ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - (exo) lone wolf | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #2 : L O N E W O L F | Man is by nature a political animal.

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.15K
      155
      6 เม.ย. 60

    ? cactus




    Chapter 1

    Man is by nature a political animal.

    (มนุษย์เป็นสัตว์สังคม)






              สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี คือประเทศที่เพียบพร้อมที่สุดในโลก เขาถูกสอนให้เชื่อในประโยคที่ว่าตั้งแต่ก่อนจะเริ่มพูดคำว่า แม่ เสียอีก


    ถึงอย่างนั้น ปาร์คชานยอลกลับจำ อุบัติเหตุ ซึ่งเกิดขึ้นในระยะนี้เมื่อแปดปีที่แล้วได้แม่นยำ ทั้งที่มันสั่นคลอนแรงศรัทธาของตัวเอง และกลายเป็นหนามยอกอกอยู่จนปัจจุบัน


              เขาเพิ่งจะมีอายุได้สิบห้าปี อยู่ระหว่างเดินทางกลับจากพิพิธภัณฑ์การปฏิวัติเกาหลี รถแล่นลงไปตามถนนซุงรีซึ่งราบเรียบและปลอดโปร่งอย่างสมบูรณ์แบบ “การจราจรไม่มีวันติดขัด ภายในมหานครของท่านผู้นำ” อาจารย์ของเขาเคยบอก “ดีกว่าชาติทุนนิยมเป็นร้อยเท่า หรือพันเท่า”


    เพราะเปียงยาง คือมหานครแห่งความมั่งคั่ง และความผาสุกสถาพร


    วันนั้นเป็นวันก่อตั้งพรรคแรงงาน ตลอดสองฝั่งถนนจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนในชุดฮันบก พรรคแรงงานคือพรรคการเมืองเดียวในประเทศ คือผู้ก่อร่างสร้างชาติ และผู้นำชาติไปสู่ความก้าวหน้า ชานยอลจำได้ขึ้นใจ


    น่าเสียดายที่แม้เขาจะเป็นลูกโทนของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และเป็นนักเรียนดีเด่นในโครงการยุวชนแนวหน้า ซึ่งคัดเลือกเด็กชายเพียงปีละไม่กี่คน เข้ารับการฝึกฝนเพื่อเติบโตขึ้นเป็นสมาชิกพรรคแรงงานโดยเฉพาะ รถยนต์ (ไม่กี่คันในประเทศ) ที่ถูกตกรางวัลให้ใช้กลับมีขนาดเล็กนิดเดียว ชานยอลสูงใหญ่กว่าเด็กชายวัยเดียวกัน จึงต้องนั่งงอก่องอขิงอยู่ภายในโดยไร้ราศี อย่างนี้แหละ... ดีแล้ว เขาปลอบตัวเอง อย่าเอาอย่างชาติทุนนิยมเป็นอันขาด

     

              คิมอิลซอง คือประธานาธิบดีตลอดกาล คิมจองอิล คือประธานาธิบดีผู้ปราดเปรื่อง คังซองแดกุก! เราคือชาติอันเกรียงไกรและรุ่งเรือง


              เด็กชายท่องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ ระหว่างมองดูชายหลายสีของชุดประจำชาติซึ่งหุบเขาและบานออกคล้ายกลีบดอกไม้เมื่อหญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าของเริ่มหมุนตัวด้วยปลายเท้า




              จังหวะที่กำลังจะพ้นไปจากแกซอนมุน หรือประตูชัยนั่นเอง เขาทันเห็นใครคนหนึ่งถลันออกมายืนจังก้าขวางหน้ารถ จนถึงวันนี้ ใบหน้าที่เคยเกือบจะแจ่มชัดในความทรงจำก็กลายเป็นเงาไหว ๆ ซึ่งทั้งผ่ายผอมและแคระแกร็นแล้ว 


               ชานยอลสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงดังเพล้ง! กระจกรถแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยแรงตกกระทบจากหินก้อนใหญ่ เพียงแต่มันไม่ถูกเขา กลับถูกคนขับผู้เคราะห์ร้าย เลือดจากบาดแผลบนศีรษะพุ่งออกมาก่อนด้วยแรงดัน จากนั้นจึงไหลพรู


              เงาไหว ๆ ที่ว่าชะงักไป ก่อนจะวิ่งหนี เด็กชายรีบลงจากรถ ร้องแรกให้คนบนท้องถนนจับตัวผู้ต้องหา น่าประหลาดที่ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ชานยอลจึงบอกฝูงชนเหล่านั้นให้ปฐมพยาบาลคนขับรถ ขณะตัดสินใจออกติดตามผู้ร้าย


              ซึ่งอยู่ไกล... ไกลจากประตูชัยออกไปทุกที






     

              บยอนแบคฮยอนเพิ่งจะมีอายุได้สิบเก้าปี


              ทำลงไปแล้ว! เขาหอบหายใจ ทำลงไปแล้ว ขว้างออกไปแล้ว!


              แต่เขาทำพลาด เด็กชายซึ่งนั่งอยู่บนเบาะหลังไม่ได้รับบาดเจ็บ และมันตามเขามา... ใกล้เข้ามาทุกที สุนัขรับใช้จอมเผด็จการ แบคฮยอนก่นด่าอยู่ในใจ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยบ้างหรือไง


                แน่ล่ะสิ... ก็ปาร์คชานยอลเป็นผู้ดีตีนแดงซึ่งได้รับการอบรมในโครงการยุวชนแนวหน้านี่ เขาน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว รูปร่างสูงใหญ่ออกอย่างนั้น ท่าทางแข็งแรงและว่องไวออกอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารดี ๆ กับคุณภาพชีวิตสูงลิ่วซึ่งคนในชั้นเดียวกับแบคฮยอนได้แต่ฝันถึง แล้วจะเพราะอะไร


              “อย่าตามมา! ” เขาตัดสินใจร้องบอก “ออกไปห่าง ๆ นะ!


              “หยุดเสียดี ๆ ! ” แต่มันไม่ฟังเสียง “ในนามของท่านผู้นำ หยุดเดี๋ยวนี้! ”


                เออ... อย่างนี้ใครจะหยุดให้โง่!


                อีกฝ่ายตะโกนอีก “หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้หนู!


              ไอ้หนู มันเรียกเขาว่าไอ้หนู... เฮอะ! ลองให้ปาร์คชานยอลไม่ใช่ลูกโทนของพลเรือเอกปาร์คมินกู ไม่ได้เติบโตมาในย่านที่ดีที่สุดของเปียงยาง แต่ถือกำเนิดในตำบลเล็ก ๆ ห่างไกล ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางฝุ่นละอองจากเหมืองเหล็กดูเถอะ มันจะได้รู้ว่าคืนวันซึ่งไม่มีอะไรติดครัวนอกจากแป้งเก่า ๆ กับเห็ดยาวนานอย่างไร ลำพังยังหายใจก็น่าทึ่งแล้ว อย่าพูดถึงส่วนสูงหรือน้ำหนักที่ได้มาตรฐานเลย


              “แกน่ะสิไอ้หนู! ” เด็กหนุ่มค่อนแคะ “หนูน้อยผู้อ่อนต่อโลก”


              เพียงแต่แบคฮยอนลืมไปว่า ชานยอลเป็นไอ้หนูแต่ในส่วนของวุฒิภาวะเท่านั้น ขณะที่ตัวเองเป็นไอ้หนูในส่วนของลักษณะทางกายภาพ ไม่ช้า ผู้ดีตีนแดงก็ไล่เขาซึ่งมีทั้งฝ่ามือและฝ่าเท้าหยาบกระด้างคล้ายหนังสัตว์ได้ทัน เด็กหนุ่มถูกคว้าหมับเข้าที่ไหล่ จากนั้นเด็กชายจึงออกแรงกระชาก แบคฮยอนขืนตัวกลับ กำหมัดแน่น ดันกระดูกข้อนิ้วกลางขึ้นกลางกำปั้น หันกลับไปและชกที่ดั้งจมูกของอีกฝ่ายสุดแรงเกิด


              ได้ยินเสียงกร๊อบ จากนั้นจึงเป็นเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด ชานยอลจมูกหัก เด็กชายปล่อยมือจากไหล่ของเขา หันไปประคองจมูกยาว ๆ ของตัวเองแทน เลือดสีเข้มทั้งเปรอะใบหน้า ทั้งกระเซ็นไปทั่ว และเมื่อถูกมือป้ายก็ยิ่งทำให้นักเรียนดีเด่นในโครงการยุวชนแนวหน้าดูราวกับเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุร้ายแรง


              วินาทีหนึ่งนั้น แบคฮยอนเกือบจะรู้สึกสงสาร แม้ความเกลียดชังจะมีมาก แต่ชานยอลซึ่งอยู่ตรงหน้าเขาเป็นเด็กชาย เด็กชายผู้ไม่คุ้นเคยกับบาดแผลหรือแม้แต่ความเจ็บปวดใด ๆ เด็กชายที่เพิ่งจะออกติดตามผู้ร้ายด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก...


              ช่างหัวมัน! ตะคอกใส่ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างร้อนรน ทำนุ่มนิ่มไม่เข้าเรื่อง ไม่เคยเจ็บเคยปวดเลยสิท่า แค่จมูกหัก จะเป็นลมตายเพราะกลัวเลือดก็... ก็ให้พ่อมันรู้ไป!


                เมื่อคิดได้อย่างนั้น แบคฮยอนก็ตั้งท่าจะออกวิ่ง เพียงแต่ชานยอลซึ่งยังมีเลือดหยดจากปลายจมูกไม่ปล่อยให้ทำ เด็กชายกระโจนเข้ารวบตัวเขา แบคฮยอนดิ้นรน ไม่ยอมให้อีกฝ่ายเห็นหน้า ศอกซึ่งถูกสอนว่าเป็นส่วนที่แข็งที่สุดของร่างกายป่ายปัด ถูกศีรษะชานยอลบ้างและถูกลิ้นปี่บ้าง แต่อีกฝ่ายกัดฟัน ไม่ยอมแสดงอาการเจ็บปวดอีก เพราะเห็นว่าสู้แรงไม่ได้แน่แล้ว แบคฮยอนจึงกอบเอาดินเปียก ๆ ขึ้นมากำหนึ่ง จากนั้นละเลงทั่วใบหน้า





              “ไม่ได้ติดเข็มกลัดด้วย” เมื่อไม่เห็นเข็มกลัดสีแดงสำหรับพลเมืองบนอกเสื้อ เด็กชายก็รีบตั้งข้อหา “แถมยังทำแบบนี้ คิดจะเป็นกบฏหรือไง!


              “เออซีโว้ย!


              อีกฝ่ายละล้าละลังหาสิ่งที่จะใช้มัดมือผู้ร้ายไพล่หลัง มันไม่มีกุญแจมือ แบคฮยอนไล่เรียงความคิด และไม่มีอาวุธ ต้องทำอะไรสักอย่าง ทำอะไรสักอย่าง...


                ไม่ช้าก็เห็นลู่ทาง เขาไอโขลก ๆ แสดงอาการว่าสำลักและบาดเจ็บ “เป็นอะไรไป” ชานยอลถาม “เป็นอะไรของแก”


              “ก้มหน้าลงมาใกล้ ๆ นี่” แบคฮยอนกระซิบ “ดิน... ติดคอฉัน หายใจไม่ออก”


              “อ้าปาก... จะล้วงให้”


              “ไม่” เขาส่ายหน้า “ฉันต้องบอกแก... บอกว่าใครใช้ให้ทำอย่างนี้ บอกก่อนที่เขาจะเก็บฉัน”


              ได้ผล... คำโกหกของแบคฮยอนจับความสนใจของเด็กชายได้อยู่หมัด ชานยอลก้มหน้าลงมาใกล้ ทันทีที่เห็นอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ทะลึ่งตัวพรวด โขกศีรษะเข้ากับหน้าผากของอีกฝ่าย เข่ากระทุ้งเข้ากลางลำตัว ใช้ฟันขบลงที่ริมฝีปากล่างของชานยอล จากนั้นกัดและสะบัดอย่างแรง


              เลือดอาบ เด็กชายร้องลั่น ขณะเขาดิ้นหลุดจากการจับกุมอันอ่อนแรง แบคฮยอนถลาขึ้นไปบนเนิน ก้มลงมองสุนัขรับใช้เผด็จการของตัวเองด้วยความชิงชังอย่างถึงขีดสุด


              “แกจับฉันไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มประกาศ “แกจับฉันไม่อยู่ เพราะไม่รู้ว่าการดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างถึงที่สุดเป็นยังไง แกอาจคิดว่ารู้ทุกอย่าง... เห็นทุกอย่างแล้ว จากสิ่งที่พวกเขาสอน และจากสิ่งที่พวกเขาบอก แต่แกไม่รู้อะไรเลย... ไอ้หนู ไม่เคยรู้อะไรเลยจริง ๆ ”





              ตั้งแปดปีแล้ว แต่ชานยอลยังจำแววตาของผู้ต้องหารายนั้นได้แม่น เขาไม่คิดว่าจะมีใครเคียดแค้น จงเกลียดจงชังตัวเองได้เท่ากับเด็กหนุ่มคนที่ว่าเลย จนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่คิดอย่างนั้นด้วย


              ระหว่างครุ่นคิดหรือเป็นกังวล ชายหนุ่มมักแตะที่ริมฝีปากล่าง สัมผัสรอยบากลึก ขรุขระน้อย ๆ นั้น แผลเป็นจากการถูกกัดนั่นเอง จมูกที่หักคืนรูปได้รวดเร็วดี เป็นที่พอใจของคณะแพทย์ผู้รักษา และคนขับรถผู้เคราะห์ร้ายก็ยังเป็นคนขับรถประจำตัวของเขาอยู่


              ชานยอลแตะถึงส่วนปลายของแผลเป็นแล้วเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะสามครั้ง ก่อนที่เลขานุการต้นห้องจะเยี่ยมหน้าเข้ามาด้วยอาการตื่น ๆ โดคยองซูเป็นลูกโทนเช่นเดียวกับเขา ถ้าเพียงแต่พ่อของอีกฝ่ายจะมีตำแหน่งสูงกว่านี้ หรือคยองซูมีหน่วยก้านเป็นชายชาตรี ก็คงไม่ต้องลงเอยเป็นต้นห้องของนายทหารชั้นสัญญาบัตร ชายหนุ่มเสียดายโอกาสเหล่านั้น เขาเชื่อว่าการได้เป็นส่วนหนึ่งของพรรคแรงงาน และโชซอนอินมินกุนหรือกองทัพประชาชนถือเป็นเกียรติอย่างสูง 


              “ร้อยโทปาร์ค” คยองซูค้อมศีรษะให้ แล้วจึงรายงาน “ผู้ติดตามของท่านเพิ่งจะมาถึง”


              “บอกให้รออยู่ก่อน ผมจะออกไปพบที่ห้องรับรอง”


              “ได้ครับ ท่านจะออกไปพบในอีกกี่นาที”


              “ห้านาที ว่าแต่... ” ชานยอลลดเสียงลง “คุณเห็นว่าเป็นยังไงบ้าง เจ้าคนที่แร้งเฒ่าส่งมาให้นี่”


              เลขานุการต้นห้องลดเสียงลงเช่นกัน “สูงกว่าผมไม่เท่าไหร่ ค่อนข้างผอมและซีดเซียว ท่าทางฉลาดเฉลียวและกระตือรือร้นดีครับ”


              “กระตือรือร้นจะรายงานเรื่องผมน่ะสิ”


              “ผมไม่มีความเห็นต่อเรื่องนั้น


              “เขาชื่ออะไรนะ... ผมจำไม่ได้ เป็นทหารหรือพลเรือน... ก็จำไม่ได้อีกแหละ”


              “บยอนแบคฮยอนครับ” คยองซูตอบอย่างรวดเร็ว “และยังไม่ทราบว่าเป็นทหารหรือพลเรือน”


              “นามสกุลหายาก... เอาเถอะ ผมจะตรวจสอบเอง ไปได้แล้ว”


              เขาคลายปมไทลงอีกหน่อย จ้องตรงไปข้างหน้า สำรวจความเรียบร้อยในกระจกเงาแบบเต็มตัวซึ่งแขวนอยู่ข้าง ๆ ชั้นหนังสือ


              เพราะอะไรบางอย่าง แผลเป็นที่ริมฝีปากล่างกลับร้อนขึ้นมาเฉย ๆ





     

              แบคฮยอนไม่อยากพบชานยอลอีก อย่างที่เคยบอกกับคิมจงอิน “จนตายก็ไม่อยากเจอ” เพียงแต่เพื่อนร่วมอุดมการณ์สวนกลับว่า “เจอก็ตายไม่เจอก็ตาย เจอแล้วตายช้าลงอีกหน่อย ไม่เจอตายไวขึ้นอีกนิด เลือกเอา”


              เขาจากบ้านมา สู่มหานครแห่งเรื่องโกหกพกลมนี้อีกครั้งเมื่อห้าปีก่อน หลังพลเอกชเวดูฮวาน หรือแร้งเฒ่าแห่งเหล่าทัพให้ความสนับสนุนทางการศึกษา อย่างลับ ๆดูฮวานรู้ว่าเขาเคียดแค้นมินกู พ่อของชานยอลด้วยเหตุผลบางอย่าง (และด้วยวิธีการบางอย่าง) ดังนั้น แม้แบคฮยอนไม่เคยนึกอยากร่วมหัวจมท้ายกับ สุนัขรับใช้จอมเผด็จการ อันได้แก่สมาชิกพรรคแรงงานและชนชั้นสูง แต่ศัตรูของศัตรูคือมิตร หากจะมีทางไหนทำให้ปาร์คมินกูและปาร์คชานยอลคุกเข่า แนบศีรษะลงกับเท้าของเขาพร้อมทั้งลมหายใจรวยริน แบคฮยอนก็ยินดีจะทำ


              “ไม่เข้าถ้ำเสือก็อย่าหวังจะได้ลูกเสือ” จงอินพูดขณะรุนหลังเขาขึ้นรถไฟ “จะเอาแต่หนีอย่างนี้ไม่ได้”


               “ดูแลแม่! ” ชายหนุ่มร่างเล็กร้องบอกเมื่อขบวนรถเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา “ดูแลจุนมยอน! และบอก... เขา... บอกเขา... ด้วยว่า... ”


                น้ำตาเอ่อ มากเสียจนแบคฮยอนไม่อาจฝากฝังความปรารถนาสุดท้าย


              เขาคิดอยู่เสมอว่าชานยอลเป็นสิ่งมีชีวิตขั้วตรงข้ามกับตัวเอง กรุงเปียงยางและตำบลมูซาน ชนชั้นสูงและชนชั้นล่าง นายทหารชั้นผู้ใหญ่และคนงาน ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันแต่รากเหง้า เมื่อรวมเข้ากับบาปของมินกูซึ่งตกแก่ครอบครัวบยอน ดอกผลแห่งความชิงชังจึงผลิบาน


              แบคฮยอนไม่รู้ว่าจะพบอะไรในเมืองหลวงเมื่อตัดสินใจเดินทางกลับมาตามคำเชิญชวนของดูฮวาน ประสบการณ์เลวร้ายจากความมุทะลุเมื่อแปดปีที่แล้วยังแจ่มชัด กลิ่นเลือดจากริมฝีปากล่างของชานยอลยังติดจมูก รวมถึงกลิ่นดิน และกลิ่นของความรู้สึกอยุติธรรมด้วย


              ถ้าเพียงแต่เขาจะรู้สักนิดว่าไม่ควรมาที่นี่ ถ้าเพียงแต่เขาจะรู้สัก...


              “บยอนแบคฮยอนใช่ไหม”


              ชายหนุ่มร่างเล็กหันกลับไป จากนั้นสะดุ้งสุดตัว แบคฮยอนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาพบเขาด้วยตัวเอง... โดยไร้ต้นห้อง ในห้องรับรองปิดสนิท ซึ่งเล็กที่สุด และเป็นส่วนตัวมากที่สุดในอาคารที่ทำการพรรคแรงงาน


              “ใช่... ใช่ครับ”


              ชานยอลเปลี่ยนไปมาก เด็กชายคนที่เคยไล่กวดเขาตั้งแต่แกซอนมุนถึงใจกลางย่านวอลฮยางกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูง อีกฝ่ายสูงกว่าเดิมราวฟุตหนึ่งได้ ไหล่กว้าง เห็นตอเคราเป็นแนวสีเขียวรอบริมฝีปาก ท่าทางสุขุม และ...


              ออกจะเหี้ยมเกรียมทีเดียว


              “ไม่โค้งอย่างนั้นหรือ... ”


              เมื่อถูกชานยอลค่อนแคะ เขาจึงค้อมศีรษะให้อย่างเสียไม่ได้ เด็กชายปาร์คซึ่งบัดนี้เติบโตเป็นร้อยโทปาร์คผงกศีรษะให้นิด ๆ


              “ใจลอยไปหน่อยนะ... คุณผู้ติดตาม”


              แบคฮยอนเม้มริมฝีปาก กลายเป็นเส้นตรงบางเฉียบ


              “อายุเท่าไหร่แล้ว”


    “ยี่สิบเจ็ดปีครับท่าน” เขาพยายามตอบอย่างแข็งขัน ซ่อนความรู้สึกอยากฉีกทึ้งอีกฝ่ายเป็นชิ้น ๆ ไว้มิดชิด


              “การศึกษาล่ะ”


              “พยองยางอึยกุกกอแทฮัก (มหาวิทยาลัยการต่างประเทศแห่งเปียงยาง) ” แบคฮยอนบอกห้วน ๆ “ครับท่าน... เข้าเรียนเมื่อปีจูเชที่หนึ่งร้อย (ปี 2011) ” ชายหนุ่มร่างเล็กเสริมเมื่อเห็นว่าคำตอบเดิมห้วนเกินไป


              “เลือกเรียนภาษาอะไร”


              “เยอรมันและญี่ปุ่น... ครับท่าน”


              คราวนี้อีกฝ่ายถอนหายใจ “ครับก็พอ... คุณแก่กว่าผมสี่ปี ฟังแล้วจักจี้พิลึก”


              แบคฮยอนพยักหน้า คราวนี้ชานยอลตำหนิทันทีว่า “เป็นกันเองเกินไป ผมอ่อนกว่า แต่ก็มีตำแหน่งสูงกว่า คุณไม่ควรทำอย่างนั้น”


              “รวมถึงมีชาติกำเนิดที่สูงกว่าด้วยหรือเปล่าครับ”


              เขาไม่ได้วางแผนไว้ให้ตัวเองถามคำถามนั้นเหมือนกัน


              ร้อยโทปาร์คขมวดคิ้ว “เข้าใจผิดแล้ว ประเทศแห่งนี้ไม่มีชนชั้น เป็นไปตามความปรารถของประธานาธิบดีตลอดกาล”


              โกหกทั้งเพ...


                “ผมจะทำความเข้าใจเสียใหม่” แบคฮยอนฝืนยิ้ม “ขอบคุณที่ชี้แนะ”


              “คุณมาจากไหน” ชานยอลถามต่อ “และเป็นทหารหรือพลเรือน... อ้อ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยการต่างประเทศ เป็นพลเรือนแน่อยู่แล้ว ว่าแต่... คุณรู้หรือเปล่า หน้าที่ของผู้ติดตามคืออะไร”


              “จังหวัดฮัมกยองเหนือ เมืองเฮวรยอง อำเภอและตำบลมูซานครับ สำหรับคำถามข้อที่สอง ผมไม่ทราบว่าหน้าที่ของผู้ติดตามคืออะไร”


              “ถ้าอย่างนั้น พลเอกชเวส่งคุณมาหาผมทำไม”


              เขาหลบตา โดยไม่มีเหตุผล เพียงแต่สายตาของชานยอลมองประเมินเขา และให้ความรู้สึกเหมือนถูกเอ็กซเรย์


              “ท่านอยากให้ผมได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในฐานะว่าที่สมาชิกพรรคแรงงาน และเห็นว่าการทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามร้อยโทปาร์คชานยอลจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในอนาคต”


              ริมฝีปากของชานยอลบิดเบี้ยว ครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง แวบหนึ่ง ดูเหมือนการแสยะยิ้มอย่างเวทนา


              “แน่ล่ะสิ”


              “ครับ... ”


              อีกฝ่ายถอนหายใจอีก ท่าทีอ่อนลงภายในไม่กี่วินาที “คุณบอกว่ามาจากมูซานใช่ไหม”


              “ใช่ครับ”


              “บ้านของคุณ... อยู่ใกล้กับเหมืองเหล็กหรือเปล่า”


              แบคฮยอนเกือบจะแสยะยิ้มอย่างเวทนา... พอ ๆ กับที่ชานยอลเคยทำ “ครับ... พ่อกับแม่ของผมทำงานที่นั่น”


                และตายที่นั่นด้วย เขาต่อให้ในใจ


              “ผมเคยไปที่นั่นกับพ่อเมื่อยังเล็ก” ชานยอลเล่า “นานทีปีหนจะได้ออกจากเมืองหลวง ได้เห็นอะไรต่อมิอะไร ได้คลุกคลีตีโมงกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง”


              ใครเขาจะอยากให้แกออกจากเมืองหลวง ใครเขาจะอยากให้แกได้เห็นสวะนอกปราสาทสามฤดูนี่


                “หน้าที่ของผู้ติดตามคือเรียนรู้จากผม ช่วยงานผม” ชายหนุ่มร่างสูงว่าต่อ “คุณควรจะเตรียมใจให้พร้อม ผมเป็นทั้งสมาชิกพรรคแรงงานและนายทหารชั้นสัญญาบัตร งานที่ว่าจึงมาจากทั้งสององค์กร อ้อ... ผมเองอยากรู้ภาษาเยอรมัน ถ้าจะให้ดี... ”


              “ทราบแล้วครับ ผมจะสอนให้”


              “คุณพักอยู่ที่ไหน”


              เขาบอกชื่อแฟลตเร็วปรื๋อ ชานยอลฟังแล้วพยักหน้า “ไปกันเถอะ คุณมีของมากหรือเปล่า ถ้ามากล่ะก็ จะให้คยองซูเตรียมกระเป๋าอีกใบหรือรถอีกคัน”


              “เดี๋ยวก่อน” แบคฮยอนโพล่งออกมาจนได้ “หมายความว่ายังไง... เอ้อ... ครับ”


              “คุณไม่เข้าใจคำว่า ผู้ติดตาม หรือ ไม่รู้หรือว่าทำไมตำแหน่งนี้จึงต้องอาศัยการฝากฝัง”


              “ไม่ทราบครับ”


              เขาเผลอกัดลิ้นตัวเองเมื่ออีกฝ่ายกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย “เพราะคุณต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผม... ในที่นี้คือบ้านของผม นี่ไงเหตุผลที่ตำแหน่งผู้ติดตามต้องอาศัยการฝากฝัง ความปลอดภัยรวมถึงความเป็นส่วนตัวของผม... มีเอี่ยวด้วย จึงมีแต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ฝากฝังใครต่อใครเข้ามาเป็นผู้ติดตามของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในพรรคได้ เอ้า... มัวรออะไรอยู่ เปิดประตูแล้วตามผมมา”


               “แต่... ท่านครับ”


               ชานยอลไม่แยแส และยังเข้าใจเป็นอย่างอื่นด้วย “อย่ากลัวไปเลย คุณจะได้เป็นสมาชิกพรรคแรงงานแน่ เมื่ออยู่กับผม... เป็นคนของผมแล้ว จะไม่มีใครจับคุณใส่โหลดองได้อีก เปิดประตูเสียที อย่าร่ำไร”


              เป็นอันว่าแบคฮยอนได้เข้าถ้ำเสือ สมพรปากจงอินทั้งประโยค ทุกพยางค์






     

                โกหกหรอกน่า...


                ชานยอลนึกพลางกระหยิ่มยิ้มย่อง


              ไม่จำเป็นต้องอาศัยร่วมชายคาเสียหน่อย อึดอัดตายชัก ที่ทำอย่างนี้ เพราะบยอนแบคฮยอนเป็นคนของดูฮวานต่างหาก


              “ท่านไม่ควรต้องขับรถเอง” แบคฮยอนขยับตัวยุกยิกที่เบาะหลัง


              “จีซู ผมหมายถึง... คนขับรถของผม เขาแก่แล้ว สุขภาพไม่ดีนัก” ชานยอลตอบอย่างตรงไปตรงมา “ว่ากันตามตรง ตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุ รับเคราะห์แทนผมเมื่อแปดปีก่อน จีซูก็ออกจะกลัวการขับรถด้วย”


              คราวนี้ผู้ติดตามคนใหม่สะดุ้งเล็กน้อยโดยร้อยโทปาร์คไม่รู้เหตุผล


              “แพ้อะไรหรือเปล่า ผมจะสั่งแม่บ้านไว้”


              “ไม่เลยครับ”


              เรื่องอะไรชานยอลจะเก็บผู้ต้องสงสัยไว้ไกลตัว เมื่อแบคฮยอนถูกส่งมาจากศัตรูของพ่อ ก็มีแนวโน้มจะเป็นศัตรูของเขาด้วย ดูฮวานส่งแบคฮยอนมาเพื่อสังเกตการณ์แน่ ๆ ล่ะ คำพูดสวยหรูว่าด้วยผู้ติดตาม สัมพันธ์อันดี อนาคตในพรรคแรงงาน อย่างนู้นอย่างนี้... เฮอะ! แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่!


              จะให้ใครรู้ความลับข้อนั้นไม่ได้


              ความลับข้อที่ว่า กระเทือนต่อสถานภาพของชานยอลทั้งในพรรคแรงงานและกองทัพบก มันกัดกินชายหนุ่มร่างสูงจากภายใน ทั้งจิตใจและความนับถือในตัวเอง เป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของเขา... ลูกโทนของพลเรือเอกปาร์คมินกูผู้ถูกเรียกว่าพลเรือเอกเขี้ยวลากดิน


                ดังนั้น สู้เก็บผู้ติดตามคนใหม่ไว้ใกล้ตัว สังเกตสังกาดูพฤติกรรม ยัดข้อหา โยนเข้าตะราง ส่งขึ้นตะแลงแกงเมื่อเห็นว่าเป็นภัย ดีกว่าเป็นไหน ๆ


              เมื่อรถแล่นผ่านแกซอนมุน เขาเห็นแบคฮยอนเงยหน้าขึ้น จ้องวงโค้งเขม็ง ดูไม่ออกว่าชื่นชมหรือชิงชัง เมื่ออีกฝ่ายทั้งขมวดคิ้วและมีท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ใครจะชิงชังประธานาธิบดีตลอดกาลได้ลงคอ ชานยอลนึกภาพไม่ออกเลย


              “หิวหรือยัง”


              “ยังครับ”


              “แต่ผมหิวแล้ว” ชายหนุ่มร่างสูงบอก กึ่งบังคับ “เพราะฉะนั้น ตามคนยกกระเป๋าขึ้นไปที่ห้องของคุณ และกลับลงมาภายในยี่สิบนาที ผมจะรอพบคุณที่ห้องอาหาร เราจะถามไถ่ถึงเรื่องอื่น ๆ กันที่นั่น”


              แบคฮยอนไม่พูดอะไรอีกเลยจนรถแล่นข้ามแม่น้ำแทดง ตรงสู่ย่านมุนฮุง เลี้ยวเข้าไปในถนนแคบ ๆ ใกล้กับสถานเอกอัครราชทูตโรมาเนียประจำกรุงเปียงยาง จนดับเครื่องแล้ว ชานยอลจึงได้สบตาผู้ติดตามผ่านกระจกมองหลังเป็นครั้งแรก


              เขาเกือบจะแข็งทื่อไปในวินาทีเดียวกัน


              แววตาของแบคฮยอน เหมือนกับแววตาของผู้ต้องหารายนั้น... ไม่มีผิดเลย





    #ฟิคเปียงยาง

    ขอโทษนะคะที่หายหน้าไป เรื่องนี้หาข้อมูลยากมากกก มากถึงมากที่สุด

    โอเคไหม จอยไม่จอย บอกได้นะคะ เราเพิ่งจะปรับอารมณ์จาก Riptide ง่า TT 

    แต่บอกตรง ๆ เรายังจับจังหวะเรื่องนี้ไม่ได้เลย ออกมาประดักประเดิดขั้นสุดอ่ะ 

    ฮือออ จะพยายามแก้ไปเรื่อย ๆ นะคะ


    เราลองปรับช่วงบรรทัดใหม่ กำหนดความยาวต่อหนึ่งตอนใหม่ด้วยน้า ชอบไม่ชอบก็บอกกันเน้อ

    ตัวละครคงไม่ได้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรมากเท่า Riptide เรื่องนี้เน้นความเป็นปัจจุบัน

    การชิงไหวชิงพริบ พัฒนาการทางความคิด อะไรแบบนั้นมากกว่า (ถ้าทำได้นะ)


    ตอนนี้แบคฮยอนกับชานยอลยังไม่เรียกกันว่าฉัน-นายเนอะ เพิ่งเจอกันเอง 

    ความคิดอ่านก็ยังไม่ซับซ้อนอะไร ให้สุดโต่งกันไปคนละทางก่อน

    ติดตามตอนต่อไปนะคะ 555 จะไม่มีการฆ่ากันเกิดขึ้นระหว่างพระ-นายแน่นอน เราสัญญา 555






     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×