระบบทำความร้อนใต้พื้น เปียงยางหนาวเหน็บอย่างเหลือร้าย หนาวกว่าที่เคยเป็นมาตลอดหลายปี และอาจหนาวพอ ๆ กับมูซานในปีที่หนาวที่สุด
ปรากฏว่าวันที่แบคฮยอนรอคอยนั้นเป็นวันที่มืดมนและทึบทึมที่สุด ลางสังหรณ์บางอย่างล่องลอยในอากาศคล้ายผีไม่มีญาติ ราวกับนกรู้ ชายหนุ่มร่างเล็กเบื่ออาหารและจวนเจียนจะขย้อนเอามื้อค่ำออกมาอยู่แล้ว เมื่อมินโฮมาถึงในเวลาดึก และปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงปืนที่แผดสนั่น
“แกวางแผนไว้แล้วใช่ไหม! ” เสือผู้หญิงแห่งเหล่าทัพลากเขาจากที่นอนทั้งเท้าเปลือยเปล่า ถูลู่ถูกังลงบันไดมาพร้อมกับเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของจุนมยอน “แกวางแผนไว้แล้วใช่ไหม บอกฉันมา! ”
แบคฮยอนสำลักลมหายใจ คอของชายหนุ่มร่างเล็กถูกบีบด้วยมือที่แข็งแรงราวกับคีมเหล็ก มินโฮสะบัดร่างกายของเขาไปมาคล้ายผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ ก่อนโยนไปอีกฟากหนึ่งของห้องอาหารอย่างไม่สบอารมณ์
“แสบนักนะ! แสบเหลือเกิน... ”
“พูดอะไรของนาย” อี้ชิงที่วิ่งทั่ก ๆ ตามลงมาแย้ง “แบคฮยอนอยู่ในนี้ตลอดทั้งวัน เขาจะทำอะไรได้”
“มันให้พี่ชายของมันกับลูกพี่ลูกน้องของแกหนีไปไง! ”
“แล้วยังไง” พ่อค้าของเถื่อนโต้ “ตามสัญญา หนึ่งชีวิตแลกกับสองชีวิต ยังต้องการอะไรอีก”
ร้อยตรีซงส่งเสียงคำรามอย่างโกรธจัด และเมื่อเสือผู้หญิงแห่งเหล่าทัพย่างสามขุมเข้าใกล้เขาอีกครั้ง อีกสามคนก็ถลันเข้าปกป้องอย่างตื่นกลัว พวกเขากลัวปืนพกมาคารอฟของอีกฝ่ายราวกับหนูกลัวแมว
“แกรู้ใช่ไหมว่าคิมจงอินจะทำอย่างนี้ แก... ลูกหมาเจ้าเล่ห์... แก... ”
“อ้อ ฉันไม่ใช่คนสวยของนายแล้วหรือไง” แบคฮยอนว่าอย่างคนที่เลือดเข้าตา “ใช่ ฉันรู้ว่าจงอินจะไม่ทิ้งแม่ไว้ เขาแข็งแรงที่สุดในหมู่พวกเรา และจื่อเทาก็จะไม่ทิ้งมินซอก เขาแข็งแรงพอ ๆ กับจงอิน และ... ”
“แม่น้ำ”
“ใช่... แม่น้ำ” ชายหนุ่มร่างเล็กพยักหน้า “เราเติบโตมาข้างแม่น้ำทูมัน รู้จักธรรมชาติของแม่น้ำดี ขอแค่ลงไปในแม่น้ำสักครั้ง เขาก็จับได้แล้วว่ามันไหลไปทางไหน แรงแค่ไหน ตรงไหนข้ามได้ ตรงไหนข้ามไม่ได้ แค่แกปล่อยเขาที่แม่น้ำก็พลาดไปเสียแล้ว”
“หมายความว่า... ”
“ใช่... จงแด” เขาบอกอย่างมีชัย “ฉันเลือกจงอินกับจื่อเทาเพราะรู้ว่าเขาจะกลับไปช่วยแม่กับเด็กรับใช้มินซอก ฉันขอให้เขาปล่อยจงอินที่แม่น้ำเพราะอย่างนี้ ไม่ให้เขาไปส่งจงอินที่ชายแดนก็เพราะอย่างนี้เหมือนกัน”
“แล้วก็หาเรื่องไม่ให้ฉันเก็บพวกแกไว้ด้วย”
เสียงกริ๊กอย่างมุ่งร้ายทำให้หลายคนหลับตาปี๋ มีแต่แบคฮยอนที่ยังจ้องเขม็ง “เอาสิ... เอาเลย” เขากระซิบอย่างสงบ “ยิงเลย และจากนี้หน้าที่กำจัดมินกูจะเป็นของนาย ไม่อยากให้มือเปื้อนไม่ใช่หรือไง นายยังจำเป็นต้องเก็บพวกเราไว้เพื่อการนั้น เพื่อทำงานสกปรกให้ใช่ไหมล่ะ! จากนั้นก็จะส่งขึ้นตะแลงแกง ไม่มีพวกเราแล้วใครจะทำเรื่องโสมมแทนคนโสมมอย่างนาย”
ใบหน้าของร้อยตรีซงเป็นสีแดงจัด ไม่เหลือเค้าเดิมของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่เป็นสัตว์ป่าที่กำลังโกรธจัดต่างหาก อีกฝ่ายลดปืนลงอย่างช้า ๆ “นั่นสินะ นั่นสิ... ” พูดซ้ำไปซ้ำมาอย่างน่าหวาดหวั่น “ถึงตอนที่ฉันไม่จำเป็นต้องใช้พวกแกแล้ว เราค่อยมาวัดรอยเท้ากันอีกหน คิดว่าจะหนีไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างนั้นเรอะ น่าสนุก แต่ก่อนอื่น... ”
เพียงแต่คราวนี้ประกายบางอย่างในดวงตาของมินโฮที่หันกลับมาสบตาเขากลับทำให้แบคฮยอนสั่นสะท้าน
“ว่าจะไม่บอกแล้ว แต่ฉันอยากเห็นคนสวยปากดีถูกทำลายจนถึงแก่น”
ชายหนุ่มร่างเล็กกลืนน้ำลาย “บอกอะไร”
ประโยคถัดมาทำให้เขารู้สึกราวกับหิมะภายนอกจับตัวแข็งอยู่ในช่องท้อง และสายฟ้าฟาดเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้วทำให้สมองหยุดทำงาน
“ชเวซึงวานท้องแล้ว” มินโฮบอกอย่างสาแก่ใจ “เธอท้องลูกของชานยอล”
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ แบคฮยอนไม่รู้เลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครพูด... หรือตะโกนว่าอะไรเพื่อฉุดรั้งเขา มินโฮจากบ้านพักหลังนั้นไปหรือยัง หิมะกำลังตกอยู่หรือหยุดแล้ว ไม่รู้ว่ากระสุนของทหารยามภายนอกจะคร่าชีวิตตัวเองในไม่กี่วินาทีเพียงชายหนุ่มร่างเล็กก้าวพ้นธรณีประตูบ้านพักไป
ฉันเป็นของเขา ฉันต่างหากที่เป็นของเขา หัวใจของแบคฮยอนร่ำร้องอย่างนั้น คล้ายเสียงกรีดร้องของวิญญาณเร่ร่อนที่ชอกช้ำ แทรกผ่านหุบเขากว้างไกล ฉันเป็นของเขาแล้ว เป็นของเขาแล้วจริง ๆ
ดังนั้น แม้หิมะจะท่วมสูงถึงโคนขา และถูกกำชับไม่ให้จากบ้านพักหลังนั้นไป ชายหนุ่มร่างเล็กยังดั้นดั้นฝ่าพายุหิมะทั้งน้ำตา เพื่อไปหาชานยอล...
#ฟิคเปียงยาง
ขอโทษนะคะที่มาช้า ช้ามากจริง ๆ น้อมรับทุกคำด่า ;_;
คือเราเห็นว่าคราวนี้ตัวเองมาช้ามากแล้ว ก็เลยตัดสินใจไม่ลงตอนเช้าค่ะ เอามาเขียนเพิ่มให้ครบ 100% ไปเลย
ตอนนี้งานที่ม. ก็ซา ๆ ลงบ้างแล้ว เข้าสู่ภาวะปกติ
การอัพก็จะเข้าสู่ภาวะปกติเหมือนกันค่ะ /โค้ง
ฮึบไว้ทุกคน ฮึบฮึบ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กับความรู้สึกที่ผ่านมาของชานยอล
โอ่ย สงสารแบค ;-;
สติไม่อยุ่กับตัวแล้ว แง้งงงงงงงงง
มึนไปหมดแล้ววว
แบคฮยอนน ตั้งสติน้อ