คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ❀ อู๋อี้ฟาน。
ตึกสีขาวตัดด้วยลวดลายดอกเหมยสีแดงตั้งอยู่ในแถบไม่ไกลจากตัวเมืองของประเทศแผ่นดินใหญ่อย่างจีนนัก ด้านหน้าแขวนป้ายเขียนด้วยอักษรจีนโบราณอย่างสวยงาม ตกแต่งด้วยมังกรสีทองอร่ามที่แขวนอยู่ตรงเชิงระเบียงจากชั้นสอง
เช้าอันแสนวุ่นวายของร้านอาหารชื่อดังในย่านนี้ที่ถึงแม้จะเปิดได้ไม่นานแต่กลับถูกปากคนเมืองกรุงปักกิ่ง เสียงตะโกนคุยกันดังไปทั่วจากชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ผลุบเข้าผลุบออกประตูร้านที่เปิดอ้าทิ้งไว้ พร้อมเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนถือกล่องกระดาษและคอยเดินตามผู้อาวุโสไม่ห่าง
“อาตี๋เล็ก ลื้อขึ้นไปตามอาตี๋ใหญ่ลงมาได้แล้วไป จะนอนอะไรนักหนา”
คนแก่กว่าบ่นในขณะที่หอบหิ้วเอาเก้าอี้ไม้ขนาดกะทัดรัดไปตั้งหน้าร้านพร้อมกับนำป้ายที่เขียนบอกเมนูสำคัญในวันนี้ไปวาง คนที่เป็นตี๋เล็กพยักหน้ารับคำก่อนจะวางกล่องในมือลงแล้วเดินเอื่อยๆ กลับเข้าไปในบ้าน
“ง่วงชะมัด..”
“ชานเลี่ยเร็วๆ!!”
เสียงดุตามหลังมาจนคนที่กำลังก้าวเท้าขึ้นชั้นสองสะดุ้งโหยงและตื่นเต็มตาเสียที บันไดที่มีเพียงไม่กี่ขั้นแต่สำหรับเด็กหนุ่มที่โดนขุดมาจากที่นอนแต่เช้าขนาดนี้กลับรู้สึกว่ามันไกลเหลือเกิน จากชั้นล่างที่เปิดเป็นร้านอาหารที่ถึงแม้จะขนาดไม่ใหญ่มากแต่ลูกค้ากลับมาไม่ขาดสาย ชั้นบนจึงเป็นบ้านจริงๆ ของพวกเขา
เท้าย่ำลงบนพื้นไม้เดินตรงไปยังห้องที่อยู่ทางซ้ายมือสุด เด็กหนุ่มตัวสูงช่างใจอยู่ครู่หนึ่งแต่เพราะความง่วงที่เริ่มคืบคลานอีกครั้งเขาเลยใช้หัวโขกประตูและเมื่อไร้เสียงใดตอบรับ สมองก็สั่งให้เปิดเข้าไปทันที ชานเลี่ยมองขายาวที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มผืนหนาแล้วได้แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ เขาเลยใช้เท้าถีบไปที่เตียงให้มันสั่นแรงๆ
“ตื่นได้แล้วเฮีย ป๊าให้มาตาม” ส่งเสียงติดรำคาญออกไปในขณะที่คนโดนปลุกกลับพลิกตัวแล้วม้วนผ้าห่มให้กลายเป็นก้อนกลม ก่อนที่จะลุกขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา
“ขอห้านาที” ชูมือชูไม้ประกอบ เตรียมจะล้มตัวลงนอนใหม่แต่คนยืนมองอยู่รู้เลยเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อไว้ได้ทัน
“ไม่ได้เว่ย! ป๊าบอกให้ตื่นก็ตื่นดิเฮีย ไม่งั้นฉันต้องโดนไปด้วยแน่ๆ ลุกๆ!” คนยืนอยู่แรงกระชากอีกคนให้ลุกขึ้นโดยที่อีกฝ่ายยังมีท่าทีเหมือนเด็กๆพยายามจะกระโจนกลับเข้าเตียงอีกครั้ง แต่เพราะส่วนสูงของทั้งคู่ที่พอๆ กันเลยกลายเป็นว่าโดนชานเลี่ยลากคอมาถึงที่ห้องน้ำจนได้
“เร็วๆด้วยนะครับ คุณอี้ฟาน.. อย่าให้คนหล่ออย่างผมต้องรอเข้าใจมั้ย?”
เสียงสั่งกลายๆจากหน้าประตูยิ่งทำให้คนในห้องน้ำอยากจะพังประตูออกไปกระทืบๆน้องชายตัวเองให้ตายคาเท้า แต่ก็ทำได้แค่คิดในเมื่อเขาเองก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทำอะไรทั้งนั้น อี้ฟานเลยตัดสินใจรีบๆอาบน้ำให้เร็วที่สุดก่อนคนที่รออยู่ข้างล่างจะขึ้นมาตามเองซึ่งคงไม่ดีแน่
หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินเอื่อยๆตามไอ้ตี๋เล็กลงมาข้างล่าง ผมหันซ้ายหันขวามองหาคนที่ให้มาปลุกแต่เช้าจึงเห็นว่าป๊ากำลังวุ่นวายอยู่ในครัวทางขวามือ ชานเลี่ยมันทำจมูกฟุดฟิดก่อนจะรีบวิ่งแจ้นเข้าไปในครัวทันที เว้นแต่ผมที่ตัดสินใจไปนั่งที่โต๊ะกลมสำหรับกินข้าวแทนเพราะผมไม่ถนัดที่จะเข้าครัวสักเท่าไหร่
บ้านของพวกผม ‘ตระกูลอู๋’ เป็นเพียงตึกใหญ่สามชั้นที่ตกแต่งด้วยไสตล์จีนโบราณแบบที่ป๊าชอบ อย่างที่รู้ว่าชั้นล่างเปิดเป็นร้านอาหาร จึงมีห้องครัวที่ครบครันอยู่ทางขวามือ ตรงกลางเป็นห้องโถงที่มีเก้าอี้และโต๊ะกลมสีน้ำตาลเข้มตามจุดต่างๆพร้อมวางถ้วยชาจีนไว้บนโต๊ะ ส่วนทางซ้ายมือเป็นห้องน้ำและห้องสำหรับให้พวกพนักงานเข้ามาเปลี่ยนชุด ชั้นสองจึงเป็นพื้นที่ส่วนตัวคือ ห้องผม ห้องป๊า และห้องไอ้ตี๋เล็กมัน (แน่นอนว่าผมคือไอ้ตี๋ใหญ่ -_- ) ส่วนชั้นสามก็เป็นแค่ห้องเก็บของ เก็บหนังสือ เก็บหลายๆอย่างไว้สำหรับไปรื้อค้นเอา
ความจริงผมกับชานเลี่ยก็ไม่ได้ห่างกันมากนัก ผมแค่เกิดต้นปีส่วนมันก็เกิดท้ายปี เป็นอันสรุปได้ง่ายว่าพอม๊าคลอดผม ผ่านไปไม่นานก็ได้คนใหม่มาแทนทันที และหลังจากคลอดไอ้ตี๋เล็กม๊าก็จากพวกเราไป อู๋อี้ฟานและอู๋ชานเลี่ยก็เลยใช้ชีวิตโดยอยู่กับอู๋ฟานเลี่ย(ป๊า)จนโตมาถึงทุกวันนี้
“จะนั่งหลับอีกรึไงวะเฮีย? ถามจริงง่วงไรนักหนาเนี่ย!” เสียงของไอ้ตี๋เล็กดังมาก่อนตัวเรียกให้ผมเบนสายตาขึ้นไปมองมันถืออาหารมาเต็มมือตอนที่ผมนอนแนบหน้าลงไปกับโต๊ะและคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“ป่าว.. แค่เมื่อยคอ” ผมตอบปัดแบบขอไปที ไม่อยากจะพูดอะไรต่อแล้วรู้สึกว่าเมื่อยปาก
“เหตุผลงี่เงาจริงนะไอ้ตี๋ใหญ่!” กลายเป็นเสียงป๊าที่แทรกขึ้นมาแทน
ผมเลยค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ด้วยสภาพร่างกายผมที่มันดูไม่มีอะไรเข้าที่เข้าทางเลยสักนิด ผมเอื้อมมือไปรับจานอาหารต่างๆจากป๊ามาวางบนโต๊ะพลางชะเง้อมอง เป็ดย่างสูตรของป๊า บะหมี่ผัดของป๊า ผัดถั่วงอกของป๊า ยำแตงกวาก็ของป๊าอีกเหมือนกัน
ชานเลี่ยนั่งลงที่โต๊ะกลมเยื้องๆผมฝั่งซ้าย ก่อนป๊าจะนั่งลงที่ฝั่งขวา ไอ้ตี๋เล็กรับหน้าที่แจกจ่ายตะเกียบให้ทุกคนคนละคู่ ผมรับตะเกียบมาพลางนั่งจ้องไอร้อนๆจากถ้วยข้าวต้มตรงหน้า
“อ่าวเฮียกินเด่ะ นั่งจ้องมันคงจะเข้าไปอยู่ในท้องหรอกเนอะ” ชานเลี่ยมันใช้ตะเกียบชี้หน้าผมพร้อมบอกในขณะที่ยังเคี้ยวอยู่เต็มปาก ผมเหล่มองมันก่อนจะเบือนหน้าหนีแต่ก็ยังไม่พ้นเพราะดันมาเจอสายตาแปลกๆจากป๊าอีก
“ลื้อจะเอื่อยเฉื่อยอะไรนักหนาห้ะ? แล้วดู.. ขอบตาดำคล้ำขนาดนี้ ลื้อมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่า? ร่างกายลื้อแทบจะร่อแร่อยู่แล้วนะไอ้ตี๋ใหญ่”
“แค่พักผ่อนน้อยน่ะป๊า ไม่มีไรหรอก” ผมตอบปัดอย่างที่ชอบทำพร้อมคีบเป็ดเข้าปาก ไม่วายจะต้องกระแทกตะเกียบกับไอ้ตี๋เล็กอีก เพราะผมกับมันชอบกินหนังเป็ดทั้งคู่ -_-
“ช่วงนี้เฮียมีอะไรให้เครียดวะ มหาลัยก็เปิดพรุ่งนี้ งานก็ไม่มี หรือว่าเรื่องสาวอ่อ?” ไอ้ตี๋เล็กกัดตะเกียบไว้ในปากอันนึงพร้อมจ้องเขม็งมายังผมในสายตาแบบเดียวกับป๊าไม่มีผิด ผมเลยผลักหน้ามันไปหนึ่งทีก่อนจะโบกมือให้ป๊าเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรจริงๆ
“สาวบ้าอะไรของแก เห็นว่าคนอย่างฉันยุ่งพวกนี้นักรึไง?” ผมบ่นพึมพำแล้วลงมือจัดการกับอาหารต่อ ไม่อยากจะพูดอะไรให้มากมายเพราะเหนื่อย
ซึ่งเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้คือ.. ฝัน
ฝันบ้าบอที่เหมือนดูดพลังจากร่างกายไปหมด ฝันที่คอยย้ำเตือนในทุกคืน ฝันที่ราวกับรอคอยให้บางอย่างหวนคืน ..ฝันที่เหมือนมาจากเรื่องจริง
โอ้ย.. ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว!
“อู๋อี้ฟาน! ผักก็กินเข้าไปบ้าง ลื้อจะเขี่ยทิ้งยันตายเลยใช่มั้ย? คีบแต่เต้าหู้กินอยู่นั่นแหละ”
ป๊าเริ่มบ่นผมอีกครั้งที่ผมเขี่ยพวกถั่วงอกหรือผักอื่นๆ เอาแต่เต้าหู้เข้าปากเท่านั้น ผมเหลือบมองป๊าพลางยักไหล่ไม่สนใจนัก พอผมเห็นว่าไอ้น้องชายตัวดีเริ่มจะโวยวายกับบ้างเลยตัดสินใจคีบถั่วงอกทั้งหมดให้มันซะเลยเป็นอันจบเรื่อง
“เห้ยเฮีย!! กินเข้าไปมั่งดิเห้ย! ป๊าดูดิเฮียแกล้งอั้ว!!”
“พวกลื้อสองคนนี่เหมือนเด็กชะมัด กินๆกันเข้าไปเถอะไป” ป๊าบอกพวกเราอย่างตัดรำคาญผมเลยตีหน้าสีหน้ากวนตีนใส่มัน ชานเลี่ยมันเลยใช้ช่วงนี้ถลกหนังเป็ดเข้าปากไปจนเต็มและแอบมีชิ้นหนึ่งล้วงลงมา มันเลยหัวเราะลั่นแถมจะสำลัก จากที่ผมจะด่ามันสักหน่อยเลยเปลี่ยนเป็นจะอ้วกแทนดีกว่า -_-
“ป๊า..” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมคิดที่จะอยากเล่าเรื่องนั้นให้ป๊าฟัง ทั้งๆที่กว่าเดือนสองเดือนที่ผ่านมาไม่คิดจะปริปากพูดเลยสักนิด ผมวางตะเกียบลงกับขอบถ้วยและเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้
“ว่าไง?” ป๊าจ้องผมอย่างต้องการคำตอบ ผมถอนหายใจยาวหนึ่งทีก่อนจะเริ่มพูด
“คือช่วงนี้อั้วฝันแปลกๆตลอดเวลา.. มันฝันแบบดูไม่มีอะไรที่เป็นจริง แต่ความรู้สึก..คือมันเหมือนจริงมากอ่ะป๊า ทั้งๆที่สิ่งที่มองเห็นมันดูไม่น่าเชื่อ.. ฝันที่เหมือนหลุดไปในอีกโลกนึง ..ฝันที่..ฝันมันเหมือนมีอยู่จริง..
จริงๆนะป๊า อั้วฝันแบบนี้อยู่สักพักแล้ว มันวนซ้ำไปซ้ำมา บางทีก็เหมือนเป็นฝันต่อจากเมื่อคืน เดี๋ยวก็ฝันใหม่.. ฝันเดิมๆ ที่เดิมๆ.. หลายๆเรื่องมันต่อๆกัน ..ฝันเห็นว่าตัวเองเดินไปนู่นนี่ มีกลิ่นหอม มีความรู้สึก..
เหมือนอั้วไป.. ไปที่นั่นจริงๆ.. ทั้งๆที่ยังหลับอยู่อ่ะป๊า..อั้วพูดจริงนะ”
‘เคร้ง!’ เสียงตะเกียบจากมือของชานเลี่ยทำให้ผมสะดุ้งสุดตัวและพอหันไปมองหน้ามันผมก็เห็นมันนั่งอ้าปากหวอมองผมตากระพริบปริบๆ พอผมหันกลับมามองป๊า กลายเป็นว่าทั้งสองคนก็มีทีท่าไม่ต่างกันเท่าไหร่ แถมป๊าดูจะนิ่งเงียบไปมากกว่าอีก
“ป๊า! อั้วเป็นแบบนี้จริงๆนะ อั้วถึงนอนไม่ค่อยหลับ มันเพลียๆ มันทำให้อั้วเหม่อๆ ลอยๆ ไงไม่รู้”
“อั้วว่าลื้ออาจจะต้องการพักผ่อนเยอะกว่านี้ก็ได้” ป๊าเริ่มพูดหลังจากที่เงียบไปหลายอึดใจ เขาวางตะเกียบลงพร้อมมองหน้าผมด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วบีบไหล่ผมเบาๆและเดินจากไปให้ผมได้แต่มองตามด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ เพราะผมคิดไว้แล้วว่าเล่าไปก็คงไม่ค่อยน่าเชื่อ
ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นอีกคนแทน..
“ไอ้ตี๋เล็ก!! ฉันพูดจริงนะเว่ย!!”
“เฮียๆ เอ่อ.. อิ่มแล้วก็ไปนอนนะ นอนเยอะๆ จะได้สมองปลอดโปร่ง แหะๆ”
ผมมองตามแผ่นหลังน้องชายที่หายลับเข้าไปในครัวตามป๊าไปแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่กับตัวเองพลางซบหน้าลงกับโต๊ะ ใจจริงก็อยากจะโวยวายหลายๆทีว่าทำไมไม่มีใครเชื่อเขาบ้าง แต่ร่างกายกับเพลียและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะทำอะไรแล้วจริงๆ และยิ่งนึกถึงเรื่องฝันเหล่านั้นมันก็ทำให้ผมเริ่มปวดหัวอีกแล้ว
และสุดท้ายผมก็ได้ยินเพียงเสียงของคนในครัวที่คุยอะไรกันบางอย่างลอยมา ก่อนทุกเสียงจะเบาลง เบาลงจนเงียบไปในที่สุด
..ผมเองก็หลับอยู่ที่โต๊ะอาหารตรงนั้น
ชานเลี่ยที่หันมาเห็นว่าคนเป็นพี่ได้ฟุบหลับไปที่โต๊ะแล้วจึงหันไปคุยกับชายวัยกลางคนที่กำลังเก็บกวาดครัวเพื่อเตรียมจะใช้งาน พลางเหลือบมองเวลาที่ใกล้จะเก้าโมงแล้ว อีกไม่นานพวกลูกน้องคงจะมาทำงานที่นี่อย่างเคย
“ป๊า.. แต่อั้วว่าเฮียเขาคงไม่โกหกหรอกมั้ง แบบคนอย่างเฮียก็ไม่น่าโกหกอยู่แล้วปะ..” ชานเลี่ยยืนกอดอกพิงตู้เย็นพร้อมกระดกกระป๋องน้ำอัดลมในมือไปด้วย
“เออ อั้วก็คิดแบบลื้อนั่นแหละ แต่จะให้เชื่อไปเลยก็คงยาก เพราะมันฟังแล้วไม่น่าเชื่อว่ะ เอางี้สิลื้อก็พาไอ้ตี๋ใหญ่ออกไปพักผ่อนสักหน่อย ไปเที่ยวหรือไปไหนก็ได้ไป..”
คนเป็นพ่อเอ่ยออกมาทั้งๆที่ยังสาละวนอยู่กับเตาแก๊ส ในขณะที่ลูกคนเล็กได้ฟังแทบจะพุ่งน้ำออกจากปาก เพราะร้อยวันพันปีพ่อเขาไม่ค่อยจะให้ไปเที่ยวเท่าไหร่ ยิ่งวันเสาร์อาทิตย์อย่าได้หวังเพราะต้องคอยอยู่ช่วยทำงานที่ร้านเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ราวกับมีรถแข่งวิ่งปาดหน้าเลยก็เป็นได้
“เห้ยป๊า!! พูดจริงปะเนี่ย!!?” ชานเลี่ยถามเสียงหลงพร้อมรีบวิ่งเข้ามาหาคนที่แทบจะคว้ากระทะมาฟาดไอ้ลูกชายตัวดีที่มากอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาอยู่นี่
“ไอ้ตี๋เล็ก!! ออกไปนะเว้ย! ก่อนที่อั้วจะเปลี่ยนใจ!!” สิ้นประโยคมือของลูกชายก็พลันหายไปทันที พร้อมไอ้ตัวดีที่ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ตรงหน้า ชานเลี่ยมองหน้าทำตาปริบๆ เหมือนจะบอกอะไรบางอย่างและชายวัยกลางคนก็รู้ดีอยู่แล้ว
“กุญแจรถอยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง ส่วนเงินเดี๋ยวมาเอาที่อั้ว”
“โหยป๊าคร้าบ! วันนี้หล่อที่สุดเลยนะ ฮิ้ววว!!” ลูกชายคนเล็กกระโดดโลดเต้นอีกครั้งก่อนจะวิ่งตึงตังขึ้นไปที่ชั้นสองทิ้งให้ป๊าต้องมองตามพลางอมยิ้มอยู่ในใจ
ชีวิตของชายอายุปานเขาสิ่งที่เหลืออยู่ก็คงมีแค่ลูกชายสองคนที่เฝ้าเลี้ยงมาจนโตป่านนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เขาก็อยากจะทำทุกอย่างให้ลูกของเขามีความสุขมาที่สุด เพื่อทนแทนแม่.. เด็กทุกคนเกิดมาไม่ว่าอย่างไรก็ต้องการแม่กันทั้งนั้น เขาจึงต้องกลายเป็นทั้งแม่และพ่อ ทั้งที่ไม่ใช่คนชอบทำอาหารเลยสักนิด แต่ต้องทำเพราะเป็นสิ่งที่แม่เจ้าพวกนั้นชอบ
เพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรายังอยู่ด้วยกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ..ตลอดไป
“เฮียคร้าบๆ ตื่นๆไปเที่ยวกัน!!”
เสียงที่มาพร้อมแรงเขย่าหลายๆทีที่หัวไหล่ทำให้ผมต้องลืมตาตื่นอย่างทนไม่ได้ ผมหยีตามองไอ้ตี๋เล็กในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงยีนส์ของมัน ไหนจะผมที่ปัดลงมาให้เป็นทรงอย่างที่ควรจะเป็น ทุกอย่างบนตัวมันแตกต่างกับเมื่อครู่ฟ้ากับเหว -_-
“แกจะไปไหนวะ?” ผมขยี้หัวตัวเองพร้อมถามมันออกไป
“เอ้าก็บอกอยู่เมื่อกี้ไงว่าจะไปเที่ยว ไปดิ ลุก!” มันไม่พูดอย่างเดียวยังกระชากผมให้ลุกขึ้นยืนจนเกือบล้มคว่ำลงไปกับพื้น โดยที่มีไอ้ตี๋เล็กยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ
“ไม่ไปเว้ย! ใครจะช่วยงานป๊าวะ?” ผมเดินชนไหล่หนีมันไปเตรียมจะล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเสียหน่อย จะได้ตื่นกว่านี้แล้วผมจะได้ไปช่วยป๊าบ้างสักที แต่ไม่ทันจะเดินหนีมันพ้น มันก็กระชากคอเสื้อผมไว้พร้อมดึงให้เดินตามมันขึ้นชั้นสองไปอย่างทุลักทุเล
“ป๊าบอกให้ไปเที่ยว เฮียไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ชัดป้ะ?”
“โอ้ย! ไอ้ตี๋..!! ปล่อยๆ!! ปล่อยก่อนดิวะ!!”
สุดท้ายผมโดนเหวี่ยงมายืนหน้าประตูห้องตัวเอง..
ผมลูบคอตัวเองที่เกือบจะขาดอากาศตายเพราะไอ้น้องตัวดีดันลากผมอย่างเดียวไม่สนใจอะไรเลยทั้งนั้น ชานเลี่ยยืนกอดอกหมุนกุญแจรถในมืออย่างอารมณ์ดี ..มิน่าละ มันอยากไปนัก ที่แท้ป๊าก็ให้รถมาขับนี่เอง -_- ไอ้ตี๋เล็กแม่งบ้ารถจนขึ้นสมอง โปรดเข้าใจ
“จะยืนเหี่ยวอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย? เข้าไปเปลี่ยนชุดดิ”
ไอ้ตี๋เล็กยกเท้าถีบก้นผมในตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปพอดี พอจะหันกลับมาด่ามัน มันก็ปิดประตูใส่หน้าผมอีก เออเอาเข้าไป ไอ้น้องเวร ใจจริงไม่เรียกน้องเลยท่าจะดีกว่า เพราะถึงมันจะพูดกับผมดีเหมือนเป็นที่ แต่ดูการกระทำมันแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับเพื่อนของผมนั่นแหละ บางทีมันอาจจะดูเหมือนพี่มากกว่าตัวผมเองด้วยซ้ำ
ผมคว้าเอาเสื้อยืดสีดำลายเส้นวาดสีซีดขึ้นมาใส่ ก่อนจะถอดกางเกงขาสั้นออกแล้วใส่กางเกงยีนส์สีเทาเข้มเข้ารูปมีรอยขาดอยู่บ้างขึ้นมาใส่แล้วรีบเดินออกไปโดยไม่คิดจะสำรวจตัวเองสักนิด
ผมเปิดประตูออกไปเจอไอ้ตี๋เล็กกำลังกดไอโฟนในมือตัวเองยิกๆแล้วได้แต่เบะปาก มันเวลาอยู่ต่อหน้าสาวในสต็อกของมัน
ตอนอยู่มัธยมผมเห็นทุกวัน ไอ้ท่าทีนิ่งๆ เงียบๆ ขรึมๆ สไตล์นักดนตรี เทียบกับที่บ้านสิ ก็ไม่ต่างอะไรกับอู๋อี้ฟานคนนี้นักหรอก -_- ผมมันก็แค่อยู่ไปเรื่อยๆ ผมชอบวาดรูป ชอบออกแบบ ชอบอยู่กับธรรมชาติ ผมเลยไม่ค่อยเป็นที่หมายปองของสาวๆ ไม่เหมือนชานเลี่ยที่สาวๆตามมันเป็นพรวน ด้วยเหตุผลที่ว่าชานเลี่ยเข้าถึงง่ายกับผมที่ไม่น่าจะเข้าถึง
ผมแค่เป็นคนขี้รำคาญ ผมขี้เกียจด้วยแหละ แถมหน้ายังโทรม ดูกวนตีนบ่อยๆก็เลยอยู่คนเดียวดีกว่า
“ในเมื่อไอ้คุณเฮียพร้อมแล้ว ก็เชิญเถอะครับ” ชานเลี่ยลุกขึ้นโค้งให้ผมก่อนจะเดินนำลงชั้นล่างไป ผมค่อยๆเดินตามมันไปติดๆ ในใจก็ภาวนาให้มันตกบันไดเข้าสักวัน เห็นเดินก้มหน้าก้มตากดอยู่นั่นละ คุยกับใครได้ทั้งวันทั้งคืนวะ
“ถามจริงแกคุยกับผู้หญิงทีกี่คนเนี่ย?”
ผมถามขึ้นในระหว่างที่เดินออกมาขึ้นรถ แต่ก็ไม่ลืมจะหันไปบอกป๊าด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมก็พอจะโล่งใจไปได้หน่อยที่พวกพี่ๆพนักงานมาทำงานกันแล้ว ป๊าผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยคนเดียว ผมทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะรอคำตอบไอ้ตี๋เล็กที่กำลังสตาร์ทรถก่อนที่มันจะถอยหลังอย่างเร็วและพุ่งลงยังไปถนนเบื้องหน้าโดยไม่สนว่าคนนั่งข้างอย่างผมที่ตกใจจนต้องเด้งตัวขึ้นมามองหน้ามัน
“ก็คุยเรื่อยๆอ่ะเฮีย เพื่อน พี่ คนเพิ่งเจอ ถ้าตรงสเป็คก็ได้หมด” ชานเลี่ยตอบทั้งๆที่มองยังถนนตรงหน้า ซึ่งผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ผมเลยค่อยๆไถตัวลงกับเบาะเอาหัวพิงกระจกไว้แล้วถอนหายใจแรงๆ
“แกมันก็ไปเรื่อย..”
“ก็แค่คุยป้ะวะ? ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย” อีกครั้งที่มันเลี้ยวอย่างรวดเร็วจนหน้าผมแทบจะแบนติดไปกับกระจก
ผมขมวดคิ้วพลางมองภาพหน้ารถที่เปลี่ยนจากถนนใหญ่ในตอนแรกกลายเป็นทุ่งหญ้าโล่งๆ แทน ชานเลี่ยมันเลี่ยงทางที่เข้าสู่ตัวเมืองไปทางด้านหลังเมืองที่เป็นทางลัดแทน ไอ้ตี๋เล็กมันคงเบื่อรถติดเลยยอมขับรถไกลๆแต่ได้ซิ่งตามใจมันดีกว่า นี่แหละเหตุผลที่ป๊าไม่อยากให้มันขับรถ ส่วนผมน่ะไม่คิดจะขับหรอกรถ น่าเบื่อ
วันนี้ผมรู้สึกไม่อยากหลับทั้งที่ขึ้นรถทีไร ตาผมก็จะเริ่มปิดทุกที
ผมเลยมองเห็นทิวทัศน์ด้านหลังเมืองที่อยู่มาได้สักพักแต่ก็ไม่ได้สังเกต แม่น้ำสายใหญ่ที่ตัดอยู่กลางเนินหญ้าโล่งๆที่คล้ายกลับสวนสาธารณะย่อมๆ พุ่มไม้และกลุ่มดอกไม้เล็กๆตลอดข้างทาง ฝูงนกที่บินผ่านไปมา ภาพแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์ลงผืนน้ำดูสวยงามและส่องสว่าง ผมจับจ้องภาพพวกนี้จนรู้สึกถึงหัวใจที่พองโตอย่างเต็มที่
“เป็นไงเฮียสวยละสิ บอกแล้วว่าเลยบ้านมาไม่ไกลมีสวนอยู่ พอบอกไปเฮียแม่งก็ไม่เคยฟังอ่ะ ต้องพามาให้เห็นเอง ว่างๆก็ลองมาเดินเล่น วาดรูปดูดิ”
ผมพยักหน้ารับคำพูดของชานเลี่ยในขณะที่ยังจ้องสิ่งที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้าไม่สะสายตา พวกผมย้ายมาจากบ้านริมทะเลที่กวางโจวเพราะผมกับน้องต้องการจะเข้าเรียนมหาลัยชิงหัวที่ปักกิ่งก็เลยต้องย้ายมาเรียนม.ปลายที่นี่จนจบและสอบติด แต่ก็เลือกที่จะอยู่แถบๆชานเมืองเพราะมันไม่วุ่นวาย ผมยังชินที่จะอยู่เงียบๆแบบที่บ้านเกิดมากกว่า
“เชี่ยเอ้ย!” ชานเลี่ยสบถหยาบออกมาทันทีที่เหยียบเบรคอย่างแรงจนผมเกือบพุ่งไปติดกระจกรถด้านหน้า
หลังจากผ่านสวนหย่อมนั่นจนใกล้ถึงตัวเมืองกรุงปักกิ่ง ผมถอนหายใจแรงๆอีกครั้งที่ไอ้ตี๋เล็กยังไม่เลิกขับรถอันตราย แต่สุดท้ายก็ถือว่ายังโชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะมันรีบเหยียบคันเร่งหนีคู่กรณีมา
“ใจเย็นๆดิเห้ย! ไม่ต้องรีบ จะไปเที่ยวไหนก็ได้ตามใจแก” ผมหันไปบอกมันที่พยักหน้ารับรัวๆ แต่จ้องเขม็งไปที่ถนนเหมือนคนยังไม่หายโมโหจากเรื่องเมื่อครู่
และพอหันมาอีกทีผมก็มองเห็นกำแพงอิฐสีแดงอ่อนล้อมรอบตึกใหญ่รูปทรงโบราณที่สูงเสียดฟ้า หลังคาสีเข้มทอดยาวไปไกลตัดกับแสงดวงอาทิตย์ราวเส้นขอบฟ้า
..หัวใจผมกระตุกอย่างรุนแรง
ภาพความฝันในหลายๆคืนนั้นทับซ้อนขึ้นมา
“ไอ้ตี๋เล็กๆ! จอดๆๆ!!”
ผมไม่ได้หันไปมองคนขับแม้แต่น้อย เพียงแต่ใช้มือปัดป่ายไปด้านหลังจนได้ยินเสียงชานเลี่ยร้องลั่นก่อนรถของพวกเราจะเบรคลงอย่างรวดเร็ว ผมไม่รอช้ารีบเปิดประตูลงจากรถด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุและความเจ็บปวดที่ผ่านมาแล้วก็หายไป
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมร่างกายถึงร้อนรนและเรียกร้องขนาดนี้ ..ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลย
แต่ผมแค่อยากรู้ อยากรู้อย่างเดียวเท่านั้น
“ไอ้เฮียเป็นไรเนี่ย ตกใจหมด นั่นBMW X6นะเห้ย!! เป็นไรขึ้นมาป๊าด่าหูชาแน่” ชานเลี่ยวิ่งเหยาะๆมาเข้ามา ผมไม่อยากฟังมันบ่นเลยคว้าคอเสื้อมัน ก่อนจะลากเข้าไปโดยไม่สนใจคำประท้วงอะไรทั้งนั้น
ผมเดินเข้ามาด้านในโดยมองไปรอบๆตลอด ก่อนจะหยุดลงที่ลานหินกว้างหลังจากที่เดินเข้ามาได้ไม่นาน ผมปล่อยคอเสื้อไอ้ตี๋เล็กพลางจ้องมองไปยังพระราชวังสูงตระหง่านตรงหน้าที่ผมมองเห็นเพียงหลังคาจากด้านนอก ริมฝีปากผมเม้มแน่นพร้อมกับทั้งร่างกายที่สั่นเทาขึ้นมาทันที เหงื่อที่เริ่มไหลซึมตามไรผมและตัวเองที่ยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน
“เฮีย! อย่าบอกนะว่าจะมาเที่ยวพระราชวังเก่าเนี่ยนะ?” ชานเลี่ยหอบโยนพร้อมเดินมาเรียกผม แต่ร่างกายผมตอนนี้กลับไม่ตอบสนองอะไรทั้งนั้น นอกจากจ้องมองไปยังสิ่งเบื้องหน้า
“เห้ยเฮีย! เป็นไรเนี่ย?”
“ไอ้ตี๋เล็ก...” ผมเรียกน้องตัวเองเสียงแผ่วพร้อมยกมือที่สั่นเทาขึ้นปิดใบหน้าด้านหนึ่งและค่อยๆหลับตาลง หัวใจผมที่เรียกร้องใกล้จะระเบิด ทุกอย่างล้วนตอกย้ำได้ดี ภาพหลายๆที่ไหลวนในห้วงความคิด
“เห้ย!! ร้องไห้ทำไมวะเนี่ย!!?”
ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ผมไม่รู้ว่าร่างกายหรือหัวใจที่สั่งการ น้ำตาของผมที่จู่ๆมันก็ไหลออกมา แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนทรมานของมัน ทั้งๆที่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เพราะอะไร.. สิ่งที่เห็นมันคืออะไรกันแน่..
“ที่นี่.. ฉันไม่เคยมา.. ไม่เคย”
“…”
“แต่ฉันจำได้.. จำได้ดี”
“ห้ะ..”
“ฉันเคยเห็น.. ฉัน.. ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
“เฮีย..?”
.
.
.
.
.
“ที่นี่.. มันอยู่ในความฝันของฉัน”
..!!!!
ขอถามประโยคเดียว.. เป็นไงบ้าง? 5555555555
เรื่องนี้ดูเงียบๆนะ.. #สายลมพัดโบกใบไม้ปลิวว่อน
ความคิดเห็น