ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    end - (exo) lone wolf | chanbaek

    ลำดับตอนที่ #18 : L O N E W O L F | Every ending has a new beginning.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      69
      6 เม.ย. 60


    ? cactus




    Chapter 14

    Every ending has a new beginning.

    ทุกจุดสิ้นสุด คือการเริ่มต้นใหม่






              “เขาเป็นใคร”


              แบคฮยอนเสมองประตูทางเดินเชื่อมระหว่างตู้โดยสาร “ร้อยโทปาร์คชานยอล”


              “อ้อ... ” เด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้จักแค่นหัวเราะ “พี่ชาย”


              ชานยอลไม่เคยมีพี่น้อง ความรู้สึกที่มีต่อน้องชายต่างมารดาซึ่งปรากฏตัวอย่างกะทันหันจึงยากจะอธิบาย “ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายหนุ่มร่างสูงพูดตะกุกตะกัก “จุนมยอนใช่ไหม”


              “คิม-จุน-มยอน และจะไม่มีวันเป็นปาร์คจุนมยอนไปได้”


              “นายตั้งใจจะจมตัวเอง” อดีตผู้ติดตามซักไซ้ “และหนีออกจากบ้าน ทำไม... ”


              “พี่ก็รู้”


              “จุนมยอน... อดทน”


              “อดทนเนี่ยนะ” จุนมยอนกระชากเสียง “ได้รู้ว่าศัตรูตัวฉกาจเป็นพ่อบังเกิดเกล้า เป็นพี่จะรู้สึกยังไง”


              ชายหนุ่มร่างเล็กสะอึก “พี่... ” แบคฮยอนกระซิบ “ขอโทษ”


              คนทั้งสามสบตากันโดยปราศจากคำพูด รถไฟแล่นต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง ส่งเสียงฉึกฉักสลับกับเสียงหวูด ไม่ช้า นาก็แผ่ขยายออกไปจนสุดสายตา เป็นสีเหลืองซีดชวนหดหู่ หุ่นไล่กาสะบัดตัวอย่างเกียจคร้านในสายลมฤดูใบไม้ร่วง สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดมีขนาดเล็กและเต็มไปด้วยคราบน้ำฝน ความทรุดโทรมทั้งหลายบอกให้รู้ว่าพวกเขาจากเปียงยางมาแล้ว


              “ลูกชายคนโตของปาร์คมินกู” ชานยอลกลืนน้ำลาย รู้สึกแปลกประหลาดเมื่อถูกเรียกว่า ลูกชายคนโต แทนที่จะเป็น ลูกชายคนเดียว“มากับเราทำไม”


              แบคฮยอนกลอกตา “จะไปรู้เรอะ”


              “เขาปกป้องพี่” เด็กหนุ่มถามอย่างเคลือบแคลง “เพราะอะไร”


              “นายรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องทำอะไร”


              “ก็รู้... มีแต่พี่จงแดที่ไม่รู้” จุนมยอนบอกอย่างอึดอัด “แค่... ”


              “ทำไม”


              ร้อยโทปาร์คที่เพิ่งจะปะติดปะต่อบทสนทนาเหล่านั้นเข้าด้วยกันเป็นผลสำเร็จโพล่งออกมาอย่างฉุน ๆ ก่อนโอบรอบไหล่ผอม ๆ ของอดีตผู้ติดตามด้วยแขนข้างหนึ่ง ชายหนุ่มร่างเล็กร้องว่า “ปล่อยนะ! ” แต่เขาไม่สนใจ กลับถามต่อว่า “แล้วจะทำไม”


              “โลกเพิ่งจะหมุนกลับด้านหรือเปล่า นี่มันเรื่องอะไรกัน”


              “ฉันก็อยากรู้ และในเมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว แถมฉันยังเป็นคนเดียวที่มีปืน อีกความหมายหนึ่งคือคนเดียวที่ปกป้องนาย... และนายได้” ชายหนุ่มร่างสูงว่า “เพราะฉะนั้น ทั้งสองคน... ”


                “อะไรเล่า” แบคฮยอนถามอย่างไม่สบอารมณ์


                “บอกความจริงมานะ!

     






              ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้บอกเล่าความเป็นไปของชีวิตแก่อดีตผู้บังคับบัญชา แบคฮยอนมักจะโกหกอีกฝ่าย เมื่อบ่อยครั้งเข้าก็ไม่อาจจินตนาการถึงความจริงได้ต่อไป


              “ฉันเกิดในปีจูเชที่เจ็ดสิบเก้า (ปี 1990) ” เขาเริ่ม “ที่มูซาน พ่อคือบยอนคงซู หัวหน้าคนงานในเหมืองเหล็ก แม่คือฮวังดาจอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในสถานีอนามัย ครอบครัวของจงแด... นายรู้จักอยู่แล้ว และคิมอีซึล ผู้หญิงม่าย แม่ของจงอินเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกับเราที่สุด”


              จุนมยอนพยักหน้าอย่างหงอย ๆ


              “แม่จากฉันไปเมื่ออายุได้ห้าปี พ่อแต่งงานใหม่กับน้าอีซึลในสี่ปีให้หลัง จงอินจึงกลายเป็นพี่ชายบุญธรรมของฉัน พร้อมกับที่เรามีจุนมยอน เขาจึงเป็นน้องชายต่างแม่ของฉัน จน... เอ้อ... จน... ”


              “จนกลายเป็นน้องชายต่างแม่ของคนที่ไม่น่าจะตามพี่ต้อย ๆ อย่างนี้”


              แบคฮยอนพยายามเปลี่ยนเรื่อง “อย่างน้อยนายก็ยังเป็นน้องชายต่างพ่อของจงอิน”


              “ถ้าพี่จงแดรู้ล่ะ”


              แต่คนที่ตอบกลับเป็นชายหนุ่มร่างสูง “เขารู้อยู่แล้ว”


              “เงียบนะ!


              “หมายความว่ายังไง รู้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “พี่จงแดรู้ว่าเขากับพี่ เอ้อ... ”


              “พ่อของฉัน บยอนคงซูจากไปเมื่อแปดปีที่แล้วในอุบัติเหตุเหมืองถล่ม” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดเสียงแข็ง “เพราะรู้ว่าพ่อของนาย... ปาร์คมินกูมีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันจึงยอมรับข้อเสนอของพลเอกชเว แร้งเฒ่าเสนอทุนการศึกษาพร้อมโอกาสในการหลบหนีออกจากประเทศให้ฉัน แลกกับการ... ทำให้นาย... ”


              “แลกกับการให้เรามีอะไรกัน”


              จุนมยอนผิวปากเสียงดัง “แลกกับการทำให้นายทหารชั้นสัญญาบัตรที่มีคดีล่วงละเมิดทางเพศเพื่อนชายติดตัวหลงใหล ทำให้เขาต้องคดีอีกครั้งและล้วงความลับเท่าที่จำเป็น”


              “ถ้าอย่างนั้น นายก็เป็นคนของแร้งเฒ่าจริง ๆ อย่างที่ฉันสงสัย”


              ชายหนุ่มร่างเล็กแบะปาก “ฉลาดนี่” ก่อนจะพูดต่อ “แต่พวกเราไม่ไว้ใจแร้งเฒ่า ทุนการศึกษาครึ่งหนึ่งของที่ได้รับในแต่ละเดือนจะถูกส่งให้จงแด เขาเป็นคนแรกในหมู่พวกเราที่ได้ไปจากประเทศเส็งเคร็งนี่ หาที่ทางในประเทศใหม่ และหาลู่ทางไปจากนี่คอยท่า วันที่สี่พฤศจิกายนหรือราวสองสัปดาห์หลังจากนี้คือวันนัดหมาย ฉัน จงอิน แม่... หมายถึงน้าอีซึลน่ะ และจุนมยอน จะออกเดินทางสู่ประเทศใหม่”


              “ตั้งใจจะตลบหลังแร้งเฒ่า”


              “ใช่ แต่เกิดข้อผิดพลาด” อดีตผู้ติดตามถอนหายใจ “มินโฮยื่นข้อเสนอใหม่ให้ฉัน ให้ฉันแหวะอกแร้งเฒ่าแทนที่จะแหวะอกนาย แลกกับความคุ้มครองจากพลเรือเอกซงซอนบี พ่อของเขา และฉันกับครอบครัวจะได้ไปจากที่นี่... ตลอดกาล”


              “แฉแร้งเฒ่าเท่ากับแฉฉัน”


              “นั่นแหละ สุดท้ายก็ไม่มีใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ แม้แต่ฉัน ไม่มีใคร... นอกจากพ่อลูกซง” แบคฮยอนพึมพำ “ฉันไม่คิดจะรับข้อเสนอของมินโฮ จนจงอินว่าแร้งเฒ่าไปพบจุนมยอน และเขาพยายามจะฆ่าตัวตาย แร้งเฒ่าบอกความจริงเขา ความจริงที่ว่าจุนมยอนเป็นลูกนอกสมรสของมินกู ฉันก็เลย... ”


              “รับข้อเสนอของมินโฮ หันหลังให้พลเอกชเว และทำให้เกิดความวุ่นวายในงานเฉลิมฉลอง” ชานยอลต่อให้ “แต่ทุกสิ่งกลับตาลปัตร เราตกกระไดพลอยโจนเป็นจำเลยร่วมของแร้งเฒ่า พ่อลูกซงพยายามผูกไมตรีกับพ่อด้วยการว่าความให้ มินโฮจะให้เซฮุนใส่ความแร้งเฒ่า ว่าเคยจ้างวานหมอนั่นให้หลับนอนกับฉัน เหมือนที่จ้างวาน นาย เพื่อจะให้ฉันมีความผิดฐานผิดเพศแต่ชนะคดีหมิ่นประมาท โดยมีพยานคือผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดทหารบกซึ่งเป็นคนของพลเรือเอกซง แต่เขาดันตายเสียก่อน... ไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมชาติหรือไม่ก็ตาม”


              “จากนั้น... จุนมยอนก็โผล่มา”


              ร้อยโทปาร์คระบายลมหายใจออกจากปาก “นี่มันเรื่องอะไรกัน”


              “เกมของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามที่ลากคนนู้นคนนี้เข้ามามีเอี่ยว” จุนมยอนค่อนแคะ “สร้างความเจ็บปวดและสุดท้ายก็ได้รับความเจ็บปวด”


              “พ่อไม่ควรไปที่มูซาน” ชานยอลรำพึง “พ่อพาฉันไปที่มูซานเมื่อยังเล็ก นั่นคงเป็นครั้งแรกที่พ่อของเราพบกัน”


              “เปล่า... ”


              “หมายความว่ายังไง”


              ชายหนุ่มร่างเล็กกลืนน้ำลาย “ดอกพลัมจะบานในเดือนมีนาคม ดอกซานซูยูจะบานในเดือนเมษายน อย่าลืมตัดดอกพลัมให้คงซู และตัดดอกซานซูยูให้ดาจอง”


                “อะไรนะ”


              “มินกูบอกกับฉันอย่างนั้น”


              “หมายความว่า... พ่อของฉันรู้จักแม่แท้ ๆ ของนาย แต่ว่า... ”


              จุนมยอนดูสับสนเช่นกัน “ตัดดอกไม้ให้ ดูจะเป็นความสัมพันธ์ที่ดีเสียด้วย”


              “โชคชะตาก็อย่างนี้” อดีตผู้ติดตามว่าอย่างปลงตก “พวกเขาอาจเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำไป... ชานยอล”


              เมื่อพูดออกไปแล้วก็ได้แต่ทอดอาลัย รู้สึกราวกับติดอยู่ในใยแมงมุมขนาดยักษ์ ถูกเหล็กในแห่งความพยาบาททิ่มแทงเสียจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ นอกจากโลดเต้นไปตามทางแห่งความชิงชังและการทวงถามความยุติธรรม


              ชีวิตมักมีสองทางเลือก เลือกจะใช้ชีวิตอย่างหมาป่าหรือแกะ ชีวิตของแกะนั้นเงียบสงบ แต่น่าเบื่อหน่ายและน่าคับข้องใจอย่างยิ่ง ขณะที่ชีวิตของหมาป่านั้นเต็มไปด้วยสีสันและความผันผวน สุดแต่จะชักพาตัวเองไปทางไหน แม้จะเป็นอย่างใจแต่เดียวดาย และหลังจากไล่ตามความยุติธรรมที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่มาแสนนาน แบคฮยอนกลับสับสน


            เพราะอะไร มินกูจึงทำร้ายพ่อซึ่งเป็นเพื่อน มินโฮจึงทำร้ายชานยอลซึ่งเป็นเพื่อนร่วมสถาบัน จำเป็นหรือที่จงแดจะต้องเจ็บปวด และจำเป็นหรือที่จุนมยอนซึ่งมีร่างกายอ่อนแอจะต้องกระเสือกระสนชำระแค้น กระทั่งเขากับอดีตผู้บังคับบัญชา... กลับต้องห้ำหั่นกันแม้จะเป็น...


              ของกันและกันไปแล้ว


                ไม่ว่าจะเป็นเขา ครอบครัวของเขา หรือครอบครัวของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งสาม กำลังทำอะไรอยู่นะ อะไรกันที่บีบคั้นให้ต่างฝ่ายต่างปฏิบัติต่ออีกครอบครัวหนึ่งราวอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์


              “ประเทศเส็งเคร็งเอ๊ย” แบคฮยอนพึมพำพร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ

     






              จำไม่ได้ชัดเจนว่าผล็อยหลับไปเมื่อไหร่แน่ เวลาผ่านไปครึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน พวกเขาประทังชีวิตด้วยข้าวราคาถูกที่เกือบจะบูดอยู่แล้วกับเนื้อแห้งที่เหนียวเสียจนน่ากลัวว่าจะทำให้เหงือกร่นเดี๋ยวนั้นจากพ่อค้าเร่ แบคฮยอนกับจุนมยอนเข้าห้องน้ำคนละสองครั้ง ขณะที่ร้อยโทปาร์คนั่งอยู่ที่เดิมตลอดหลายชั่วโมง มองออกไปนอกหน้าต่าง จมลงในทะเลแห่งความคิดที่ครื้นครั่นด้วยพายุแห่งความสับสน


              แบคฮยอนและครอบครัวคือผู้ทรยศไม่ใช่หรือ สมคบกันเอาใจออกห่างประธานาธิบดีและประเทศ เป็นความผิดที่ร้อยโทปาร์คในอดีตรังเกียจอย่างยิ่งและพร้อมจะบี้ให้แบนติดพื้นโดยไม่ฟังคำแก้ต่าง เขาไม่ควรเห็นใจครอบครัวนี้ ไม่ว่ามันจะประกอบขึ้นจากกี่ครอบครัวก็ตาม


              เพียงแต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือความรู้สึกที่ว่าการกระทำของพ่อรวมถึงแร้งเฒ่าต่อครอบครัวเล็ก ๆ นี้ เลวร้ายไม่ยิ่งหย่อนกว่าความผิดนั้น


              “ตื่นได้แล้ว”


              “ฮื่อ... ตื่นอยู่” ร้อยโทปาร์คพึมพำ “ถึงไหนแล้ว”


              “มูซาน” จุนมยอนตอบ “ใกล้จะถึงสถานีรถไฟ”


              “จากนั้น... ”


              “ก็เดิน” แบคฮยอนเฉลย “ว่ายังไง คุณชายของกูยอน เดินไม่เป็นหรือไง”


              “คุณชายของกูยอนทำอะไรได้หลายอย่าง” ชานยอลพูดสองแง่สองง่าม “เรื่องออกแรงล่ะถนัดนัก”


              อีกฝ่ายหน้าเสีย และทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเกิดรู้สึกผิดขึ้นดื้อ ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกผิดต่อแบคฮยอน แต่กลับเป็นความรู้สึกผิดต่อชายอีกคนหนึ่งในโซลต่างหาก


              บางที... สิ่งที่เขาทำต่อจงแด อาจน่ารังเกียจพอ ๆ กับสิ่งที่พ่อทำต่อครอบครัวของแบคฮยอน


              ชานยอลแค่นหัวเราะ วิ่งหนีจากเงาของพ่อ เพื่อสุดท้ายจะเป็นอย่างพ่อ โหลยโท่ยชะมัด...


              “ลูกอ่อนโยน แต่ถูกทำให้เชื่อว่าความอ่อนโยนคือเนื้อร้าย คือความอ่อนแอ ยิ่งปฏิเสธธรรมชาติของตัวเอง ชานยอลของแม่ยิ่งเจ็บปวด ใช่ไหม หือ... ”


                ถ้อยคำของแม่ ผู้หญิงที่มักจะถูกพ่อกล่าวหาว่าโง่เง่าและขี้ขลาดกลับเสียดแทงหัวใจของเขาอย่างไม่ปราณีปราศรัย จริงอยู่... เขาไม่เคยอยากเป็นอย่างพ่อแม้จะรู้ว่าต้องเป็น ไม่เคยต้องการห้ำหั่นใคร


              พ่อล่ะ... เคยเป็นอย่างเขาหรือเปล่า พ่อทำร้ายคนที่ตัวเองบอกว่าจะตัดดอกไม้ให้ได้จริง ๆ หรือ และเพราะอะไรกัน


              คำถามนั้นยากเกินกว่าจะหาคำตอบได้ในเวลานี้ ชานยอลถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งจุนมยอนร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น “นั่นไง! หลังคาสถานีรถไฟ”


              แบคฮยอนชะโงกศีรษะจากหน้าต่างรถไฟ ท่าทางตื่นเต้น เป็นครั้งที่สองที่รอยยิ้มของอีกฝ่ายไต่ระดับสู่ดวงตา แม้ใบหน้าที่ซูบซีดเป็นปกติก็ดูจะสว่างไสวด้วยความสุข แก้มตอบ ๆ ถูกยกขึ้นด้วยรอยแยกระหว่างริมฝีปาก ทำให้ขอบตาล่างกลายเป็นเส้นโค้ง ขนตายาวเฟื้อยตกลงบนโหนกแก้ม ชายหนุ่มร่างเล็กโบกมือและร้องบอกอากาศ “ฉันกลับมาแล้ว! ” อดีตผู้ติดตามส่งเสียง “ฉันกลับมาแล้ว!


              บ้าน... ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังเป็นบ้าน แม้จะเขรอะด้วยฝุ่นควันจากเหมืองเหล็ก หนาวเหน็บสุดจะทน  ก็คงจะเป็นบ้านอยู่นั่นเอง


              แบคฮยอนยิ้มกว้างขึ้น อีกเดี๋ยวรอยแยกระหว่างริมฝีปากนั้นจะกลายเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ผมที่ถูกลมพัดจะยุ่งเหยิงคล้ายรังนก และอีกฝ่ายจะใช้นิ้วซึ่งดูราวกับกิ่งไม้ขยี้มันอย่างลวก ๆ ลึกลงไป... ชายหนุ่มร่างสูงแปลกใจ  เขาจดจำทุกรายละเอียดบนร่างกายของอดีตผู้ติดตามได้ ราวกับมีภาพพิมพ์ของอีกคนหนึ่งประทับอยู่ในจิตใต้สำนึก


              สถานีรถไฟแห่งนั้นเล็กกว่าที่เขาจำได้ อาจเพราะร้อยโทปาร์คเติบโตขึ้นตลอดหลายปีที่ผันผ่าน ถึงอย่างนั้น มูซานกลับแทบจะไม่แตกต่างไปจากที่เขาเคยเห็น ผิดแต่ว่าวันนี้ชานยอลไม่ได้เดินทางมาถึงสถานที่ไกลปืนเที่ยงแห่งนี้พร้อมกับพ่อและผู้ติดตามโขยงหนึ่ง ไม่มีใครมาต้อนรับ ไม่มีธงหลากสี และ...


              ไม่มีความศิวิไลซ์


              ฝุ่นจับทั่วชานชาลาแห่งนั้น แม้เขาจะจำได้ว่าเมื่อยังเป็นเด็ก มันสะอาดเอี่ยมราวกับหลุดออกมาจากภาพถ่ายในโรดง ซินมุน “นี่มันอะไรกัน” ชานยอลถาม “ขาดคนดูแลหรือไง”


              “ไม่เคยมีหรอก คนดูแลน่ะ” จุนมยอนตอบห้วน ๆ เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นเคยกับการมีชายหนุ่มร่างสูงเป็นพี่ชาย


              “แต่... ครั้งก่อนที่ฉันมาที่นี่” ร้อยโทปาร์คอึกอัก “มันสะอาด... แล้วก็... ”


              แล้วก็ไม่ได้มีผู้คนมากมายอย่างนี้ โดยเฉพาะไม่มีคนที่ผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกและเพียงพอจะทำให้แบคฮยอนกลายเป็นคนอ้วน ไม่มีคนที่ผิวหนังแห้ง แตกระแหงคล้ายดินเหนียวในฤดูร้อน ฟันที่เหลืออยู่ไม่กี่ซี่ในปากเป็นสีเหลือง เสื้อผ้าสกปรกและเท้าทั้งคู่ก็มีเลือดไหล คนเหล่านั้นกระจุกอยู่รอบ ๆ ชานชาลาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ก้มหน้ากัดกินอาหารที่ชานยอลดูไม่ออกว่าเป็นอะไร


              “ตอนนั้นคนที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์ได้รับคำสั่งให้อยู่แต่ในบ้าน ฉัน จงแด และจุนมยอนเป็นหนึ่งในนั้น”


              “อะไรนะ... ”


              “เด็ก ๆ ที่ถูกส่งไปเป็นเพื่อนเล่นของนาย มีแต่คนที่ผ่านการพิจารณา”


              “ก๊อก ๆ ” เด็กหนุ่มส่งเสียงพลางออกท่าทางอย่างล้อเลียน “มีคนเคาะประตูปราสาทสามฤดูเข้าแล้ว พี่ชาย”


              สุดสายตานั้นเกือบจะว่างเปล่า มีบ้านเรือนอยู่ไม่กี่หลังท่ามกลางกิ่งก้านแห้งโกร๋นของต้นไม้ ภูเขาเป็นสีน้ำตาลสลับเขียว แบ่งแยกส่วนที่พอจะสมบูรณ์อยู่บ้างและส่วนที่กลายเป็นเหมืองเหล็กออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แม้จากตรงนั้น ชายหนุ่มร่างสูงยังได้ยินเสียงคึก ๆ ของเครื่องจักรในเหมือง ฝุ่นคลุ้งขึ้นจากที่ไกล ๆ พร้อมกับเสียงครืน ๆ คล้ายฟ้าร้อง เป็นเสียงของการระเบิดหินไม่ผิดแน่


              “บ้านของเราอยู่ไม่ไกลหรอก” แบคฮยอนว่า “แคบหน่อย แต่คงจะไม่หน่อยสำหรับนาย เดินไปอีกหน่อยก็... จงอิน!


              ร้อยโทปาร์คมองตามสายตาอดีตผู้ติดตาม มันสิ้นสุดลงที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง ผิวสีน้ำตาลทำให้ดูมีสุขภาพดีกว่าแบคฮยอนและจุนมยอนที่ซีดเซียวเล็กน้อย ชายคนนั้นสูงใหญ่พอ ๆ กับชานยอลเพียงแต่ผอมกว่ามาก ถึงอย่างนั้น กลับไม่ใช่ความผ่ายผอมแบบเดียวกับชายหนุ่มร่างเล็ก แต่เป็นผอมเกร็งด้วยกล้ามเนื้อ ท่าทางแข็งแรงด้วยย่างก้าวที่แคล่วคล่องและแนวกรามคมกริบ


              “ใช้โทรศัพท์ใครแน่ะ”


              “คนบนรถไฟน่ะ” อดีตผู้ติดตามตอบ “ฉันพาจุนมยอนมาด้วย วุ่นวายแทบแย่”     


              “ให้ตายซี่” ชายคนนั้นยังไม่สังเกตเห็นเขา “อย่าทำแบบนี้อีกนะ ทั้งแม่ทั้งฉันหัวใจจะวาย นายรับมือเรื่องนี้ไม่ไหวหรอก เชื่อเถอะน่า”


              “ใครจะอยู่เฉยได้ ได้รู้เรื่องแบบนั้น”


              “ฉันรู้... ฉันรู้ จุนมยอน” เสียงนั้นฟังคุ้นหูเหลือเกิน “แต่ไม่ว่านายจะเป็นลูกของใคร นายก็ยังเป็นน้องชายครึ่งหนึ่งของฉัน บ้านหลังนั้นยังเป็นบ้านของเรา ไม่ใช่หรือไง”


              “ทำไมต้องมีแต่ฉันที่ทำอะไรไม่ได้”


              “นายเป็นคนเดียวที่ทำให้แม่สบายใจ” แบคฮยอนร่วมด้วยช่วยปลอบโยน “จงอินมุทะลุและฉันก็มักจะทำอะไรไม่บอกกล่าว”


              จงอินอย่างนั้นหรือ... ร้อยโทปาร์คจำได้แล้ว ชายอีกคนในโทรศัพท์ของแบคฮยอนนั่นเอง พี่ชายบุญธรรม... พี่ชายต่างสายเลือด อดีตเพื่อนบ้าน และคนที่บอกว่า...


              “พอจะมีที่ว่างไหมจงอิน”


              “ที่ว่างอะไร”


              “ก็... ” ชายหนุ่มร่างเล็กนิ่วหน้า ดูก็รู้ว่าไม่อยากพูดออกไป “เรามีแขก”


              ทันทีที่จงอินสบตาเขา ชานยอลรู้ทันทีว่าเกิดหายนะขึ้นแล้ว


              “ใคร อย่าบอกนะว่า... ”


              “ร้อยโทปาร์ค” จุนมยอนให้คำตอบ “ร้อยโทปาร์คชานยอล”


              แล้วจงอินก็พูดคำเดียวกับที่เคยตะคอกใส่เขาผ่านสายโทรศัพท์เปี๊ยบ


              “ฉันจะฆ่าแก!





                “โอย... ”


                “ค่อย ๆ เคี้ยว”


                “โอย... ”


                “หนวกหูโว้ย! ” จงอินร้องบอกจากครัวเล็ก ๆ ซอมซ่อ “เงียบเสียที”


                “ก็เขาเจ็บ” แบคฮยอนถอนหายใจ


                พี่ชายบุญธรรมชะโงกศีรษะข้ามบังตามา ใบหน้าสีน้ำตาลเปรอะขี้เถ้า ดวงตาทั้งคู่จึงดูราวกับถ่านไฟที่ลุกเรือง “ก็เขาเจ็บ” จงอินทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ตอนนั้น... แกไม่เจ็บหรือไง แบคฮยอน”


                ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนั้นหมายถึงตอนไหน “เออ ฉันเจ็บ” ชายหนุ่มร่างเล็กตอบ “แต่การที่แกทำกับเขาเหมือนเป็นกระสอบทราย... ก็ไม่ช่วยอะไรเลย”


                “น้อยไปน่ะสิ” อีกฝ่ายพยักเพยิดไปทางอดีตผู้บังคับบัญชาที่หน้าผากโน ริมฝีปากล่างบวม หางคิ้วข้างหนึ่งแตก และเบ้าตาทั้งสองเป็นสีม่วง “ฉันควรจะมัดแขน มัดขา ถ่วงแม่น้ำเสียเดี๋ยวนี้”


                ร้อยโทปาร์คกลืนน้ำลาย เวลานี้ แม่น้ำทูมันไม่ไกลนักเป็นน้ำแข็ง ชานยอลจะมีชีวิตอยู่ไม่กี่นาทีหากชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลเกิดบ้าดีเดือดขึ้น       


                “ไม่ได้หรอก” เขาบอกอย่างใจเย็น “มินกูจะไล่ล่าเรา”


                “ฉันไม่กลัว”


                “แล้วแม่กับจุนมยอนล่ะ จงอิน”


                อีกคนหนึ่งเงียบไป ก่อนจะตอบอย่างขุ่นเคือง “รู้แล้ว... ”


                ชายหนุ่มร่างเล็กพยักหน้า หันไปหาอดีตน้องชาย “บอกแม่หรือยังว่านายกลับมาแล้ว”


                “ยัง... แม่ไม่อยู่ในห้อง”


                “อยู่ที่ตลาดน่ะ” จงอินก้าวฉับ ๆ ตรงมายังเตาไฟ ก่อนนั่งลงระหว่างเขากับชานยอลที่กระถดออกห่างอย่างหวาด ๆ พี่ชายบุญธรรมจึงกระชากเสียง “ร้องโอดโอยหาอะไร!


                “พอแล้ว จงอิน”                                             


                “อะไรของแก เสียงของมันที่ท้าทายฉันยังติดอยู่ในหู... ในหูนี่” ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลชี้ที่ใบหูข้างหนึ่งซึ่งมีรอยแหว่งจากอุบัติเหตุในเหมืองเหล็ก “อะไร... อะไรทำให้แกเข้าข้าง ปกป้องมัน อะไร แบคฮยอน”


                “สองครั้ง”


                “สองครั้งอะไร”


                “ที่ฉันควรจะตายไปแล้ว” แบคฮยอนอธิบาย “แต่เพราะเขา ฉันยังมีลมหายใจ อย่างน้อยก็มากพอจะใช้เถียงแกปาว ๆ เพราะฉะนั้น พอแล้ว”


                “ยกประโยชน์ให้จำเลย”


                “ใช่” อดีตผู้ติดตามเลียริมฝีปาก “จนกว่าร้อยโทปาร์คชานยอลจะมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา”


                ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มร่างเล็กรู้แก่ใจ อย่าว่าแต่การเป็นปฏิปักษ์เลย กระทั่งการจับต้นชนปลาย ร้อยโทปาร์คในเวลานี้ก็ไม่อาจทำได้


                คืนแรกของอดีตผู้บังคับบัญชาในมูซานนั้นเลวร้าย ห้องนอนห้องเดียวเล็กเกินไปสำหรับห้าชีวิต หลังมื้อเย็นซึ่งประกอบด้วยซุปชืด ๆ กับแผ่นแป้งที่ทั้งแข็งและเหนียว ชานยอลถูกไสส่งให้ออกมานอนขดตัวบนผ้าห่มบาง ๆ หน้าเตาไฟพร้อมกับเขา ซึ่งจงอินกำชับให้จับตาความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด


                “พื้น... ” ร้อยโทปาร์คกระซิบ “แข็งชะมัด”


                “ไม่มีฟูก”


                “หนาว”


                “ไม่มีผ้าห่มแล้ว”


                “เหนียวเหนอะ” ชายหนุ่มร่างสูงพลิกตัวนอนหงาย ใช้แขนทั้งสองต่างหมอน “ไปทั้งตัว”


                ก็พวกเขาเช็ดร่างกายอย่างลวก ๆ ด้วยผ้าชุบน้ำ  อากาศหนาวเกินกว่าจะอาบน้ำ  และยังมีน้ำไม่พอใช้อีกด้วย “น่ารำคาญ” แบคฮยอนที่คุ้นเคยกับความแร้นแค้นดีบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนอ้าปากหาว “นอนเสียที คุณชายของกูยอน”


                เพราะหันหลังให้อีกฝ่าย จึงไม่รู้ว่าชานยอลมีสีหน้าอย่างไร ร้อยโทปาร์คเงียบไป แบคฮยอนไม่ได้ยินเสียงกรน อีกคนหนึ่งนอนไม่หลับ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน เขาบอกตัวเองอย่างนั้น เหนื่อยเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ปล่อยให้ฉัน...


                   “นี่”


                ชายหนุ่มร่างเล็กถามอย่างหงุดหงิด “อะไร”


                อดีตผู้บังคับบัญชาเงียบไปอีกครั้ง จากนั้นจึงได้ยินเสียงทึบ ๆ หนัก ๆ ชานยอลตีอกชกพื้น ก่อนคำรามอย่างงุ่นง่าน “นี่!


                “อะไรอีก”


                อย่างเหนือความคาดหมาย อีกฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนบอกด้วยเสียงอ่อย ๆ “กอดหน่อย”


                แบคฮยอนตื่นเต็มตา “ไม่!


                “กอดหน่อย! ” ร้อยโทปาร์คขึ้นเสียง


                “บอกว่าไม่!


                “แบคฮยอน นี่เป็นคำสั่ง”


                เขาพลิกตัว... อย่างแรง อย่างไม่พอใจ สบตาชายหนุ่มร่างสูงอย่างแน่วแน่ “ในฐานะอะไร” อดีตผู้ติดตามค่อนแคะ “นายไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของฉัน ไม่ใช่อีกต่อไป”                            


                อีกคนหนึ่งกอดอก ก่อนพูดอย่างยากลำบาก “นาย... ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง”


                “ของใคร”


                “ของผัว!


                “โอ้... ให้ตาย” แบคฮยอนพูดอะไรไม่ออก “ฉันเกลียดนาย เกลียดที่สุด!


                “มานี่นะ” ร้อยโทปาร์คพูดลอดไรฟัน “มานี่... แบคฮยอน”


                “ฉันจะเรียกจงอิน”


                “อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” ชานยอลว่า “เขากำชับให้นาย... ”


                “จับตาความเคลื่อนไหวของนาย... ใช่” ชายหนุ่มร่างเล็กพยักหน้า “แต่ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ทำอย่างนั้นได้”


                แล้วเขาก็ผุดยืนขึ้น จ้ำอ้าวตรงไปยังห้องนอนก่อนปลุกจงอินให้ตื่น พี่ชายบุญธรรมนอนลงข้างอดีตผู้บังคับบัญชาแทนที่แบคฮยอน ร้อยโทปาร์คเม้มริมฝีปาก ท่าทางไม่พอใจ กระทั่งถูกชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลชูกำปั้นใส่ ชานยอลจึงหันหลังให้และหลับตา ไม่แสดงอาการกระเง้ากระงอดต่อไป


                ใครจะรู้ คืนนั้น อดีตผู้ติดตามผล็อยหลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม

     






                เขาเกลียดแบคฮยอนที่ทำอย่างนั้น และเกลียดจงอินยิ่งกว่าที่ส่งเสียงกรนดังสนั่น ชานยอลนอนลืมตา จ้องดูฝ้าเพดานในความมืด กระทั่งได้ยินเสียงไก่ขัน และเสียงคึก ๆ ของเครื่องจักรในเหมือง จึงเป็นอันสิ้นสุดความทรมาน ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลอ้าปากหาว สะบัดศีรษะอย่างง่วงงุน แล้วจึงถีบเขา ไม่รู้ว่าเพื่อปลุกร้อยโทปาร์คให้ตื่น เพราะชิงชังชายหนุ่มร่างสูงเป็นทุนเดิม หรือทั้งสองอย่าง


                แม่บุญธรรมของแบคฮยอนส่งถ้วยกิมจิกับข้าวให้หลังชานยอลล้างหน้าด้วยน้ำจากรางน้ำของไก่ หญิงวัยกลางคนไม่ถามไถ่หรือต่อว่า ดูก็รู้ว่าไม่ช่างพูดนัก ไม่ช้าก็ผลุนผลันจากบ้านไป ทิ้งร้อยโทปาร์คไว้กับสามพี่น้องต่างสายเลือดที่คนหนึ่งตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะเรียกชายหนุ่มร่างสูงว่าพี่ชาย คนหนึ่งเกลียดเขาอย่างออกนอกหน้า และอีกคนหนึ่งทำราวกับลืมเสียแล้วว่าเคยใช้ชีวิตร่วมกัน


                “เราตกลงกันแล้ว”


                ชานยอลเลิกคิ้วเมื่ออดีตผู้ติดตามพูดอย่างนั้น “เรา... ที่ไม่มีฉันอย่างนั้นใช่ไหม” เขาพยักหน้า “ว่ายังไง”


                “จะให้นายอยู่ที่นี่... เป็นตัวประกัน วันที่สี่พฤศจิกายน หรืออีกสองสัปดาห์ เราจะข้ามแม่น้ำ และ... เลิกแล้วต่อกัน”


                “เลิกแล้วต่อกัน” ร้อยโทปาร์คทวนอย่างไม่เชื่อหู “ทั้งหมดนี้ เพื่อจะเลิกแล้วต่อกันในอีกสองสัปดาห์อย่างนั้นเรอะ”


                “ความตั้งใจแรกและความตั้งใจเดียวของเรา ใช่... เราที่ไม่มีนาย คือไปจากประเทศนี้” ชายหนุ่มร่างเล็กบอกอย่างไม่แยแส “อาจขลุกขลักไปบ้าง แต่ความตั้งใจที่ว่าไม่เปลี่ยนแปลง”


                “สองสัปดาห์”


                “ใช่”


                “สองสัปดาห์ ได้... ” ชานยอลตอบอย่างท้าทาย “ฉันไม่มีอำนาจที่นี่ เชิญ... จะทำอะไรกับฉันก็เชิญ”


                เขากำลังตัดพ้ออีกฝ่าย ร้อยโทปาร์ครู้แก่ใจ ต่อว่าแบคฮยอนสำหรับการปฏิเสธ ไม่ทำตามคำสั่งในคืนที่ผ่านมา ที่ชายหนุ่มร่างสูงไม่รู้ คือเขาไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย


                จงอินที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแสยะยิ้ม...


                ทุกวันหลังจากนั้น ชานยอลถูกบังคับให้ตื่นนอนก่อนใคร ๆ แบกกระสอบมูลสัตว์ ให้อาหารไก่ ผ่าฟืน หาบน้ำ ทำความสะอาดเตาไฟ และตัดขนแกะ ความทรงจำเกี่ยวกับซุปหัวหอมและบาแก็ตเลือนราง... ห่างไกลราวกับความฝัน แทนที่ด้วยซุปกิมจิเย็นเฉียบ เห็ดเฉา ๆ ข้าวที่มีกลิ่นอับ และปลาที่แทบจะไม่มีเนื้อจากแม่น้ำซึ่งเป็นน้ำแข็ง เขาคิดถึงบรั่นดีจับใจ เมื่อต้องดื่มเหล้าหมักราคาถูกเพื่อบรรเทาอาการหนาวสั่น เตียงนอนในห้องส่วนตัวไม่เคยนุ่มเท่านี้มาก่อน กระทั่งการนอนกับพื้นแข็ง ๆ หน้าเตาไฟทำให้หลังของเขาปวดร้าว


                “ไม่หนาวหรือไง” เขาเคยถามแบคฮยอนอย่างนั้น


                “ไม่” อีกฝ่ายส่ายหน้าขณะปิดปากไหกิมจิด้วยผ้าสะอาดและรัดด้วยปอ “ที่มูซาน ไม่มีฤดูร้อน”


                “ไม่หิวหรือไง”


                คราวนี้อดีตผู้ติดตามพยักหน้าอย่างเศร้า ๆ “หิว... แต่ฉันไม่รู้จักความอิ่มดีนัก บอกไม่ได้หรอก ว่าดีกว่าความหิวหรือเปล่า”


                ชานยอลจึงรู้... มูซานแห่งนี้ไม่ใช่มูซานที่เขาเคยรู้จัก


                “ฉันเป็นหนึ่งในเด็กที่ผ่านการคัดเลือกให้เป็นเพื่อนเล่นของแก” จงอินเล่าขณะผ่าฟืนด้วยกันในเช้าวันหนึ่ง “แกจำฉันไม่ได้หรอก ฉันเอง... ก็เกือบจะจำแกไม่ได้”


                “การคัดเลือก... ”


                “ใช่ การคัดเลือก แบคฮยอนกับจงแดผอมเกินไป จุนมยอนก็เป็นโรคเลือดไหลไม่หยุด พวกเขาถูกกำชับให้อยู่แต่ในบ้าน มินกูรักแก... เกินกว่าจะให้ลูกชายคนเดียวเผชิญความลำบาก ไม่ว่าจะด้วยตาหรืออย่างอื่น”


                “ไม่เคยรู้มาก่อนเลย” ร้อยโทปาร์คถ่มเสี้ยนไม้จากปาก “พ่อบอกเสมอว่า สิบปีในกองทัพ ทหารทุกนายจะได้รับคำสั่งให้ประจำการในแต่ละท้องที่เพื่อบริการประชาชน ไม่รู้ว่า... เอ้อ... ต้องทำอะไร ๆ เอง อย่างนี้”


                จงอินแหงนหน้าหัวเราะ “แกยังไม่รู้อะไรอีกมาก... อีกมากเลยล่ะ ไอ้ลูกหมา”


                เวลาล่วงเลยกว่าสิบวัน บ้านของแบคฮยอนว่างเปล่าขึ้นทุกขณะ พวกเขากำลังตระเตรียมสัมภาระ ชานยอลรู้ และความเข้าใจนั้นก็ทำให้ใจหาย


                เลิกแล้วต่อกัน แบคฮยอนพูดประโยคนั้นอย่างง่ายดาย ราวกับที่ผ่านมาเป็นเพียงฝุ่นควันจากเหมืองเหล็ก ดีแล้วนี่ ชายหนุ่มร่างสูงบอกตัวเอง ดีแล้ว จบสิ้นกันที ความวุ่นวาย ความเจ็บปวด พอแล้ว...


                อดีตผู้ติดตามจะไปจากประเทศนี้... ไปจากเขา สู่แผ่นดินทุนนิยม สู่อ้อมแขนของชายคนรัก อ้อมแขนที่แบคฮยอนยินดีจะให้โอบกอด ต่างจากอ้อมแขนของชานยอล


                “จะเป็นอะไรเล่า” เขาพึมพำกับตัวเอง “กลับบ้าน แต่งงาน และเป็นพลเอกปาร์คชานยอลที่ยิ่งใหญ่... ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับพ่อเสียที”


                “ลูกอ่อนโยน แต่ถูกทำให้เชื่อว่าความอ่อนโยนคือเนื้อร้าย คือความอ่อนแอ ยิ่งปฏิเสธธรรมชาติของตัวเอง ชานยอลของแม่ยิ่งเจ็บปวด ใช่ไหม หือ... ”


                อา... แม่... ทำยังไงดี... จะทำยังไงดี


                   เพียงแต่... ท่ามกลางแสงอัสดงในวันที่สิบ ขณะที่ชานยอลจมอยู่ในภวังค์แห่งความสับสนนั้นเอง เสียงโหวกเหวกดังขึ้น จุนมยอนรี่เข้าใส่เขากับจงอิน ท่าทางตื่นตระหนก


                “แย่แล้ว... แย่”


                ชายหนุ่มผิวสีน้ำตาลขมวดคิ้ว “อะไรแย่”


                “เจ้าหน้าที่เอ็นเอสเอกำลังตามหาเขา” เด็กหนุ่มหมายถึงเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเพื่อความมั่นคงและปลอดภัย “ที่ตลาด ฉันบอกแม่แล้ว พวกเขากำลังมา”


                ไม่บอกก็รู้ว่าเขาที่ว่าหมายถึงชานยอล จงอินสบตาเขา เป็นครั้งแรกที่ร้อยโทปาร์คเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายซีดเผือด


                “มากับฉัน! ” พี่ชายบุญธรรมของแบคฮยอนตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


                เขาจึงรู้ในวินาทีนั้นเองว่า จะเป็นความประสงค์ของเทพเจ้าจากสมัยเก่าพระองค์ใดก็ตาม เลิกแล้วต่อกันของแบคฮยอนยังคอยท่าอยู่อีกไกล ไกลเหลือเกิน

     





    #ฟิคเปียงยาง

    ขอยกการข้ามแม่น้ำไปไว้ต้นตอนหน้านะคะ ตอนนี้ยาวเกินไปแล้ว

    เข้าใกล้โค้งสุดท้ายไปทุกขณะ ให้พระ-นายเขาได้มีฉากเบา ๆ หน่อยเนอะ เหนื่อยกันมามากแล้ว 555









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×