คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ❀ ไม่ใช่ความฝัน。100%
แสงแดดส่องผ่านเข้าทางช่องหน้าต่าง ร่างหนึ่งขดตัวใต้ผ้าห่มผืนหนาขยับตัวพลิกไปมาหนีแสงจากภายนอกที่รบกวนเวลานอนของตัวเอง ชายหนุ่มยกมือขึ้นกำลังจะคว้าหมอนที่หัวเตียงมาเพื่อจะซุกตัวลงไป แต่ดันได้ไอโฟนที่วางอยู่ตกลงมาใส่แทน อาการง่วงทั้งหลายจึงพลันหายไปจนตื่นเต็มตา
“ซวยแต่เช้าเลย..” พึมพำด้วยเสียงที่ติดจะรำคาญตัวเอง เส้นผมสีสว่างถูกขยี้ฟูและยุ่งเหยิง เจ้าของเตียงค่อยๆขยับกายบิดขี้เกียจให้หายเมื่อย ก่อนจะหยิบเอาไอโฟนต้นเหตุมากดดูอะไรบ้าง หลังจากที่ไม่ได้จับมันตั้งแต่เมื่อคืน
และทันทีที่กดเปิดหน้าจอ ตัวเลขที่ปรากฏบอกเวลาแทบจะทำให้เขาล้มคว่ำไปตอนรีบวิ่งลงจากเตียงไปห้องน้ำ รวมทั้งไลน์อีกมากมายที่มาจากน้องชายตัวแสบข้างห้อง
8.13 AM
‘ไอ้เฮียยยยยยย วันนี้ไปมหาลัยนะเว้ยยยย ตื่นนนนน!!’
ผมใช้เวลาอาบน้ำโดยไม่ถึงสิบนาที ผมไม่สนหรอกว่ามันจะสะอาดหรือไม่สะอาด รู้แค่ว่าถ้ายังสายกว่านี้ผมต้องตายแน่ๆ เพราะคนจ้องจะฆ่าผมมีถึงสองคน คือป๊าและไอ้ตี๋เล็ก -_- ทันทีที่ผมวิ่งลงมาถึงชั้นล่างก็เจอสองคนที่ว่ากำลังยืนจ้องเขม็งมาตามที่คิดไว้
“ทำไมต้องล็อคห้องวะเฮีย!! ไปปลุกไม่ได้เลยเนี่ย! โว๊ะ!!” ผมกระพริบตาปริบๆใส่มันเพราะไม่รู้จะเถียงอะไร แต่ก็นะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเมื่อคืนผมถึงล็อคประตูห้องทั้งที่ปกติบางทีก็เปิดมันทิ้งไว้เลย ถึงว่าวันนี้ไอ้ตี๋เล็กเลยไม่ได้เข้ามาปลุกผมด้วยตัวเอง นั่นไงก็เลยตื่นสาย
“ลื้อนี่มัน.. อั๊วไม่อยากจะด่าแล้ว เหนื่อย ไปๆ รีบๆไปกันได้แล้ว” ป๊าพูดขึ้นพร้อมมองหน้าผมอย่างเอือมระอา ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่ยืนนิ่งมึนเหมือนเดิม คิดว่าจะโดนมากกว่านี้ซะอีกน่ะ แต่โดนแค่นี้ก็ดีแล้วล่ะ ถือว่ายังเป็นเช้าที่แสนสดใสอยู่
“ป๊ากุญแจรถอ่ะ นี่จะไม่ทันอยู่แล้วเนี่ย”
“ไม่ให้! เพราะไอ้ตี๋ใหญ่มันตื่นสาย ก็ให้สายไปเลย”
“เห้ยป๊า!! ไม่เอาดิ โว้ยยย เพราะเฮียเลย เพราะเฮีย!!” ชานเลี่ยเดินกระฟัดกระเฟียดออกจากบ้านไปหลังจากที่ป๊าไม่ยอมให้กุญแจรถกับมัน แต่ก็ดีไม่อย่างนั้นไอ้ตี๋เล็กต้องซิ่งและพาตายก่อนถึงมหาลัยแน่ พอผมเดินออกพ้นประตูมาก็เห็นมันยืนหน้าบึ้งอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าคันหนึ่ง
“เฮียขี่เลย ฉันหงุดหงิดไม่อยากขี่” มันบอกพร้อมเหล่มองไปยังพาหนะที่เรากำลังจะขี่ไปมหาลัยกัน ผมส่ายหน้ารัวและขมวดคิ้วใส่มัน เป็นเชิงว่าผมไม่ขี่แน่นอน คนที่ขี่ต้องเป็นมันเท่านั้น
“ไม่ขี่เว้ย! เฮียไม่รู้ตัวรึไงวะ ว่าเป็นต้นเหตุแล้วยังจะให้ขี่อีก ชักเยอะละ” ชานเลี่ยร่ายยาว ผมที่เริ่มจะรำคาญมันเลยคิดหาวิธีออกอยู่พักหนึ่งและพอนึกได้ก็รีบเสนอมันไปทันที
“เป่ายิงฉุบเลย ใครแพ้คนนั้นขี่”
“บ้าปะเฮีย? อายุเท่าไหร่แล้ว มาเล่นอะไรแบบนี้อีกวะ..”
“จะเอาไง?”
“เออๆ มาๆ” สุดท้ายมันก็ยอมผม ความจริงยังไงมันก็ยอมอยู่แล้วแหละ แกล้งฟอร์มไปงั้น ผมยกยิ้มมุมปากทันทีเพราะมั่นใจอยู่แล้วว่าผมต้องชนะ เกมนี้เล่นกันตั้งแต่เด็กๆ ไอ้ตี๋เล็กเคยแพ้ผมยังไงมันก็แพ้ผมอยู่แบบนั้นละ ..และผมก็ไม่เคยเดาอะไรพลาดเลย เพราะผมเป็นผู้ชนะ
“ไอ้เฮียยยยยยยยย อีกแล้วหรอวะ โว้ะ!!”
ชานเลี่ยโวยวายพร้อมเตะไปที่รถคันเล็กตรงหน้าหนึ่งทีก่อนมันจะรีบขึ้นคร่อมพลางสตาร์ทเครื่อง ผมที่ตามขึ้นซ้อนท้ายเลยแกล้งตบหัวมันผ่านหมวกกันน็อค มันเลยแกล้งกลับโดยการเร่งเครื่องออกไปโดยไม่บอกทำเอาผมเกือบหงายท้อง แต่ยังดีที่คว้าเสื้อมันไว้ได้ทัน จนรถเป๋ไปเป๋มาพักหนึ่งพร้อมผมกับมันที่ร้องลั่นเพราะเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด -_-
ผมมองประตูรั้วมหาลัยชิงหัวอันใหญ่โตด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้ไอ้ตี๋เล็กที่ถึงกับร้องว้าวออกมา ด้วยความที่เป็นมหาลัยอันดับหนึ่งยิ่งทำให้ที่นี่ดูยิ่งใหญ่มากจริงๆ กว่าจะขับรถมาถึงที่นี่ก็เสียเวลาไปมากอยู่เหมือนกัน ผมก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมืออีกทีพบว่าตอนนี้มันเก้าโมงกว่าๆแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
ชานเลี่ยขี่รถเครื่องสีน้ำเงินบนถนนทั้งสายเล็กสายใหญ่ในมหาลัย ผ่านตึกสูงมากมายและหลายรูปแบบ ก่อนมันจะจอดลงที่หน้าตึกสีขาวเด่นพร้อมป้ายด้านหน้าที่เขียนว่า ‘คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี’
“ไปละเฮีย บาย! เชิญขี่ไปเองนะครับ” มันโยนหมวดกันน็อคใส่ผมที่ยังนั่งเหรอหราซ้อนท้ายอยู่ พอจะตะโกนถามอะไรมันสักหน่อยก็ไม่ทันแล้ว ไอ้ตี๋เล็กมันหายเข้าตึกไปแล้ว ผมขยี้หัวตัวเองหนึ่งทีและหันซ้ายหันขวาหาทางไปคณะของตัวเองบ้าง จนในที่สุดก็เห็นป้ายบอกทางที่ชี้ให้ผมตรงไป
ไม่นานผมก็มาจอดรถที่หน้า ‘คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์’
ตึกสีเทาไร่ระดับดูสวยงามอย่างที่ผมคาดหวังไว้ รูปร่างที่เล่นเหลี่ยมหลายมุมให้ชั้นเชิงที่หรูหราสไตล์เรียบง่าย จัดได้ว่าที่นี่คือโลกที่ผมต้องการ เพราะผมก็เป็นแค่ผู้ชายคนนึงบนโลกที่หลงรักสิ่งก่อสร้างนอกกรอบของมนุษย์
ผมเดินผ่านเข้าไปยังตัวตึก รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่และของตกแต่งภายนอกที่มีดีไซน์ไม่ค่อยคุ้นตานัก ผมอมยิ้มกับสิ่งเหล่านั้น ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งชันเข่าอยู่บนพื้นตึกที่ยกระดับขึ้นไป เขากำลังจ้องผม ผมก็จ้องเขากลับ
“ไอ้หัวทอง มองหน้าหาเรื่องรึไง?”
ผมขมวดคิ้วทันทีที่เขาเริ่มพูดเพราะผมกลายเป็นคนผิดซะงั้น ทั้งที่เขาเป็นคนมองหน้าผมก่อนแท้ๆ ผมเลยเดินตรงเข้าไปหาเขาและไม่กลัวอะไรด้วย ในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนผิด -_-
“ท่าทางจะวอนซะแล้ว” พอผมเริ่มเดินเข้ามาใกล้จากผู้ชายคนเดียวก็มีคนอื่นๆเพิ่มขึ้นมา ผู้ชายอีกสองสามคนเดินมายืนข้างๆเขา ผมหยุดยืนตรงหน้าพวกนั้นด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเดิม
“ปีหนึ่งว่ะมึง”
“เออว่ะ ถึงว่าหน้าไม่คุ้น” ผมได้ยินพวกเขาคุยกันจึงรู้ได้ทันทีว่าพวกนี้น่าจะเป็นพี่ปีอื่น ผมเลยเริ่มรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้นในเมื่อผมตัวใหญ่กว่าพวกรุ่นพี่นี่อีก พวกเขาซิบซุบอะไรกันสักอย่างเพื่อให้ผมไม่ได้ยินและปล่อยผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
“นี่มึงไม่รู้หรอว่าเขานัดปฐมนิเทศกันกี่โมง?” พี่เขาถามขึ้น
“รู้ครับ” ผมตอบไปตามมารยาทพลางถอนหายใจยาว รู้อยู่แล้วแต่แค่มันผิดพลาดอะไรนิดหน่อยก็เท่านั้น เพราะไอ้ตี๋เล็กไงที่มันไม่ยอมขี่รถมาส่งผมก่อน ไม่ไหวเลยจริงๆ
“แล้วทำไมยังมาสาย? มันเลยเวลาแล้วรู้มั้ย?” พี่อีกคนแทรกขึ้น ผมเลยได้แต่ยืนทำตาปริบๆไม่รู้จะตอบอะไรออกไปดี ในใจคิดได้แค่ว่า ถ้ารู้ว่าสายก็ควรจะไปผมไปตามทางของผมดีกว่ามั้ย..
“เอ่อ.. งั้นพี่ก็..”
“ไม่ต้องเข้าประชุมแล้ว ไป! ไปวิ่งเลยไป!” เอ้าเห้ย.. ผมตีหน้างงทันทีที่ได้ยินพี่เขาพูด พี่เขาไม่ยอมฟังผมก็ว่าแย่แล้ว ไหนจะยังมาสั่งให้ไปวิ่งอะไรอีก ผมเห็นพี่เขายกยิ้มหัวเราะอย่างสะใจกับผองเพื่อนด้านหลัง ส่วนผมนี่สิยังงงไม่หายเลย
“วิ่งอะไรครับ? วิ่งไปไหน?”
“ถามมากจังวะ! บอกให้วิ่งก็วิ่งดิ ไปถึงหลังวิดวะแล้ววนกลับมา ไป!”
แค่ถามผมยังโดนด่ากลับมาเลย ช่างไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ ผมพยักหน้ารับอย่างเซ็งๆ ก่อนจะรีบสาวเท้าวิ่งเหยาะๆออกมาแบบคนไม่มีแรง บางคนอาจจะคิดว่าผมกำลังป่วย แต่เปล่าเลยผมแค่ไม่อยากขยับตัวเท่านั้น ขี้เกียจจะตายอยู่แล้ว ผมวิ่งออกมาจากคณะมาถึงถนนที่เพิ่งจะขี่มอไซค์ไปเมื่อกี้ ยืนคิดอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจไปอีกทางเพราะผมเองก็ไม่รู้หรอกว่า ไอ้วิดวะอะไรนั่นอยู่ที่ไหน วิ่งไปเรื่อยๆแล้วกัน -_-
ผมวิ่งเหยาะๆเรียบข้างถนนมาได้สักพักก็เห็นป้ายเล็กๆเขียนว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ชี้ไปทางซ้ายมือให้ข้ามถนน ผมเลยตัดสินใจวิ่งข้ามถนนไป มหาลัยชิงหัวดูจะไม่ค่อยมีรถเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นของพวกอาจารย์และเจ้าหน้าที่ พวกนิสิตผมเห็นแต่จักรยานกับมอไซค์และเดินเท่านั้น เพราะใกล้ๆที่นี่ก็มีหอพักอยู่เต็มไปหมด
พอข้ามถนนมาได้ผมก็เห็นตึกสีครีมตัดด้วยลายสีพาสเทลอ่อนๆ รอบๆตึกปลูกด้วยต้นไม้มากมายอย่างร่มรื่นและด้านหน้าก็มีสวนหย่อมขนาดเล็กที่น่าแปลกเพราะมันมาอยู่ในมหาลัยแบบนี้ แต่พอผมเดินเข้าไปใกล้จึงเข้าใจได้ทันที เพราะที่นี่ก็เป็นของสถาปัตย์เหมือนกัน แค่คนละสาขา
ที่นี่คือ ‘ภูมิสถาปัตยกรรม’ ส่วนผมน่ะเรียน‘ถาปัตย์ถาปัตย์
ผมเดินผ่านด้านหน้าเข้ามาพลางสำรวจไปรอบๆ พลางหยุดวิ่งและตัดสินใจที่จะเดินเล่นแทน ซึ่งผมก็เต็มใจเพราะยังไงผมก็ไม่อยากฟังการปฐมนิเทศที่กินเวลาเกือบสามชั่วโมงนั่นเท่าไหร่ ผมเดินล้วงกระเป๋าพร้อมควักเอาไอโฟนของตัวเองมาถ่ายรูปท้องฟ้าเล่นและเมื่อผมลดมือลง ผมมองเห็นบางอย่างผ่านภาพที่ปรากฏจากกล้อง
ผมเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นกำลังเดินเข้าตึกถัดไป!
ผมไม่รอช้ารีบสาวเท้าวิ่งไปหาไอ้เด็กนั่นทันที แต่จู่ๆก็มีเสียกหนึ่งแทรกขึ้นพร้อมฝีเท้าที่เร่งเข้ามาขวางหน้าและไม่ต้องเดาอะไรให้มากความเพราะผมจำได้ดี ..ไอ้ชานเลี่ย -_-
“อ้าวเฮียมาทำไรที่นี่อ่ะ ตึกเฮียอยู่ฝั่งนั้นไม่ใช่อ่อ?” มันถามในขณะที่ผมยังไม่สนใจมันและชะเง้อมองหาไอ้เด็กนั่นอีกที แต่ก็ไม่มีแล้ว.. เอาอีกแล้วไง ผมพลาดจนได้! เพราะไอ้ตี๋เล็กอีกแล้ว..
“เฮียได้ยินฉันปะเนี่ย?”
“ไอ้ตี๋เล็ก! เมื่อกี้ฉันเห็นไอ้เด็กนั่น แล้วแกมาเรียกไว้ทำไมวะเนี่ย? หันไปอีกทีก็หายไปละ” ผมพูดพร้อมผลักหัวมันไปแรงๆหนึ่งที มันร้องโวยวายก่อนจะเตะผมคืนซึ่งผมก็หลบได้ทัน ก่อนมันจะเปิดปากถามผมด้วยคำถามที่หน้าถีบจริงๆ
“เด็กไหนวะเฮีย? นี่มาวันแรกก็มีเด็กเลยอ่อ? เจ๋งว่ะ!”
“ไม่ใช่เว้ยไอ้บ้า! ฉันหมายถึงไอ้เด็กขี่จักรยานที่ทำฉันเป็นแผลนี่ไง!” ผมยื่นแขนใส่หน้ามัน มันจ้องอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเงียบไปและอยู่ๆมันก็โวยวายขึ้นมาเสียงดัง ทำเอาคนที่นี่มองพวกผมกันหมด ไอ้ตี๋เล็กมันดูบ้าไปแล้วตอนนี้ -_-
“นี่เฮียติดใจมันจนถึงกับหลอนมาเห็นที่นี่เลยอ่อวะ! มันจะเป็นไปได้ยังไงเฮีย? มันยังเด็กอยู่เลยนะเว่ย! เฮียแม่งเพ้อเจ้อว่ะ ตกลงชอบไอ้เด็กนั่นจริงอะดิเนี่ย..”
“อะไรของแกไอ้ตี๋เล็ก! ไม่ได้ชอบเว้ยแค่อยากถามเรื่องหน้าตาที่มันเหมือน..”
“เออๆ พอละเฮีย ฝันอะไรนั่นอีกละ เบื่อจะฟัง” มันแทรกผมก่อนที่ผมจะพูดจบทำเอาผมเริ่มอยากจะถีบมันให้คว่ำแล้วจริงๆ ดูก็รู้ว่ามันยังไม่เชื่อผมอยู่ดี ให้ตายเหอะ นี่ผมดูโกหกตรงไหนวะ? ไม่เจอเองก็ไม่รู้หรอก ที่อยู่ทุกวันเนี่ยไม่ได้อยากจะฝันเลย นอนก็ไม่พอ ยิ่งเหมือนซากศพเข้าไปทุกวัน
“แล้วแกมาทำอะไรที่นี่ละ?” ผมเลยตัดประเด็นนั้นทิ้งไปและเลิกคิดถึงมันซะ เพราะบางทีผมอาจจะตาฝาดไปเองก็ได้ ในเมื่อไอ้เด็กนั่นมันอายุน้อยกว่าผมอยู่แล้วคงไม่มีทางมาอยู่ที่นี่หรอก
“โดนทำโทษดิเฮีย ให้วิ่งจากคณะผ่านวิดวะมาถึงนี่ ละให้วิ่งกลับไปเนี่ย”
“เหมือนกันแหละ”
“เออเฮีย ฉันไปวิ่งต่อละกัน พี่แม่งขู่ไว้ว่าจะขี่จักรยานตามมาเดี๋ยวแม่งมาเจอจะซวยอีก” มันพูดพร้อมออกตัววิ่งและโบกมือลาผม ผมพยักหน้าให้มัน ก่อนจะหันหลังเพื่อจะกลับคณะ เพราะตอนนี้ก็ขี้เกียจวิ่งละไปโม้ๆใส่ไอ้พี่พวกนั้นก็น่าจะได้ละมั้ง
“โอ้ย!!”
ผมได้ยินเสียงร้องและเสียงอะไรบางอย่างร่วงลงพื้นจากด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันกลับไปทันที จึงเห็นว่าเป็นไอ้ตี๋เล็กกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ แต่ที่พื้นกลับมีเอกสารและหนังสือหล่นเกลื่อนไปหมด ผมเลยตัดสินใจเดินเข้าไปหาสองคนนั้น
“ขอโทษๆ ไม่ทันเห็น พอดีรีบวิ่งไปหน่อย” ไอ้ตี๋เล็กมันพูดและรีบก้มลงเก็บของที่พื้นให้ ผมเห็นอีกคนกำลังทำหน้าบึ้งพลางก้มลงเก็บของตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมเลยขยับเข้าไปช่วยเก็บบางส่วนที่มันกำลังจะปลิว
“อ่ะ” ชานเลี่ยยื่นกระดาษปึกคืนให้กับเจ้าของที่เอาแต่ทำหน้าบึ้งไม่ยอมพูดอะไร ผมเลยยื่นคืนด้วยเหมือนกัน ไอ้ตี๋เล็กดูตกใจนิดหน่อยที่เห็นว่าเป็นผม แต่มันกลับสนใจอีกคนมากกว่า มันจ้องหน้าเขาไม่เลิกและพอเขาจะหยิบของไป มันดันชักมือกลับมาซะงั้น
“จะไม่ขอบคุณซักคำหน่อยรึไงครับ?”
อ่าวไอ้คุณน้องชาย.. อยู่ๆมันก็เริ่มกวนประสาทเขาทั้งๆที่ไม่ควรเลย ไม่เห็นหน้าเขาหรอไอ้ตี๋เล็ก แทบจะกระโดดเตะก้านคอแกแล้วเนี่ย!
“ไม่ ชัดมั้ยครับ?”
มันโดนสวนกลับมา ผมหันไปมองหน้าคนพูด จึงเห็นว่าเป็นผู้ชายตัวเล็กกว่าคนนึงและมีใบหน้าที่ดูเหมือนเด็กมัธยมมากกว่ามหาลัย แต่ตอนนี้ผมกำลังสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนักของเขา สาเหตุก็คงมาจากไอ้ตี๋เล็กนั่นแหละ
“อ่าวทำไมพูดแบบนี้ล่ะ? เห้ย..!!”
“พอได้แล้วไอ้ตี๋เล็ก! เอ่อ.. ขอโทษแทนมันอีกทีแล้วกัน ปล่อยๆมันไปเถอะ”
ผมดึงแขนมันไว้ก่อนจะหันไปพูดกับอีกคนที่กำลังยืนมองพวกเราอยู่ ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไรแต่เอื้อมมือมาคว้าปึกกระดาษไปอย่างรวดเร็วตอนที่ชานเลี่ยมันเผลอ มันสบถกับตัวเองอย่างหงุดหงิดจนแผ่นหลังผู้ชายคนนั้นไกลออกไป ผมเลยบีบไหล่มันเบาๆเป็นเชิงให้มันปล่อยวาง
“ผิดตรงไหนวะเฮีย ขอโทษก็แล้ว ฉันก็แค่วิ่งแล้วมันก็เดินตัดหน้ามา ก็เลยเบรกไม่ทันอ่ะ แค่ชนทำของหล่นไม่ได้ทำมันหัวแตกซะหน่อย”
“เออๆ ปล่อยไปเหอะ แกก็รีบๆไปเรียนไป ฉันไปละ” ผมตัดบทมันและรีบเดินออกมา เพราผมควรจะไปแล้วจริงๆ นี่ก็เสียเวลามากกว่าที่คิดไว้เยอะแล้ว ไอ้ตี๋เล็กปัดมือไล่ผมส่งๆด้วยความที่มันยังหงุดหงิดไม่หาย ผมไม่อยากจะอะไรกับมันมากก็เลยช่างหัวมันเถอะ
คนตัวสูงยืนเตะเท้าอยู่กับพื้นเพื่อระบายอารมณ์พักหนึ่ง ชานเลี่ยตวัดสายตามองไปรอบตัวอย่างเรื่อยเปื่อยพร้อมเบะปากกับตัวเอง ในใจตอนนี้เขายังมีแต่หน้าของผู้ชายตัวเล็กคนนั้นที่มองเขาด้วยสายตาน่าโมโห เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมทั้งที่ขอโทษไปแล้ว หมอนั่นกลับยังไม่พอใจเขาอยู่ดี
“อึดอัดโว้ย! อึดอัด!” ชานเลี่ยพึมพำกับตัวเองพร้อมเตรียมจะเดินกลับคณะ แต่ฝ่าเท้าเรียวกลับหยุดชะงักเพราะสิ่งของบางอย่างที่ตกอยู่ตรงหน้าเขา
ชานเลี่ยก้มลงหยิบมันขึ้นมาดูและพบว่าเป็นกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลอมส้ม เขาเปิดดูด้านในจึงเห็นรูปเจ้าของที่ยืนยิ้มแฉ่งกอดคอแนบหน้ากับผู้ชายอีกคนที่ยิ้มหวานชูสองนิ้วดูน่ารักไม่หยอกเลย ซึ่งหนึ่งในนั้นเขาคุ้นหน้าดีเพราะเป็นคนที่เพิ่งจะเจอกันไม่นานมานี้เอง
“โธ่เอ้ย.. ดันลืมของสำคัญเชียวนะ ไอ้ตัวเล็ก” พูดกับตัวเองพลางอมยิ้มขำ ชานเลี่ยเปิดดูตามช่องต่างๆในกระเป๋าจนพบกับบัตรนิสิต เขาหยิบมันออกมาดูเพื่อที่จะรู้อะไรเกี่ยวกับหมอนั่นได้บ้าง
“เปี้ยนไป๋เซี่ยน ปีหนึ่งเหมือนกัน.. อ่าวเรียนสถาปัตย์หรอวะ อ้อ! แลนสเคปนี่เอง”
หยิบบัตรมาโบกไปมาพลางพูดกับตัวเองไปเรื่อยก่อนจะยัดมันลงที่เดิม ชานเลี่ยหันมาจ้องรูปในกระเป๋าอีกครั้งและไม่รู้เพราะอะไรรูปนั้นกลับทำให้เขายิ้มตามอย่างไม่รู้ตัว มันทำให้เขาคิดว่าถ้าหมอนั่นยิ้มเหมือนในรูปนี้คงน่ารักกว่าทำหน้าบูดใส่เขาแน่ๆ คนตัวสูงถือกระเป๋าไว้แน่นพร้อมก้าวเดินผิวปากกลับคณะไปอย่างอารมณ์ดี
“คงได้เจอกันอีกนั่นแหละ ป๋ายป๋าย~”
ผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งก้าวเท้ากระแทกส้นขึ้นทางเดินเข้าตึกสูง ใบหน้าอ่อนกว่าวัยกำลังบูดบึ้ง มือกำชีทมากมายที่อุตส่าห์เดินไปซื้อที่หน้าคณะด้วยตัวเอง แต่ขากลับดันมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีจนถึงตอนนี้และยิ่งน่าปวดหัวคงไม่ใช่อะไรนอกจากการที่เขาต้องมานั่งเรียงชีทเอง แถมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเรียงถูกรึเปล่า
“ฟิตเกินจนได้เรื่องเลยมั้ยละไอ้ป๋าย” บ่นพึมพำกับตัวเองอย่างที่ไม่รู้จะโทษใครดี ชีทที่ว่าความจริงมาซื้อหลังจากเรียนก็ได้ เพียงแต่เขาก็แค่อยากฟิตเลยมาซื้อไว้ก่อนกะว่าจะเอาไปอ่านก่อนเรียน
“ไป๋เซียน!!”
เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นทำให้เจ้าตัวต้องรีบหันไปมอง เขายกยิ้มกว้างทันทีที่เห็นคนเรียก ไป๋เซี่ยนสาวเท้าเข้าไปหาต้นเสียงอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่คนสนิทกำลังยืนยิ้มกว้างให้เขาอยู่เช่นกัน ไป๋เซี่ยนเองก็อยากเจออยู่พอดีเลยไม่ต้องตามหาให้เสียเวลา
“พี่กำลังจะโทรหาเลย เห็นปฐมนิเทศเลิกแล้ว ก็เลยว่าจะมาหารับน้องรหัสซะหน่อย ฮ่าๆ”
“โห.. พี่พูดเหมือนผมกับพี่ไม่เคยรู้จักกันเลยนะ”
ไป๋เซียนพูดขำๆพลางเอี้ยวตัวหลบหมัดที่หวังจะแกล้งต่อยแขนเขา ความจริงเขาก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นักว่ารุ่นพี่คนที่สนิทกันตั้งแต่ในโรงเรียนเพราะเล่นฟุตบอลทีมเดียวกัน พอจะเข้ามหาลัยก็ชอบคณะเดียวกัน อยากเรียนเหมือนกัน ก็ยิ่งคุยกันถูกคอ จนได้สอบติดเข้ามหาลัยจริงๆ คนเป็นพี่ก็เข้าไปก่อนให้คนน้องตามและเมื่อคนน้องตามมาก็ดันมาเป็นพี่รหัสน้องรหัสกันอีก เรียกได้ว่าแทบจะหนีกันไม่พ้นเลย
“เอาน่าหยอกเล่นๆ แล้วเมื่อกี้เป็นอะไรป่าว? เห็นเดินหน้าบูดมาเชียว” คนเป็นพี่เดินเข้ามากอดคอน้องคนสนิท ก่อนจะพาเดินต่อไปเรื่อยๆตามใต้ตึกคณะ
“เออใช่! พี่เมื่อกี้อ่ะ ผมไปซื้อชีทแล้วเจอใครไม่รู้ แม่งวิ่งมาชนชีทเละหมด พี่ช่วยเรียงใหม่หน่อยดิ”
“นี่จะฟิตไปไหนครับคุณน้อง? ฮ่าๆๆ โอเคๆ เดี๋ยวพี่ช่วยๆ” แกล้งแซวเล่นจนคนข้างกายถึงกับสะบัดตัวออกจากวงแขนอย่างแรง พี่รหัสจึงรู้ดีว่าอีกคนน่าจะยังหงุดหงิดอยู่บ้างเลยต้องรีบตามเข้าไปง้อจับกอดคอเหมือนเดิม
“มีเรียนกี่โมงอ่ะเรา นี่จะสิบโมงละ” พูดพร้อมยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู
“บ่ายโมงอ่ะพี่ ส่วนเย็นก็มีแค่รับน้องอ่ะ วันแรกไม่มีไรเท่าไหร่ พรุ่งนี้ดิเต็มวันแต่เช้าอ่ะ” ไป๋เซี่ยนเบะปากและทำหน้าเซ็งเหมือนเด็กอดกินขนมเรียกเสียงหัวเราะให้กับคนอายุมากกว่า
“เอาน่า มีหน้าที่เรียนก็ต้องเรียน เข้าใจมั้ยยยย”
“รู้แล้วน่า พี่อย่ายีหัวผมดิ!” ไป๋เซี่ยนเอื้อมมือไปดึงข้อมือของคนข้างกายไว้พร้อมจัดผมตัวเองให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม หลังจากเสียเวลาเซ็ทอยู่นานสองนาน แต่พี่รหัสกลับใช้เวลาไม่กี่นาทีแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลยสักนิด
“ห่วงหล่อจังนะ งั้นเดี๋ยวพี่พาทัวร์คณะเอาปะ?”
“เห้ยเอาๆ! ไปเลยๆ เออพี่บอกมีสนามบอลด้วยใช่ป้ะ? พาไปดูหน่อยดิ อยากเล่นนนนน”
ลากเสียงยาวเหมือนเด็กๆพร้อมกระโดดโลดเต้นไปมา ไป๋เซี่ยนทำหน้าตื่นเต้นและหันมาลากข้อมือคนที่เริ่มแกล้งเขาอีกครั้งโดยการฝืนตัวอยู่กับที่ คนเป็นพี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่คนที่พยายามจะให้เขาพาเที่ยว ดูแล้วมันก็น่าตลกอยู่เหมือนกันที่นิสิตมหาลัยสองคนกำลังมาเล่นอะไรเหมือนเด็กๆแบบนี้
“โอเคๆ ไม่แกล้งล่ะ เล็ทโก!”
รีบเดินนำเพราะเห็นว่าอีกคนกำลังเตรียมถกแขนเสื้อ พี่รหัสที่รู้นิสัยน้องตัวเองดีอยู่แล้วก็แอบกลัวอยู่บ้างเพราะน้องคนนี้เองก็มีวิชาเทคควันโดที่ไม่น่าจะต่อกรได้ง่าย ไป๋เซี่ยนที่เห็นแบบนั้นก็รีบยิ้มกว้างจนตาหยีเดินตามไปอย่างมีความสุข
“เร็วๆเลยพี่ลู่หาน!”
แสงแดดสาดส่องกระทบพื้นสร้างความอบอุ่นให้กับพื้นหินกระด้าง ต้นไม้ใหญ่ถูกจัดวางไว้เป็นสวนหย่อมอย่างสวยงามในพระราชวัง เขตส่วนพระองค์ที่ไร้ผู้ใดเข้ามานอกจากเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เรือนตำหนักเล็กๆเป็นที่พักใจกลางสวนถูกจับจองด้วยชายหนุ่มผู้ที่กำลังจะกลายเป็นจักรพรรดิแห่งประเทศจีนในภายภาคหน้า
องค์ชายรัชทายาท สวมเครื่องแบบตามบรรดาศักดิ์สีน้ำเงินครามที่โปรดปราน
คนตัวสูงนั่งจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษบาง บรรจงสร้างสรรค์ผลงานที่สวยงามผ่านทุกลายเส้นที่วาดลงไป ดวงตาคู่คมเหลือบมองไปยังหุ่นนิ่งเบื้องหน้าเป็นระยะๆ
ภาพดอกไม้ที่บานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมหวนช่างสวยงามเสียจริง
ป้ายสีแดงอมชมพูลงไปอย่างแผ่วเบา ลากปลายพู่กันผ่านสีขาวไล่ระดับสร้างดอกเหมยที่ดูสมจริงลงบนผืนกระดาษ องค์ชายยกยิ้มให้กับผลงานที่น่าพึงพอใจ ดวงตาสีดำขลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลในศิลปะที่ถนัด วางพู่กันลงที่กระดานไม้ด้านข้างพลางผ่อนคลายร่างกายให้หายเมื่อยล้า
“ทรงวาดรูปอยู่หรือครับองค์ชาย”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังเรียกให้หันกลับไปหาข้าหลวงรับใช้คนสนิท ชายหนุ่มที่วัยไล่เลี่ยกันยืนก้มหัวให้กับเขาในชุดสีเข้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งช่างเหมาะสมกับคนที่เป็นทั้งที่ปรึกษาและองค์รักษ์เอกของเขา
“เสร็จก่อนที่เจ้าจะมาได้ไม่นานหรอก” องค์ชายตอบพลางใช้ผ้าเช็ดไปตามฝ่ามือ
“ดอกเหมยหรือครับ? งดงามมากครับองค์ชาย”
องค์ชายไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่ยกยิ้มยอมรับคำชมนั่นเท่านั้น ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังปลายพู่กันที่ตนกำลังล้างอยู่ในมือ ปลายนิ้วบรรจงลูบไล้สีที่ติดอยู่ตรงปลายออกทีละนิด ท่าทีที่สง่างามเหมาะแก่คนที่หลงใหลในศิลปะทำให้คนเฝ้ามองอยู่อย่างองค์รักษ์อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ฮ่าๆๆ จับไม่ได้หรอก ฮ่าๆ”
เสียงใสของเด็กน้อยดังขึ้นขัดความเงียบสงบภายในตำหนักส่วนพระองค์ ใบหน้าคมเข้มของสองชายหนุ่มต่างหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน ในแววตาของทั้งคู่ปรากฏภาพเด็กชายตัวเล็กๆวิ่งเตาะแตะเข้าหลบหลังพุ่มไม้พร้อมหัวเราะคิกคักกับตัวเอง
“องค์ชาย ให้ข้า..”
“ไม่ต้องหรอก ไม่เป็นไร”
“แต่ว่า..”
“ข้าบอกว่าไม่เป็นไร” องค์ชายเอ่ยวาจาย้ำอีกครั้งพลางจ้องมองเด็กน้อยที่กำลังตะครุบปากตัวเองไว้ด้วยรอยยิ้ม คนสนิทเลยได้แต่ลอบถอนหายใจและยืนสงบนิ่งอยู่เคียงข้าง
“เสี่ยวป๋าย! เจ้าอยู่ไหน? ออกมานะ เจ้ามาเล่นที่นี่ไม่ได้รู้มั้ย!”
ฝีเท้าพร้อมเสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้เจ้าเด็กน้อยสะดุ้งโหยงพร้อมขดตัวให้เล็กลงกว่าเดิม พยายามกลั้นขำให้กับอีกคนที่กำลังออกตามหาตัวเอง สอดส่ายสายตามองจนเห็นชายกางเกงที่รุ่มร่ามโผล่พ้นจากริมพุ่มไม้ ฝีเท้าบางเบาค่อยๆย่างก้าวเข้าไปใกล้ ก่อนจะรีบจับตัวเด็กน้อยไว้อย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนที่เฝ้ามองทั้งสอง
หญิงสาวในชุดเฉกเช่นเดียวกับคนในราชวังหลวงสีชมพูอ่อน ใบหน้าสวยใสเกลี้ยงเกลาส่องสว่างดั่งกลีบบุปผาขาว รอยยิ้มแสนงดงามพร้อมเสียงหัวเราะที่ร่าเริงสะกดให้ใจของชายหนุ่มหยุดนิ่ง
องค์รัชทายาทไม่สามารถละสายตาจากหญิงงามผู้นั้นได้เลย
“องค์ชาย..”
“…”
“องค์ชายครับ”
“หะ..เจ้าว่าอะไรนะ?”
องค์รักษ์ยกยิ้มกว้างพลางหัวเราะกับตัวเองที่เห็นอีกคนมีการตอบสนองแบบนั้น องค์ชายเลยได้แต่กระแอมไอพร้อมยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินลงไปยังด้านล่างมุ่งตรงไปยังอีกสองคนที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนส่วนพระองค์ ให้องค์รักษ์หนุ่มต้องคอยเดินตามมาติดๆ
“เสี่ยวป๋ายเจ้าควรเลิกเล่นแล้วออกไปจากที่นี่กับพี่นะ!”
“จับข้าให้ได้ก่อนน้าาา” เด็กน้อยวิ่งหนีอย่างไม่สนใจอะไร ซ้ำยังหัวเราะสนุกสนานที่ได้แกล้งคนด้านหลัง หญิงสาวกอบกุมกระโปรงด้านหน้าไว้และออกวิ่งตามน้องชายตัวแสบไป แม้จะลำบากด้วยชุดที่รุ่มร่ามก็ตาม
“แบร่! โอ้ย!” เพราะมัวแต่หันกลับไปมองคนด้านหลังเลยทำให้ชนเข้ากับใครบางคนที่เดินเข้ามาอย่างจัง เด็กน้อยล้มลงนั่งนิ่งกับพื้นและเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนฝ่ามือของคนตรงจะประคองให้ลุกขึ้น
“เจ้าเป็นอะไรมากมั้ย?” เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆมองเจ้าของเสียงทุ้มที่ดังขึ้น ก่อนจะส่ายหน้ารัวและวิ่งกลับไปหาพี่สาวของตัวเองทันทีที่อีกคนมาถึง
“เสี่ยวป๋ายเจ้า.. องค์..องค์ชาย!”
หญิงสาวรีบก้มหัวลงถวายความเคารพอย่างรวดเร็วพร้อมดึงข้อมือให้เด็กน้อยข้างกายทำตามอย่างเก้ๆกังๆ ใบหน้าสวยใสเริ่มแสดงความวิตกกังวลสร้างรอยยิ้มให้กับสองชายหนุ่ม องค์ชายค่อยๆสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงก้มหน้าอยู่แบบนั้น
“หม่อมฉันขออภัยเพคะ ที่เข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากองค์ชาย หม่อมฉัน..”
“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก น้องชายเจ้ายังเด็ก” องค์ชายรีบเอ่ยแทรกเสียงหวานที่รีบรัวคำพูดตอบเขาอย่างร้อนรน หญิงสาวจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นและถวายคำนับของอีกครั้ง ใบหน้าสวยมอบรอยยิ้มที่พาลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียได้
“เสี่ยวป๋าย เอ่อ.. ไป๋เซี่ยนชอบเล่นซนเป็นประจำเพคะ” มือเรียวสวยดึงมือเล็กที่เจ้าตัวพยายามเข้าไปหลบด้านหลังออกมา เด็กน้อยก้มหน้างุดๆไม่ยอมมององค์ชายแม้แต่น้อย จนสุดท้ายเขาเลยตัดสินใจย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“องค์ชาย!!” ทั้งองค์รักษ์และหญิงสาวต่างเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะรีบคุกเข่าลงให้อยู่ในระดับเดียวกับองค์ชายที่ยังทรงยกยิ้มอย่างไม่รู้สึกอะไรนัก
“องค์ชายทรงทำอย่างนี้ไม่ได้นะครับ..!”
“เจ้าชื่ออะไรนะ? ไป๋เซี่ยนงั้นหรอ?” องค์ชายไม่สนใจคำพูดของคนสนิทที่พยายามห้ามปรามเขา แต่กลับเลือกที่จะจับมือเด็กน้อยขึ้นมาพร้อมยิ้มกว้างทำให้เจ้าตัวเล็กยอมเงยหน้าจนได้
“ไป๋เซี่ยนฮะ อายุหกขวบ อยู่กับอาป๊าอาม๊าที่ฝั่งนู้นนน”
“ฮ่าๆ เจ้านี่น่ารักจังเลยนะเด็กน้อย” องค์ชายลูบผมเด็กน้อยอย่างอ่อนโยนพร้อมเสียงหัวเราะจากทุกคนเพราะเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ตอบทุกอย่างออกมาด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
“แต่คนอื่นชอบเรียกว่าป๋ายป๋าย แล้วพี่สาวก็เรียกว่าเสี่ยวป๋าย เลยมี..มีหนึ่งสองสาม สามชื่อฮะ!”
นิ้วเล็กถูกยกขึ้นนับไปพร้อมๆกับตอนที่พูด เด็กน้อยยกยิ้มแก้มปริ ก่อนจะหันไปหัวเราะกับพี่สาวตัวเองที่นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ๆ องค์ชายจึงหันไปมองที่หญิงสาวคนนั้นอีกครั้งและเธอก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
“องค์ชายครับ ได้เวลาเสด็จกลับตำหนักแล้วละครับ” เสียงทุ้มดังแทรกเรียกสติที่ล่องลอยขององค์ชายกลับคืนมา ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพลางกระแอมไออีกครั้ง ก่อนจะหันไปบอกลาเด็กน้อยและรีบเดินออกมา แต่จู่ๆปลายเท้าเขาก็หยุดชะงัก
“ป๋ายป๋าย”
“ฮะ?” เด็กน้อยกับพี่สาวที่กำลังจะเดินกลับไปอีกทางต่างหันกลับมาหาองค์ชายกันทั้งคู่ ไป๋เซียนที่โดนเรียกก็ขานรับเสียงใส่เช่นเคย
“ฝากบอกพี่สาวเจ้าด้วยว่านางก็น่ารักไม่แพ้เจ้าหรอก”
สิ้นคำพูดองค์ชายก็รีบหันหลังกลับพลางสาวเท้าเดินจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สองพี่น้องไว้เบื้องหลัง คนน้องที่ยังไม่รู้อะไรนักก็หันไปกระตุกกระโปรงพี่สาวตัวเองที่กำลังยืนนิ่งอยู่ หญิงสาวเม้มปากก่อนจะก้มลงมองเด็กน้อย
“พี่ฮะ เมื่อกี้องค์ชายบอกข้าว่า..”
“ข้าได้ยินแล้วน่า ไปได้แล้ว!”
“แต่องค์ชายบอกว่าให้ข้าบอกพี่นี่นา..”
แผ่นหลังของสองคนต่างวัยหายลับไป องค์ชายที่ซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ก็ค่อยๆเดินออกมาพลางยกยิ้มกว้างแสนจะภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ผิดกับองค์รักษ์คนสนิทที่เริ่มหนักใจเพราะดูก็รู้ว่าองค์ชายนั้นคิดเช่นไร
“องค์ชายครับ ข้าคิดว่า..”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้าไม่อยากฟังหรอก ไปกันเถอะชานเลี่ย” องค์ชายบอกปัดพลางยกมือโบกให้เป็นเชิงว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก คนสนิทเลยได้แต่ก้มหัวลงพร้อมเดินตามหลังผู้เป็นนายที่ฮัมเพลงตลอดทางเดินสู่ตำหนักของตัวเองอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าแสนสวยของหญิงสาวผู้นั้นยังคงเด่นชัดจนถึงตอนนี้
“เห้ย! เหม่ออีกล่ะเฮีย โว้ะ!”
เสียงที่ตะโกนใส่หน้ามาพร้อมกับไอ้น้องชายตัวดีที่เดินมานั่งลงตรงข้ามผม ไอ้ตี๋เล็กมันตบโต๊ะเรียกผมที่นั่งจ้องอะไรไปเรื่อยเปื่อยสะดุ้งจนแทบหงายท้อง ผมเลยบุ้ยปากใส่มันไปก่อนจะหันไปหยิบไส้กรอกทอดในจานที่มันถือมากินโดยไม่คิดจะถามด้วยว่าของใคร
“ของฉันนะเฮีย! ใครให้กินวะ? คายออกมาคายออกมาเลย!”
“โว้ยไอ้บ้า! นิดๆหน่อยๆเอง” ผมด่ามันพร้อมโยกตัวหลบเพราะรู้ว่าไอ้ตี๋เล็กกำลังจะเอื้อมมือมาบีบคอให้ผมคายมันออกมาจริงๆ
“หิวก็ไปซื้อเองดิ มัวแต่นั่งฝันกลางวันอยู่ได้”
ผมชะงักทันทีที่มันพูด เพราะมันดันตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เลย ที่ไอ้ตี๋เล็กเห็นผมนั่งเหม่ออยู่ความจริงผมก็แค่นึกถึงฝันเมื่อคืนเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็เป็นปกติ -_- แต่ผมที่เหนื่อยจะเถียงจะพูดอะไรกับมันต่อเลยหันหน้าหนีพลางถอนหายใจยาวกับเรื่องของตัวเองที่ไม่มีใครเข้าใจ
“รับน้องที่คณะนัดกี่โมงเฮีย?” คนที่กำลังยัดไส้กรอกเข้าปากไปทีเดียวสามชิ้นถามขึ้น
“หกโมง แกล่ะ?”
“เหมือนกัน ขี้เกียจว่ะอยากกลับบ้านไปนอนละ”
ไอ้ตี๋เล็กตอบพร้อมบิดขี้เกียจทำเอาผมรู้สึกง่วงขึ้นมาทันทีเลย ผมก็คิดแบบมันนะอยากนอนจะตายอยู่แล้ว ยังจะให้ไปรับน้องคณะอะไรอีก ไม่อยากจะคิดเลยว่าต้องโดนทำอะไรแปลกๆแน่อย่างที่พวกคนอื่นเขาพูดกัน
หลังจากเลิกเรียน (ความจริงวันนี้ก็ไม่ค่อยได้เรียน เพราะมันเป็นเซคแรก ก็มีแต่คุยกับอาจารย์) ประมาณห้าโมงกว่าๆได้ ผมกับไอ้ตี๋เล็กก็มาเกลือกกลิ้งกันอยู่ที่โรงอาหารของคณะ ชานเลี่ยมันบ่นว่าหิวอะไรหนักหนาไม่รู้ยอมลงทุนมาหาผมถึงที่ (เพราะมันจะให้ผมจ่ายไง -_- ) มันเดินไปซื้อของกินตลอดเวลา ส่วนผมก็นั่งพาดขาไปกับโต๊ะอย่างหมดแรง มันก็แค่รู้สึกเบื่อและเหนื่อยเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนั่นแหละ
ผมหยิบไอโฟนขึ้นมากดดูเวลาจนเห็นว่ามันใกล้จะหกโมงแล้วผมก็เลยหันไปบอกไอ้ตี๋เล็ก มันก็ยังบ่นว่าหิวๆอยู่เหมือนเดิมทั้งที่กินไปนับไม่ถ้วนแล้ว กระเพาะมันทำด้วยอะไร -_- ผมกับชานเลี่ยเลยเดินออกจากโรงอาหารพร้อมกัน ก่อนจะไล่มันที่อิดออดว่าไม่อยากไปๆให้ไปทางคณะของมันและผมก็เดินมาทางคณะผมบ้าง
ผมรีบเดินเข้าไปนั่งต่อแถวตรงลานกว้างที่พวกรุ่นพี่เขานัด ผมเห็นว่ามีคนมาแล้วอยู่เยอะเหมือนกัน ผมก้มหน้าเล่นมือถือตัวเองเพราะไม่รู้จะทำอะไรดี ก่อนจะหันไปมองด้านหลังเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งต่อผม
“หวัดดี นายที่เรียนเซคเดียวกันเมื่อเช้าใช่มะ?” ผู้ชายตัวเล็กๆตาโตถามผม ผมก็พยักหน้ากลับช้าๆพร้อมกับพยายามนึกหน้าเขา จนนึกขึ้นได้ว่าน่าจะเป็นคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องหน่อยๆ ผิดกับผมที่อยู่ด้านหลัง
“อ่า.. หวัดดี” ผมตอบเขาไป
“ชื่อไรหรอ? ฉันชื่อตู้ชิ่งจูนะ” เขายิ้มกว้างมาให้ผม ผมจึงยิ้มกลับไปก่อนเอ่ยปากตอบ
“อู๋อี้ฟาน เอ่อ.. ชิ่งจู?” ผมออกเสียงเรียกชื่อเขาอีกครั้งเพราะกลัวได้ยินผิด เขาก็พยักหน้ารับรัวๆเหมือนเด็กประถมไม่มีผิด โอเค ตอนนี้ผมได้เพื่อนในรั้วมหาลัยกับคนอื่นเขาบ้างแล้วล่ะ
“เห้ยน้องใครสั่งให้นั่งวะ! ยืน!”
นั่นไงผมว่าแล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้แหละ -_- เสียงรุ่นพี่คนนึงที่ออกไปยืนด้านหลังดังมาพร้อมหน้าตาโหดๆทำให้พวกเราทั้งหมดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครอยากจะโดนทำโทษตั้งแต่ตอนแรกหรอก ผมกับชิ่งจู (เพื่อนใหม่ตัวเล็ก) จึงยิ้มให้กันแบบตลกๆ ผมมองเขาที่พอยืนขึ้นแล้วตัวเล็กลงเหลือแค่ระดับไหล่ผม ชิ่งจูที่ดูเหมือนจะรู้ว่าผมแซวก็เลยต่อยมาที่แขน
“ให้ยืนเฉยๆเว้ย! ไม่ต้องจีบกัน! ทั้งชายทั้งหญิงเลย!”
ผมพยายามกลั้นขำเพราะรู้สึกว่าโดนด่าอีกรอบ คนอื่นดูเครียดนะ แต่ผมว่ามันตลกจริงๆ ชักไม่น่าเบื่อล่ะ ชิ่งจูเองก็ขำเหมือนผมนั่นแหละ
“แล้วนี่เข้าแถวกันยังไงเนี่ยห้ะ!! ไปเข้าจากภาคสิไป! ให้เวลาสิบวิ หนึ่ง! สอง! ..”
ทุกคนเริ่มวุ่นวายต่างพยายามหาแถวของภาคให้ได้ บังเอิญว่าถาปัตก็หลายภาคอยู่นะ แต่ช่างเถอะผมขอยืนนิ่งๆแบบนี้แล้วกัน ชิ่งจูก็ยืนทำตาโตอยู่ข้างผม
“นายไม่ไปหาภาคของนายหรอ?” ชิ่งจูถาม
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ รอให้หายวุ่นวายแล้ววิ่งไปนั่งก็ได้”
“อ่าห้ะ โอ้ะ! ฉันเจอภาคละ งั้นไปก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่ บายยย” เขาพูดอย่างร่าเริงก่อนจะวิ่งไปที่แถวทางขวามือ ผมเลยเริ่มมองหาแถวของภาคตัวเองบ้างจนเห็นว่าอยู่ทางซ้ายผมก็รีบเดินไปทันที
“ใครที่ยังไม่นั่ง! หยุดเลยไอ้พวกช้า!”
ผมชะงักค้างกลางอากาศในวินาทีที่กำลังจะย่อตัวลงนั่ง ผมมองซ้ายมองขวาดูว่าคงไม่มีใครสังเกตจึงจะเนียนนั่งลง แต่พอจะนั่งก็โดนรุ่นพี่คนนึงที่ยืนด้านหลังไอขึ้นเสียงดังทำเอาผมไม่กล้านั่งเลยทีเดียว โอเคผมยอมโดนทำโทษก็แล้วกัน
“บอกให้นั่งภายในสิบวิแล้วทำไมยังทำไม่ได้ห้ะ!!”
คนมันเยอะไงพี่ -_- ผมอยากตอบไปแบบนั้นมากเลย แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดีเลยยอมยืนนิ่งๆทำหน้ามึนต่อไป ตอนนี้จากพี่ที่ยืนทำเสียงดุอยู่คนเดียวเริ่มมีรุ่นพี่คนอื่นๆเพิ่มมาแล้วครับ แม้ว่าหน้าตาจะไม่โหดมากแต่กลับทำหน้าดุทุกคนเลย
“เรียนเต็คจะมาอืดอาดชิวๆได้ยังไง!! ไม่เหมาะจะเป็นนิสิตที่นี่เลยนะพวกมึง!!”
รุ่นพี่คนใหม่ที่ตัวเล็กกว่าผมนิดหน่อยผิวขาวแต่กลับดูแข็งแรง พี่เขากำลังกวาดสายตานิ่งๆพร้อมใบหน้าติดจะกวนนิดหน่อยไปทั่ว ผมเองก็เริ่มกลัวเหมือนกันละ
“พวกกูไม่ใช่เพื่อนเล่นนะเว้ย! คิดว่าที่ด่าๆอยู่นี่เล่นรึไง!” พี่อีกคนข้างๆแทรกขึ้น เขามีใบหน้ากลมๆขาวและดวงตาเรียวเล็ก พี่เขาดูน่ารักนะ แต่ตอนนี้คงเป็นโหมดโหดแน่ๆเลย ผมก้มหน้าลงมองเท้าเพราะรู้สึกเมื่อยนิดหน่อย ผมเหลือบมองคนอื่นที่ยืนก็ทำหน้าเซ็งๆกันทั้งนั้นแหละ
“ถ้าใครทนไม่ไหวมึงก็ลาออกไปเลย! ที่นี่ไม่ต้อนรับ!”
ผมขมวดคิ้วกับเสียงใหม่ที่ได้ยิน มันรู้สึกคุ้นหูแบบแปลกๆ.. แต่ตอนนี้ผมกับรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่จะมาโมโหอะไรกันแบบนี้ พวกผมไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงขนาดถึงขึ้นจะต้องไปลาออกหรอกมั้ง ผมอยากจะเห็นหน้าคนพูดสักหน่อยแล้ว..
..!!
“เห้ย..”
รุ่นพี่ที่พูดอยู่คือไอ้เด็กที่ขี่จักรยานวันนั้น!!
จะเป็นไปได้ยังไง! ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ สรุปว่าไอ้เด็กนั่นอายุมากกว่าผมงั้นหรอ? ผมขมวดคิ้วพลางจ้องหน้าเขาอย่างไม่รู้ตัว จนผมต้องสะดุ้งเมื่อเขาตวัดหน้ามาจ้องผมเขม็ง
ซวยแล้วสิ..
“ไอ้ตัวสูง!! มึงมองหน้ากูมีปัญหาหรอ!!”
ไอ้เด็ก.. เอ่อ พี่เขาถามผมพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าอ่อนกว่าวัยกำลังน่ากลัวและยังแผ่รังสีอำมหิตออกมาอีก ถึงเขาจะตัวเล็กกว่าผมแต่ผมว่าเขาเริ่มน่ากลัวไม่เหมือนตอนที่เจอตอนนั้นเลยสักนิด
“ไม่.. ไม่มีครับ” ผมตอบไปโดยไม่เข้าเหมือนกันว่าทำไมผมต้องพูดไม่ค่อยออกด้วย
“มึงพูดอะไร!! ไม่ได้ยิน!!”
“ไม่มีครับ!!” ผมตอบกลับเสียงดังหลังจากโดนตะคอกใส่พลางหลุบสายตาไม่อยากมองหน้าพี่เขา ไม่งั้นผมอาจจะโดนอีกรอบ ผมลอบถอนหายใจแล้วค่อยๆมองตามแผ่นหลังพี่เขาที่กลับไปยืนที่เดิม ผมจ้องหน้าพี่เขาอีกครั้งแต่คราวนี้ผมจะไม่ให้มันชัดเจนมาก
ผมไล่สายตาไปตามโครงหน้าของเขา
ยิ่งมองกี่ครั้ง.. ก็ยิ่งเหมือนกับในฝัน
เหมือนมาก
เหมือนจนคิดว่า.. ใช่
“กูชื่อจางอี้ชิง! ปีสองแลนสเคป!” พี่ที่ตัวขาวๆพูดขึ้นเรียกสติผมให้กลับคืน ผมตกใจเล็กน้อยและรีบเบนสายตาออกจากหน้าพี่เขาก่อนที่เขาจะรู้ตัวอีกรอบ ผมมองหน้าพี่คนที่พูดอยู่เพื่อให้จำได้ขึ้นใจ จะได้เลี่ยงเวลาเจอผมว่าพี่เขาดูน่ากลัวที่สุดแล้ว เขาดูจริงจังแบบกวนประสาทน่ะ
“กูจินหมินซั่ว! ปีสองอินทีเรีย!” พี่อีกคนที่หน้ากลมๆพูดขึ้นต่อ ผมได้ยินเสียงซุบซิบเล็กน้อยว่าพี่เขาหล่อน่ารักไม่เหมาะกับตอนนี้เลย จนมาถึงพี่คนสุดท้ายที่ผมคุ้นหน้าเขาดี ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะจำผมได้มั้ยถึงจะเจอกันเพราะอุบัติเหตุก็เถอะ พอเขาเตรียมจะพูดผมแอบเห็นผู้หญิงหลายๆคนเขินด้วยแม้ว่าเขาจะทำหน้าดุอยู่ก็ตาม
“ลู่หาน! ปีสองแลนสเคป!”
ลู่หานงั้นหรอ?
อยู่ๆใจผมก็กระตุกอย่างแรง.. อีกแล้ว!
ผมกำเสื้อตรงหน้าอกไว้แน่น พยายามข่มความเจ็บปวดที่อยู่ๆมันก็เกิดขึ้นโดยที่ผมไม่เข้าใจเลย ผมกัดปากตัวเองจนรู้สึกชาไปหมด ผมเริ่มหอบหายใจในขณะที่ขาผมเริ่มสั่นและคนอื่นๆยังสนใจที่พวกรุ่นพี่อยู่ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับผม ตาพร่าเลือนด้วยน้ำตาผมเริ่มมองอะไรตรงหน้าไม่เห็นแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้น..
‘ลู่หาน.. ลู่หาน..’
“อึก..” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อาการเจ็บที่รุนแรงขึ้นมาพร้อมเสียงของใครบางคนที่เรียกร้องขึ้นในหัวของผม เสียงที่เหมือนกับเสียงของผมเองกำลังเรียกชื่อของ ..ลู่หาน
‘ลู่หาน! ลู่หาน..’
“โอ้ย!” ผมล้มลงกับพื้นด้วยขาที่มันไม่มีแรงต้านอีกแล้ว คนรอบตัวผมต่างแตกตื่นกันหมด รุ่นพี่บางคนวิ่งเข้ามาดูอาการผม แต่ตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น ผมอยากนอนอยากหลับไปเลย ผมไม่ไหวแล้ว
เอาเสียงนั่นออกไปที ..ใครก็ได้
‘ลู่หานน!! ลู่หานนนนนน!!!’
“โอ้ย!!”
เสียงนั้นมันดังขึ้นเหมือนกับตะโกนจนสุดเสียง ผมร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและทนไม่ได้ ผมเกร็งตัวพร้อมกำเสื้อตัวเองแน่น ผมหอบหายใจถี่พร้อมเปลือกตาที่แสนหนักอึ้ง ภาพในหัวผมขาวโพลนมีเพียงใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวอันเลือนลางที่ผมคุ้นเคยในความฝัน
เธอกำลังส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
มันไม่ใช่ความฝันใช่มั้ย?
ก่อนทุกอย่างจะดับมืดไปและผมก็ไม่รับรู้อะไรอีก
ในห้องสี่เหลี่ยมมุมหนึ่งถูกจับจองด้วยเตียงพยาบาลยาวใกล้ผนังขาว ร่างหนึ่งในชุดนิสิตนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ใบหน้าคมเข้มหลับพริ้มแต่ยังไม่ทิ้งความกังวลจากคิ้วที่ยังขมวดเป็นปม ข้างๆกันมีชายหนุ่มอีกสามคนกำลังยืนสุมหัวคุยกันอย่างเคร่งเครียด
“มึงว่าน้องเค้าจะเป็นไรมากป่าววะ?” จางอี้ชิงที่กำลังทำหน้าเอ๋อถามขึ้นกับเพื่อนของตัวเอง
“กูว่าไม่นะ หมอบอกว่าแค่เป็นลม น่าจะพักผ่อนน้อยแหละ” จินหมินซั่วเป็นคนตอบพลางบีบไหล่เพื่อนสนิทให้หายกังวล ก่อนจะเหลือบสายตามองอีกคนที่ยืนกัดปากและยังไม่พูดอะไรออกมา
“ไม่ต้องเครียดไปหรอกไอ้ลู่ น้องแม่งไม่เป็นไรหรอกเชื่อกู” หมินซั่วพยายามพูดปลอบคนที่นิ่งไปเอาแต่กัดปากหรือไม่ก็เหลือบมองคนบนเตียงเป็นระยะๆ ลู่หานหันหน้ากลับมาหาคนที่พูดด้วยสายตาที่ยังไม่คลายความตกใจและกังวลออกไปได้เลย
“กูก็ไม่อยากคิดมาก.. แต่มันอาจจะเป็นเพราะกูก็ได้ที่ไปตะคอกน้องตอนนั้นอ่ะ มึงไม่เห็นอ่อ แม่งตกใจมากเลยนะเว่ย แอบมองหน้ากูตั้งหลายรอบด้วยและพอกูจะรู้ตัวแม่งก็หลบตา คงกลัวกูชิบหายแล้วมั้งเนี่ย”
ลู่หานร่ายยาวพร้อมถอนหายใจแรงๆ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองเพื่อนสนิทตรงหน้าสองคนอย่างสื่อความหมายให้เข้าใจในตัวเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ เพราะในฐานะรุ่นพี่ปีสองที่รับผิดชอบกิจกรรมรับน้องมีหน้าที่ต้องดูแลน้องปีหนึ่งทุกคน ยิ่งวันแรกดันมีคนเป็นแบบนี้พวกเขาทั้งหมดอาจจะโดนสอบสวนแล้วให้ยกเลิกกิจกรรมที่เตรียมไว้ทั้งหมด ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาคงรู้สึกแย่ไปจนวันตายแน่ๆ
“อาจจะไม่ขนาดนั้นหรอก มึงไม่ต้องคิดมาก” อี้ชิงพูดพร้อมยิ้มบางๆให้
“ใช่ๆ ไอ้ชิงมันก็ไม่คิดอะไรแล้วเนี่ย มึงก็ปล่อยๆมันไปได้แล้ว” หมินซั่วย้ำอีกครั้งก่อนจะดึงแขนให้เพื่อนสนิทให้เดินออกมาจากห้องเพราะพวกเขากลัวว่าอาจจะไปรบกวนเวลานอนของเด็กตัวสูงเกินวัยได้ แต่พอจะพ้นขอบประตูอยู่แล้วลู่หานกลับหยุดเดินทำให้หมินซั่วและอี้ชิงต่างก็แปลกใจ
“กูว่า.. กูอยู่เฝ้าน้องดีกว่าว่ะ มึงไปทำงานต่อเหอะ กูอยู่ได้”
คำขอของเพื่อนทำเอาอีกสองคนไม่รู้จะตอบยังไง ยิ่งแววตาอันแน่วแน่ของลู่หานทำให้พวกเขาไม่กล้าจะทักท้วงอะไรจึงปล่อยเลยตามเลย อีกอย่างมันก็น่าจะดีที่ไม่ทิ้งน้องในความดูแลไว้คนเดียว อี้ชิงและหมินซั่วจึงบอกลาคนที่อาสาอยู่เฝ้า ก่อนพวกเขาทั้งสองจะหายลับไปหลังบานประตูห้องพยาบาลที่ปิดลง
ลู่หานเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมลากเก้าอี้มานั่งลงที่ข้างเตียง เสียงลมหายใจของรุ่นน้องตัวสูงแสดงถึงอาการหลับสนิทในห้วงนิทรา เขาจ้องมองไปยังใบหน้าคมเข้มราวกับรูปปั้นอันนิ่งสงบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับเส้นผมสีสว่าง เขากระพริบตาปริบๆทันทีที่เริ่มรู้สึกแปลกที่เขามานั่งจ้องหน้าผู้ชายด้วยกันแบบนี้
“ใช่คนที่ขี่จักรยานชนวันนั้นรึเปล่าเนี่ย..” ลู่หานพึมพำพลางนึกย้อนไปถึงวันนั้น พอจะคลายสงสัยได้บ้างว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นหน้าผู้ชายคนนี้
แต่ความรู้สึกคุ้นหน้ากลับรู้สึกเหมือนคุ้นเคย
เหมือนรู้จักกันมานาน
นานมากกว่าทั้งชีวิต
“คิดอะไรบ้าๆวะกู” ตบหน้าเรียกสติตัวเองที่เผลอคิดอะไรแปลกๆ ลู่หานพึมพำพร้อมสะบัดหัวแรงๆและเหลือบมองคนบนเตียงที่ยังไม่ยอมตื่นขึ้นมาเหมือนเดิมก็ได้แต่นั่งถอนหายใจทิ้ง เขาถอยเก้าอี้ลงมาและเอาขาพาดขึ้นไปบนเตียงอย่างไม่ค่อยเกรงใจใครนัก ก่อนจะหลับตาลงนอนหลับในท่านั้นบนเก้าอี้ เพราะไม่ว่ายังไงถ้าไอ้เด็กตัวสูงนี่ตื่นขึ้นมาก็ต้องปลุกเขาอยู่ดี
“ฝันดีนะเว่ยไอ้เด็กตัวสูง ขอโทษละกันถ้าทำให้ตกใจ”
มาต่อให้ละ 555555 อัพช้าอ่ะรู้ตัว ไม่ใช่ไร.. "ขี้เกียจอ่ะ" 55555 เลิ้บๆ
เราจะเริ่มเล่าเรื่องแบบทั้งอดีตและปัจจุบันไปพร้อมกันแล้วนะ ไม่ต้องงง555555 ถ้าเมื่อไหร่เป็นความฝันจะบอก แต่ถ้าไม่ใช่ก็คือเล่าอดีตเฉยๆ (คาดว่ามีงงแน่..) สู้ๆนะทุกคนนนนนนน!
ความคิดเห็น