ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - LITTLE BOY

    ลำดับตอนที่ #8 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 7

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 820
      19
      9 พ.ย. 56




     

     

               - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 7



     




    Your smile makes me smile















    เข็มนาฬิกาเพิ่งจะขยับพ้นเลขหกมาไม่นาน บรรยากาศโรงพยาบาลยังคงเงียบสงบและไม่วุ่นวายมากนัก เพราะว่าเช้ามากคนไข้จึงดูบางตา ทำให้เสียงพูดคุยกับเสียงฝีเท้ากลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในเวลานี้







    เป็นเด็กดีนะ



    มือหนาวางลงบนกลุ่มผมนุ่มพร้อมกับโน้มหน้าลงไปจนหน้าผากชน หากแต่เพียงเสี้ยวนาทีก็ผละออก เรียกเสียงโวยวายจากคนตัวบางได้เป็นอย่างดี





    บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ใช่เด็ก




    ผู้ใหญ่อะไรตัวแค่นี้










    เถียงคำไม่ตกฟากนั่นคงเป็นคำนิยามของคนอย่างอีทงเฮล่ะ


    ฮยอกแจจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ พอหาคำพูดมาเถียงต่อไม่ได้ก็หันไปใช้กำลังด้วยการฟาดมือลงไปบนไหล่หนาเต็มแรง ทว่าคนถูกกระทำยังคงมีรอยยิ้มทะเล้นอยู่บนใบหน้าชวนให้ร่างบางอดไม่ได้ที่ฟาดซ้ำลงไปอีกหลายทีจนหนำใจ














    สงครามเล็กๆของเด็กมัธยมปลายกับคุณหมอขี้โมโห

    เหมือนจะเป็นกิจวัตรประจำวันที่ช่วยเรียกรอยยิ้มของเหล่าบรรดาพยาบาลไปเสียแล้ว













    ทำไมพี่ต้องตีผมทุกวัน



    ทงเฮท้วงพลางใช้มือลูบต้นแขนที่เริ่มออกอาการชาหนึบ ใบหน้ายุ่งๆบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงนึกเคืองใจอยู่ไม่น้อย นี่มันไม่ยุติธรรมเลย เขาอุตสาห์ตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมาเจอทั้งที่ไม่ใช่นิสัย แล้วทำไมถึงตอบแทนกันด้วยการทุบตีแบบนี้….






    เด็กมันดื้อก็ต้องตี






    เด็กมันดื้อก็ต้องหอมสักทีอะไรแบบนี้ไม่ได้เหรอ














    ผัวะ!













    ทะลึ่ง





    อีกหนึ่งทีเข้าที่ขมับซ้าย

                ;__________;

     











     

    ไปได้แล้วไป




    เพิ่งเจ็ดโมงเอง…”




    ทงเฮ

     



     

    ดุอีกละ ;_;

                เบ้ปากแล้วยืนอิดออดอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายพอเจอสายตาเข้มๆกดมองก็จำใจต้องยอมให้อีกเหมือนเคย




    งั้นเดี๋ยวเย็นๆมารับนะ ว่าแล้วก็พาดแขนไปบนไหล่บางพร้อมกับกดปลายจมูกลงบนแก้มขาวๆนั้นอย่างถือวิสาสะ ตั้งใจทำงานล่ะ





    ยีเส้นผมสีดำสนิทเล่นอีกครั้งก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าทงเฮไม่อยู่รอฟังเสียงก่นด่าที่กำลังจะตามมา เด็กหนุ่มวิ่งเหยาะๆออกไปพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างคิมจงอุนที่เพิ่งถูกสถาปนาให้เป็นคนรับใช้ส่วนตัว คอยแวะรับส่งระหว่างโรงพยาบาลกับโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง







    ฮยอกแจที่ถูกปล่อยทิ้งให้ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นได้แต่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มวิ่งห่างออกไป มือบางยกขึ้นลูบเบาๆที่ผิวแก้ม คล้ายว่าสัมผัสเมื่อครู่ยังคงหลงเหลืออยู่และกลายสภาพเป็นไอร้อนที่ลามเลียไปทั่วจนใบหน้าขาวขึ้นสีจัด














    ตั้งใจทำงานงั้นเหรอ

    มันควรเป็นฮยอกแจสิที่ต้องเป็นฝ่ายบอกให้ตั้งใจเรียน!
     











    ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่พักใหญ่จนเริ่มสังเกตว่าคนไข้เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จึงระลึกขึ้นมาได้ว่าเขาควรจะไปทำงานได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่ยืนคิดถึงไอ้เด็กนิสัยไม่ดีคนนั้น ฮยอกแจถอนใจก่อนจะหมุนตัวกลับไปพบกับสายตาล้อเลียนจากเหล่าบรรดาพยาบาลที่ส่งมาให้อย่างพร้อมเพรียง









    แค่น้องชายน่ะอย่ามองแบบนั้นสิ







    เหมือนคนร้อนตัวที่พูดออกไปทั้งที่ยังไม่มีใครถาม แต่ก็ใช่ว่าฮยอกแจจะเดาไม่ออกเสียหน่อย ช่วงสองสามสัปดาห์ให้หลังมานี้ทงเฮมาที่นี่แทบทุกวัน แล้วสายตากับรอยยิ้มของพวกพยาบาลก็ชัดเจนแล้วว่าคงคิดกันไปถึงไหนต่อไหน









    ในเมื่อมันไม่ใช่แบบที่คิดผิดหรือที่เขาจะแก้ตัว









    ก็ยังไม่มีใครว่าอะไรคุณหมอเลยนี่คะอึนบีพยาบาลสาวคนหนึ่งตอบเสียงสูง







    ก็ดูพวกคุณมองเข้าสิ!” สวนกลับไปเสียงตะกุกตะกัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้หน้าเขาแดงเถือกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แน่นอนว่านั่นมันยิ่งเรียกรอยยิ้มของบรรดาสาวๆชุดขาวได้อีกเป็นเท่าตัว







    ไม่อยากให้มองก็อย่ามาทำให้เห็นสิคะคุณหมอ พวกเราก็อิจฉาเหมือนกันนะ







    สิ้นคำตัดพ้อของพยาบาลรุ่นใหญ่ เสียงสนับสนุน(และโห่แซว)ก็ดังตามมาจนฮยอกแจทนไม่ไหวต้องยกสองมือขึ้นมาอุดหูแล้วเดินดุ่มๆหนีเข้ามาในตรวจด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ










    ไม่อยากให้มองก็อย่ามาทำให้เห็นสิคะคุณหมอ











    อย่ามาทำให้เห็นเหรอ

    เท่าที่จำได้เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ

     



     

    ถ้าไม่อยากเห็นก็ไปบอกไอ้เด็กนั่นเองสิว่าอย่ามาเที่ยวหอมแก้มคนอื่นเขาสุ่มสี่สุ่มห้า! () !!!!

     

     

     






     

    - - - - - - - - - - - 










     

    หลังจากโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมสายอาชีพไปเมื่อตอนเช้า พักเที่ยงฮยอกแจก็รีบโทรหาทงเฮพร้อมกับสั่งอย่างเฉียบขาดว่าเย็นนี้ไม่ต้องมา ในทีแรกเด็กหนุ่มดูจะแปลกใจไม่น้อยที่คุณหมอมาดเยอะเป็นฝ่ายโทรไปหา แถมยังออกคำสั่งห้ามนู้นห้ามนี่มาเสียยืดยาว แต่พอจับได้ว่าฮยอกแจโดนพวกพยาบาลแซวมาทงเฮก็หัวเราะลั่นแล้วตอบกลับไปอย่างเต็มปากว่าไร้สาระ...





    ฮยอกแจหน้าชาไปนิดหน่อยที่ถูกคนอายุน้อยกว่าเกือบสิบปีพูดจาแบบนั้นใส่ แต่ทงเฮก็ให้เหตุผลต่อไปว่ามันเป็นเรื่องนิดเดียวที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจ ยิ่งไปกว่านั้น พอฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนทงเฮจะพอใจมากที่เขาโดนคนอื่นล้อ!




    เด็กหนุ่มหัวดื้อยังคงยืนยันว่ายังไงตอนเย็นก็จะไปหา แม้ฮยอกแจจะยกข้ออ้างสารพัดยังไงทงเฮก็ยังยืนยันคำเดิมจนฮยอกแจต้องเป็นฝ่ายยอม และนั่นเป็นเหตุให้การตรวจคนไข้ในช่วงบ่ายค่อนข้างจะทุลักทุเลเนื่องมาจากเหตุผลเล็กๆอย่างอารมณ์ของหมอไม่คงที่มากพอที่จะรับฟังปัญหาใดๆของคนไข้






    ถ้าพี่ฮีชอลรู้มีหวังโดนด่าเละแหง ;__________;





    ฮยอกแจ


    เฮ้ย!”


    สะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อคนในความคิดมายืนอยู่ตรงหน้ายังกับในละคร ดวงตาของฮยอกแจเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่ดิ่งวูบลงเหวทันที คิดไปต่างๆนาๆว่าจะโดนด่าอะไรหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็มีเพียงเสียงหาวเบาๆดังมาจากรุ่นพี่คนสนิทเท่านั้น






    คืนนี้อยู่เวรแทนหน่อยสิ




    “…………..”





    จะบ้านกลับไปนอนแล้ว ง่วง


    สิ้นคำพูดนั้นร่างของคิมฮีชอลก็จรลีหายไปจากกรอบสายตา ปิดโอกาสไม่ให้ฮยอกแจได้เอ่ยคำปฏิเสธแต่ถึงมีโอกาสฮยอกแจก็คงปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี












    อันที่จริงการอยู่เวรมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรสำหรับฮยอกแจเลย



    ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะนะ


    เมื่อก่อนตอนที่ยังใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวไม่มีใครอีกคนให้ต้องคอยห่วง











    ปกติแล้วถ้าคืนไหนที่ต้องอยู่เวร ฮยอกแจก็แค่โทรบอกโซราว่าไม่ต้องเหลือข้าวเย็นไว้เท่านั้นก็เป็นอันจบ หากแต่ครั้งนี้คนแรกที่ร่างบางเลือกโทรหากลับไม่ใช่พี่สาวร่วมสายเลือดอย่างที่ควรจะเป็น



    ( ทำไมวันนี้พี่โทรหาผมบ่อยจัง ไม่สบายปะเนี่ย )




    เสียงของคนปลายสายดูประหลาดใจ….ซึ่งมันก็แน่ล่ะ น้อยครั้งมากที่ฮยอกแจจะเป็นฝ่ายโทรไปหาทงเฮ ส่วนใหญ่จะเป็นทงเฮที่โทรมาเพื่อถามว่าฮยอกแจอยู่ที่ไหน และอีกสิบนาทีถัดจากวางสายทงเฮก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วทุกครั้ง



    ( หรือว่าคิดถึง? )


    ไม่ใช่สักหน่อย! แค่จะบอกว่าวันนี้อยู่เวร



    ( แล้ว? )



    ไม่ต้องมานะ



    ( นี่ข้ออ้างเหรอ ) ทงเฮถามกลับมาเสียงขุ่น ( ผมบอกพี่แล้วไงว่าไม่ต้องไปแคร์ ใครจะแซวก็เรื่องของเค้าสิ )





    ฉันต้องอยู่เวรจริงๆ พี่ฮีชอลไม่ว่าง



    ( แน่ใจ? )



    จะโทรไปถามพี่ฮีชอลมั้ยล่ะ



    ( อย่าเสียงดังสิผมแค่ถามเฉยๆ )





    เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ



    ( โอเคก็ได้ )


    ฮยอกแจรู้สึกโล่งใจที่ทงเฮยอมเชื่อฟังเขาในที่สุด แต่ก็อดจะรู้สึกผิดไม่ได้ที่ได้ยินว่าเสียงของทงเฮเบาลง ต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งฮยอกแจตัดสินใจพูดบางอย่างออกไปบางอย่างที่เขาไม่เคยพูดกับใครมาก่อน



    ทงเฮ…”




    ( …………. )








    “…อย่างอแงนะ






    ( …………. )







    แล้วจะโทรหา

     

     















































     

    ทงเฮคิดว่าเขาอาจจะขาดใจตายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า


    จริงๆนะ




    สมองของเขาทำงานช้าลงเพราะโทนเสียงที่ทั้งอ่อนนุ่มและหวานจับใจจากคนปลายสาย แม้มันจะเป็นเพียงคำพูดธรรมดาๆแต่ก็ทำให้หูของเขาอื้ออึงไม่รับรู้เรื่องราวไปพักใหญ่










    สำหรับทงเฮมันคือครั้งแรกที่หัวใจเต้นแรงเพราะใครสักคน








    ตลอดเวลาเป็นเขาเองที่ชัดเจนอยู่เสมอ ทั้งคำพูดไปจนถึงการกระทำ ไม่เคยมีสักครั้งที่คนคนนั้นจะแสดงออกให้รู้ว่าคิดยังไง อาจเพราะฮยอกแจมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า คงยากถ้าจะให้มานั่งพูดความรู้สึกในใจกับใคร







    หลายต่อหลายครั้งที่ทงเฮคิดว่าฮยอกแจคงไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความเป็นพี่น้องธรรมดา ฮยอกแจอาจจะไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ เพราะร่างบางเอาแต่บ่นแล้วก็ออกคำสั่งให้เขาเลิกทำแบบนั้นแบบนี้เสียทีหลายครั้งที่ทงเฮคิดว่าเขาควรจะหยุด





    ทว่าคำพูดสั้นๆเมื่อครู่กลับทำให้ความท้อแท้ทุกอย่างมลายหายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ




    เป็นครั้งแรกครั้งแรกจริงๆที่ฮยอกแจพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น

    ครั้งแรกที่ฮยอกแจให้สัญญาว่าจะเป็นฝ่ายโทรมาหา








    เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับทงเฮในตอนนี้ เพราะเขาแทบจะไม่ได้คาดหวังอะไรด้วยซ้ำ



    ฮยอกแจพูดอะไรต่ออีกสองสามคำแล้วก็วางสายไป ทงเฮจึงค่อยๆเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋ากางเกงโดยที่สติสัมปชัญญะยังไม่ครบถ้วนดีนัก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กมัธยมอย่างเขาจะมีความรักสิ่งที่พวกผู้ใหญ่เรียกความรักนั้นน่ะทงเฮรู้จักมันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วด้วยซ้ำ




    แต่ก็อย่างที่บอกนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกใจเต้นแรงเพราะใครสักคน




    มึงเป็นอะไรเนี่ย

    แม้เสียงของคิมจงอุนยังไม่สามารถทำให้ทงเฮหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิดได้ ริมฝีปากหยักยังคงยกยิ้มอยู่อย่างนั้น ในหัวสมองของเขามีแต่ภาพของอีฮยอกแจลอยอยู่เต็มไปหมด จนกระทั่งมือของจงอุนเอื้อมมาเขย่าไหล่เบาๆเรียกให้ต้องหันไปมอง และตอนนั้นเองที่ทงเฮคิดว่าเขากำลังจะตาบอด









    เขาเห็นหน้าจงอุนเป็นสีชมพู










    พี้กัญชามาไง๊? ยิ้มอยู่ได้


    พอเห็นท่าทีแปลกๆของเพื่อนสนิทแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสันนิฐานออกไปตามความน่าจะเป็น นานมาแล้วที่จงอุนไม่เห็นทงเฮมีอาการแปลกๆแบบนี้ ครั้งล่าสุดก็เหมือนจะเป็นตอนประถมนู้นสมัยที่มันจีบกับนานะเด็กญี่ปุ่นสุดโมเง้ประจำโรงเรียน




    จงอุนค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้ก็เป็นเคสเดียวกัน แต่คนที่ทำให้มันมีอาการแบบนี้คงไม่ใช่นานะ





    คืนนี้กูไปกับพวกมึงนะ


     “เอ้า แล้วพี่หมอของมึงอะจงอุนขมวดคิ้วแล้วถามกลับไปอย่างประหลาดใจ ไม่ไปหาเค้าละอ่อ


     “เค้าอยู่เวร คำว่าพี่หมอเหมือนจะทำให้ทงเฮยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย มือไม้ไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหนได้แต่ยกขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ



    แล้วมึงมาเขินอะไรเนี่ยกูแค่ถาม


    จงอุนว่าพลางขยับตัวออกห่างเพื่อนสนิทอย่างนึกหวาดกลัว




    เชี่ยนี่…”




















    .

    .




    .

    .

     

     

    ถ้ามึงจะมาเพื่อนั่งเล่นโทรศัพท์ก็กลับไปไป๊





    เป็นคิมจงอุนอีกเหมือนเดิมที่บ่นขึ้นพร้อมกับส่งแอลกอฮอล์เข้าปาก จังหวะดนตรีหนักๆกับเสียงโห่ฮาของพวกเซียนโต๊ะสนุ๊กไม่สามารถดึงคนที่กำลังจมดิ่งลงไปในโลกส่วนตัวให้กลับขึ้นมาได้




    พวกคนมีแฟนก็เงี้ยะ ไม่สนใจเพื่อน





    ใครสักคนพูดขึ้นพลางโน้มตัวลง เพ่งสมาธิไปที่ลูกกลมๆบนโต๊ะ แต่ถึงขนาดนั้นแล้วเจ้าของชื่ออีทงเฮที่โดนเมนชั่นอยู่ก็ยังคงไม่สนใจที่จะเงยหน้าขึ้นรับรู้สถานการณ์รอบตัว ดวงตาคู่คมยังคงจับจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหุนหันเดินออกไปข้างนอก






    ( อยู่ไหน )




                เพราะเสียงห้วนๆจากคนปลายสายทำให้ทงเฮไม่ทันได้ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนสนิท เขาเดินหลบฉากออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งมั่นใจว่าจะไม่มีเสียงรบกวนอะไรแล้วจึงตอบกลับไป



    ข้างนอก



    ( ทำไมยังไม่กลับบ้าน ) แต่เหมือนว่าปลายสายจะจับได้เสียแล้วว่าเขาอยู่ในสถานที่แบบไหนถึงได้ทำเสียงเขียวกลับมาแบบนั้น ( ท ง เ ฮพอไม่ตอบก็เรียกย้ำมาจนเจ้าของชื่ออดจะเสียวสันหลังวูบไม่ได้ ถ้าให้เดาป่านนี้คุณหมอคนเก่งคงร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติด แน่ล่ะ ฮยอกแจเคยสวมวิญญาหม่าม๊าสั่งห้ามไม่ให้เขาตามพวกเยซองมาเที่ยวสถานที่อัปโคจรอย่างเด็ดขาด





    ตอนนี้ผมไปหาพี่ได้แล้วใช่มั้ย?”



    ( ออะไร)



    ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่



    ( ………. )



    เพราะงั้นผมไปหาพี่ได้แล้วใช่มั้ย?”










    คำถามนั้นทำเอาฮยอกแจถึงกับนิ่งเงียบไปนาน

    แต่สุดท้ายก็ตอบออมาเสียงเข้มตามประสาคนฟอร์มเยอะ











    ( ภายในสิบนาที )









    “…………….”









    ( ถ้ายังไม่มาให้เห็นหน้าก็ไม่ต้องมาคุยกันอีกเลยด้วย )

     






     

    - - - - - - - - - - -

     








     

                คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการเดินคนเดียวในโรงพยาบาลตอนกลางดึกสงัดอีกแล้ว





                ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของทงเฮตอนที่รองเท้าของเขาเสียดสีกับพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงสะท้อนกลับ มองไปรอบกายแล้วก็บว่าบรรยากาศเงียบสงบแถมยังมืดสลัวชวนให้ขนหัวลุกขึ้นมาได้ไม่ยาก รีบสาวเท้าไปตามโถงทางเดินที่ปราศจากผู้คน ผ่านเข้ามายังแผนกตรวจโรคทั่วไปที่ฮยอกแจอยู่ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเมื่อพบพยาบาลคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเคาท์เตอร์







                ห้องตรวจของฮยอกแจเหมือนจะอยู่ถัดจากนี้ไปอีกสองสามล็อค ทงเฮพยายามก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบ บางทีเขาอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในอาคารนี้ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่จึงทำให้รู้สึกโหวงๆพิกล หันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวงไปตามเรื่อง แล้วก็ถอนใจออกมาเมื่อสองเท้าก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องที่มีป้ายชื่อของฮยอกแจติดอยู่








                มือหนาหมุนลูกบิดประตูเข้าไปอย่างเบามือ น่าแปลกที่ไฟในห้องมืดสนิท ทั้งที่ถ้าฮยอกแจอยู่เวรก็น่าจะเปิดไฟไว้ ทงเฮถอยหลังออกมาดูป้ายชื่อหน้าประตูอีกครั้งให้แน่ใจ ตอนนั้นเองที่หางตาของเขาเห็นแสงไฟแล่นไปมาวูบวาบท่ามกลางความมืด ความหวาดกลัวค่อยๆซึมลึกเข้าไปในหัวสมองของทงเฮช้าๆ หากแต่ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากกว่าส่งให้เขาค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปสู่ความมืดมิดนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว









    ก่อนที่บางอย่างจะพุ่งตรงเข้ามา

     


































     

    แฮ่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     
































     

     

    เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”

     


     

    นาทีนั้นเสียงร้องของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่วอาคารผู้ป่วยที่เงียบสงบ ทงเฮเกือบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าไฟในห้องสว่างขึ้นดึงสติที่หล่นหายให้กลับคืนมา พร้อมกับเสียงหัวเราะของคุณหมอคนเก่งที่มีไฟฉายอยู่ในมือ






    เล่นอะไรของพี่เนี่ย…”  







              …หัวใจแทบวาย




    มือหนายกขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายที่กำลังสั่นริ้วอย่างน่ากลัว เหงื่อกาฬมากมายพร้อมใจกันไหลทะลักทั้งที่อยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ฮยอกแจมองสภาพนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเอียงนาฬิกาข้อมือให้อีกฝ่ายดู




    เลทไปสองนาที


    หากแต่ทงเฮกลับไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจคำพูดนั้นอีกแล้ว เขาพยุงตัวเองขึ้นแล้วเดินโซเซไปที่โซฟาตัวยาว ทิ้งร่างเหนื่อยล้าของตัวเองลงพร้อมกับปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกที่สุด




    ถ้าผมหัวใจวายตายไปแล้วพี่จะรู้สึก


    อายุตั้งสิบแปดแล้วยังจะมากลัวผีอยู่ได้ ฮยอกแจเบ้ปากก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ แล้วโน้มหน้าลงไปจนปลายจมูกสัมผัสกับเสื้อนักเรียนของอีกฝ่าย กลิ่นบุหรี่



    มันติดมาตอนไปกับพวกเยซอง



    ให้จริง




    พี่นี่ชอบทำตัวเหมือนเป็นแฟนผมอยู่เรื่อย



    ..แฟนอะไร…” ตะกุกตะกักอยู่สักพักก็หลบสายตาไปทางอื่นอย่างจงใจ เรียกเสียงหัวเราะของผู้ชนะอย่างทงเฮได้อีกครา นั่งคุยเล่นปล่อยให้เวลาผ่านไปอยู่พักใหญ่ ฮยอกแจก็เปลี่ยนโหมดไปเป็นจริงจังด้วยการถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป




     ทงเฮ



    หื้อ




    ขอเหตุผลที่เราต้องเจอกันทุกวันได้มั้ย?”







    “…………….”







    เหตุผลที่เด็กมัธยมต้องมาโรงพยาบาลทุกวันหลังเลิกเรียน




    พี่อยากได้เหตุผลกี่ข้อ







    สัก…” เอียงคอทำท่าคิด ก่อนจะชูนิ้วขึ้นเป็นคำตอบ สาม







    ท่าทางน่ารักๆที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นทำให้ทงเฮหลุดยิ้มออกมา เขาขยับเข้าไปใกล้ฮยอกแจมากขึ้น แล้วใช้ปลายนิ้วพันเส้นผมอีกฝ่ายเล่น













    ข้อหนึ่ง…” เสียงนุ่มค่อยเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย ผมอยากเห็นหน้าพี่











    “…………”















    ข้อสองผมคิดเรื่องของเราตั้งแต่ครั้งแรกไม่สิตั้งแต่ตอนที่ผมเจอพี่อีกครั้ง















    คำพูดแสนพิเศษหากแต่กลับถูกเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงธรรมดา










    และข้อสาม…”











    “…………..”










    ตอนนี้ผมอยากกอดพี่






    มันเกี่ยวมั้ยน่ะท้วงขึ้นมาหน้ายุ่งเมื่อเห็นว่าคำตอบเริ่มออกทะเลไปไกล ฮยอกแจยังคงแสร้งตีหน้าโมโหอย่างที่ชอบทำโดยไม่รู้ตัวว่าแก้มขาวๆนั้นขึ้นสีไปถึงไหนต่อไหน







    หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่ จนกระทั่งฮยอกแจเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปใกล้ทงเฮ พร้อมกับเอนศีรษะลงไป ใช้ไหล่กว้างนั้นเป็นหมอนหนุน






    พี่ไม่กลัวโดนแซวแล้วเหรอ








    ใครจะมาแซวล่ะฮยอกแจปิดเปลือกตาลงพลางหัวเราะ ก็อยู่กันแค่สองคน

















    เต้นแรงอีกแล้วหัวใจ



    แขนแกร่งขยับโอบคนในอ้อมกอดไว้หลวมๆ รอยยิ้มบางปราฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้งและอีกครั้งจนทงเฮเองก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่านับตั้งแต่ฮยอกแจกลับเข้ามาในชีวิตเขายิ้มไปแล้วกี่ล้านครั้งกัน











    พี่อยากฟังเหตุผลข้อที่สี่มั้ย…” ถามออกไปทั้งที่รู้ว่าร่างบางเข้าสู่ห้วงนินทราไปแล้วเพราะความเหนื่อยอ่อน ไม่มีเสียงใดตอบกลับนอกจากเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ










    ริมฝีปากหยักค่อยกดจูบลงบนเส้นผมนุ่มของคนในอ้อมกอดอย่างนุ่มนวล พร้อมกระซิบเสียงเบา

     









     

     “ผมชอบพี่




























    TBC

    จำได้มั้ยตอนเด็กๆที่ฮยอกแจขโมยหอมแก้มทงเฮ
    แล้วทงเฮมันโมโหแทบตาย 555555555555555

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×