คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ❀ สิ่งที่เห็นและใครคนนั้น。
“ที่นี่.. มันอยู่ในความฝันของฉัน”
สิ้นคำพูดของพี่ชายแท้ๆ คนที่ยืนฟังอยู่อย่างเขาแทบจะตกใจจนล้มพบไปอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ชานเลี่ยอ้าปากค้างกระพริบตาปริบๆมองอี้ฟานที่เริ่มจะพึมพำกับตัวเองโดยไม่สามารถจับใจความได้ คนเป็นน้องที่เห็นพี่ชายเริ่มมีอาการไม่ดีเลยตัดสินใจจะพาอีกคนออกไปจากที่นี่น่าจะดีเสียกว่า
“เฮีย ฉันไม่ได้หมายความว่าเฮียโกหกนะ แต่หมายถึงไปที่อื่นเหอะว่ะ” เอื้อมมือไปหวังจะคว้าคอเสื้ออี้ฟานแล้วพาออกไปทางประตูนั่น แต่มือของชานเลี่ยกลับไม่แตะต้องโดนอะไรทั้งสิ้นและทันทีที่หันกลับไปมองก็พบว่าอีกคนได้เดินตรงไปยังพระราชวังใหญ่ตรงหน้าแล้ว
“เห้ยเฮีย! ฟังที่พูดบ้างปะเนี่ย?” วิ่งตามมาติดๆพร้อมโวยวายไม่เลิก ชานเลี่ยขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดเพราะอี้ฟานไม่มีคำตอบให้เขาเลยสักคำเดียว เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปเท่านั้น
“ที่นี่ไม่มีอะไรหรอกเฮีย บางทีเฮียคงแค่นอนน้อยใช่มั้ยละ? ไปเหอะ”
“ไอ้ตี๋เล็กถ้าแกไม่เชื่อฉัน แกก็กลับไปก่อนเลย ฉันต้องการให้ทุกอย่างในหัวมันชัดเจน! จะได้รู้สักทีว่าไอ้ฝันบ้าบอนี่มันคืออะไรกันแน่!” อี้ฟานตวัดหน้ากลับมามองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองพร้อมมือที่ยกกันเป็นเชิงว่าถ้าหากเขายังพูดมากกว่านี้เขาอาจจะโดนพี่ชายอัดซักทีก็ได้ ชานเลี่ยหยุดชะงักยอมหยุดเดินตามแต่พออีกคนหันกลับไปความพยายามเขากลับมาอีกครั้ง
“ไม่ใช่ไม่เชื่อนะเฮีย แต่..”
“ไอ้ชานเลี่ย..!”
“อ้าว สวัสดีครับคุณนักท่องเที่ยว มาเที่ยวชมกันแต่เช้าเลยหรอครับ?” ไม่ทันจะได้พูดจบกลับมีเสียงหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน ทั้งอี้ฟานและชานเลี่ยต่างหันไปทางต้นเสียงพร้อมกันและพบว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว
“ใช่ครับ แต่กำลังจะกลับ..”
“เป็นไกท์หรอ?” อี้ฟานแทรกคำพูดของชานเลี่ยขึ้นกะทันหันพร้อมดึงคอเสื้อน้องชายให้พ้นทางแล้วตัวเองก้าวเข้าไปหาผู้ชายคนนั้นแทน
“ใช่ครับ ผมซือจินฟางเป็นไกท์ประจำที่นี่ แล้วคุณ?” จินฟางถามกลับพร้อมยิ้มให้ คนเป็นน้องที่อยากจะอ้าปากพูดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะโดนอี้ฟานใช้มือปิดปากเขาอยู่ไม่ยอมปล่อย เพราะพี่ชายเขาคงรู้ว่าเขากำลังจะหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้และเขาก็รู้เช่นกันว่าพี่ชายของเขากำลังจะ..
“ฉันอู๋อี้ฟาน ไอ้นี่อู๋ชานเลี่ย ขอจ้างเลยแล้วกัน พาชมที่นี่หน่อย”
อู๋ชานเลี่ยไม่เคยเดาใจพี่ชายตัวเองพลาดเลยสักครั้ง คนเป็นน้องใช้เวลาเผลอปัดมืออี้ฟานออกไปอย่างแรงพร้อมสบถกับตัวเอง ชานเลี่ยถลึงตาทำหน้าหงุดหงิดใส่จินฟางที่เผลอมองมาพอดีอย่างช่วยไม่ได้
“เอ่อได้..ได้ครับ ที่ให้ผมพาเที่ยวชมคงหมายถึงกู้กงสินะครับ”
สิ้นเสียงของคนที่เดินนำไปก่อนทำให้ปลายเท้าเรียวของอี้ฟานหยุดชะงักพร้อมกับชานเลี่ยที่เดินตามมาแบบไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขายังคงบ่นพึมพำกับตัวเองไม่เลิก จนบางครั้งอี้ฟานก็หันมาด่าทางสายตาเข้าให้ แต่จู่ๆคนที่อยากไปนักหนาอย่างพี่ชายเขากลับหยุดเดินแบบนี้ เขาชักจะไม่เข้าใจอีกคนจริงๆซะแล้ว
“กู้กง? ที่นี่คือ.. กู้กง..” เสียงทุ้มเอ่ยถามพร้อมมองไปรอบด้านอีกครั้ง อี้ฟานยังคงมองเห็นพื้นหินสีขาวทอดยาวไปไกลและตรงหน้าอีกไม่กี่ก้าวเป็นบันไดหลายขั้นขึ้นสู่ประตูโบราณสีแดงตกแต่งด้วยลวดลายจีนอันวิจิตร
“ครับที่นี่คือ พิพิธภัณฑ์ราชวังหรือที่เรียกว่ากู้กงนั่นแหละครับ อ้อแต่จริงๆแล้ว..”
“อะไร?” อี้ฟานขมวดคิ้วรอคอยให้ชายหนุ่มยอมเอ่ยออกมาให้จบประโยคเสียที เพราะเขาเองก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างว่าที่นี่อาจจะไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์
“ที่นี่คือพระราชวังต้องห้ามครับ หรือที่เรียกกันว่าจื้อจิ้นเฉิง”
ผมเดินตามไกท์คนนั้นเข้ามาด้านในโดยผ่านประตูโบราณที่สวยงาม และด้านในยิ่งสวยงามกว่าเป็นไหนๆ ผมเงยหน้าขึ้นมองยอดของพระราชวังที่เห็นจากด้านนอก แสงแดดส่องสว่างจ้ากระทบกระเบื้องสีเข้มเป็นมันวาว ผนังสีแดงล้อมรอบตำหนักใหญ่ให้เป็นพื้นที่บริเวณกว้างขวาง
ทุกอย่างช่างสวยงามและลงตัวราวกับคือสวรรค์บนดิน
“ไอ้คุณเฮียครับทีนี้ชัดรึยังว่านี่ใช่ในความฝันอะไรนั่นจริงรึเปล่า..” ชานเลี่ยเดินเข้ามาถามผม มันเองก็ดูตื่นเต้นไม่น้อยถึงแม้ตอนแรกจะปฏิเสธก็เถอะ
“จริง ทุกอย่างเลย ทุกอย่างที่นี่เหมือนในฝันมาก” ผมตอบ
ทั้งโถงทางเดินตรงนั้น ตำหนักเล็กๆสองฟาก บ่อน้ำหินใต้ต้นไม้และอะไรหลายๆอย่างที่ผมคุ้นตาตามในฝันที่เคยเห็น มันบอกได้ชัดเจนเลยว่าสิ่งที่ผมเห็นคือที่นี่จริงๆ
ให้ตายสิ.. ผมเป็นอะไรวะเนี่ย
“นี่พวกคุณฟังผมอยู่รึเปล่าน่ะ?” เสียงจินฟางดังขึ้นหลังจากที่ผมเลิกฟังเขาไปพักใหญ่ ผมพยักหน้ารัวๆให้ผิดกับไอ้ตี๋เล็กที่กลั้นขำจนไหล่มันใส่ไปหมด ผมเลยผลักหัวมันแรงๆหนึ่งทีแล้วรีบเดินตามจินฟางเข้าไปต่อ
“อย่างที่บอกไว้ว่าพระราชวังต้องห้าม คือห้ามประชาชนเข้า รวมถึงผู้ไม่มีหน้าที่ในพระราชวังนี้ด้วย จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีพระมเหสี สนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ..”
“หมายความว่า.. ถ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยก็ห้ามเข้างั้นหรอ? โหดใช้ได้นะเนี่ย..” ชานเลี่ยเป็นฝ่ายพูดขึ้น จินฟางก็พยักหน้ารับ ผมเลยตัดสินใจถามต่อ
“แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีใช่มั้ย?”
คำถามแปลกๆของผมถูกส่งออกไปพร้อมกับอีกสองคนที่หันมามองผมอย่างงุนงง ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไป จินฟางจึงตามติดมาด้านหลังก่อนจะตอบผม
“พวกคุณคงไม่ใช่คนปักกิ่งสินะ ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามผมแบบนี้ พระราชวังนี้ถูกใช้เป็นพระราชวังสุดท้ายของจักรพรรดิจีนราชวงศ์ลำดับสุดท้าย ก่อนมันจะถูกปิดตัวลงเพราะระบบการปกครองที่เปลี่ยนแปลงใหม่และใช้จนถึงทุกวันนี้ ทางรัฐบาลจึงประกาศให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน”
ผมฟังคำพูดเหล่านั้นที่ดูจะไม่ค่อยตรงตามที่ผมต้องการเท่าไหร่จึงได้แต่ลอบถอนหายใจ สิ่งที่ผมอยากรู้จริงๆคือเรื่องราวของที่นี่ ผมแค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างและคนเหล่านั้นเป็นใคร บางทีเขาอาจจะเป็นคนในฝันที่ผมเห็น เหมือนกับที่นี่ที่ผมฝันถึง
และเธอคนนั้น.. ในชุดสีแดง
“ถ้าเลี้ยวไปทางขวาจะเป็นสวน..?” ผมถามขึ้นจากตรงนี้ที่ผมจำได้ แต่เหมือนการจำได้ของผมจะทำให้จินฟางดูแปลกใจไปไม่น้อย ชานเลี่ยก็ยังคงทำหน้าเอ๋อๆอยู่ตลอดเวลาที่เดินมาด้วยกัน จินฟางอ้อมไปทางด้านหน้าผมก่อนจะถามผมกลับ
“คุณรู้ได้ยังไง? ไม่เคยมาที่นี่ไม่ใช่หรอ?”
ผมเงียบไปสักพักก่อนจะหันไปสะกิดไอ้ตี๋เล็กเป็นเชิงให้ช่วย ชานเลี่ยมันทำหน้างงไม่นานก็เข้าใจ
“โอ้โห ต้องเป็นสวนแน่ๆเลยไปดูกัน!” ไอ้ตี๋เล็กแกล้งเดินเข้าไปในทางที่ผมบอกโดยไม่ฟังอะไรทั้งนั้น จินฟางเลยต้องเดินตามเขาเข้าไปติดๆ ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกอย่างน้อยก็มีน้องชายที่คอยช่วยอยู่ไม่อย่างนั้นผมอาจจะโดนเหมาว่าเป็นพวกตุ้มตุ๋นก็ได้
ผมเดินบนทางหินอ่อนพร้อมกับภาพในความฝันทับซ้อนขึ้นมา
ในความฝันครั้งนั้น ต้นไม้มากมายต่างสูงใหญ่รายล้อม พุ่มดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอบอวล แสงแดดส่องรำไรผ่านกิ่งก้าน ใบไม้พลิ้วไหวตามแรงลม หากแต่ตอนนี้หลายๆอย่างที่ผมเห็นมันดูเปลี่ยนไป ต้นไม้บางที่กลายเป็นพื้นหินอ่อนและต้นไม้บางชนิดที่เข้ามาแทนที่ กลิ่นหอมอ่อนที่บางเบาคล้ายจะหายไป
จากที่คิดว่าจะคุ้นเคยและรู้สึกถึงอะไรได้มากกว่านี้ ผมกลับรู้สึกเฉยชากลับธรรมชาติปลอมๆของที่นี่ มันเทียบไม่ได้กับในความฝันของผมเลย แต่ต้นไม้ก็ยังเป็นต้นไม้ที่ตายได้ตามเวลาที่ควรจะเป็น
“ตรงนี้เป็นสวนอย่างที่คุณบอก.. สวนนี้เป็นสถานที่สำหรับจักรพรรดิและพระมเหสีในการพักผ่อน ต้นไม้หลายๆต้นที่เก่าแก่และใหญ่โตล้วนเป็นต้นไม้ตั้งแต่สมัยก่อนนั้น ทุกต้นองค์จักรพรรดิทรงเลือกด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น”
ผมพยักหน้ารับฟังคำพูดของจินฟางพลางมองไปรอบๆ ผมเดินต่อไปตามหินอ่อนสีขาวที่วางเรียง ปล่อยไอ้ตี๋เล็กไว้กับจินฟาง ผมก้าวมาเรื่อยๆจนเริ่มไกลจากสองคนนั้น รอบข้างผมเงียบสงบลง มีเพียงเสียงลมพัด แต่จู่ๆก้าวหนึ่งที่ผมก้าวออกไปมันแทบทำให้ผมล้มลงทั้งยืน
เจ็บ.. ความเจ็บปวดตรงที่เดิมมันกลับมาอีกแล้ว
ผมนิ่วหน้าคว้าต้นไม้แถวนั้นไว้เพื่อทรงตัว ร่างกายของผมมันสั่นไปหมด ลมหายใจที่เข้าออกร้อนและเริ่มขาดห้วง ดวงตาผมเริ่มพร่าเลือนด้วยน้ำตาและสุดท้ายมันก็ไหลลงมา ผมหลับตาแน่นด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นผมไม่อาจเข้าใจได้เลย ทั้งความฝัน ทั้งที่นี่ หลายๆอย่างมันดูเหมือนเป็นความจริง
แต่มันกลับไม่น่าจะเป็นความจริงเลยด้วยซ้ำ
แต่ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นภาพตรงหน้ากลับทำให้หัวใจผมกระตุกอย่างแรงพร้อมความเจ็บปวดเหล่านั้นที่พลันหายไป
“ที่นี่..”
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมกำลังทำให้หัวใจของผมเต้นรัวอีกครั้ง ความรู้สึกเรียกร้อง โหยหามากมายที่เกิดขึ้น
ร่างกายสั่งให้ผมก้าวตรงหาตำหนักไม้สีแดงขาว ลวดลายมังกรพาดยาวไปตลอดผนังกว้าง บันไดหินขาวตรงประตูไม้บานใหญ่เป็นทางขึ้นเข้าสู่ด้านใน และกลิ่นหอมของดอกเหมยที่ลอยเอื่อยออกมาจากที่นั้นทำให้ผมแน่ใจได้ทันที
ตำหนักนี้คือตำหนักที่ผมเจอเธอคนนั้น
“คุณอี้ฟานครับ! คุณอี้ฟาน.. อ้อ คุณอยู่นี่เอง”
“โอ้ย! ไอ้เฮียครับ! จะเดินไปไหนมาไหนก็บอกกันบ้างสิ มันไม่ได้แคบๆเลยนะเนี่ย”
เสียงสองคนนั่นที่ตามหลังมาทำให้ผมได้สติหันกลับไปหา จินฟางส่งยิ้มมาให้ผมพร้อมไอ้ตี๋เล็กที่ยืนหอบอยู่ข้างๆ ผมเบะปากใส่มัน ก่อนจะหันมามองตำหนักตรงหน้าอย่างสนใจเหมือนเดิม
“สนใจหรอครับ? อ่า..ส่วนใหญ่ตรงนี้ไม่ค่อยจะมีใครเข้าชม เพราะพวกเรายังไม่ได้จัดการให้เข้าที่เข้าทาง สวนยังรกทึบอยู่บ้าง ด้านหลังก็ติดแม่น้ำครับ..”
“แล้วไงต่อ?” ผมถามขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองคนที่ต้องตอบ ไม่รู้ทำไมผมไม่อยากละสายตาจากที่นี่เลย และอยากจะให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปด้วย ไม่ต้องไปทำอะไรทั้งนั้น ..ผมไม่ชอบเลย
“อยากชมด้านในก็ได้นะครับ” จินฟางเดินนำเข้าไป ผมและชานเลี่ยเดินตามไปติดๆ ผมกระชากคอเสื้อมันที่เริ่มอิดออดตามมาจนได้ ทันที่ผ่านประตูไม้เข้ามาพวกผมถึงกับต้องยกมือปิดจมูกจากฝุ่นฟุ้ง ชานเลี่ยทำจมูกฟุดฟิดก่อนมันจะจามออกมาอย่างรุนแรง เล่นเอาสะดุ้งกันหมด -_-
“ตำหนักนี้คือ ตำหนักบุปผาแห่งมังกรครับ”
ตำหนักนี้เหมือนในความฝันทุกอย่างเลยจริงๆ ไม่มีตรงไหนที่ผิดแปลกไป รวมทั้งต้นเหมยฮวาที่อยู่ตรงกลาง มันสูงใหญ่จนกลายเป็นร่มเงาให้พวกเราทั้งหมด แม้ฝุ่นจะจับมากเพียงไหนแต่ผมกลับคิดว่ามันไม่สามารถกลบความงดงามของที่นี่ได้เลย ผมเดินอ้อมไปทางด้านหลังต้นเหมยฮวาและมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด ลานหินขาวและเชิงตำหนักที่อยู่ด้านในเข้าไปอีก
“เฮีย.. รู้สึกอะไรกับที่นี่มากเลยอ่อ.. หน้าเฮียแม่งเปล่งประกายสุดๆ” ชานเลี่ยยื่นหน้ามาถามผมพร้อมทำท่าทางเหมือนระเบิดสักอย่างในมือ ผมผลักหัวมันไปอีกทีแล้วเดินหนี
“ตำหนักนี้เป็นของใคร?” ผมถามจินฟางที่กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน
อย่างน้อยถ้ารู้ว่าที่นี่เป็นของใคร ผมอาจจะรู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็ได้ แม้มันจะดูวุ่นวายและซับซ้อนจนน่ารำคาญก็ตาม -_- บางทีผมอาจจะต้องไปหาหมอแล้วขอยาคลายเครียดมากินบ้างแล้ว
“ตำหนักนี้เป็นขององค์รัชทายาทลำดับสุดท้ายครับ แต่ไม่ค่อยมีประวัติอะไรมากนัก เพราะพระองค์ไม่ทันได้ขึ้นครองราชย์ ก็ทรงสิ้นพระชนม์ไปซะก่อน..”
“โอ้ย!” คำพูดของจินฟางกลับทำให้หัวใจผมเจ็บอีกครั้งและคราวนี้มันรุนแรงจนถึงกับร้องออกมา
จินฟางและชานเลี่ยต่างตกใจกับสิ่งที่ผมเป็น ก่อนไอ้ตี๋เล็กจะวิ่งเข้ามาพยุงผมไว้ ผมหลับตาลงและเอามือปิดหน้า พยายามซ่อนน้ำตาที่มันกำลังจะไหลออกมา เหมือนผมกำลังจะเป็นบ้าอีกแล้ว ให้ตายสิ!
“คุณอี้ฟานเป็นอะไรรึเปล่าครับ?”
“เล่าต่อ..เล่า..ต่อ” ผมพูดสิ่งที่น่าตกใจออกไปพร้อมกอดคอไอ้ตี๋เล็กเอาไว้และหอบหายใจถี่ ผมพยายามตั้งสติสิ่งที่จินฟางกำลังจะพูดต่อให้ได้มากที่สุด
ผมรู้สึกได้ว่านอกจากความเจ็บปวดที่ผมได้รับ มันมีอะไรแฝงอยู่มากกว่านั้น
“ครับๆ.. หลังจากนั้นองค์รัชทายาทลำดับที่สองก็ขึ้นครองแทน ตำหนักนี้เลยไม่มีคนพักอยู่ เพราะย้ายเข้าไปอยู่ที่ตำหนักหลวงกันหมด แต่ว่าทรงครองราชย์ได้สักห้าปี ประเทศเราก็เปลี่ยนการปกครองครับ และระบบพระมหากษัตริย์ก็สิ้นสุดลง.. แต่ถ้าคุณอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าของตำหนักนี้ เอ่อ.. ผมไม่ค่อยทราบอะไรจริงๆครับ เพราะพระองค์ไม่ค่อยมีบทบาทในประวัติศาสตร์จีนเท่าไหร่นัก..”
“หมาย.. ความว่า.. ถูกลืม..หรอ?” ผมถามออกไปอย่างยากลำบากเพราะความเจ็บปวดที่เพิ่มมากขึ้น
“ไม่หรอกครับ.. แค่เรื่องที่บันทึกไว้เกี่ยวกับพระองค์นั้นมีน้อยมาก แม้กระทั่งพระนามของพระองค์ยังไม่ปรากฏแน่ชัดเลยครับ เท่าที่ผมรู้ก็.. มีคนบอกไว้นะครับว่าพระองค์คือพระโอรสของพระมเหสีแรกที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่วันที่พระองค์เกิด ทรงเป็นองค์รัชทายาทที่สง่างามและเพียบพร้อมในการขึ้นครองราชย์ แต่กลับไร้ความรัก ไร้หญิงใดข้างกาย ทรงโดดเดี่ยวจนสิ้นพระชนม์จากการออกว่าราชการ..”
“โอ้ย!”
หัวใจผมกระตุกวูบอย่างแรงจนเหมือนกับว่าทะลุออกไปนอกอก ผมหอบหายใจอย่างแรงจนจินฟางก็ตกใจและวิ่งเข้ามาดูผม ไอ้ตี๋เล็กเริ่มเลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูกกับการที่ผมเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่มันเลย ผมเองก็เริ่มจะไม่เข้าใจตัวเองแล้วจริงๆ
ตกลงมันคืออะไรกันแน่.. ผมไม่รู้.. ไม่รู้อะไรเลย
“เฮียผมว่าไปจากที่นี่กันเหอะ เฮียแม่งไม่ไหวแล้วว่ะ คุณจินฟางค่าใช้จ่ายผมไม่รู้หรอกว่าเท่าไหร่ แต่ผมให้หมดนี่เลย” ชานเลี่ยทำหน้าจริงจังและควักเงินจ่ายให้จินฟางที่ยังยืนงงอยู่ก่อนมันจะรีบพาผมออกจากที่นี่
“ไอ้ตี๋เล็ก.. ฉันเจ็บ..ว่ะ เจ็บ..”
“เออน่าเฮียเดี๋ยวก็หาย นี่ฉันก็งงอยู่เหมือนกัน เฮียแม่งอะไรวะ แต่กลับบ้านกันก่อนเหอะ ไปนอนซะ”
“รีบๆเหอะ..” ผมเริ่มเร่งไอ้ตี๋เล็กเพราะรู้สึกเพลียกับร่างกายที่มันหนักอึ้งไปหมด
แสงแดดจึงส่องตรงหัวและสว่างจ้าจนผมต้องหลับตาลง ไม่นานทั้งผมและก็ชานเลี่ยก็ออกมายืนอยู่ที่ถนนในตอนแรก ผมรู้สึกหายใจออกอย่างสะดวกพอๆกับความเจ็บปวดในใจที่หายไปหมดแล้ว ไอ้ตี๋เล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งให้ไปถึงที่รถเร็วที่สุด ผมกับชานเลี่ยกำลังเดินข้ามถนนเล็กๆที่ตัดผ่านพระราชวังจากด้านหลังไปถึงด้านหน้า
ด้วยความที่รีบเกินไปพวกผมจึงไม่เห็นจักรยานอีกคันหนึ่งที่กำลังพุ่งตรงมาทางนี้!
“เห้ยๆๆๆ!!!”
“ว้ากกกกกกก!!!”
ชานเลี่ยไหวตัวทันเลยกระโดดหลบมาได้ ผิดกับผมที่ล้มคว่ำลงตรงนั้นและโชคยังดีที่คนขี่จักรยานหักหลบพร้อมกับเหยียบเบรกไว้ได้ทัน มันเลยหยุดลงก่อนจะชนกันจริงๆ ผมซี้ดปากทันทีที่พยายามลุกขึ้นยืน เพราะแผลที่แขน มันถลอกเป็นทางยาว
“เฮีย!! เป็นไรมากป่าววะ?” มันวิ่งมาถามเสียงดัง ผมเลยยื่นแผลใส่หน้ามันพลางตีหน้าเซ็ง_-
“เป็นอะไรมากรึเปล่า?”
เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาจากผู้ชายคนหนึ่งที่สวมฮู้ดสีดำลายแมนยูกำลังนั่งยองๆอยู่ข้างๆผม ผมเพ่งมองเขาอยู่พักหนึ่งและนึกขึ้นได้ว่าคงเป็นคนที่ขี่จักรยานคันนั้นมา ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยอยากคุยกับหมอนี่เท่าไหร่
“ไม่ กลับบ้านเหอะไอ้ตี๋เล็ก”
“แต่นั่นคุณเป็นแผล..” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจเหมือนมีอะไรบางอย่างไหลผ่านร่างกายตอนที่เขาแตะแขน ทำให้มือเผลอโดนแผล ผมร้องดังลั่นและคิดว่าจะหันไปด่าไอ้หมอนั่นมันสักหน่อย
แต่ทันทีที่เขาดึงฮู้ดออก ใบหน้าของเขาทำให้ผมนั่งนิ่งค้างไว้แบบนั้น ทุกอย่างรอบตัวราวกับมันหายไปหมด
มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมมองเห็นคือ.. ใบหน้าของเขา
ใบหน้าที่เหมือนกับเธอคนนั้นไม่ผิดเพี้ยน!
“ยังมีสติอยู่รึเปล่า? ผมว่าคุณควรจะรีบพาเขาไปโรงบาลนะ ผมขอโทษด้วยแล้วกันถ้าทำให้เดือดร้อน แล้วก็ผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะมีแค่จักรยาน” เสียงของเขาเรียกสติผมให้กลับมาอีกครั้งแต่ผมก็ยังไม่เลิกจ้องหน้าเขาอยู่ดี ผมอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไอ้ตี๋เล็กดันแทรกขึ้นก่อน
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีรถเดี๋ยวผมจัดการเอง ยังไงก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ทำให้คุณเสียเวลา..”
“เห้ย!.. โอเคผมต้องไปแล้ว ขอตัว” ผู้ชายคนนั้นวิ่งไปที่จักรยานของเขา ก่อนจะขี่มันออกไปอย่างเร่งรีบโดยทิ้งให้ผมยืนนิ่งค้างด้วยความที่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเลยสักนิด
“ไปเร็วเฮีย เดี๋ยวก็เลือดไหลหมดตัวหรอก”
“ไอ้ตี๋เล็กแกตามไอ้หมอนั่นไปหน่อยดิวะ ฉันจะ..!!”
“อะไรเฮีย บ่นไรอีก ไปๆ กลับบ้านกัน ว่าแต่ไอ้เด็กคนเมื่อกี้มันก็ดีนะ ไม่รีบวิ่งหนีไปซะก่อน” มันคว้าคอเสื้อผมแล้วรีบลากออกไปโดยไม่สนว่าผมจะพยายามบอกมันถึงเรื่องไอ้หมอนั่น ไอ้ตี๋เล็กมันมันยัดผมเข้ารถก่อนจะรีบวิ่งไปด้านคนขับและเริ่มซิ่งไปนรกอีกรอบ -_-
แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ผมเอาหน้าแนบกระจกพยายามมองหาจักรยานคันนั้นแต่ก็ไม่มี
“เฮียไม่เจ็บแผลอ่อวะ เอาแขนแนบกระจกแบบนั้นอ่ะ”
“ช่างมันเหอะน่า แต่ฉันอยากให้แกตามไอ้หมอนั่นไปจริงๆนะเว่ย!” ผมหันมาพูดกลับมันอย่างจริงจัง ชานเลี่ยมันเหล่มองผมนิดหน่อยก่อนจะเบนสายตาไปจ้องถนนเหมือนเดิม มันขับรถไปเรื่อยๆด้วยความเร็วเท่าเดิมและทำเหมือนไม่สนใจสิ่งที่ผมพูด
“ฟังฉันหน่อยดิวะ..”
“เห้ยนี่ติดใจอะไรไอ้เด็กนั่นน่ะ เห็นหน้าตามันน่ารักหน่อยรึไง ถึงได้สนใจเนี่ยเฮีย หรือว่า.. เฮียชอบผู้ชายใช่มั้ย!? ถึงว่าไม่ยุ่งกับผู้หญิง..!!”
“ไม่ใช่โว้ยไอ้บ้า!” ผมด่ามันลั่นรถ ใจจริงอยากจะเตะมันให้ตายเลยด้วยซ้ำถ้าไม่กลัวว่าต้องเป็นแหกโค้งอยู่แถวนี้
“แล้วอะไรห้ะ?”
ผมมองกลับมาที่ถนนอีกทีพบว่ามันเลยตัวเมืองปักกิ่งมาแล้ว ผมสบถออกมาอย่างเสียดายพลางเอามือก่ายหน้าผาก พยายามจะตัดเรื่องนั้นทิ้งไปเพราะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี มีคนมากมายในปักกิ่งคงเป็นไปได้ยากที่จะเจอไอ้เด็กคนนั้นอีก แต่พอผมหลับตาลงใบหน้าของเธอคนนั้นหรือเด็กคนนั้น.. ไม่ๆ ต้องเป็นเธอคนนั้นหรือเด็กคนนั้น เห้ยแต่มันเป็นผู้ชาย.. แต่ทำไมถึงหน้าเหมือนกัน.. โอ้ย! ผมงงไปหมดแล้ว!
“นี่จะตอบได้ยัง?”
“ไอ้เด็กนั่นมันหน้าเหมือนผู้หญิงที่ฉันฝันถึง! แถมผู้หญิงคนนั้นก็อยู่ที่ตำหนักนั่นด้วย!”
“ไอ้..เฮีย..” มันทำหน้าอึ้งใส่ผม เออ.. อึ้งให้ตายไปเลย จะได้เข้าใจสักทีว่าที่ผมจะเป็นบ้าอยู่แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆ
“แล้วแกเข้าจึงรึยังว่าทำไมฉันถึงอยากเจอไอ้เด็กนั่นอีก ฉันรู้ว่าแกไม่มีทางเข้าใจแน่ๆ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จะอะไรนักหนาก็ไม่รู้” ผมบ่นพร้อมยกมือขยี้หัวแรงๆจนลืมไปว่าตัวเองกำลังเป็นแผลอยู่จึงร้องลั่นออกมา ไอ้ตี๋เล็กมันตกใจเลยขับรถเป๋ไปเกือบจะได้เข้าข้างทางจริงๆ ก่อนมันจะหันมาบ่นผมพอเห็นว่าเลือดจากแผลกำลังเปื้อนเบาะเต็มไปหมด
“ป๊าต้องด่าแน่เลยว่ะเฮีย รถเปื้อนเลือดเนี่ย โอ้ย ไม่อยากจะคิดว่ะ.. โธ่ บีเอ็มลูกพ่อ พ่ออู๋ชานเลี่ยคนนี้ขอโทษนะลูก ปู่คงเล่นพ่อเละแน่ๆ ฮือ..”
“เงียบๆหน่อย..” ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมมีน้องบ้าหรือมันเป็นอะไรกันแน่ ผมเอนเบาะลงพร้อมเสหน้ามองไปยังข้างทางพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แต่สุดท้ายมันก็วกกลับมาเป็นเรื่องเดิม เรื่องที่ผมเจอในวันนี้ทั้งหมด
พระราชวังต้องห้าม
ตำหนักบุปผาแห่งมังกร
องค์รัชทายาท
และไอ้เด็กผู้ชายคนนั้น..
ขอให้เจออีกทีก็แล้วกัน ผมไม่มีทางจะปล่อยให้ไอ้เด็กนั่นหลุดมือไปแน่ ไม่มีทาง!
แฮ่ก.. เลยทีเดียว มาต่อแล้วๆ อ้อ! มีคนถามถึงเรื่องที่นี่ใช่มั้ย? ได้ยินชื่อแล้วดิ มีจริงๆ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นแบบที่บรรยายป่าว ลองดูรูปแล้วนึกๆคำบรรยายเอา แต่ตำหนักบุปผานั่นไม่มีจริงนะ แต่งเอง55555 แล้วก็เรื่องในราชวงศ์ต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องจริงนะ แต่งขึ้นเหมือนกัน มันจะมีแค่เล็กๆ น้อยเท่านั้นที่เหมือนจริง เช่นพวกชื่อสถานที่ อาจจะมีโยงมาบ้าง แต่ก็มั่วๆเอา555555555
อ่า.. เอาความรู้มากฝาก5555555
พระราชวังต้องห้าม สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง เป็นทั้งบ้านและชีวิตของจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและชิงรวมทั้งสิ้น 24 พระองค์ พระราชวังเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 500 ปี มีชื่อในภาษาจีนว่า ‘กู้กง’ หมายถึงพระราชวังเดิม(ที่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘จื่อจิ้นเฉิง’ ซึ่งแปลว่า ‘พระราชวังต้องห้าม’ เหตุที่เรียกพระราชวังต้องห้าม เนื่องมาจากชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็น ‘ที่ต้องห้าม’ คนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้
อยากอ่านรายละเอียดได้ที่นี่นะ http://www.sg2527.com/info/know_014_China_wang_01.htm
ความคิดเห็น