ตอนที่ 17 : L O N E W O L F | Hope begins in the dark.
? cactus
Chapter 13
Hope begins in the dark.
(ความหวังถือกำเนิดในความมืดมิด)
“เขากำลังชัก! เขากำลังชัก! ”
แบคฮยอนวางมีดหั่นขนมปังลงบนโต๊ะอาหาร เงี่ยหูฟังอย่างประหลาดใจ “ช่วยด้วย! ” เธอที่เขาไม่รู้จักกรีดร้องขึ้นอีก “เขากำลังชัก! ”
ชายหนุ่มร่างเล็กสลัดเศษบาแก็ตจากมือและเสื้อยืดตัวเก่าของร้อยโทปาร์ค เพียงวันแรกที่ตัดสินใจออกจากห้องนอนเล็ก ๆ ซึ่งเดิมเป็นห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดก็เป็นเรื่องเสียแล้ว
แม่ของชานยอลกำชับไม่ให้อดีตผู้ติดตามออกจากห้องนั้น “อย่าทำอะไรที่จะทำให้สามีของฉันเล่นงานเธอได้เลย”
แต่เพราะนอนไม่หลับในคืนที่ผ่านมา แบคฮยอนจึงตื่นสาย และอาหารเช้าก็เย็นชืดหมดอร่อย รู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบตัวเองในครัวที่อบอวลด้วยกลิ่นบาแก็ตอบใหม่แล้ว
“ไม่! ”
แบคฮยอนชะงัก เขารู้จักเสียงนี้ เป็นแม่ของร้อยโทปาร์คไม่ผิดแน่ ในทางทฤษฎี อดีตผู้ติดตามจงชังทุกชีวิตในครอบครัวปาร์ค แต่ในทางปฏิบัติ ตลอดสามวันที่ผ่านมา หญิงวัยกลางคนดีต่อเขาเกินกว่าชายหนุ่มร่างเล็กจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์
ดังนั้น แบคฮยอนจึงถลันจากครัว ตรงสู่อีกปีกหนึ่งที่ไม่คุ้นเคย เจ้าของเสียงยืนอยู่ที่ธรณีประตูห้องหนึ่งด้วยใบหน้าเผือดซีด เช่นเดียวกับพลเรือเอกปาร์คที่กำลังซวนเซ หญิงสาวที่เขาไม่รู้จักก้าวถอยหลังออกจากห้องนั้น ห้องเดียวกับที่ชายหนุ่มร่างเล็กพรวดพราดเข้าไปและอุทาน “ชานยอล! ”
ร้อยโทปาร์คนอนหงาย ดวงตาเบิกโพลงแต่ไร้แวว แขนและขาหดเกร็ง เช่นเดียวกับนิ้วทั้งสิบ มองเห็นรอยนูนที่สันกราม ขากรรไกรซึ่งอ้าค้างเคลื่อนที่สู่จุดเดิมด้วยอาการกระตุกคล้ายหุ่นกระบอก “นี่มันอะไรกัน” อดีตผู้ติดตามละล่ำละลัก “ทำอะไรสักอย่างซี่! ”
แต่จะทำอย่างไร เมื่อเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาการชักเลย เช่นเดียวกับอีกสามชีวิตในที่นั้น “เรียก... พยาบาล หมอ ใครก็ได้”
แบคฮยอนคุกเข่าลง ทั้งกระวนกระวายและลังเล เขาไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือชานยอล ชายหนุ่มร่างสูงทำร้ายเขา ทำลายหัวใจของจงแด นอกจากนี้ บาปของพ่อของอีกฝ่ายยังใหญ่หลวง เกินกว่าจะให้อภัย
ดีแล้วนี่... เสียงหนึ่งในหัวใจบอก สาสมแล้ว
แต่... ร้อยโทปาร์คไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือแบคฮยอนเช่นกัน ในงานเฉลิมฉลองซึ่งอดีตผู้บังคับบัญชาถูกทำร้าย เช่นเดียวกับเขา... ด้วยมือของเขา ชานยอลไม่จำเป็นต้องปกป้องเขาอย่างนั้น
ชายหนุ่มร่างเล็กสับสน เขาเกลียดร้อยโทปาร์ค แน่ล่ะว่าเกลียด อยากให้อีกฝ่ายหายไปเสีย ความรู้สึกที่ว่าอัดแน่นในหินก้อนหนึ่งซึ่งทำให้กระจกรถยนต์แตกกระจาย เพราะเขาเกลียดมินกูเหลือเกิน เกลียดที่มอบชะตากรรมเลวร้ายให้พ่อ พลเรือเอกปาร์คควรเจ็บปวด เช่นเดียวกับที่เขาเจ็บปวด และชานยอลก็ควรเจ็บปวด ฐานที่เป็นลูกชายคนเดียวของต้นตอแห่งความร้าวราน
ก็เท่านั้นเอง...
“ฉันเอง ฉันจะไปเอง ช่วยกันอีกแรง คยองซูเพิ่งจะไปเมื่อกี้” แม่ของชานยอลว่า หญิงวัยกลางคนกระย่องกระแย่งตรงสู่อีกห้องหนึ่ง ก้าวเหล่านั้นรวดเร็วอย่างน่าประทับใจ
ฟันทุกซี่ของร้อยโทปาร์คจวนจะขบกันเต็มที และแม้แบคฮยอนที่ไม่มีความรู้ก็ทำนายได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาเคยเห็นมันมาก่อนที่เหมืองเหล็ก ฟันที่ขบกันอย่างแรง เลือดที่ข้นและเหนียว ลิ้นที่ขาดครึ่ง... อดีตผู้ติดตามจะไม่สงสาร เขาไม่ควรสงสาร แต่... เพราะอะไรล่ะ
ชานยอลมีพ่อที่เลวร้าย ที่สำคัญ อีกฝ่ายเคยทำร้ายเขา ใช่... แต่ชายหนุ่มร่างสูงทำร้ายเขา เพราะแบคฮยอนตัดสินใจจะทำให้อีกคนหนึ่งเจ็บปวดนี่ เขาเองที่พาตัวเองไปยังสถานที่แห่งนั้น ไปสู่เส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับ
เพราะความชังที่มีต่อปาร์คมินกู ไม่ใช่ความชังที่มีต่อปาร์คชานยอล
แบคฮยอนลืมทุกสิ่งขณะขากรรไกรของอดีตผู้บังคับบัญชาเคลื่อนที่สู่จุดเดิมอย่างรวดเร็ว มือที่เล็กและเรียวยาวคล้ายมือของผู้หญิงสอดอยู่ระหว่างริมฝีปากของร้อยโทปาร์ค ฟันของชานยอลขบลงอย่างแรงในวินาทีต่อมา เลือดไหลพรูพร้อมกับที่ชายหนุ่มร่างเล็กร้องเสียงหลง
“ให้ตาย! ” เขาสบถ “นี่มัน... บ้าอะไรกัน”
เขาทำอย่างนี้เพราะอะไรกัน
นายทหารกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแบคฮยอนจะได้รับคำตอบ พวกเขาแงะมือที่ยับเยินของอดีตผู้ติดตามจากปากของร้อยโทปาร์ค และหลังจากตักเตือนว่าไม่ควรนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ปากของผู้มีอาการชักแล้ว นายทหารกลุ่มนั้นก็จากไปพร้อมกับแม่ของชานยอล
ที่ธรณีประตูห้องส่วนตัวของชายหนุ่มร่างสูง มีเพียงชายหนุ่มร่างเล็กและมินกูซึ่งสบตากันอย่างไม่ยอมแพ้ เลือดของเขาหยุดไหลพร้อมกับที่พลเรือเอกปาร์คผุดลุกขึ้น และเดินจากไปราวกับ ‘ผีของคงซู’ ไม่มีตัวตน
อย่างน้อย พ่อของชานยอลก็ไม่เสียดสีเขาด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ และอาจนับว่าเป็นการแสดงความขอบคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะแบคฮยอนยังเกลียดอีกฝ่ายเหลือเกิน
“จะตามไปหรือเปล่า”
ดังนั้น เมื่อมินกูหันกลับมาและถาม อดีตผู้ติดตามจึงได้เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
เขาต้องการจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังต้นห้องแจ้งข่าวร้าย พอ ๆ กับที่ไม่ต้องการจะรับรู้อะไรอีกต่อไป
ชานยอลกะพริบตา เพดานนั้นเป็นสีขาวอมเหลืองด้วยความชื้น ในความมืด พรายน้ำรูปไดโนเสาร์ส่องแสงเรือง ๆ ราวกับหิ่งห้อย ลมอันเยียบเย็นหอบหนึ่งพัดมาจากทิศทางที่คุ้นเคย เขาอยู่ในห้องเดิม... ในบ้านหลังเดิมของตัวเอง
“แม่” ร้อยโทปาร์คกระซิบ “แบคฮยอน... ”
มือหนึ่งแตะลงที่หน้าผาก เจ้าของมือนั้นบาดเจ็บ ชานยอลรู้... เพราะมือข้างที่ว่าถูกพันด้วยผ้า และเขาได้กลิ่นเลือดผสมกับน้ำยาฆ่าเชื้อ “ใคร” ชายหนุ่มร่างสูงถาม “ถามว่าใคร”
“น่ารำคาญ”
“แบคฮยอน! ” อดีตผู้บังคับบัญชาอุทาน “นายใช่ไหม! ”
“อย่าตะโกน คุณนายปาร์คอ่อนเพลียมาก แม่ของนายเพิ่งจะหลับไป”
อีกฝ่ายพยักเพยิดไปทางโต๊ะไม้มะฮอกกานีซึ่งแม่ของเขาฟุบอยู่ เห็นเป็นเงาตะคุ่มในความสลัวราง ก่อนจะเปิดโคมไฟโดยใช้มือป้องและค่อย ๆ ลดแสงลง “วุ่นวายกันใหญ่” แบคฮยอนพูดอีก
“เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ฉัน... ” ชายหนุ่มร่างสูงกลืนน้ำลาย “ไม่รู้... จำอะไรไม่ได้เลย”
“นายชัก” อีกฝ่ายเฉลย “และหมดสติ เรื่องมีอยู่เท่านั้น”
“มือของนาย” ชานยอลไม่ยอมแพ้ “ใครทำร้ายนาย พ่อหรือเปล่า”
ใบหน้าของอดีตผู้ติดตามมีสีเข้มขึ้น “ไม่จำเป็นต้องรู้”
“แบคฮยอน! ”
“และไม่จำเป็นต้องถลึงตา ฉันไม่ใช่ผู้ติดตามของนายแล้ว จำได้ไหม”
ยิ่งกว่าจำได้เสียอีก แบคฮยอนไม่ใช่ผู้ติดตามของเขาแล้ว หรือไม่... ก็ไม่ใช่แต่ต้น ร้อยโทปาร์คเสมองที่หน้าต่างซึ่งเปิดออกสู่ความมืดมิดภายนอก เขาอาศัยอยู่ในย่านที่มีแสงสว่างเวลากลางคืนไม่กี่ย่านในเปียงยาง และก็คุ้นเคยกับมันเกินกว่าจะถามว่า... แล้วทำไม
แล้วทำไมจึงบอกว่าเท่าเทียม
“รู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาตัดสินใจถามอย่างตรงไปตรงมา “ว่าคยองซูบอกอะไรกับพ่อและแม่”
“ก็แค่... อะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ไม่กลัวหรือไง”
ชายหนุ่มร่างเล็กแค่นหัวเราะ “กลัวแล้วได้อะไร เมื่อไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอีกต่อไป”
บางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้ร้อยโทปาร์คขมวดคิ้ว “เรื่องของนายกับพ่อ... ”
“ก็ไม่จำเป็นต้องรู้อีกแหละ”
“ทำไมล่ะ” ชานยอลถามอย่างดื้อรั้น “ตลอดเวลาที่ผ่านมา อยากบอกฉันเหลือเกินนี่ กับการส่อเสียด ประชดประชันของนาย ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจทั้งหมด”
อดีตผู้ติดตามตอบห้วน ๆ “เรื่องของฉัน”
ชายหนุ่มร่างสูงจึงรู้ ใช่เพียงแต่เขาที่รู้สึกสับสน แบคฮยอนก็เช่นกัน “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน รู้ใช่ไหม” ชานยอลบอกอย่างหนักแน่น แม้จะไม่มีความมั่นใจอยู่เลยก็ตาม “เราจะต้อง... ชนะ”
“ไม่ใช่ประโยคที่ฉันคาดหวังจากคนที่ชักและเกือบจะกัดลิ้นตัวเองนะนี่”
ร้อยโทปาร์คขมวดคิ้ว จ้องเขม็งที่มือของอีกคนหนึ่งทันที แบคฮยอนสะดุ้ง ชายหนุ่มร่างเล็กไม่สบตาเขา “อะไรของนาย”
“ฉันกัด... มือของนายใช่ไหม”
“ช่างเถอะ”
“ฉันทำร้ายนาย... อีกแล้วใช่ไหม”
เพราะผุดนั่งอย่างกะทันหัน ศีรษะจึงโงนเงน ชานยอลซวนทรุด ขณะอีกฝ่ายอุทานเบา ๆ และเขยิบเข้าใกล้ เขาคว้าต้นแขนข้างหนึ่งของผู้ติดตามไว้ได้ แล้วก่อนชายหนุ่มร่างเล็กจะไหวตัว ก่อนความกลัวจะครอบงำ ร้อยโทปาร์คกอดแบคฮยอนแนบอก แน่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร แน่นอย่างเอาแต่ใจทีเดียว
“ปล่อยนะ! ”
“ไม่ บอกความจริงมา” ชานยอลยืนกราน “ฉันกัดมือของนายใช่ไหม”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“ก็ให้ฉันขอโทษสิ”
แบคฮยอนกะพริบตา “สมองกลับหรือไง” อีกฝ่ายพูดเสียงขึ้นจมูก “ฉันโง่เองที่สอดมือเข้าไป โง่เองที่ทำอย่างนั้น”
“นายกลัวว่าฉันจะ... ”
“ไม่ได้กลัว ไม่ได้กลัวอะไรทั้งนั้น”
ริมฝีปากเล็ก ๆ เชิดขึ้น ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายในแสงสีส้มจากโคมไฟ แบคฮยอนเป็นห่วงเขา... อย่างนั้นใช่ไหม อดีตผู้ติดตามที่ไม่เคยใช้คำว่าเรา อดีตผู้ติดตามที่หลอกลวงเขา...
ความห่วงใยของชายหนุ่มร่างเล็กเป็นเพียงฝันอันลมแล้งของเขาหรือเปล่า เป็นอีกหนึ่งคำโกหกหรือไม่ ชานยอลไม่รู้ และไม่ต้องการจะรู้ เขาเพียงแต่ต้องการทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง นับแต่การออกตามหาอีกคนหนึ่งราวกับสุนัขที่บ้าคลั่ง นับแต่การชูปืนพกขึ้นในงานเฉลิมฉลอง และนับแต่การแยกจากในบ้านหลังเดียวกัน เป็นเวลาสามวันที่ยาวนานราวกับสามปี
เขาจูบแบคฮยอน เป็นจูบที่ยาวนาน อ่อนหวาน และเต็มไปด้วยความปรารถนา อีกฝ่ายขัดขืนในอึดใจแรก จากนั้นจึงจูบตอบ โดยที่ร้อยโทปาร์คไม่ต้องการจะรู้อีกเช่นกัน ว่าอาการตอบสนองนั้นเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจ หรือความต้องการจะให้พ้นไปอย่างรวดเร็วที่สุด
เวลาจะให้คำตอบ... แม่บอกเขาอย่างนั้น และชานยอลก็ตั้งใจจะเชื่ออย่างนั้น เชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ
มินกูปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ากลัว เพียงแต่แบคฮยอนรู้... พลเรือเอกปาร์คกำลังกลัวอย่างถึงที่สุด
ย้อนกลับไป ขณะติดตามร้อยโทปาร์คไปยังโรงพยาบาลนั้น ในรถยนต์ของมินกูเงียบสนิท ชายหนุ่มร่างเล็กกดบาดแผลที่มือและกัดฟันเพื่อสะกดกลั้นเสียงร้อง เห็นแนวสันกรามที่ปูดขึ้นอย่างชัดเจน
“แข็งใจไว้” อีกฝ่ายบอกห้วน ๆ
เขาแค่นหัวเราะ “คงอยากให้ฉันตายมากกว่า”
“ไม่ปฏิเสธ”
เลือดไหลช้าลงแล้ว แบคฮยอนถอนหายใจ “รู้หรือเปล่าว่าชานยอลเป็นโรคลมชัก”
“ไม่เคยรู้มาก่อน”
“เป็นพ่อประสาอะไร”
“ไม่ใช่ธุระของแก” มินกูคำราม “เป็นเรื่องภายในครอบครัว”
“ก็... ฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้แล้วนี่” เขาตัดสินใจยั่วโทสะอีกฝ่าย “ฉันเป็นเมียของเขาไม่ใช่หรือไง”
“สนุกนักใช่ไหม”
“ไม่สนุกเลยสักนิด” แบคฮยอนบอกอย่างตรงไปตรงมา “เป็นแกจะรู้สึกยังไง พ่อตาย... อย่างที่ไอ้โง่ที่ไหนก็รู้ว่าถูกฆ่า เสาหลักของครอบครัวจากไป พี่ชายบุญธรรมยังไม่ปลดประจำการจากกองทัพบ้า ๆ ที่มีแต่เด็กกับคนเป็นโรคขาดสารอาหาร ไม่มีเงิน ไม่มีงาน น้องชายบุญธรรมยังเป็นโรคเลือดไหลไม่หยุดอีกต่างหาก คำว่าเข้าตาจนยังน้อยไป ฉันจะทำทุกอย่าง เพื่อจะได้ไปจากเรื่องบ้า ๆ ในประเทศบ้า ๆ นี่”
เขาพร้อมจะถูกเจาะหน้าผากด้วยกระสุน พร้อมจะถูกเหวี่ยงด้วยแรงมหาศาลของรถยนต์ กระแทกกับขอบถนนในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง แต่พลเรือเอกเขี้ยวลากดินแค่ระบายลมหายใจออกจากปาก
“เขาทำอะไรบ้าง”
“อะไรนะ”
“ชานยอลทำอะไรกับแกบ้าง”
“อ้อ... ” ชายหนุ่มร่างเล็กปล่อยมือจากบาดแผล “ก็... อยากรู้จริง ๆ หรือไง”
“หล่อนบอกว่า... แกเจ็บมาก”
เขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงแม่ของชานยอล “ก็เจ็บน่ะสิ” แบคฮยอนยืนยัน “แต่... จะทำอะไรได้”
“นั่นแหละ บยอนแบคฮยอน จะทำอะไรได้”
อดีตผู้ติดตามขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง”
พร้อมกันนั้น มินกูหยุดรถ พวกเขามาถึงที่หมายแล้ว แม่ของชานยอลหรือ ‘หล่อน’ ของอีกคนหนึ่งยืนบิดไม้บิดมืออยู่พร้อมกับต้นห้องของร้อยโทปาร์คไม่ไกลจากจุดที่รถยนต์จอดอยู่นัก
“ดอกพลัมจะบานในเดือนมีนาคม” มินกูพูดโดยไม่สบตาเขา “ดอกซานซูยูจะบานในเดือนเมษายน อย่าลืมตัดดอกพลัมให้คงซู และตัดดอกซานซูยูให้ดาจอง”
หลังจากนั้น ในรถยนต์จึงเหลือเพียงชายหนุ่มร่างเล็กที่อ้าปากค้าง กระทั่งคยองซูเคาะกระจกและพยักเพยิดให้ลงมา
คงซูคือพ่อของเขา ซึ่งจากไปด้วยอุบัติเหตุเหมืองถล่มเมื่อแปดปีก่อน นำมาซึ่งความเคียดแค้นและเรื่องราวอันชวนสับสนทั้งหมดนี้ ขณะที่ดาจองคือแม่... แม่ที่แท้จริง ไม่ใช่แม่บุญธรรมซึ่งเป็นแม่ของจงอินและจุนมยอน แต่เป็นแม่ที่เขาเสียไปเมื่อมีอายุห้าปี
ไม่มีอะไรจะตลกร้ายได้เท่ากับโชคชะตา
“พอได้แล้ว”
ชานยอลชะงักริมฝีปาก จูบอันดูดดื่มสิ้นสุดลงเท่านั้น “ฉันรู้” เขากระซิบ “นายเกลียดที่ฉันทำอย่างนี้”
ชายหนุ่มร่างเล็กไม่ตอบ แบคฮยอนผละจากอ้อมแขนของร้อยโทปาร์ค กลับไปที่โต๊ะไม้มะฮอกกานี เพียงแต่ก่อนที่อีกฝ่ายจะปลุกแม่ของเขาขึ้น ชานยอลกลับออกคำสั่งด้วยความเคยชิน “อย่าทำอย่างนั้น”
อีกคนหนึ่งหันกลับมาหาอย่างใคร่รู้
“นายบอกว่าแม่อ่อนเพลียมาก”
“ใช่... แต่... ” อดีตผู้ติดตามอึกอัก “คุณนายปาร์คควรรู้ว่านายปลอดภัย”
“แม่... ดีกับนายใช่ไหม”
แบคฮยอนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “คุณนายปาร์คดีกับทุกคน”
จากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใด ๆ “ถ้าอย่างนั้น... ฉันจะกลับล่ะ” ชายหนุ่มร่างเล็กพูดขึ้นในที่สุด “พักเสีย และบอกคุณนายปาร์คว่าฉันไม่ได้หนีไป ไม่คิดจะสร้างความเดือดร้อนให้เธอหรอก”
“กลับไปที่ไหน” ชานยอลถาม “ห้องของนายใช่ไหม”
“จะมีที่ไหนอีก”
“ห้องของนายอยู่ที่ไหน”
แบคฮยอนขมวดคิ้ว “บอกนาย... จะดีเร้อ... ”
“แบคฮยอน... ฉันรู้ว่า... ”
“นายไม่กล้าหรอก” ไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งเข้มแข็งจริง ๆ อย่างที่แสดงออก หรือเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่แนบเนียนกันแน่ “นายจะไม่ทำอะไรฉัน อย่างน้อยก็ไม่ทำในบ้านหลังนี้ ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ หรือในสถานการณ์แบบนี้ ความเครียด... ทำให้ไอ้จ้อนไม่ตื่นตัว”
“โอ้... โอ้... ให้ตาย”
“ระคายหูหรือไง ร้อยโทปาร์คชานยอล” ชายหนุ่มร่างเล็กแค่นเสียง “นี่แหละฉัน คนที่มาจากสังคมที่นายไม่รู้จัก เราพูดเรื่องอย่างนี้กันหน้าตาเฉย เพราะการทำให้คนเกิด และมีชีวิตรอดหลังคลอดเกินสี่สิบแปดชั่วโมงคือปาฏิหาริย์ แบคฮยอนคนที่มีการศึกษา คนที่มาพบนายในฐานะผู้ติดตามน่ะ แค่ฉากหน้าจอมปลอมที่เดี๋ยวนี้นายคงรู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งกันต่อไป”
“แล้วยังไง”
เขาพูดออกไปก่อนจะทันคิดเสียอีก และเมื่อโพล่งออกไปแล้วก็ได้แต่ภาวนาให้คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่ความคิดที่โง่เง่าเสียทีเดียว
“แล้วยังไงหมายความว่ายังไง”
“เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่” ร้อยโทปาร์คว่า “ฉันรู้แล้วว่านายไม่ได้มาอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ไม่ว่านายจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ทำลายฉัน ทำลายพ่อ หรือทำลายแร้งเฒ่า มันพังไม่เป็นท่า มินโฮคือทนายของเรา และเราต้องสู้กับพลชเวไม่ต่างกัน เราจะมีชีวิตรอดด้วยกัน หรือตายตกไปตามกันเท่านั้นเอง”
แบคฮยอนอึ้งไป ก่อนจะขยับเข้าใกล้และนั่งลงที่ข้าง ๆ มือของเขา
“มันก็ตลกดี” อีกฝ่ายบอกอย่างปลงตก “ฉันมาที่นี่พร้อมกับความหวังว่า หลังจากเรื่องบ้า ๆ ทั้งหมดนี้ ระหว่างฉันกับชนชั้นสูงสุดโสมมในประเทศเส็งเคร็งนี่จะแยกออกจากกันตลอดกาล”
“อ้อ... โซลของนาย” คำพูดนั้นยังแผดเผาลำคอของเขาอยู่ “กับคิมจงแดของนาย”
“ทั้งหมดนี้ เพียงเพื่อผูกตัวเองเข้ากับนายอย่างนั้นเรอะ”
“อาจใช่ หรืออาจไม่ใช่ก็ได้ ฉันตอบไม่ได้หรอก”
“โธ่เอ๋ย... ร้อยโทปาร์ค”
กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง คางของเขาก็ถูกบีบอย่างแรง แบคฮยอนประกบริมฝีปากลงมา แล้วจูบอย่างเร่งร้อน เป็นจูบที่รุนแรงเสียจนแม้อดีตผู้บังคับบัญชายังรู้สึกราวจะขาดใจ
“โอ๊ย! ”
ก่อนจากไปในความมืดมิด ชายหนุ่มร่างเล็กฝากรอยเล็บไว้ที่แก้มของเขาเป็นทาง เมื่อแตะดูก็พบว่าบางส่วนถลอกและมีเลือดซิบ
“ตอบแทนที่ทำกับฉันรุนแรงเหลือเกิน น่าเสียดายที่เอาคืนได้เท่านี้ รอดูต่อไปเถอะร้อยโท” แสงสว่างจากด้านนอกประตูสลัวลงทุกขณะ “แล้วพบกันพรุ่งนี้ในศาล”
แทนที่จะตอบด้วยประโยคเดียวกัน ชานยอลกลับผงกศีรษะและทำท่าแตะปีกหมวกที่ไม่มีอยู่จริง
“ฉันจะรอดู ไม่กะพริบตาเลยล่ะ... ”
ภายในศาลทหารนั้นโอ่โถงเช่นเดียวอาคารอื่น ๆ ของรัฐบาล เพดานสูงลิ่วและสว่างไสวอย่างเหลือเชื่อ พื้นยังลื่นอย่างน่ารำคาญใจอีกด้วย
“ไม่ควรเป็นอย่างนี้” มินกูว่าขณะก้าวฉับ ๆ ไปพร้อมกับเขา “หมายศาลเพิ่งจะมาถึงมือเราเมื่อวานนี้ เข้ารับการไต่สวนวันนี้ ไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย”
“ที่นี่มีอะไรบ้างเป็นธรรมชาติ” แบคฮยอนอดค่อนแคะไม่ได้
“พ่อทำอะไรไม่ได้เลยหรือ”
“ถ้าทำได้ แกจะไม่มาอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ ชานยอล”
“เขาเป็นคนออกปากให้จับฉัน” ชายหนุ่มร่างเล็กบุ้ยใบ้ไปทางภาพถ่ายของชายหมายเลขหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางขวาสุด ถัดจากรูปของผู้ก่อตั้งประเทศ และพ่อของประธานาธิบดีคนปัจจุบัน “และพลเอกชเวก็มีอำนาจมาก อำนาจต่ออำนาจ เนรมิตอะไรก็ได้”
“แค่ไม่นึกว่าจะเร็วอย่างนี้”
“แค่ดีดนิ้วก็ได้อย่างใจไม่ใช่หรือไง นายทหารชั้นผู้ใหญ่น่ะ” เขาว่าต่อ “บันดาลให้ใครคนหนึ่งหายไป บันดาลเกียรติยศและทรัพย์สิน เสียอย่างเดียว บันดาลให้ใครกลับจากโลกหลังความตายไม่ได้”
“แบคฮยอน” ร้อยโทปาร์คพูดลอดไรฟัน “พอได้แล้ว”
“แล้วก็นะ... ”
“ฉันขอร้อง”
พวกเขามาถึงห้องหนึ่งที่สุดทางเดินแล้วเมื่อพ่อของชานยอลส่งเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ “ฉันขอร้องอะไรกัน ชานยอล ฉันไม่เคยลงให้แม่ของแกอย่างนี้”
“พ่อไม่รักแม่นี่”
“อ้อ... แล้วแกรักมันหรือไง”
ประโยคนั้นเป็นประโยคที่ว่างเปล่าและโง่เง่าอย่างที่สุดของพลเรือเอกเขี้ยวลากดิน ทว่ากลับสร้างความอึดอัดได้อย่างมหาศาล แบคฮยอนเสมองไปอีกทางหนึ่ง ขณะที่อดีตผู้บังคับบัญชากระแอม “พ่อจะเข้าไปในนั้นไหม”
“ฉันจะอยู่ที่ที่นั่งด้านหลัง”
“พ่อ สัญญากับผม อย่ายิงใครถ้าพวกเขาตัดสินใจ... ประหารชีวิตผม”
พลเรือเอกปาร์คปราม “ชานยอล! ”
“เขาอาจยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการเฉลิมฉลองเมื่อฉันถูกพิพากษาอย่างนั้น”
“ถ้าอยู่ด้วยกันสองคนล่ะก็ ฉันจะจูบนายเดี๋ยวนี้” ชานยอลถอนหายใจ
“บรรพชนเป็นพยาน พอได้แล้ว! ”
จากนั้นพวกเขาจึงถูกผลักไสสู่ห้องพิจารณาคดี ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็ก ค่อนข้างอับและทึบ ผนังกรุด้วยไม้และมีหน้าต่างเพียงไม่กี่บาน ทั้งหมดอยู่สูงเสียจนมองไม่เห็นทัศนียภาพภายนอก บัลลังก์ผู้พิพากษาตั้งตระหง่าน มีขนาดใหญ่และให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ที่เขียนอะไรง่วนอยู่สังเกตเห็นคนทั้งสองในไม่กี่อึดใจ ก่อนจะผายมือไปยังคอกแคบ ๆ ด้านขวา คอกนั้นประกอบด้วยสามที่นั่ง ที่แรกซึ่งมีไมโครโฟนติดตั้งอยู่มีป้ายชื่อเล็ก ๆ เขียนว่าซงมินโฮ ชานยอลนั่งลงบนเก้าอี้ถัดจากนั้น แบคฮยอนนั่งลงข้าง ๆ กัน
เมื่อมองไปยังคอกอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเป็นคอกของโจทก์ ชายหนุ่มร่างเล็กก็เกิดมวนท้องขึ้นมาดื้อ ๆ ทนายของพลเอกชเวมาถึงแล้ว ผมเป็นสีขาวทั้งศีรษะและใบหน้าก็ตกกระเสียจนแทบไม่มีช่องว่าง บอกประสบการณ์ซึ่งมากอย่างเห็นได้ชัด อะไรกันที่สร้างความมั่นใจให้เสือผู้หญิงแห่งเหล่าทัพ หรือมินโฮประเมินสถานการณ์ผิดอย่างไม่น่าให้อภัย
“ใจเย็น ๆ ” ร้อยโทปาร์คพูดด้วยมุมปาก
“นายทำได้ด้วยหรือไง”
ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะตอบ ประตูห้องพิจารณาคดีก็เปิดออกอีกครั้ง มินโฮมาถึงแล้ว เช่นเดียวกับพลเรือเอกซงซึ่งเดินคู่มากับมินกู ดูก็รู้ว่าเป็นขั้วพันธมิตรใหม่ที่กระอักกระอ่วนใจไม่น้อย แน่ล่ะ... พลเรือเอกปาร์คจับมือกับแร้งเฒ่าเป็นปฏิปักษ์ต่อพลเรือเอกซงอย่างโจ่งแจ้งถึงห้าปี กลับกลายเป็นมิตรเพียงเพราะเหตุวุ่นวายในงานเฉลิมฉลองไม่กี่วันที่ผ่านมา
“ไง” ทนายของเขาทักทายเท่านั้น ท้องไส้ของแบคฮยอนยิ่งบิดเป็นเกลียว มินโฮมักมีท่าทีมั่นอกมั่นใจ ใบหน้าที่ซีดจนเกือบจะเป็นสีขาวเหมือนกระดาษของอีกฝ่ายจึงไม่ช่วยให้เขารู้สึกว่าเทพเจ้าแห่งชัยชนะ ไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม... อยู่ข้างตัวเองเลย
“นายให้เซฮุนเป็นพยานของเราจริง ๆ หรือเปล่า” ชานยอลรีบถาม
“ใช่ และเขามาถึงแล้ว”
“ฟังนะ ซงมินโฮ” ร้อยโทปาร์คพูดลอดไรฟัน “เซฮุนรู้ว่าฉันเป็นอะไร เข้าใจไหม เขารู้ยิ่งกว่ารู้ เขาจะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรอก”
“ฉันจะให้เขาพูดว่าที่ผ่านมาก็เป็นผลงานการจ้างวานของแร้งเฒ่าเหมือนกัน นายจะได้ล้างมลทินสองต่อ ไม่ดีหรือไง”
“เพื่อจะได้รับโทษเพราะเท่ากับยอมรับว่าผิดเพศ”
“เชื่อฉันซี่ ใช้แรงงานในค่ายกักกันปีสองปีน่ะดีกว่าถูกพลเรือเอกชเวไล่บี้จนได้รับโทษสูงสุดเป็นไหน ๆ นายขัดคำสั่งประธานาธิบดีนะ อย่าลืมเสียล่ะ” ร้อยตรีซงบอกอย่างเคือง ๆ “เงียบ เขามาโน่นแล้ว”
เขาที่ว่าหมายถึงแร้งเฒ่า ซึ่งมาถึงในเครื่องแบบเต็มยศ รอยยิ้มกว้างบอกความมั่นใจสุดขีด
แบคฮยอนอยากอาเจียน
หลังจากพลเรือเอกชเวมาถึง การไต่สวนดำเนินไปอย่างดุเดือด ชานยอลไม่ได้พูดอะไรมากนัก เช่นเดียวกับอดีตผู้ติดตาม มินโฮต่างหากที่โต้คารมกับทนายที่อีกคอกหนึ่งอย่างเผ็ดร้อน ทั้งยังหันไปขอความเห็นใจจากผู้รับฟังการพิจารณาคดีเป็นระยะ ๆ ซึ่งออกจะทำให้ร้อยโทปาร์คตื่นตาตื่นใจไม่น้อย หากอีกฝ่ายไม่ใช่คู่แข่งที่อาจต้องโรมรันกันโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันในวันหนึ่ง เขาอาจยอมรับในวาทศิลป์ของร้อยตรีซงได้อย่างสนิทใจ
ถ้อยคำต่าง ๆ ไหลผ่านความรับรู้ของชายหนุ่มร่างสูงไปราวกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ร้อยโทปาร์คชานยอลขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานในลักษณะที่เป็นการปกป้องและให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหา จึงมีความเป็นไปได้ว่าสมรู้ร่วมคิดกับบยอนแบคฮยอน อา... ทั้งขึ้นทั้งล่อง ไม่ว่าจะเป็นแบคฮยอนหรือเขา แร้งเฒ่าก็หมายมั่นปั้นมือจะส่งขึ้นตะแลงแกงด้วยโทษสูงสุดเท่าที่จะสามารถจินตนาการ
“เบิกตัวพยานฝั่งจำเลย”
หัวใจของชานยอลเต้นเร็วขึ้นเมื่อเซฮุนก้าวอย่างตื่น ๆ เข้ามาในห้องนั้น
เขารู้จักจุดอ่อนถึงตายของตัวเองดีเท่ากับที่ร้อยตรีโอรู้จักร้อยโทปาร์ค เซฮุนไม่ใช่ทหารโดยเนื้อแท้ ที่แน่นอนกว่านั้นคือไม่ใช่นักการเมือง นกกระสาหนุ่มไม่ได้เติบโตมาโดยคุ้นเคยกับการห้ำหั่นเพื่อขึ้นสู่และคงไว้ซึ่งอำนาจเช่นเดียวกับเขา ร้อยตรีโอกำลังกลัวอย่างถึงขีดสุด และเมื่อเซฮุนกลัว... เมื่อเซฮุนกลัว...
ก็มักจะยิงพลาด...
“ให้ทนายของโจทก์ถามคำถามได้” เสียงของผู้พิพากษาบีบรัดหัวใจของชานยอลราวกับคีมเหล็ก
“มีหลักฐานอะไรที่ชี้ว่าพลเอกชเวดูฮวานเคยจ้างวานคุณในลักษณะเดียวกับที่จ้างวานบยอนแบคฮยอน”
“ไม่มี” เซฮุนอึกอัก “ไม่มี... เอ้อ... เขาไม่เคยเขียนถึงผมเป็นลายลักษณ์อักษร เขาพบผมซึ่งหน้าและออกคำสั่ง”
“ไม่เป็นความจริง! ” แร้งเฒ่าตะโกนจากที่นั่งของตัวเอง ก่อนที่ผู้พิพากษาจะสั่งให้เงียบ
“เขาพบคุณที่ไหน”
“ห้องหนึ่งในโรงเรียนฝึกหัดทหารบก”
“ห้องไหน”
“เอ้อ... มักจะไม่ซ้ำห้อง ห้องเรียนที่ว่างเปล่าในอาคารสาม ชั้นสอง”
“มีพยานยืนยันที่อยู่ของคุณหรือพลเอกชเวดูฮวานหรือไม่”
“ไม่มี” ร้อยตรีโอกลืนน้ำลาย “ไม่มี เขามักจะมาอย่างลับ ๆ ”
“มาอย่างลับ ๆ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าจะมา”
นกกระสาหนุ่มราวกับจะร้องไห้ “ผมจะรู้เมื่อเห็นรถยนต์ของเขาจอดอยู่ที่ลานจอดรถ”
“ถ้าอย่างนั้น คนขับรถของพลเอกชเวดูฮวานจะต้องยืนยันเรื่องนี้ได้”
“ผมไม่ทราบ เขาอาจจะ... อาจจะ... ขับรถยนต์เอง”
“คุณไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนแม้แต่ชิ้นเดียว ขอสันนิษฐานว่าเป็นคำให้การเท็จและอาจ... ” ทนายฝ่ายโจทก์มองลอดแว่นตาอย่างจับผิด “ตั้งข้อหาเพิ่มเติม”
“เป็นการข่มขู่และคุกคามพยานอย่างเห็นได้ชัด! ” มินโฮประท้วง “ขอให้ทนายของโจทก์หยุดการกระทำนี้ด้วย”
“ว่ายังไง ร้อยตรีโอเซฮุน ไม่มีพยานยืนยันที่อยู่ของคุณหรือพลเอกชเวดูฮวานบ้างหรือ”
“ก็... ” เซฮุนเลียริมฝีปากอย่างเป็นกังวล หันมาสบตาเสือผู้หญิงแห่งเหล่าทัพ ดูก็รู้ว่าคำถามที่ซักซ้อมกันมานั้นจวนจะหมดลงเต็มที “อาจเป็น... ผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดทหารบก”
“ซึ่งอาจต้องนัดหมายเพิ่มเติมเพื่อทำการไต่สวนในวันอื่น ๆ ” มินโฮร้องอย่างมีชัย ก่อนจะบีบมือของร้อยโทปาร์คเบา ๆ และกระซิบว่า “เขาเป็นคนของพ่อน่ะ”
“อ้อ... ไม่จำเป็นต้องไต่สวนในวันอื่น ๆ หรอก ร้อยตรีซง”
ห้องพิจารณาคดีนั้นเงียบลงทันทีที่แร้งเฒ่าลุกยืนขึ้น แม้ผู้พิพากษาจะส่งสัญญาณให้นั่งลง แต่อีกฝ่ายไม่ฟังเสียง สีหน้าของพลเอกชเวมีบางอย่างที่ชานยอลไม่เข้าใจ และไม่นึกอยากเข้าใจในวินาทีนั้น เป็นความลำพอง... กระหายในชัยชนะอย่างร้ายกาจ ราวกับแร้งเฒ่าเป็นผู้ครอบครองไพ่ตายซึ่งจะปิดฉากความโกลาหลทั้งหมดนี้โดยสมบูรณ์
“ได้ยินว่าผู้อำนวยการโรงเรียนฝึกหัดทหารบกสนิทสนมกับพลเรือเอกซง พ่อของเธอมาก” แสงอาทิตย์อันน้อยนิดคล้ายกระจุกรวมกันในดวงตาที่มุ่งร้ายนั้น “ฉันเสียใจที่ต้องแจ้งข่าวอันไม่เป็นมงคลนี้ แต่... ”
“แต่อะไร... ” มือของมินโฮสั่น
“เขาเสียชีวิตแล้ว จู่ ๆ ก็เสียชีวิตน่ะ แหม... กะทันหันจังเลย เมื่อเช้านี้เอง... ”
ความเงียบนั้นถูกแทนที่ด้วยเสียงอุทานอย่างตื่นตระหนกของพลเรือเอกซง พร้อมกันนั้น เสียงกรีดร้องเบา ๆ ของเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ดังขึ้น เซฮุนที่กลัวเกินกว่าจะให้การต่อไปได้นั่งคอพับคออ่อน เลื่อนไหลจากเก้าอี้ หมดสติไปในเวลาเดียวกันนั้นเอง
พวกเขากลับถึงบ้านพร้อมกับความสิ้นหวังและความกราดเกรี้ยวที่ผสมรวมกันเป็นคลื่นอารมณ์กรุ่น ๆ พร้อมจะระเบิดออกทุกเมื่อ ไม่มีใครพูดอะไรในรถยนต์ของมินกู ไม่มีจริง ๆ แม้สักประโยคหนึ่ง อากาศอัดแน่นด้วยเสียงหึ่ง ๆ ที่น่ารำคาญ และหัวใจก็เต้นช้าเสียจนสัมผัสไม่ได้ว่ามีอยู่ ราวกับมันเกิดเกียจคร้านขึ้นดื้อ ๆ เมื่ออาจ... ไม่ถูกใช้งานอีกต่อไป
ขณะที่รถยนต์แล่นผ่านแกซอนมุนหรือประตูชัย แบคฮยอนที่กำลังเหม่อมองไปยังเนินเล็ก ๆ ซึ่งเขาและร้อยโทปาร์คในวันวานเคยกวดกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็มีอันสะดุ้ง เงาไหว ๆ กระโจนเข้าขวางหน้ารถยนต์ ทั้งผ่ายผอม มุ่งร้าย และกระหายจะฆ่าฟัน
นี่มัน... เหมือนกับ...
“เหมือนกับวันนั้นเลย” เป็นชานยอลต่างหากที่กระซิบออกมา
“อะไรของมันวะนั่น! ” มินกูที่ภาวะอารมณ์ไม่ปกตินับแต่ออกจากห้องพิจารณาคดีทุบลงที่แตรอย่างสุดแรงเกิด “ถอยไป! ”
ที่ผิดไปจากวันนั้นคือเด็กหนุ่มที่ด้านหน้ารถยนต์ไม่มีหินก้อนเขื่องในมือ ไม่มีอะไรนอกจากมีดเล็ก ๆ ทื่อ ๆ ซึ่งอาจเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในครอบครอง อดีตผู้ติดตามกะพริบตา คุ้นเคยกับใบหน้านั้นอย่างที่สุด แม้จะไม่ได้พบเห็นมาหลายปี และแม้ใบหน้านั้นจะขะมุกขะมอมด้วยฝุ่น ทั้งยังรกเรื้อด้วยผมเผ้าที่เป็นกระเซิงก็ตาม
“อย่าทำอะไรนะ นั่นจุนมยอน! ”
ชายหนุ่มร่างเล็กถลันลงจากรถยนต์ “อย่านะ จุนมยอน! ” แบคฮยอนตะโกน “พี่รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จงอินบอกพี่แล้ว อย่า... นายไม่รู้หรอกว่ากำลังจะทำอะไร นายรับมือเรื่องนี้ไม่ไหวหรอก กลับบ้าน! ”
“อะไรกันน่ะ”
ชานยอลที่เพิ่งจะตามลงมาถามอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่มินกูจะทำอย่างเดียวกัน และร้องถามอย่างคนที่จวนเจียนจะเสียสติเต็มที “แกเป็นใคร”
“ว่าไง” เด็กหนุ่มแค่นหัวเราะอย่างขมขื่น “ว่าไง... พ่อ”
“พี่บอกว่า อย่า! ”
“พ่อเรอะ” พลเรือเอกปาร์คพูดเสียงขึ้นจมูก “ถ้าเป็นแค่คนบ้า หลีกทางให้ฉันซะ ก่อนจะถูกบดอยู่ใต้ล้อนี่”
“แร้งเฒ่าบอกฉันแล้ว! ”
แต่ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น มินกูชะงักมือที่กำลังจะเปิดประตูรถยนต์ หันกลับไปมองจุนมยอนอย่างพรั่นพรึง แบคฮยอนก้าวตรงไปหาเด็กหนุ่ม ตั้งใจจะปิดปากเล็ก ๆ นั้นเสีย แต่คำพูดของจุนมยอนกลับเลื่อนไหลราวกับสายน้ำ มันพรั่งพรูรวดเร็วเกินจะหยุดได้ทัน
“บยอนคงซูไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของฉัน แม่ไม่เคยมีลูกกับบยอนคงซู ไม่มีเลยสักคน แม่ตั้งท้องกับแก แกที่เมื่อรู้ว่าฉันเป็นโรคอะไรก็ไม่เคยเรียกฉันว่าลูกอีกเลย แกที่ทิ้งฉันไว้ที่มูซาน แกที่จากไปโดยไม่เคยเหลียวแล! ”
ชานยอลอ้าปากค้าง น้องชายบุญธรรมปรากฏตัวต่อหน้า อย่างไม่คาดฝัน... อย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน ชายหนุ่มร่างเล็กกระโจนเข้ารวบตัวเด็กหนุ่มซึ่งยังตะโกนอย่างเคียดแค้น พร้อมกับที่มินกูชักปืนออกมาและยิงขึ้นฟ้านัดหนึ่ง
“วันนี้ฉันผิดหวังมามากพอแล้ว” พลเรือเอกเขี้ยวลากดินคำราม “และฉันจะไม่ผิดหวังอีก”
“อย่านะพ่อ! ”
เสียงปืนดังขึ้นอีกนัดเมื่อร้อยโทปาร์คกระโจนเข้ายื้อยุดกับผู้เป็นพ่อ “อย่ามาขวางทางฉัน! ” พลเรือเอกปาร์คแผดเสียง ก่อนผลักชานยอลให้พ้นทาง “ใครกันแน่คือศัตรูของแก ชานยอล ฉันหรือว่าพวกมัน คนหายไปสักคนสองคน เพียงพอจะทำให้แร้งเฒ่าถอนฟ้อง เพียงพอจะทำให้หนามยอกอกที่มีหมดไป ถอยไป”
“ไม่พ่อ... ไม่ได้”
“ฉันไม่ควรเมตตาปล่อยให้แกมีชีวิต” ร่างกายของจุนมยอนกระตุกอยู่ในอ้อมแขนของเขา คำพูดของพ่อแม้ไม่ใช่พ่อที่คุ้นแคยก็สร้างความเจ็บปวดได้อย่างชะงัด “ฉันไม่ควรปล่อยให้แกมีชีวิตรอดจนแร้งเฒ่าใช้แกเป็นอาวุธทำลายฉันได้”
“เขาไม่อยากให้ฉันทำอย่างนี้ตอนนี้หรอก” จุนมยอนโต้ “เขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา แต่ฉันไม่สนใจ พวกแก... สุนัขรับใช้จอมเผด็จการ เพราะใช้ชีวิตอย่างหุ่นเชิดที่ไร้จิตใจมาตลอด เลยคิดว่าใคร ๆ ก็ไร้ชีวิตจิตใจไม่ต่างกัน ฉันจะแสดงให้เห็นเองว่าผิดแล้ว ความมืดบอดและชั่วช้าที่ได้ร่วมมือกันสร้างขึ้นจะทำลายพวกแกในที่สุด”
“จุนมยอน พอได้แล้ว นายรับมือเรื่องนี้ไม่ไหวหรอก กลับบ้าน”
“แกทำให้ฉันไม่มีทางเลือก”
เกิดเสียงดังกริ๊กสองเสียงพร้อมกัน ปืนสองกระบอกชี้เข้าหากัน หนึ่งคือปืนของร้อยโทปาร์ค อีกหนึ่งคือปืนของมินกู
“แบคฮยอน... วิ่ง”
เท่านั้นเอง เขากระชากแขนจุนมยอนและวิ่งไม่คิดชีวิต ได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ตามหลังมา ชานยอลนั่นเอง เสียงปืนดังขึ้นไม่กี่นัดก็เงียบไป แทนที่ด้วยเสียงล้อรถยนต์เสียดสีกับถนนอย่างรุนแรง
“ขึ้นไปบนเนิน... ขึ้นไป”
พวกเขาวิ่งโดยไม่เหลียวหลัง ไปจากแกซอนมุน จากบ้านอันผาสุกของอดีตผู้บังคับบัญชา จากความหวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดีในวันใดวันหนึ่ง
“ตั้งใจจะไปที่ไหนหรือเปล่า”
“สถานีรถไฟ” แบคฮยอนหอบหายใจจนตัวโยน “ฉันจะพาเขากลับบ้าน จะพากลับไปให้ได้”
“อย่าหันหลัง” ร้อยโทปาร์ครีบรุนหลังเขาเมื่ออดีตผู้ติดตามชะงัก “ไป... ฉันจะคอยคุ้มกันให้”
“นายจะไปกับเราเนี่ยนะ! ”
“มีทางเลือกอื่นด้วยหรือไง! ”
ดังนั้น นอกจากแกซอนมุน บ้าน และความหวังทั้งมวล ท้ายที่สุด... พวกเขากำลังจะไปจากเปียงยาง
#ฟิคเปียงยาง
เหมือนเป็นครึ่งหลังที่มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะมาก
ถ้าเราผิดพลาดยังไงในฉากไต่สวน ท้วงเราได้เลยนะคะ เราไม่แน่ใจตรงนี้จริง ๆ
ในที่สุดก็จะได้ไปจากเปียงยางเสียที
ไม่ใช่ไร คนเขียนเบื่อแล้ว อ่ะเปลี่ยนโลเกชันมั่ง 555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เพลงมาค่ะ เลท อิท โก เลท อิท โกกกกกกกกกกกก 555555555555555
ชานยอลนี่ปกป้องแบคทุกทางเลย รักมากมั้ย เป็นสามีที่ดีจังเลยค่ะ ;-;
แบคต้องเบิกใจให้กว้าง จะหาสามีดีขนาดนี้ได้ที่ไหน รักไปเถอะค่ะ
แต่ชอบความสัมพันธ์งงๆของชานยอลกับแบคฮยอนนะ ดูซาดิสดี 555555