[REBORN !]...ฟิกสั้นๆ...ตอนที่สอง...
ขอได้ไหมนะกันพื้นที่ข้างกายของนาย...ข้างๆนายที่ไม่เคยมีใคร... ...อีกครั้งกับฟิกสั้นๆ (ที่ไม่ค่อยสั้นได้อย่างใจคิด) เขียนขึ้นมาด้วยความหมั้นไส้ตัวละครตัวหนึ่งโดยเฉพาะ...อ่านไปก็อย่าคิดมากนะ...
ผู้เข้าชมรวม
1,349
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
REBORN !
: อีกครั้งกับฟิกสั้นๆ (ที่ไม่ค่อยสั้นได้อย่างใจคิด) เขียนขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ตัวละครตัวหนึ่งโดยเฉพาะ ฮึดเดี๋ยวนั้น แต่งเดี๋ยวนั้น และก็จบเดี๋ยวนั้นเลย (แทบตาย) รู้สึกว่าตัวเองบ้าพลังจริงๆ = =^
หมายเหตุ :
: ฟิกนี้เหมาะสำหรับคนที่อ่านเรื่อง REBORN ! แล้วสามารถแยกแยะลักษณะของตัวละครในเรื่องได้โดยไม่งง เพราะอะไรน่ะหรือ...? ก็เพราะเรายังคงติดใจกับมุขเล่าเรื่องโดยไม่ออกชื่อตัวละครในเรื่องเลยเหมือนเช่นเคยนั่นเอง (ให้ไปคิดกันเอาเองว่าใครเป็นใครมั่ง ^.^)
: อาจมีการสับสนในตัวละคร และสรรพนามแทนตัวอยู่บ้าง เนื่องจากเราแต่งในตอนที่กึ่งหลับกึ่งตื่น (แต่ดันลุกขึ้นมาปี๊งเนื้อเรื่องกลางดึก) ซึ่งพอเราแต่งจบแล้ว เราก็หลับต่อ...(ชั่ว)
: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในฟิกเป็นช่วงในอดีตที่เรารีเมคขึ้นมาเอง โดยใช้ข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่ตัวละครบางตัวหลุดออกมา ดังนั้นฟิกนี้จึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องจริงแต่อย่างใด...
---------------------------------------------------------------
...จะขอได้ไหม...
...เพราะอย่างน้อยที่สุด...
...ฉันก็เพียงแค่อยากจะขออยู่ข้างๆนาย...
...ข้างๆของนาย...
...ที่ไม่เคยมีใคร...
...ขอที่ตรงนั้นให้ฉันได้ไหม...
...ฉันขออะไรมากเกินไปหรือเปล่า...
การพบเจอกันครั้งแรก ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นพิธีการจนน่าปวดหัว ท่ามกลางพวกผู้ใหญ่ที่สวมหน้ากากเข้าหากัน มีเพียงนายที่ยังเป็นแค่เด็กหนุ่ม...และมีเพียงนายที่ไม่ใส่หน้ากากเข้าหาใคร...
ใจอยากจะเดินเข้าไปทัก เพราะรอบๆตัวของนายมีแต่บรรยากาศที่เงียบ เหงาและอ้างว้าง
แต่เพราะใครอีกคนที่เดินเข้ามาฉุดรั้งตัวฉัน และลากตัวของฉันให้ออกห่างไปจากนาย
ใครคนนั้น...คือคนที่ฉันเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอมาว่าเกลียดแสนเกลียดเหลือเกิน
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบพื้น พร้อมๆกับคมดาบเย็นเฉียบที่ทาทาบลงไปบนลำคอ
“อ่า...แพ้ซะแล้วเรา” สองมือแบขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนจางช่างขัดอารมณ์นัก ชวนให้รู้สึกอยากที่จะกดคมดาบเรียกหยดเลือดสีแดงจากลำคอขาวของคนตรงหน้าเสียจริงๆ
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้จะทำแบบนั้นไม่ได้....
ดวงตาสีทองของผู้แพ้พราวระยินระยับเมื่ออีกฝ่ายถอนดาบออกไป พอๆกันกับเส้นผมสีทองสวยที่สะท้อนกับแสงแดดเป็นประกาย ท่าทีที่ไม่นำพาต่อความพ่ายแพ้ของตนเอง ทำให้อดคิดไม่ได้จริงๆว่าฝ่ายนั้นมันจงใจที่จะแพ้หรือเปล่า...?
เกลียดจริงๆ ทั้งแววตานั่น รอยยิ้มนั่น รวมทั้งท่าทางนั่น...
เรียกได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันขึ้นมาเป็นหมอนั่น ฉันเกลียดมันทั้งหมดเลย!
จะเพราะว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน หรือว่าจะอะไรก็แล้วแต่เถอะ แต่ยิ่งอยู่กับหมอนั่นก็ยิ่งรู้สึกแย่มากขึ้นทุกที!!
พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นใครอีกคนที่เดินอยู่ลิบๆ...ใคร..ที่เคยได้พบเจอแค่ครั้งเดียวเมื่อนานแสนนานมาแล้ว หากแต่ไม่เคยลบเลือนออกจากความทรงจำแม้เพียงวินาที ใคร..ที่แม้จะเห็นเพียงด้านหลังจากระยะที่ไกลขนาดนี้ ก็ยังคงจดจำได้ในทันที
และโดยไม่รู้ตัว สองขาก็ออกวิ่งไป...
ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยทอแสงอ่อนโยนแม้จะแฝงไว้ด้วยความเงียบเหงาอ้างว้าง ในยามนี้กลับกลายเป็นดวงตาที่ดูแข็งกร้าว ดื้อรั้น ไม่ยอมใคร เด็กหนุ่มคนที่เคยพบเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ได้เปลี่ยนแปลงเป็นราชสีห์หาญผู้ก้าวร้าวยิ่งกว่าผู้ใด...
ทั้งๆที่แค่เข้าไปทัก แต่กลับถูกตอกหน้ากลับด้วยถ้อยคำที่แสนเจ็บแสบ..
พอทางนั้นแรงมา ทางนี้ก็แรงกลับ สุดท้ายก็จบลงที่กำปั้น...หมัดของมันโคตรจะหนักเลย
“เฮ้ย! พอแล้วน่า พอแล้ว ไม่เอาๆ เพื่อนๆกันทั้งนั้น” จู่ๆเจ้าหมอนั่นที่เผลอลืมไปแล้วก็โผล่พรวดเข้ามาแทรกตรงกลาง พอเห็นหน้าของคนที่แสนจะเกลียดนั่นก็อดไม่ได้ที่จะซัดเข้าไปซักที
“โอ๊ย!!” พอกรรมการห้ามมวยลงไปกองกับพื้น มวยคู่เอกก็หยุดชะงักเหมือนมีใครมาตีระฆังหมดยก ไม่รู้ว่าหมอนั่นจงใจที่จะโดยชกหรือเปล่า เพราะทันทีที่เงยหน้าขึ้นมาหมอนั่นก็ยิ้มเผล่
เกลียดรอยยิ้มนั่นจริงๆ ให้ตาย
“ถึงพวกเราจะยังไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่เราก็โตๆกันแล้วนะ ทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้” พอหมอนั่นลุกขึ้นตั้งหลักได้ก็เริ่มเทศนา “นายน่ะ มีชื่อว่าเป็นนักดาบอัจฉริยะทีเก่งมหาเก่งอยู่ไม่ใช่เรอะ มาดวลกำปั้นแบบนี้มันใช้ได้หรือไง”
อึก...รู้สึกเหมือน...จะเถียงไม่ออก...
“แล้วนาย” หมอนั่นหันไปหาคู่กรณีอีกคน “เป็นถึงลูกชายของรุ่นที่ 9 ที่เป็นหัวหน้า วองโกเล่ เฟมิลี่ แท้ๆ แยกแยะไม่เป็นเลยหรือไงว่าอะไรควรไม่ควรน่ะ”
หา!!!
สะบัดหน้ามองคนตรงหน้าด้วยความแปลกใจอย่างที่สุด ไอ้เจ้านี่อ่ะนะ ลูกชายของรุ่นที่ 9 ผู้แสนจะอ่อนโยนคนนั้น! ไม่...ต้องเข้าใจอะไรผิดไปสักอย่างแน่ๆ ไม่มีทาง
แต่ว่า...
ถ้าหากว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้มีบรรยากาศแสนจะเงียบเหงาแต่แฝงเร้นไว้ด้วนความอ่อนโยนคนนั้นล่ะก็...
มันก็..น่าเชื่ออยู่หรอก....
ยิ่งได้รู้จักกัน ภาพพจน์ของเด็กหนุ่มผู้อ้างว้างโดดเดี่ยวก็ยิ่งจางหาย...
จนท้ายที่สุด ภาพพจน์ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงราชสีห์หนุ่มผู้ไม่ยอมลงให้ใคร...
แม้กระนั้นก็ตาม...
ในทุกๆครั้งที่ฉันได้มองแผ่นหลังของนายในยามที่อยู่ท่ามกลางผู้คน ทุกครั้ง ทุกครา มันก็จะมีภาพของเด็กหนุ่มผู้รายล้อมด้วยความเหงาซ้อนทับขึ้นมาเสียทุกที...
และในทุกครั้ง ก็มักจะอดไม่ได้ที่ฉันจะก้าวเข้าไปยืนข้างๆกับนาย เพื่อลดทอนภาพนั้นให้จางลง...
จนบางทีก็เผลอคิดไปเองว่า...
ที่ข้างๆของตัวนาย คือที่ของฉัน...
ก็แค่...
เผลอคิดไปเองฝ่ายเดียว...
จนกระทั่ง...
ข้างกายของนายมีใครคนหนึ่งเข้าไปยืนอยู่จริงๆ...
จึงได้สำนึกรู้เป็นครั้งแรก...
ที่ตรงนั้น..มันไม่เคยเป็นของฉันมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว...
ทำไมถึงได้รู้สึกหดหู่ขนาดนี้นะ รู้สึก..ไม่อยากจะทำอะไรเลย
ในช่วงที่เผลอนั่งกอดเข่า เอาดาบเขี่ยๆพื้นเล่นอย่างหมดมาดนักดาบอัจฉริยะ มือคู่หนึ่งก็กดทิ้งน้ำหนักลงมาบนบ่าทั้งสองข้างจนทรุดยวบ แล้วเจ้าหมอนั่นก็โผล่หัวสีทองๆมาตรงหน้าในลักษณะกลับหัวกลับหาง...
ที่แกเห็นฉันเป็นคานทรงตัวเหรอวะเนี่ย
“เป็นอะไรไป ทำหน้าไม่เสบยเลยนะนาย” เสียงจากคนที่เกลียดแสนเกลียดเอ่ยถาม แปลกนะ ทั้งๆที่ถ้าเป็นอย่างทุกๆทีล่ะก็ จะต้องตะบั้นหน้ามันให้หงายไปแล้ว แต่คราวนี้ไม่ยักอยากจะทำเลย
“เปล่า แครู้สึกว่ามันเนือยๆยังไงชอบกล”
เอนหลังพิงร่างของคนที่เอาบ่าไปเป็นคานทรงตัว หมอนั่นก็ไม่ว่าอะไรนอกจากเลื่อนมือที่กดไว้บนบ่าเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นโอบรอบคอแทนซะอย่างนั้น
“เหรอ”
รู้สึกไปเองหรือเปล่านะ เหมือนกับว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังมองอยู่เลย
“จริงสิ!”
“หวอ! อุ๊บ!”
จู่ๆหมอนั่นก็ลุกพรวด เลยทำให้หงายหลังลงไปนอนแอ้งแม้งเพราะพิงมันอยู่ หมอนั่นของโทษด้วยรอยยิ้มแหยๆ หลังจากฉุดให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนที่จะบอกเหตุผลที่มันยืน
“ซ้อมดาบกันเถอะ”
เคร้ง! เคร้ง!
เสียงดาบกระทบกันเป็นจังหวะ ฝีมือของหมอนั่นดีขึ้นมากกว่าที่คิด สีหน้าเรื่อยเฉื่อยสบายๆกลายเป็นเด็จเดี่ยวจริงจังอย่างที่พึ่งเคยได้เห็น
แต่แค่รุกรับไม่กี่กระบวนท่าก็รู้ฝีมือมันแล้ว...
ความรู้สึกหดหู่เฉื่อยชาเมื่อครู่เหมือนว่ามันเป็นแค่ความฝัน ทั้งๆที่เกลียดหมอนั่นมากมายถึงขนาดนั้นแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนจะสบายใจเวลาอยู่ใกล้ก็ไม่รู้...
อีกครั้งที่รับรู้ได้ถึงสายตาของใครสักคนที่จ้องมองมา...คราวนี้คนไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ...
แล้วในที่สุดก็หาเจอ
แต่คิดอีกที...หาไม่เจอน่าจะดีกว่า...
โครม!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ดาบกลิ้งโค่โล่อยู่ทางซ้าย ขณะที่ร่างทั้งร่างโดนแรงเหวี่ยงจากดาบของอีกฝ่ายลงไปกองอยู่กับพื้นทางด้านขวา หยดเลือดแดงฉานกำลังรินเป็นสายจากโคนแขนที่มีแผลลากยาวมาจนเกือบจรดปลายนิ้วเรียว
เพียงชั่ววินาทีที่สมาธิถูกหันเห ฝีดาบที่เคยได้ชื่อว่ากล้าแกร่งกลับกลายเป็นอ่อนด้อย...
“ป่ะ..เป็นอะไรมากมั๊ย!” หมอนั่นร้องเสียงหลงหน้าซีดสนิท วิ่งรี่เข้ามายกแขนขึ้นไปดู พอเห็นบาดแผลหน้าที่ซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีดสนิทยิ่งกว่ากระดาษ
“อะไร? อย่าบอกนะว่านายกลัวเลือดน่ะ?”
“เปล่าๆ ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่”
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวถูกยกขึ้นซับเลือด หม้าของหมอนั่นดูซีดมากจริงๆนะ มากเสียยิ่งกว่าตัวคนที่เจ็บซะอีก..จะเป็นอะไรไหมนะ...
“พอแล้วล่ะ นายน่ะกลับไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะกลับไปทำแผลเหมือนกัน” ท่าทางของหมอนั่นทำให้อยากที่จะยกมือขึ้นไปวางบนหัว...และก็เผลอทำลงไปจริงๆซะด้วย...ผมสีทองถูกขยี้ไปมาจนพอยุ่ง แล้วก็ขอโทษโดยการจัดสานเส้นผมให้เข้าที่เดิม ไม่นานหมอนั่นก็เดินหน้าซีดๆจากไป หลังจากที่ต้องยืนยันไปหลายต่อหลายครั้งว่าสามารถกลับเองได้...
น้ำที่ไหลผ่านบาดแผลชะเอาเลือดไหลลงไปจนนองพื้น ความรู้สึกเจ็บชากลับสดใหม่ขึ้นมาอีกครั้งจึงทำได้แค่กัดฟันแน่น ข่มความเจ็บเพื่อที่จะไม่ให้เผลอหลุดเสียงร้องออกมา
กล่องยาถูกยกมาวางที่เตียงนอน
ก๊อก ก๊อก
ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำ หรือทันได้ขยับตัว บานประตูก็เปิดออก ใครคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะมาที่ห้องนี้ กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่เหมือนจะไม่มั่นใจ
เสียงประตูปิดไล่หลัง หากแต่คนที่เปิดเข้ามา ตอนนี้เดินมาจนถึงที่เตียงแล้ว
เนื่องจากเลือดจากบาดแผลยังไม่หยุดไหล ประกอบกับเมื่อครู่เดินพล่านหากล่องยาไปทั่วห้อง เลยมารอยเลือดหยดอยู่เป็นทาง จุดนู้นบ้าง จุดนี้บ้าง ให้บรรยากาศของห้องที่พึ่งจะเกิดการฆาตกรรมดีแท้....
“เป็นไงบ้าง” น้ำเสียงอย่างที่ไม่เคยได้ยินถูกเอื้อยเอ่ย พลอยทำให้รู้สึกเหมือนหัวใจถูกแกว่งไกว เจ้านั่นเดินมานั่งลงที่ตรงปลายเตียงโดยไม่นำพาหย่อมเลือดที่กระจายอยู่ทั่วห้องสักนิด...
“เจ็บมากไหม”
แขนซ้ายถูกดึงเข้าไปดู ก่อนที่จะลงมือทำแผลอย่างแผ่วเบาอย่างที่สุด
“นายมาทำไม” เอ่ยออกไปอย่างที่ไม่รู้ว่าทำไมจึงได้เอ่ย เหมือนมีก้อนแข็งจุกขึ้นมาในลำคอ เมื่อต้องกล้ำกลืนมันลงไป เสียงที่พูดจึงฟังดูนิ่งเย็นกว่าที่ต้องการให้เป็นอีกมากโข
“แล้วทิ้ง ‘เธอ’ ไว้แบบนั้น ไม่เป็นอะไรหรือไง”
...ความเงียบทิ้งตัวลงมาอย่างน่ารังเกียจที่สุด...
แขนซ้ายที่ถูกทำแผลแล้วอย่างเรียบร้อยถูกจับมาวางไว้ที่ตัก ท่ามกลางความเงียบของคนสองคนภายในห้อง ร่างของเจ้านั่นขยับเข้ามานั่งเสียจนใกล้...
ใกล้...จนเกินไป...
“เธอคนนั้นกลับไปแล้ว” เสียงนุ่นทุ้มทำลายความเงียบอันแสนอึดอัดจนแตกกระจาย “เจ้าแก่นั่นบอกให้ฉันช่วยดูแลในช่วงที่เธอคนนั้นอยู่ที่นี่ เพราะเธอเป็นทูตเจรจาของเฟมิลี่พันธมิตรน่ะ”
“อ่ะ..”
สองแขนถูกยกขึ้นมากันคนที่ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เสียจนน่ากลัว เพราะว่าเสียเลือดมากไปหรือไงก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ไม่มีแรงเลยจริงๆ
เจ้านั่นขยับโน้มหน้าเข้ามาใกล้ใบหูก่อนกระซิบเสียงแผ่วจาง
“ที่ข้างๆตัวของฉันน่ะ ยังไม่มีใครอยู่หรอกนะ..ตอนนี้”
...อาจจะเป็นเพราะความบ้า...
...หรือจะแค่เป็นเพียงความโง่งมงายก็ไม่รู้...
...แต่ภาพของเด็กหนุ่มผู้เงียบเหงายังคงติดตรึงอยู่ในใจ...
...และกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ตัวฉันก้าวเดินไปยังเบื้องหน้า...
...แม้ว่าภาพนั้นจะซ้อนทับอยู่กับราชสีห์หนุ่มผู้องอาจก็ตามที...
...หรือบางที...
...อาจจะเป็นทั้งความบ้า ทั้งความโง่งมงายก็เป็นได้...
...ที่ผลักดันให้ฉันอยากที่จะก้าวขึ้นไปอยู่เคียงข้างนาย...
...จะขอได้ไหมนะ...
...กับที่ข้างๆตัวของนาย...
...จะเป็นอะไรไหมนะ...
...ถ้าวันหนึ่งวันใดตัวฉันจะขึ้นไปยืนที่ตรงนั้น...
...เพราะอย่างน้อยที่สุด...
...ในตอนนี้...
...ฉันก็คือคนที่อยู่ใกล้กับตัวของนายมากที่สุด...
...ฉันก็เพียงแค่อยากจะขออยู่ข้างๆนาย...
...ข้างๆของนาย...
...ที่ไม่เคยมีใคร...
...ขอที่ตรงนั้นให้ฉันได้ไหมนะ...
...ฉันขออะไรมากเกินไปหรืเปล่า...
**************************************************************
End......
ผลงานอื่นๆ ของ Chal ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Chal
ความคิดเห็น