ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] Dangerous Love #ดจรล

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1...ห้องเดียวกัน (100)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ต.ค. 63





    บทที่1…ห้องเดียวกัน


              ตอนนี้เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้วที่ผมต้องเดินแบกไอ้กระเป๋าหนักๆ เพื่อหาหออยู่ หลังจากที่จบปีหนึ่งมาคือที่จริงผมได้หอแล้วละแต่มันติดที่เมื่อวานไอ้รูมเมทห้องผมเสือกคิดจะปล้ำผม ทำให้ผมฟาดแม่ไม้มวยไทยที่เคยเรียนมาใส่มันก่อนจะรีบเก็บข้าวของย้ายออกจากหอทันที และตอนนี้ผมก็กำลังมองหาหอใหม่ซึ่งได้โทรไปบอกแม่ช่วยหาให้

              พอดีแม่ผมรู้จักกับน้าคนหนึ่งแล้วน้าแกเป็นเจ้าของอพาร์ตเม้น แกเลยว่าจะให้ผมมาอยู่แต่รู้อีกทีห้องดันเต็ม น้าแกก็เลยให้ผมไปพักกับหลานชายน้าแก เพราะหลานน้าแกไม่ค่อยจะอยู่หอสักเท่าไหร่ ผมยังไงก็ได้ง่ายๆ ขอแค่มีที่อยู่ก็พอแล้ว

              “เอ่อ พี่ครับ อพาร์ตเม้นเพ้นรูมไปทางไหนครับ” ผมรีบเข้าไปถามทางพี่ผู้หญิงคนหนึ่งทันทีเพราะถ้าเดินไปแบบนี้คงไม่เจอแน่ๆ

              “อ่อๆ ที่เดียวกับพี่เลย เดี๋ยวพี่พาไปไม่ไกลหรอกเดินไปอีกนิดก็ถึงแล้ว” อย่างนั้นไม่น่าถามเลยแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ผมยิ้มให้พี่แกก่อนจะเดินตามมาไม่นานจริงๆ ครับเพราะแค่ถัดไปอีกซอยก็ถึงแล้ว

              ไม่อยากจะบอกว่าอพาร์ตเม้นอย่างสวยครับ ดูท่าว่าจะมีแค่เก้าห้องเพราะมีสามชั้นและแต่ละชั้นมีแค่สามห้องเท่านั้นเอง เป็นตึกสีส้มทั้งหลังวาดลวดลายดอกไม้ประดับตกแต่งและแต่ละห้องก็จะมีระเบียงยื่นออกมามีต้นไม้ปลูกด้วย น่าอยู่จังเลย ผมเป็นคนชอบต้นไม้ดอกไม่ด้วยละมั้ง

              “ขอบคุณมากนะครับ” ผมยิ้มให้พี่แกก่อนพี่แกจะเดินเข้าห้องไปส่วนผมก็ต้องเดินไปหาคุณน้าก่อนครับ

              “เอ่อ พี่ครับ ผมมาหาน้าสุจีครับ” ผมบอกพี่ยามที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่ในตู้ของยามซึ่งพี่แกก็รีบลุกขึ้นออกมาจากห้องแล้วยิ้มให้ผม

              “ได้เลยครับน้อง ตามพี่มา” ผมก็เดินตามพี่แกไปครับ ตามทางก็สวยติดรูปวิวต่างๆ ไว้แล้วก็วาดลวดลายเป็นไม้เลื้อยไปตามทางเดิน สวยดีดูสบายตาด้วย

              “นี่เลยครับน้องห้องคุณสุจี” ผมยิ้มให้พี่แกกล่าวขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ

              “มาแล้วเหรอลูก!” ก่อนผมจะได้พูดอะไรน้าสุจีก็เปิดประตูออกมาแล้วโผเข้ามาหาผมทันทีทำเอาผมตกใจหมดเลยนะครับ

              “โอ้โห! โตเป็นหนุ่มสวยขึ้นนะเรา” นั่นมันคือมุกใช่ไหมครับ!

              “น้าล้อเล่นจ้ะ อย่าทำหน้าบึ้งสิ ไม่เข้ากับหน้าสวยๆ อุ้ย! หล่อๆ ของเราเลยนะ” น้าสุจีพูดพร้อมกับหยิกแก้มผมเล่น

              “ครับ น้าครับแล้วห้องผม” หลังจากที่ผมเดินหามานานความเมื่อยมันก็มีมากผมเลยอยากรีบไปพักผ่อนเร็วๆ ต้องรีบตัดบทคุณน้าก่อนที่แกจะพูดเยอะไปกว่านี้

              “อ่อๆ ตามมาเลยจ้ะ อยู่ชั้นสาม” ผมก็เดินตามน้าไปที่นี่มีแต่บันไดไม่มีลิฟท์นะครับ ระหว่างทางเดินน้าก็ถามผมเรื่องเรียนว่ายากไหมเป็นอย่างไรบ้างผมก็ตอบๆ ไปครับไม่ได้มีอะไรมากเท่าไหร่ไม่นานก็ขึ้นมาถึงชั้นสามแปปเดียวเองครับไม่เหนื่อยด้วย

              “ห้องนี่แหละจ้ะ 303 น้าบอกหลานน้าไว้แล้วแหละเขาก็ไม่ว่าอะไร เห็นว่าวันนี้จะไม่เข้าห้อง อีกสองสัปดาห์กว่ามั้งถึงจะเข้า มาจ๊ะเดี๋ยวน้าพาเข้าไปดูห้อง ให้คนมาทำความสะอาดไว้ให้แล้วละ”

              “ครับ” ผมขานรับสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีผมเป็นพวกพูดไม่เก่งและขี้เกียจพูดด้วย เพื่อนๆ ก็พากันว่านะพูดก็ไม่ค่อยพูดแถมชอบทำหน้านิ่ง แล้วทำไมละก็ผมเป็นของผมแบบนี้นิ

              “แถ่นแถ๊น สวยไหมละ! ชอบไหม?” ผมเดินเข้ามาอึ้งๆ โคตรรสวเลยอ่ะข้างใน ผมว่าข้างนอกสวยแล้วนะข้างในทั้งสวยและกว้างมาก! พนันได้เลยว่าเดือนละไม่ต่ำกว่าห้าพันแน่ๆ ลายพนังห้องเป็นลายดอกไม้ไม่ใช่สีชมพูหวานแหววนะเป็นลายสีดำผนังสีขาวดูสวยและอาร์ตมากเลยละ ตรงกลางเป็นห้องรับแขกอย่างกว้างมีโฮมเธียร์เตอร์ด้วยครับ และก็ยังแยกเป็นห้องครัวและห้องนอนสองห้อง โห! สุดยอดอ่ะไม่น้าอพาร์ตเม้นออกจะใหญ่ทำไมถึงมีแค่เก้าห้องเพราะว่าห้องมันกว้างอย่างนี้นี่เอง

              “สวยมากครับ ผมชอบมากเลย” ผมตอบไปอย่างอึ้งๆ เพราะห้องสวยมากจริงๆ และดูน้าสุจีจะยิ้มอย่างมีความสุขเหลือเกินหลังจากที่ผมบอก

              "น้าว่าแล้วว่าเราต้องชอบ ป่ะ! ไปดูห้องเราดีกว่า” ผมพยักหน้าเดินไปห้องทางขวาที่หน้าประตูมีรูปวาดเด็กผู้ชายใส่ชุดหมอกำลังกินอมยิ้ม น่ารักดีครับ หมอกินอมยิ้ม

              ผมเดินเข้ามาในห้องตัวเองและต้องค้างเลยครับ สวยมากกก! ตรงกลางห้องมีเตียงสี่เสาอยู่ตรงกลาง ผนังห้องไม่ได้มีลายแต่มีรูปวิวแบบอาร์ตๆ ติดอยู่ น้ารู้ได้ไงว่าผมชอบรูปแบบนี้ มีตู้เสื้อผ้า โต๊ะอ่านหนังสือที่กลมกลืนไปกับห้อง ดูสวยแบบมีไตล์ดีจัง

              “ห้องน้ำมีห้องเดียวนะ อยู่ข้างนอกนะจ้ะ” ผมพยักหน้ารับน้าเพราะถ้ามาทำห้องน้ำในห้องอีกก็ดูหรูเกินไปแล้วครับ

              “ครับ”

              “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ยังไงก็ตามสบายนะน้าไปแล้ว มีอะไรขาดเหลือก็ติดต่อน้าได้นะ”

              “ขอบคุณนะครับ” น้าสุจีพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปจากห้อง เฮ้อ! เหนื่อยจังเลยผมเอากระเป๋าวางไว้ก่อนเดินไปนั่งตรงโซฟาข้างห้องทันทีที่จริงกะว่าจะล้มลงเตียงแต่ยังไม่อาบน้ำเลยกลัวเตียงเหม็น ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะอนามัยพอสมควรนะครับเพราะถูกแม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าให้รักความสะอาดผมเลยเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบความสะอาดมากพอสมควร

              นั่งพักพอหายเหนื่อยผมก็เริ่มเอาของออกมาจัดเข้าตู้เสื้อผ้าผมไม่ค่อยเยอะหรอกครับผมเป็นคนไม่ชอบซื้อเท่าไหร่สัปดาห์หนึ่งใส่ซ้ำกันไปๆ มาๆ แต่มันสะอาดนะ ของส่วนมากจะเป็นพวกหนังสือมากกว่าครับเพราะผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ เวลาเหงาเครียดหรือเศร้าการอ่านหนังสือจะช่วยผมได้มากที่สุดเพราะผมจะจมอยู่กับหนังสือนั้น

              ตอนนี้ผมก็ขึ้นปีสองแล้วการเรียนก็จะเปลี่ยนเพราะปีหนึ่งจะอาจารย์จะทบทวนเรื่องเก่าๆ ตอนมอปลายให้เรามีเนื้อหาที่แน่นพอขึ้นปีสองส่วนใหญ่ก็มีอาจารย์ใหญ่ครับ เพื่อนผมก็เริ่มพากันกลัวๆ แล้วละแต่ผมไม่เท่าไหร่เพราะผมคิดว่าถ้าเราไม่ไปรบกวนหรือลบลู่เขา เขาก็คงจะไม่มาเกี่ยวข้องหรือมาให้เราเห็นหรอก เรากับเขาอยู่คนละโลกกัน

              ผมจัดของเสร็จก็เดินออกไปข้างนอกเพื่อไปที่ห้องน้ำผมผ่านหน้าห้องของเจ้าของห้องนี้อีกคนก็เห็นรูปวาดผู้ชายถือไขควงใส่เสื้อช็อปของเด็กวิศวะ อย่าบอกนะว่ารูมเมทของผมเป็นเด็กวิศวะ! ไม่ใช่อะไรหรอกเพราะไอ้รูมเมทคนก่อนของผมก็คณะวิศวะเหมือนกันและดูเหมือนว่าตอนนี้ผมอาจจะมีคติกับเด็กคณะนี้ซะแล้วสิ!

              ผมรีบเดินเข้าห้องน้ำไปทันทีไม่อยากจะคิดว่าไอ้รูมเมท จะเป็นคนยังไง ไปอาบน้ำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายดีกว่าจะได้ไปอ่านหนังสือต่อ ดีที่หออยู่ไม่ไกลจากคณะผมเท่าไหร่ขับรถไปเดี๋ยวก็ถึง เฮ้อ! คิดถึงรถก็ลืมว่าเอาเข้าอู่เพราะเพิ่งโดนชนไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อะไรมันจะซวยได้ขนาดนี้ ไม่เป็นไรเดี๋ยวค่อยขึ้นรถสองแถวไปก็ได้หรอก แต่ผมต้องไปขึ้นอยู่ที่หน้าคณะวิศวะน่ะสิ ช่างมัน! เดี๋ยวค่อยคิดว่าจะเอายังไง!


              ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความงัวเงีย เมื่อคืนนอนประมาณตีหนึ่งกว่าๆ อ่านหนังสือกว่าจะจบตามที่ตั้งใจไว้ เหนื่อยพอควรเลย ผมรีบอาบน้ำแล้วเดินออกมาจากหอหาขนมกับนมกินก็พอเพราะวันนี้มีเรียนเช้าด้วย ผมเดินมาขึ้นรถที่คณะวิศวะรอตั้งนานรถก็ยังไม่มาแต่ดีที่ผมมีหนังสือทำให้อารมณ์หงุดหงิดไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่

              “ป้อนข้าว” ผมละสายตาจากหนังสือเมื่อมีเสียงหนึ่งมากระซิบที่ข้างหู เรียกเฉยๆ ก็ได้ยินทำไมต้องกระซิบข้างหูด้วยว่ะ

              “มีอะไรเหรอ” เมื่อผมเงยหน้าขึ้นจึงได้รู้ว่าใคร ‘เอ้ก’ เขาเคยเป็นคู่ควงไม่สิคู่นอนเก่าของผมซึ่งตอนนี้เราก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว

              “มีอะไรเหรอ” ผมถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนิ่งกว่าครั้งอรกไม่มีเหตุผลที่ผมต้องยิ้มหรือทักทายด้วยความสนิทสนมเพราะฐานะของเอ้กก็คือ ‘คู่นอนเก่า’

              “ไร้เยื่อใยจังเลย” เอ้กมองผมยิ้มๆ ยิ้มที่แสนเศร้า

              “แล้วอยากให้พูดว่ายังไงละ” เอ้กไม่ตอบว่าอะไรแต่กลับเดินมากอดแขนผมพร้อมเอนหัวมาซบไหล่ ผมขืนตัวออกเพราะคงไม่ดีแน่ถ้าใครมาเห็นผู้ชายสองคนยืนกอดแขนกันแบบนี้ถึงผมจะไม่ค่อยแคร์สายตาคนอื่นก็เถอะ

              “เอ้กคิดถึงพี่ป้อน” ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตากลมโตที่ผมเคยจ้องแต่กลับไม่มีความรู้สึกที่ทำให้ใจผมพอง

              น่าสงสาร..ในสายตาของคนอื่นอาจจะคิดอย่างนั้นแต่มันใช้ไม่ได้ผลกับผม

              “รถมาแล้ว พี่ขอตัว” ผมเดินหนีทันทีเมื่อเห็นรถประจำทางที่จะผ่านคณะผมมา ไม่ได้หันกลับไปมองว่าอีกคนจะทำหน้าหรือแสดงอาการอะไรเพราะมันไม่ใช่ธุระอะไรของผมเลยสักนิด หลายคนบอกว่าผมไม่มีความรู้สึกหรือไร้หัวใจ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คงจะดี

              จะดีมากเลยละ

              ผมยื่นเงินให้หลังจากที่มาถึงโรงพยาบาล ตอนนี้ยังถือว่าไม่สายมากเพราะผมมักจะมาก่อนเวลาเสมอ ผมค่อนข้างเป็นคนที่ตรงเวลาพอสมควรนะ ป่านนี้เพื่อนก็คงยังไม่มาผมก็คงต้องไปรอที่ห้องสมุดของคณะสินะ

              “หาวววว แม่งง่วงชิบหาย” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างหลังผม แต่ผมก็ไม่ได้หันไปมองเพราะเขาไม่ได้เรียกผมหรือพูดเป็นประโยคที่น่าสนใจในความรู้สึกของผม

              “นี่ๆ มึง มึง! ไอ้นักศึกษาแพทย์เสื้อขาวน่ะ!” ผมหยุดเดินเพราะถูกจับเข้าที่ไหล่

              “กูเรียกไม่ได้ยินเหรอ” ผมหันไปมองคนตรงหน้าทันทีด้วยความรำคาญปนความโมโหนิดๆ เพราะผมกับมันไม่ได้สนิทกันจนขึ้นภาษาพ่อขุนรามคำแหงได้!

              “ขอโทษครับ คุณไม่ได้เจาะจงว่าใคร” ผมพูดนิ่งมองไอ้คนตรงหน้าที่หน้าตาค่อนไปทางโทรมใส่ชุดเสื้อช็อปของวิศวะ หึ! เด็กวิศวะสินะ ดาวเหนือ เมตราการณ์ ผมอ่านชื่อของมันที่อยู่อกข้างขวา

              “แล้วมึงไม่ใช่นักศึกษาแพทย์ที่ใส่เสื้อขาวรึไง มึงใส่เสื้อวันเกิดเหรอ” นี่เหรอเดือนมหาลัย กรรมการเขาใช้ตาไหนดูกันนะ

              “มองกูหาพ่อมึงรึไง” ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ตอบโต้

              “มีอะไร” การที่จะตัดปัญหาไปคือถามถึงใจความสำคัญที่มันเรียกผมเลยมันจะได้รีบๆ ไปซะที

              “คุณมีธุระอะไร” นิ่งไว้ ใจเย็นเข้าไว้เพราะตอนนี้มันมองผมอย่างกวนเบื้องล่างมากเลยละ

              “ใช้คุณ ลูกคุณหนูจริงๆ เด็กแพทย์” มือผมเริ่มกำเป็นหมัดแล้วครับ ผมไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงเท่าไหร่นะและผมค่อนข้างจะใจร้อนพอสมควรด้วยละ ไม่ชอบอะไรที่เข้าใจยากพูดครั้งเดียวจบเข้าใจง่ายทั้งสองฝ่าย

              “ผมจะถามครั้งสุดท้ายว่ามีธุระอะไร!”

              “ชื่อป้อนข้าวเหรอ” โอเค! จบละ! ผมหันหลังเดินหนีทันทีเพราะผมถือว่าให้โอกาสมันพูดแล้วแต่มันกลับเอ่ยถามชื่อผมซึ่งมันก็เห็นอยู่แล้วว่าชื่ออะไรมันไม่ควรเอ่ยขึ้นด้วยซ้ำ

              “เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนดิ เดี๋ยวก่อน หยุดๆ ! ไอ้ตุ๊ด!” สมองสั่งให้เท้าหยุดทันทีที่มันพูดจบ หมัดที่ผมกำแน่นคงได้ใช้แล้วสินะ

              ผลั๊ว!

              “อย่าสะเออะมาเรียกกูว่าตุ๊ดถ้ามึงยังแมนไม่ได้ครึ่งกู!!”





    ................................

    เปิดตอนแรกก็โหดแล้วป้อนข้าวของเรา

    ไม่รู้ว่าพอจะมีใครจำนิยายเรื่องนี้ได้ไหม

    แต่งไว้นานแล้วลงในเด็กดีจนจบ

    พอดีคิดถึงเลยถือโอกาสเอามาปัดฝุ่นใหม่

    ลองเข้ามาอ่านกันได้นะคะ

    เดี๋ยวจะเปิดขายฉบับอีบุ๊คด้วย ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยน้าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×