ตอนที่ 19 : L O N E W O L F | Hate the sin and love the sinner.
? cactus
Chapter 15
Hate the sin and love the sinner.
จงชังบาป และโอบกอดผู้หลงผิด
“แม่ล่ะ! ”
“ไม่รู้” ศีรษะของจุนมยอนผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ด้านหลังเล้าไก่ “เมื่อกี้ยังตามฉันมา... ”
“แล้วแบคฮยอน... ”
“ฉันอยู่นี่” ชายหนุ่มร่างเล็กร้องบอกจากในบ้าน “เห็นเจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอที่ไหน”
“ตลาด”
“อย่างนั้น แม่อาจอยู่กับพวกเขาแล้วตอนนี้” แบคฮยอนบอกอย่างเคร่งขรึม ท่ามกลางความตกตะลึงของใคร ๆ “มีความเป็นไปได้สูง จงอิน... จับเขาไว้”
มือของชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลตะปบลงที่ต้นคอของร้อยโทปาร์ค อดีตผู้บังคับบัญชาร้องโอ๊ยและดิ้นรน เพียงแต่พี่ชายบุญธรรมตะคอกว่า “หุบปาก! ” ก่อนปั้นผ้าเช็ดมือเป็นก้อนแล้วยัดเข้าไปในปาก
“จะทำยังไงดี”
ชายหนุ่มร่างเล็กฟาดเผียะที่มือของอีกฝ่าย จุนมยอนจิกเล็บกับต้นแขนด้วยอาการลนลาน “อย่านะ อยากให้เลือดออกหรือไง”
“ตีแรงอย่างนี้ไม่ต่างกันหรอก”
จริงอย่างที่เด็กหนุ่มว่า บริเวณที่ถูกฟาดปรากฏจ้ำเลือดอย่างรวดเร็ว เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังบอบบางและซีดเซียวนั้นฉีกขาดเสียแล้ว แบคฮยอนจึงรู้... เขากำลังกลัวไม่ต่างกัน
“กลับเข้าไปในบ้าน เก็บของ แล้วก็... ”
ได้ยินเสียงพล่อกหนัก ๆ ร้อยโทปาร์คชกจงอินสุดแรงเกิด จมูกสีน้ำตาลหัก เลือดไหลพรูเป็นรอยแต้มบนพื้นดิน เด็กหนุ่มปรี่เข้าใส่ เตะชานยอลที่ข้อพับเข่าและทำให้ชายหนุ่มร่างสูงล้มลง จากนั้นมืออันใหญ่โตจึงถูกมัดไพล่หลัง
“ขอร้องล่ะ ไปกับเรา” เขาบอกอดีตผู้บังคับบัญชาก่อนจะผลุบหายไปในบ้านอีกครั้ง “เราต้องมีนาย พวกเขาจะไม่ทำร้ายเรา ดีกว่านั้น... แม่อาจปลอดภัย”
“หมายความว่ายังไง อาจน่ะ... ”
แบคฮยอนไม่ตอบคำถามพี่ชายบุญธรรม ชายหนุ่มร่างเล็กไปที่เตาไฟ กวาดขี้เถ้าออกและกอบโกยสิ่งที่อยู่ข้างใต้ โลหะสีทองและสีเงินเป็นประกายบนชั้นดินสีเทา อึดใจเดียวทองคำหยิบมือหนึ่งจากเหมืองเหล็กและเงินจำนวนน้อยนิดก็หายไปในถุงทะเล
“จุนมยอน เสื้อผ้า... ”
“รู้แล้ว! ”
“จงอิน” เขาตะโกน “โทรศัพท์หาคนพวกนั้น”
ร้อยโทปาร์คซึ่งมีผ้าอุดปากส่งเสียงอู้อี้ขณะถูกผลักเข้ามาในบ้าน “อนอ้วกไอ๋” ชายหนุ่มร่างเล็กจึงดึงกระจุกผ้านั้นออกจากปากของอีกฝ่าย ถามว่า “อะไรนะ”
“คนพวกไหน”
“นายหน้า... คนที่จะพาเราไปจากประเทศนี้ คนที่เคยพาจงแดไป”
“แย่แน่” จงอินสั่นศีรษะระหว่างกดหมายเลขด้วยมือที่สั่นสะท้าน “ไม่ใช่วันนัดหมาย และยังกะทันหันเกินไป เอกสาร รถยนต์ การเตรียมการ... จะไม่มีอะไรแล้วเสร็จ ไหนจะยามฝั่ง... ”
พี่ชายบุญธรรมหมายถึงทหารซึ่งประจำการอยู่ตลอดความยาวของแม่น้ำทูมัน มองไปรอบ ๆ จากหอสูง พร้อมจะยิงทุกสิ่งที่เคลื่อนไหว รวมถึงที่ลาดตระเวนอยู่แทบจะตลอดเวลา
วันที่สี่พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันนัดหมาย พวกเขาจะข้ามแม่น้ำไปโดยยามฝั่งที่รับสินบนจากนายหน้ารู้เห็นเป็นใจ ก่อนเดินทางสู่ประเทศเสรีอย่างราบรื่นด้วยเอกสารและการเตรียมการอย่างพิถีพิถัน เพียงแต่วันนี้ไม่ใช่... อย่าว่าแต่เอกสารเลย แม้การข้ามแม่น้ำช่วงที่แคบที่สุดก็อันตรายเกินกว่าจะไม่พรั่นพรึง
“เราไม่มีทางเลือก”
อีกฝ่ายยักไหล่ราวกับจะบอกว่า “รู้อยู่แล้ว”
เมื่อสิ้นแสงสุดท้ายแห่งวัน คนทั้งสี่ที่ตื่นกลัว หนาวสั่น และสิ้นหวังก็คุกเข่าอยู่ในพุ่มไม้ พุ่มเดียวในละแวกนั้นซึ่งพอจะเหลือใบอยู่บ้าง ห่างจากแม่น้ำทูมันไม่กี่หลา ชั้นน้ำแข็งบาง ๆ เป็นประกายในแสงจันทร์ราวกับสถานที่ในจินตนาการ
“พวกเขาอาจพาแม่มา” แบคฮยอนซักซ้อมอีกครั้ง “ส่งเขาให้เจ้าหน้าที่... แลกกับแม่ ตราบใดที่มีชานยอล เราจะปลอดภัย”
“แล้วเราก็ไป”
“ฮื่อ... แล้วเราก็ไป”
อดีตผู้บังคับบัญชาหันมาสบตาเขาทันควัน ดวงตาคู่นั้นเยียบเย็นกว่าอากาศเสียอีก
แล้วเราก็ไป... ง่ายอย่างนั้นเชียว
ชานยอลพ่นลมหายใจออกจากปาก ไหล่สั่นเทิ้มด้วยอุณหภูมิที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ
“นี่” ชายหนุ่มร่างสูงต่อรอง “เอาอย่างนี้ไหม... ”
“อะไรของแก” จงอินถามห้วน ๆ
“ปล่อยฉันไป ฉันจะเจรจากับพวกเขา กับพ่อ... ให้ทั้งหมดนี้จบลงด้วยดี แล้ววันที่สี่พฤศจิกายน พวกนายก็ไป ไม่ต้องรีบร้อนอย่างที่เป็นอยู่ อันตรายไม่ใช่หรือไง”
“ฉันบอกแล้วว่าเราไม่มีทางเลือก” อดีตผู้ติดตามว่า “เราไม่คิดว่าพวกเขาจะตามหานาย ถ้าแค่มินกูล่ะก็ ไม่เป็นไร แต่เจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอจะไม่ไว้ชีวิตเรา ‘วิสามัญฆาตกรรมกบฏ’ มีความดีความชอบมาก จะได้โยกย้ายไปจากสถานที่ไกลปืนเที่ยงอย่างนี้เสียที”
“แต่... อย่างที่ฉันว่าดีกว่าเสียอีก ทุกคนจะปลอดภัย และ... และ... ” ร้อยโทปาร์คไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไร รั้งอีกฝ่ายไม่ให้จากไปอย่างนั้นหรือ “อาจ... อาจได้รับอนุญาตให้จากไปด้วยซ้ำ”
แบคฮยอนกลับมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา “ไม่เข้าใจหรือไง ไม่มีใครอยากให้เราข้ามไปอีกฝั่ง”
“เปลืองน้ำลายเปล่าน่า” จุนมยอนกระซิบ
“แต่เราควรจะรอก่อน... ไม่ใช่หรือไง”
“เลิกฝันลม ๆ แล้ง ๆ เสียทีเถอะ”
ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลขัดขึ้นพร้อมกับกระชับท่อนไม้ในมือ “เราต้องมีแก อย่างที่แบคฮยอนว่า” จงอินขยายความ “และฉันจะพาแกไป อย่างน้อยก็ที่ฝั่งขะโน้น แกจะเป็นอิสระ เมื่อพวกเราอยู่ในความคุ้มครองของมิสเตอร์จางแล้ว”
“ของใครนะ”
“พ่อค้าในหยานจี๋ นายหน้าของพวกเรา” เด็กหนุ่มบอก
จากนั้นก็มีแต่ความเงียบ ไม่มีลมพัด ไม่มีกระทั่งเสียงร้องของสัตว์กลางคืน คนทั้งสี่เบียดเสียดกันในพุ่มไม้ ไม่ขยับตัวแม้จะเมื่อยขบ เพราะหวาดกลัวยามฝั่งราวหนูกลัวแมว จุนมยอนนั่งตักจงอินซึ่งลูบศีรษะเล็ก ๆ นั้นอย่างใจลอย ขณะที่อดีตผู้ติดตามนั่งอยู่ที่ระหว่างขาของเขา ใกล้เสียจนชายหนุ่มร่างสูงได้กลิ่นขี้เถ้าจากร่างกายของอีกคนหนึ่ง
แบคฮยอนกำลังจะไป... จริง ๆ หรือ
เท่านี้เองหรือ สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา เขาจะถูกแลกเปลี่ยนกับหญิงวัยกลางคนเหมือนสินค้าในตลาด ถูกจงอินพาถูลู่ถูกังไปยังอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อจะซมซานกลับมาเมื่อครอบครัวเล็ก ๆ นี้ปลอดภัยแล้ว
แต่เป็นอย่างนี้อาจดีกว่า ร้อยโทปาร์คจะติดตามแบคฮยอนไปได้อย่างไร ชานยอลจะกล้าสู้หน้าผู้ชายธรรมดา ๆ อย่างคิมจงแดหรือ หากบังเอิญพบกัน
ทันใดนั้น เสียงสวบสาบจากที่ไกล ๆ ขัดจังหวะความคิด อดีตผู้ติดตามสะดุ้ง มืออันผ่ายผอมข้างหนึ่งแตะลงบนหน้าอกของเขาที่ตำแหน่งหัวใจ
“ยามฝั่ง” จุนมยอนกระซิบ
“แล้วจะผ่านไป” จงอินตอบ “เว้นแต่... ”
“เว้นแต่อะไร”
“เว้นแต่เป็นเจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอ”
แบคฮยอนกัดริมฝีปาก ในโลกแห่งไหวพริบ ชายหนุ่มร่างเล็กไม่เป็นสองรองใคร แต่ในโลกแห่งพละกำลังนี้ อีกฝ่ายเสียเปรียบใคร ๆ อย่างเต็มประตู
ชั่วขณะหนึ่งในความเงียบ ชานยอลตัดสินใจกำรอบมือข้างนั้น บีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ “ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มร่างสูงกระซิบกับหูของอดีตผู้ติดตาม “มีฉัน... นายจะปลอดภัย จำได้ไหม”
แบคฮยอนสบตาเขาอย่างเคลือบแคลง แน่ล่ะ ประโยคนั้นอาจหมายถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ หรือหมายถึงสถานการณ์ทั่ว ๆ ไปก็ได้ แสงจันทร์ทำให้ดวงตาของอีกฝ่ายวาววามคล้ายลูกแก้ว ดูสวยสดบนใบหน้าซีดเผือดนั้น
“ทำปากดีไปเถอะ”
“ใครกันแน่” ชานยอลตอกกลับ
เสียงสวบสาบเงียบลง จงอินถอนหายใจ ก่อนขยับตัวเพื่อคลายความเมื่อยล้า ทำให้กิ่งไม้กิ่งหนึ่งหัก ส่งเสียงแกร๊กในความสงัด คนทั้งสี่กลั้นหายใจพร้อมกัน
แล้วเสียงสวบสาบก็ดังขึ้นอีก
“จะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง” เสียงแหบห้าวดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นบุหรี่
“ไม่อยู่ที่บ้าน” อีกเสียงหนึ่งที่ห่างไกลกว่าและอู้อี้กว่าตอบรับ
“เดี๋ยวนี้ ระหว่างพลเรือเอกปาร์คกะพลเรือเอกซง ใคร ‘ใหญ่’ กว่ากัน”
“ถามได้” เสียงที่อู้อี้นั้นชัดเจนขึ้นเมื่อผู้พูดอยู่ใกล้เข้ามา “พลเรือเอกซงซีวะ”
“อย่างนี้จะดีเร้อ” อีกเสียงหนึ่งถาม “พลเรือเอกเขี้ยวลากดินจะไม่มีวันให้อภัย”
“กลัวอะไร มีพลเรือเอกซงคุ้มกบาล”
พวกเขาสบตากันอย่างใคร่รู้ แบคฮยอนคลานออกไปด้านนอกพุ่มไม้หน่อยหนึ่งและเงี่ยหูฟัง
“จะฆ่าเขาจริง ๆ ใช่ไหม เราได้รับคำสั่งให้ตามหานี่”
“ฮี่โธ่ สารพัดจะอ้าง บอกว่าเป็นลูกหลงเสียก็ได้” เสียงที่แหบแห้งเสียงแรกบอกอย่างรำคาญใจ “ถือว่าสงเคราะห์คนผิดเพศ เฮ้ย! ไปทางโน้น! ”
เมื่อเสียงสวบสาบเงียบลงอีกครั้ง จงอินกลืนน้ำลาย “ไอ้ลูกหมา”
ชานยอลจึงส่งยิ้มให้อย่างแห้งแล้ง “จะไม่มีการเจรจา”
เจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้ตามหาเขาและไล่ล่าแบคฮยอนอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ด้วยความไม่มั่นคงของตระกูลปาร์คและตระกูลชเวเวลานี้ทำให้คนเหล่านั้นเลือกจะสวามิภักดิ์ต่อพลเรือเอกซง ฆ่าเขาเสียที่นี่... กำจัดหนึ่งในสามดาวรุ่งชั้นสัญญาบัตร และรับบำเหน็จอย่างถึงใจจากตระกูลซง ไม่เลว... ไม่เลวเลย
ร้อยโทปาร์ครู้สึกราวกับเป็นงูที่กลืนกินหางของตัวเอง อำนาจของพ่อคุ้มครองเขาและเป็นภัยแก่เขาในเวลาเดียวกัน
“จะทำยังไง... ” เด็กหนุ่มจิกเล็บกับต้นแขนอีกครั้ง เพียงแต่ไม่มีใครสนใจ
“พี่ไม่รู้... จุนมยอน”
“เราต้องไป... ไปเดี๋ยวนี้” พี่ชายบุญธรรมของแบคฮยอนบอกอย่างเด็ดเดี่ยว “จะกลับไปที่บ้านหรือที่ไหน ๆ ก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องไป และกลับมารับแม่... ถ้ายังมีแม่ให้กลับมารับน่ะนะ”
“พี่จะทิ้งแม่ไม่ได้นะ! ”
“รักษาชีวิตเพื่อกลับมารับแม่ ดีกว่าไม่มีใครรอดชีวิต”
“พวกเขาอาจพาแม่มาด้วย” จุนมยอนบอกอย่างดื้อรั้น
“อย่างนั้นก็ต้องได้ยินเสียงแม่”
“มิสเตอร์จางว่ายังไง” แบคฮยอนถามอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“เขาว่าจะรีบมา” ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลบอกเสียงอ่อย “เราได้แต่ภาวนาให้... ”
“ให้รอดชีวิต”
เขี้ยวทองซี่หนึ่งของเจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอเป็นประกายตัดกับสีดำของท้องฟ้าและจิตวิญญาณ ร้อยโทปาร์คตะโกน “หลบ! ” เมื่อปากกระบอกปืนทิ่มลงมาในพุ่มไม้ ถูกชายโครงของเขาอย่างจัง ชายหนุ่มร่างสูงผลักแบคฮยอน ขณะที่จงอินกอดเด็กหนุ่มแนบอกและกลิ้งไปอีกทางหนึ่ง เสียงปืนระเบิดขึ้นในหู เกิดเป็นหลุมบนพื้นดินเมื่อชานยอลกระโจนหลบทันควัน
“ไป! ไปที่แม่น้ำ! ” เขาร้องเสียงแห้ง “ไปเดี๋ยวนี้! ไปซีโว้ย! ”
แบคฮยอนวิ่งไม่คิดชีวิต พื้นดินบริเวณนั้นเฉอะแฉะเนื่องจากครั้งหนึ่งเป็นทางน้ำเก่าก่อนแม่น้ำทูมันเปลี่ยนทิศทาง เท้าจมลึกลงไปในโคลน ไม่ช้าก็ต้องสลัดรองเท้าออก หนามของวัชพืชจึงทิ่มแทงฝ่าเท้าเปลือยเปล่า ชายหนุ่มร่างเล็กกัดฟัน “กระเป๋าล่ะ” เขาตะโกนถาม “เป้ของจุนมยอน”
“อยู่ในพุ่มไม้... ช่างมัน”
ร้อยโทปาร์คตามมาไม่ไกลนัก อดีตผู้ติดตามหันกลับไปมองนับครั้งไม่ถ้วน กระทั่งถูกจงอินรุนหลัง “ไป... รีบไป อย่าหันกลับไปมอง เร็วเข้า”
เสียงปืนดังไล่หลัง สะท้อนกลับไปกลับมาระหว่างหุบเขาและแม่น้ำซึ่งเป็นน้ำแข็ง ฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงปืนของเจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอหรือยามฝั่ง
“ก้มลง! ” เขาได้ยินเสียงของชานยอล “ก้มลง และยกมือขึ้น กันกระหม่อมกับท้ายทอยไว้”
ชายหนุ่มร่างเล็กมาถึงแม่น้ำทูมันส่วนที่แคบที่สุดเป็นคนแรก แผ่นน้ำแข็งบางกว่าที่เขาคิดไว้ แบคฮยอนหลับตาและกลั้นหายใจก่อนเหยียบลงบนพื้นผิวเย็นเฉียบ เท้าทั้งสองของเขาปวดร้าวราวจะปริออก ให้นึกสงสัยว่าจะไปถึงอีกฝั่งหนึ่งก่อนอวัยวะคู่นี้ชาเสียจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้หรือเปล่า
“ไหวหรือเปล่า... ขึ้นหลังฉัน”
“ไม่! ” ปฏิเสธพี่ชายบุญธรรมเสียงแข็ง “รีบพาจุนมยอนไป”
เขาจึงรั้งท้ายในที่สุด เช่นเดียวกับร้อยโทปาร์ค ชานยอลไม่ไถ่ถาม ไม่ขอความเห็น อีกฝ่ายจู่โจมเขาด้วยอ้อมแขน ยกแบคฮยอนขึ้นพาดบ่าก่อนเร่งฝีเท้า
“อยากตายหรือไง! ” เขากรีดร้อง “ทำอะไรโง่ ๆ ”
แต่อดีตผู้บังคับบัญชาไม่ตอบ จงอินและจุนมยอนไปถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ไม่ช้าก็หายลับไปในแนวป่าใกล้ ๆ กระสุนบางนัดเจาะพื้นน้ำแข็งเป็นรู ทำให้พื้นผิวที่บางและเย็นยะเยือกปริออกจากกัน แบคฮยอนกลืนน้ำลาย มองกลับไปยังฝั่งที่จากมา ไม่มีเจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอหรือยามฝั่งตามคนทั้งสี่มา คนเหล่านั้นต่างรู้ว่าพื้นน้ำแข็งบางเกินกว่าจะรองรับน้ำหนักของชายฉกรรจ์จำนวนสองโหล เจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอหยุดยิงแล้ว ฉะนั้น กระสุนนัดต่อไปจะเป็นของ...
“ชานย... ”
ยามฝั่งบนหอสูงลั่นกระสุนนัดสังหาร ร้อยโทปาร์คล้มลงและทำให้คางของแบคฮยอนกระแทกพื้นน้ำแข็งอย่างแรง มันแตก... เขารับรู้ผ่านความรู้สึกเจ็บปวดและเลือดอุ่น ๆ ชายหนุ่มร่างเล็กสั่นศีรษะ มองหาอดีตผู้บังคับบัญชา
“ชานยอล! ชานยอล! ”
ร้อยโทปาร์คนอนขดตัว อีกฝ่ายถูกยิงที่สีข้าง เลือดปริมาณมากเปลี่ยนพื้นผิวสีเงินเป็นสีแดง กระสุนอีกนัดหนึ่งกระทบพื้นน้ำแข็งไม่ไกลนัก เมื่อรวมกับน้ำหนักของคนทั้งสองและแรงกระแทกจากการซวนทรุด แผ่นน้ำแข็งจึงแตกออก กะพริบตาอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างสูงก็จมหายไปในน้ำเย็นเฉียบ
“ไม่นะ! ” กว่าจะรู้ว่าเสียงกรีดร้องน่าสยดสยองนั้นเป็นเสียงของตัวเอง ก็เมื่อลำคอปวดร้าวเช่นเดียวกับคางและศีรษะแล้ว “ชานยอล! ขึ้นมา! ”
“แบคฮยอน! ” พี่ชายบุญธรรมตะโกนจากอีกฝั่งหนึ่ง “เร็วเข้า! ”
“รอก่อน” เขาครางอย่างสิ้นหวัง “รอก่อน... เขาถูกยิง”
“ทิ้งมันไว้! ”
“ไม่ได้! ” ชายหนุ่มร่างเล็กร้อง “ไม่ได้นะ จงอิน! ”
เสียงปืนเงียบลง คนเหล่านั้นอาจพยายามตรวจสอบว่าชานยอลยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ขณะที่เขานอนราบกับพื้นน้ำแข็ง จุ่มแขนทั้งสองลงไป ควานหาอดีตผู้บังคับบัญชา
“จับมือฉัน อย่าปล่อยมือฉัน” ชายหนุ่มร่างเล็กกระซิบ “เหมือนในงานเฉลิมฉลอง อย่าปล่อยมือฉัน อย่าปล่อยมือฉัน อย่าปล่อย... ”
ไม่ทันขาดคำ มืออันใหญ่โตจากใต้น้ำตะปบลงที่มือของเขา ก่อนชานยอลทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำ ริมฝีปากสั่น นิ้วทั้งสิบกลายเป็นสีม่วง แบคฮยอนได้ยินเสียงฮือฮา ไม่ช้าเสียงปืนจะดังขึ้นอีก
“เร็วเข้า” เขาพูดซ้ำไปซ้ำมา “ขึ้นมา ขึ้นมา ขึ้นมา... ”
ชายหนุ่มร่างเล็กออกแรงดึง จงอินถลันกลับมาจากอีกฝั่งเพื่อช่วยเหลือ คนทั้งสองพาร้อยโทปาร์คที่จวนจะหมดสติขึ้นจากน้ำ ก่อนกระเสือกกระสนพาชายหนุ่มร่างสูงไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ได้ยินเสียงปืนอีกสองหรือสามนัดไล่หลังเมื่ออดีตผู้บังคับบัญชาล้มลงบนพื้นโคลนและสำลักกระอักกระไอ
“ยา... เราไม่มี” แบคฮยอนหันรีหันขวาง “เป้อยู่ที่... โธ่... ฉันจะต้อง... ”
เขาพยายามฉีกทึ้งเสื้อผ้า นึกแปลกใจที่พี่ชายบุญธรรมไม่ห้ามปราม ก่อนจะได้คำตอบเมื่ออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับชายสามคน
“เหนือความคาดหมายหน่อย แต่... ” หนึ่งในนั้นประเมินบาดแผลของชานยอลด้วยสายตาก่อนแตะปีกหมวกอย่างมากท่า “ฉันจะช่วยชีวิตเขาเอง”
ชานยอลลืมตา สติสัมปชัญญะและความเจ็บปวดเดินทางมาถึงพร้อมกัน ชายหนุ่มร่างสูงครวญคราง ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงของจุนมยอน “เขาฟื้นแล้ว! ”
ใบหน้าซีดเซียวของแบคฮยอนปรากฏขึ้นที่หางตา “อี้ชิง” ร้อยโทปาร์คขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จักชื่อนั้น “ทางนี้”
จากนั้น ชายที่เขาไม่รู้จักยืนเท้าสะเอว ชะโงกอยู่เหนือร่างกายของชานยอล ก่อนพูดด้วยสำเนียงแปร่ง ๆ “เจ็บหรือเปล่า” อีกฝ่ายถาม พลางตบเบา ๆ ที่สีข้างของตัวเอง อันหมายถึงบาดแผลของเขา
“ปวด... ” เขากระซิบอย่างอ่อนแรง “มาก... ”
“เสียใจด้วย เราไม่มีมอร์ฟีนหรือพาราเซตามอล” อี้ชิงตอบ “ไม่มีอะไรนอกจากฝิ่น เอ้า... อ้าปาก”
เขาถูกบังคับให้กลืนฝิ่นสุกก้อนหนึ่ง รสชาติขมเสียจนชายหนุ่มร่างสูงสำลัก “อดทน” แบคฮยอนสำทับ “ไม่มีน้ำร้อน จะไม่มีชาฝิ่นก่อนเดินทางถึงหยานจี๋”
“จำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชานยอลสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่กี่อึดใจ ความทรงจำก็พรั่งพรู...
“จับเขาไว้! ” ได้ยินอย่างนั้นเมื่อถูกพาออกห่างจากแม่น้ำทูมันไปสู่สุมทุมพุ่มไม้ในป่าละเมาะเล็ก ๆ “ไม่มีผ้าสะอาดหรือน้ำสะอาด ไม่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาล เพราะฉะนั้น... ”
“จะทำอะไร” เป็นเสียงของแบคฮยอน
“จื่อเทา... มีดของนาย” ชายอีกคนหนึ่งพยักหน้าก่อนส่งมีดปลายแหลมให้ “ไฟแช็กด้วย”
ร้อยโทปาร์คกะพริบตา จวนจะหมดสติอยู่แล้วเมื่ออี้ชิงก่อไฟกองหนึ่งขึ้นอย่างลวก ๆ ลนใบมีด เปิดบาดแผลของเขาอย่างเบามือและนำหัวกระสุนออก “หัวกระสุนอยู่ตื้น โชคดี... จับเขาไว้ให้แน่น” อีกฝ่ายย้ำ “มินซอก ผ้าเช็ดหน้าของนาย สอดเข้าไปในปาก เร็วเข้า”
ใครต่อใครกลุ้มรุมเขา จงอินยึดขาทั้งสองไว้แน่น ขณะที่แบคฮยอนยึดแขนข้างหนึ่ง และจุนมยอนยึดอีกข้าง เปลวไฟลามเลียใบมีดอีกครั้ง นานกว่าเดิม “อดทนไว้” เขาได้ยินเสียงพึมพำ แต่ไม่ชัดเจนนัก “เจ็บ... มาก... ”
อี้ชิงนาบโลหะเผาไฟกับบาดแผลของเขาอย่างทันทีทันใด ชานยอลร้องโหยหวน ดิ้นเร่าด้วยความเจ็บปวด เลือดหยุดไหลอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ชายหนุ่มร่างสูงหมดสติเสียก่อนจะชื่นชมผลลัพธ์
ไม่ช้าร้อยโทปาร์คก็จดจำผู้มาใหม่ทั้งสามได้ ประกอบด้วยชายชาวจีนสองคน และเด็กหนุ่มจากเมืองฮเยซาน จังหวัดรยังกัง ไม่ไกลจากมูซานนักหนึ่งคน จางอี้ชิงผู้รักษาบาดแผลของเขาคือมิสเตอร์จางอย่างไม่ต้องสงสัย “เกิดและเติบโตที่หยานจี๋ ไม่ไกลจากที่นี่นัก” อีกฝ่ายบอกเล่า “เป็นพ่อค้าของเถื่อนเหมือนกับพ่อ เครื่องเล่นดีวีดี ยูเอสบีแฟลชไดร์ฟ ครึ่งหนึ่งของสิ่งผิดกฎหมายในประเทศของนาย เป็นสินค้าของฉัน”
“แล้วทำไม... ”
“ขยายกิจการ! เดี๋ยวนี้ฉันเป็นทั้งพ่อค้าของเถื่อนและนายหน้า พาใครต่อใครจากฝั่งขะโน้นมา ปลอมแปลงเอกสาร นำสู่ประเทศเสรี”
“ชาติทุนนิยม” ชานยอลพูดลอดไรฟัน
“อะไรก็ช่าง” มิสเตอร์จางแบะปาก “หวงจื่อเทาเป็นเจ้าของมีดเล่มนี้ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน คิมมินซอกข้ามแม่น้ำมาเมื่อหลายปีก่อน เหมือนกับพวกนาย แต่เป็นแม่น้ำอัมนก ไม่ใช่แม่น้ำทูมัน เป็นเด็กรับใช้ที่ซื่อสัตย์ แต่ก่อนเป็นล่ามด้วย แต่... อย่างที่เห็น... ฉันใช้ภาษาของพวกนายได้ดีแล้ว”
“เอกสารยังไม่แล้วเสร็จ” จงอินขัดขณะจ้ำพรวด ๆ ไปในกอหญ้าสูงถึงเอว และต้องออกแรงยกเปลชั่วคราวของเขายิ่งขึ้น “เงินกับทองคำเท่าที่มีอยู่ในเป้ของจุนมยอน เราไม่มีค่านายหน้าส่วนสุดท้ายจะให้ และยังมีคนเพิ่ม... ”
“ไม่มีคนเพิ่ม” จุนมยอนบอกอย่างเคือง ๆ “เขามากับเราแทนที่แม่ จำไม่ได้หรือไง”
“ไม่กี่หยวนหรอก” พ่อค้าของเถื่อนอธิบาย “ไม่มีก็หา... ไม่กี่วันเท่านั้น”
“ไม่มีก็หา” ร้อยโทปาร์คเลิกคิ้ว
จู่ ๆ จื่อเทาซึ่งมีใบหน้าเสี้ยมแหลมและดวงตาลึกโหลก็หันกลับไปหาแบคฮยอนที่ยักแย่ยักยันตามมา คางเป็นสีแดงอมน้ำตาลด้วยเลือดที่แห้งกรัง ก่อนพูดด้วยสำเนียงซึ่งแปร่งกว่าของอี้ชิงว่า “หน่วยก้านเขาดีนะ”
มินซอกถึงกับหัวเราะร่วน
อี้ชิงจอดรถยนต์ไว้ในป่า ใกล้กับสนสองใบต้นใหญ่ เมื่อเดินเท้าไปถึง คนทั้งหมดจึงออกเดินทางสู่หยานจี๋ เมืองหลวงของเขตปกครองตนเองหยานเปียนซึ่งชาวจีนและชาวเกาหลีอาศัยปะปนกัน
“ร้านอาหารทุกร้าน เขตก่อสร้างทั้งหมดถูกตรวจตราอย่างเข้มงวด” มินซอกอธิบายเมื่อพาคนทั้งสี่มายังห้องพักเล็ก ๆ เก่าโทรม บนผนังมีราจับจนทั่วแล้ว “จะให้ใครรู้ว่าพวกนายมาจากอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไม่ได้ พูดให้น้อยที่สุด และตั้งใจทำงาน เข้าใจหรือเปล่า”
“ฉันไม่คิดว่า... ”
“คนป่วยอยู่ที่นี่” เด็กรับใช้พยักหน้าให้ชานยอล “จื่อเทาจะพานายสองคนไปที่โรงงาน และนาย... ” คราวนี้อีกฝ่ายส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เขา “ตามฉันมา”
หลังจากคนทั้งสามรู้ว่างานของแบคฮยอนคืออะไร ห้องพักเล็ก ๆ เงียบเชียบนั้นก็กลับอึกทึกขึ้น
“ไม่ได้นะ ไม่ได้! ” ร้อยโทปาร์คตะโกนครั้งแล้วครั้งเล่า “อย่าทำอย่างนั้นนะ! ”
“ฉันเห็นด้วยกับไอ้ลูกหมา” จงอินสำทับ “จงแดจะ... ”
“ฉันไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มี”
“เลิกพูดอย่างนั้นเสียที”
“เงียบเถอะ พ่อคนป่วย” ชายหนุ่มร่างเล็กกระชากเสียง ก่อนแตะที่บาดแผลบริเวณคางและนิ่วหน้า “ฉันดูแลตัวเองได้ จงอิน ไม่เป็นไร”
“ครั้งที่แล้วก็พูดแบบนี้” ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลบุ้ยใบ้ไปทางร้อยโทปาร์ค หูทั้งสองของอดีตผู้บังคับบัญชากลายเป็นสีแดงทันที
แบคฮยอนทำงานตลอดทั้งคืนในโรงน้ำชาซึ่งเจ้าของกิจการมีน้ำใจกว้างขวาง ไม่เพียงอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น ยังประกอบด้วยบริการอื่นซึ่งชายฉกรรจ์ในเมืองหยานจี๋ยินดีควักกระเป๋าเป็นสินน้ำใจ
เขาซึ่งมีรูปร่างอย่างเด็กชายหรือเด็กหนุ่มจะนวดเฟ้นคนเหล่านั้น เยินยอด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน ก่อนจะถูกชายฉกรรจ์ซึ่งเมามายกอดรัด แก้มและริมฝีปากถูกเสียดสีด้วยไรหนวด เปรอะน้ำลายที่คลุ้งกลิ่นแอลกอฮอล์ ชายหนุ่มร่างเล็กฉลาดพอจะหลบเลี่ยง หรือมอมอีกฝ่ายเสียก่อนจะถูกมอม จึงยังตื่นขึ้นในห้องพักเดียวกันกับครอบครัวและอดีตผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่ห้องพักของชายแปลกหน้าคนใดในหยานจี๋
เมื่อเวลาล่วงเลยสู่เดือนพฤศจิกายน บาดแผลที่คางก็หายสนิท เกิดเป็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับบาดแผลของร้อยโทปาร์ค แบคฮยอนเป็นเสาหลักของคนทั้งสี่ เขามีรายได้มากกว่าจงอินและจุนมยอนรวมกัน เสียงประท้วงของพี่ชายบุญธรรมจึงเบาลงทุกขณะ และไม่ดังขึ้นอีกเลยตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“พอได้หรือยัง”
ชายหนุ่มร่างเล็กสะดุ้งสุดตัว สำลีแผ่นซึ่งชุ่มด้วยน้ำมันล้างเครื่องสำอางร่วงผล็อยสู่อ่างล้างหน้า เขามักจะกลับมาถึงห้องพักเวลาเช้ามืด ซึ่งชานยอลที่ดื่มชาฝิ่นเป็นประจำจะยังหลับสนิท จึงประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบอีกฝ่ายยืนสะโหลสะเหล เท้ากรอบประตูห้องน้ำด้วยแขนข้างหนึ่ง เม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แสดงอาการไม่พอใจ
“อะไรของนาย” ว่าพลางสบตาอดีตผู้บังคับบัญชาผ่านกระจกห้องน้ำอย่างแน่วแน่
“แต่งหน้า” หางเสียงของร้อยโทปาร์คสูงขึ้นเล็กน้อย “ทำไม... ”
“นายก็รู้” แบคฮยอนตอบห้วน ๆ “เครื่องสำอางจำเป็นต่องานของฉัน”
ทำให้ริมฝีปากและแก้มของเขาเป็นสีเดียวกับดอกพลัม ดวงตากลมโตยิ่งขึ้น และใบหน้าซีดเซียวกลับเปล่งปลั่ง เรียบเนียนคล้ายผิวของตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
อีกคนหนึ่งย่างสามขุมเข้าใกล้ ชายหนุ่มร่างเล็กหันกลับไป ห่อไหล่และผลักที่หน้าอกของชานยอลเบา ๆ “จะทำอะไร”
“ฉันได้กลิ่นเหล้า”
“แน่ล่ะ” แบคฮยอนพูดเสียงขึ้นจมูก “จากลมหายใจของใครต่อใคร”
ร้อยโทปาร์คส่ายหน้า “หวงเนื้อหวงตัวเสียบ้างซี่”
“ฉันใช้ร่างกายนี้เป็นเดิมพันเสมอ ใช้อีกสักหนจะเป็นอะไรไป”
“แบคฮยอน! ”
“อะไรเล่า! หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ”
เขาร้องเสียงหลงเมื่อถูกลากถู พาไปยังบริเวณใต้ฝักบัวอย่างทันทีทันใด ชานยอลรูดม่านปิด ก่อนเปิดฝักบัวและทำให้ร่างกายของคนทั้งสองโชกด้วยน้ำเย็นจัด
“อะไรของนาย! ” ชายหนุ่มร่างเล็กตะโกน “บ้าไปแล้วหรือไง”
“ฉันเกลียดกลิ่นเหล้า” ร้อยโทปาร์คกลับให้คำตอบอย่างสงบ “จะไม่มีมัน... บนร่างกายของนาย เว้นแต่... ” อีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึก “จากลมหายใจของฉัน”
“เป็นไปไม่ได้หรอก งานของฉัน... ”
“จะไม่มีงานของนายอีก ” ชานยอลบอกอย่างหนักแน่น “ตรงนี้” อีกฝ่ายชี้ที่บาดแผลของตัวเอง “หายสนิทแล้ว ฉันจะไปที่โรงงาน”
“อย่าทำอย่างนี้ กลับไป”
“กลับไปไม่ได้ เจ้าหน้าที่เอ็นเอส... ”
“ติดต่อพ่อของนาย กลับไปที่เปียงยาง ส่งแม่ของพวกเราข้ามแม่น้ำมา และเลิกแล้วต่อกัน” อดีตผู้ติดตามว่า “สงบศึกกับแร้งเฒ่า ลืมเสียว่าเกิดอะไรขึ้น ที่เป็นอยู่นี้ไม่ใช่ความต้องการของนาย ฝั่งนี้ของแม่น้ำไม่ใช่โลกของนาย”
ร้อยโทปาร์คเงียบไป อีกคนหนึ่งขมวดคิ้วก่อนจรดหน้าผากกับผนังห้องน้ำ เหนือศีรษะของเขา แบคฮยอนแตะที่บาดแผลของอดีตผู้บังคับบัญชา ถามเบา ๆ ว่า “เจ็บมาก... ใช่ไหม”
ชานยอลไม่ตอบ กลับแตะที่บาดแผลของเขาบ้าง และถามชายหนุ่มร่างเล็กด้วยคำถามเดียวกัน “เจ็บมาก... หรือเปล่า”
แบคฮยอนถอนหายใจ “ไม่เท่านายหรอก”
คราวนี้อีกฝ่ายแตะที่สะโพกของเขา “รวมกับคราวนั้น ก็เท่ากันแล้ว”
คนทั้งสองสบตากันในแสงแรกแห่งวันอันเลือนราง ชายหนุ่มร่างเล็กอ้าปาก “นี่... ”
“ฉันขอโทษ”
แบคฮยอนเลิกคิ้ว “อะไรนะ”
“ขอโทษสำหรับการกระทำของฉัน สำหรับการกระทำของพ่อ ขอโทษสำหรับความตายของบยอนคงซู สำหรับความเจ็บปวดของคิมจงแด และสำหรับความสิ้นหวังของคิมจุนมยอน ฉันขอโทษ” อดีตผู้บังคับบัญชาบอกอย่างตรงไปตรงมา “ให้ฉันไปกับนาย ให้ฉันปกป้องนาย ให้ฉันชดใช้ ถึงที่หมายแล้วจะกลับไป จะเลิกแล้วต่อกันก็ได้... แบคฮยอน”
“นายดื่มชาฝิ่นมากเกินไป”
“เปล่านะ” ร้อยโทปาร์คกระซิบ “เปล่าเลย”
ดังนั้น เขาจึงหลับตาลงในอ้อมแขนของชานยอล พร้อมทั้งภาวนาให้เสียงน้ำไหลดังกว่าเสียงของการพังทลาย เมื่อกำแพงในหัวใจกลายเป็นซากปรักหักพัง
#ฟิคเปียงยาง
เฮ้อ หมั่นไส้คนมีความรัก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ที่ผ่านมามันหนักหน่วงเหลือเกิน อ่ะเฮือกกก