ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - BESTFRIEND

    ลำดับตอนที่ #9 : chapter 8

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 56


     

     

     

     





     

    8

     

     

     


     

    วันนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกๆวันที่ผ่านมา

    ทงเฮลืมตาตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่อย่างเกียจคร้าน เขาบิดขี้เกียจแล้วกลิ้งตัวไปมาภายใต้ผ้านวมผืนหนา ส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอคล้ายว่าจะบอกให้ใครก็ได้ช่วยเบาแอร์ลงทีกูหนาวจะตายห่าแต่ขี้เกียจเอื้อมมือไปหยิบรีโมตน่ะ

    ทว่าห้องกว้างกลับเงียบสงัดจนคนที่นอนอยู่นึกแปลกใจจนต้องผงกหัวขึ้นมา เปลือกตาบางปรือขึ้นแล้วมองกวาดไปทั่ว ก่อนจะทิ้งศีรษะลงกับหมอนอีกครั้งเมื่อไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากตัวเขาเอง


    ฮยอกแจไปเรียนทั้งที่ไม่สบายเนี่ยนะ?


    เป็นครั้งแรกที่ทงเฮเห็นด้วยกับคำพูดของคยูฮยอนที่ว่าเด็กคนนั้นน่ะดื้อจนน่าจับมาฟาดเข้าสักทีจริงๆ ไม่สบายขนาดนั้นแล้วยังจะอุตสาห์ตื่นไปเรียนได้อีก





    แต่ว่าเมื่อคืนนี้




    หลังจากที่ทงเฮพูดทุกอย่างออกไป ฮยอกแจก็ไม่ยอมคุยกับเขาเลยจนกระทั่งเข้านอน ทงเฮไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ยังคิดจะออกไปตามที่ซองมินขอร้องหรือไม่ เขาเอาแต่ถามตัวเองวุ่นวายไปหมด ขนาดฮยอกแจหลับไปแล้วทงเฮก็ยังคงจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนเวลาล่วงเลยไปเกือบเช้า



    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้คำตอบ



    ความจริงเขามักจะอ่านฮยอกแจออกหมดไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร แต่พอมาเรื่องของซองมินทีไร ฮยอกแจจะกลายเป็นคนที่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าคิดอะไรอยู่ 



    มีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ไม่ว่านานเท่าไร

    คนโง่อย่างเขาก็ไม่เคยเข้าใจเลยสักที




    เออช่างมันเถอะ คิดจนขี้เกียจคิดแล้วก็เหนื่อยที่จะคิดละด้วย ในเมื่อคิดไปให้ตายก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนอยู่ดี ไม่ใช่แค่กับฮยอกแจหรอก พักหลังมานี่ทงเฮก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป


    ตั้งแต่มีซองมินเข้ามาเขาก็ทะเลาะกับฮยอกแจแทบทุกวันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถ้าลองมองในอีกมุมทงเฮรู้สึกว่าเขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ทงเฮเชื่อว่าคงมีสักวันที่คนโง่อย่างเขาจะเข้าใจมัน




    Rrrrrrrrrrrrrrrrr



    ร่างหนาบิดตัวไล่ความขี้เกียจออกไปไกลๆ ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะไล่ควานหาโทรศัพท์คู่ใจที่แผ่ดเสียงดังลั่นจนน่ารำคาญ





    ไม่เคยเข้าใจเลยสักนิดว่าการที่มีใครสักคนโทรมาปลุกทุกเช้านี่มันดูน่ารักมุ้งมิ้งตรงไหนกัน...




    ทงเฮกลอกตาอย่างอารมณ์เสียพลางสบถลั่นอยู่ในใจว่าอีควายใครมันโทรมาเช้าขนาดนี้กูจะนอนต่ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ


     

    -Sungmin-

     


     

    เจ้าของชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอดึงให้สติสตังกลับคืนมาอย่างครบถ้วน ทงเฮเกือบลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้เขากับซองมินก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเช่นกัน และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาลังเลที่จะรับสาย



    เมื่อวันก่อน


    ทงเฮได้รับข้อความจากคนรักว่ากำลังไม่สบายหนัก ฝากซื้อยาเข้ามาให้หน่อยเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลย เขาจึงรีบหุนหันออกไปโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง และปล่อยให้ฮยอกแจรออยู่ที่ร้านกาแฟนั่น


    ทีแรกทงเฮคิดแค่ว่าจะซื้อยาเข้าไปให้ซองมินแล้วจะรีบกลับมา เพราะบ้านของซองมินก็อยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟมากนัก คงใช้เวลาไม่นานแต่ใครจะไปรู้ พอถึงแล้วทงเฮกลับพบว่าคนรักของเขาไม่ได้ป่วยอย่างที่บอกในเมสเซจ



    ซองมินก็แค่อยากให้เขามาหา



    นั่นทำให้ทงเฮไม่พอใจนิดหน่อย เขาบอกซองมินว่ามีธุระต้องรีบไปทำต่อ แล้วพรุ่งนี้จะมาหาใหม่ แต่ทว่าฝนกลับเทกระหน่ำลงมาทำให้อีกฝ่ายสามารถหาข้ออ้างให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก เพราะไม่อยากให้ขับรถลุยฝนไปมันอันตราย


    ทงเฮเข้าใจเหตุผลข้อนั้นดี แต่ว่าฮยอกแจรออยู่แน่นอนว่าเขากระวนกระวายอยู่ไม่สุข ต้องโทรบอกให้คยูฮยอนไปรับฮยอกแจแทน



    ไคลแมกซ์มันอยู่ตรงนั้นไงล่ะ



    เพราะเขาเอาแต่พะวงกับฮยอกแจจนลืมสนใจคนข้างๆไปเสียสนิท ตอนที่โทรบอกคยูฮยอนให้ไปดูฮยอกแจหน่อยนั่นซองมินก็ได้ยินเต็มสองหู เลยกลายเป็นเรื่องให้ต้องทะเลาะกันถัดจากนั้นมา



     

    ฉันนั่งอยู่ตรงนี้นายยังเอาแต่สนใจคนอื่นอย่างนั้นเหรอทงเฮ!?’

    นี่อย่าหาเรื่องน่า

     

     

    ทงเฮสาบานว่าเขาพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุดแล้ว ทั้งที่มันผิดจากนิสัยจริงๆของเขาไปเยอะ พวกคนที่ชอบทำตัวงี่เง่าน่ารำคาญแบบนี้เขาไม่เคยทนได้นานสักราย แล้วซองมินกำลังจะเป็นแบบนั้น

     

     

    เคยคิดจะสนใจกันบ้างมั้ย!’

    ฉันไม่สนใจตรงไหน?’

    ยังจะมาถามอีกเหรอ!?’

    แล้วฉันไม่สนใจตรงไหน? ที่ทิ้งฮยอกแจมาหานายนี่ยังเรียกว่าไม่สนใจอีกเหรอ!?’

     

     

    จนในที่สุดก็เผลอตวาดออกไปอย่างลืมตัว เส้นความอดทนกำลังถูกแกว่งให้สั่นคลอน เขาพยายามใจเย็นมากแล้วจริงๆ แต่คนตรงหน้านี้ก็ยังเอาแต่ประชดอยู่ได้ไม่หยุดไม่หย่อน


    ข้างนอกฝนตกหนัก แน่นอนว่านั่นมันยิ่งทำให้ทงเฮกระวนกระวายว่าป่านนี้ฮยอกแจจะเป็นยังไง ถึงขนาดว่าไม่ยอมปล่อยโทรศัพท์ให้ห่างตัว ทงเฮพยายามกดโทรหาฮยอกแจพร้อมทั้งยืนเถียงกับซองมินไปด้วย

     ช่างเป็นการกระทำที่บ้าสิ้นดี แต่ตราบใดที่คยูฮยอนยังไม่โทรมาบอกว่าส่งฮยอกแจถึงห้องเรียบร้อยแล้ว ทงเฮก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้

     


     

    สำคัญมากใช่มั้ยฮยอกแจน่ะ…’

    อย่าเพิ่งงี่เง่าตอนนี้จะได้มั้ย

    ถ้าฉันไม่โทรบอก นายจะรู้มั้ยว่าฉันไม่สบาย

    นี่ซองมิน…’

    ยังรักกันอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า…’

     


     

    ในที่สุดหยาดน้ำใสก็ร่วงลงมาเพราะเขาจนได้ ซองมินหยุดโวยวายแล้วทรุดตัวลงนั่งกับโซฟา ก่อนจะสะอึกสะอื้นจนตัวโยน และนั่นยิ่งทำให้ทงเฮรู้สึกผิดจนต้องลงนั่งข้างๆ แล้วดึงตัวคนรักเข้ามากอดไว้

     

     

    โอเค ฉันขอโทษ

     

    ความจริงเขาไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนโยนได้ขนาดนั้นน่ะนะก็อย่างที่บอกว่าพักหลังมานี้ทงเฮรู้สึกว่าตัวเองเริ่มแปลกไป จากที่เคยเป็นคนไม่สนใจอะไรกับความเป็นไปของผู้คนรอบข้าง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาแคร์คนอื่นมากขึ้น

     


     

    ‘…ที่ผ่านไม่ได้ใส่ใจนายมากพอ ฉันขอโทษ

    ขอโทษเหรอ…’

    แล้วจะให้ทำยังไง นายถึงจะหยุดร้องไห้แล้วก็หายโกรธฉันล่ะ

    อยากให้ฉันหายโกรธเหรอ?’

    อือ

    ถ้างั้นฉันขออะไรนายอย่างหนึ่ง




    ‘……………’


    ‘…ได้หรือเปล่า

     



     

    ทงเฮรู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไป

    อย่างแรกเขาไม่น่าพลั้งปากพูดแบบนั้นออกไป จนเกิดเป็นช่องว่างให้ซองมินได้เอ่ยขอสิ่งหนึ่งที่เขาไม่มีวันให้ได้


     

    ฉันไม่อยากให้ทงเฮอยู่กับฮยอกแจแล้ว

     



     

    ประโยคเดียวที่ทำเอาเส้นความอดทนขาดสะบั้นลง แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นเสียด้วย ซองมินยังร่ายอะไรไม่รู้ออกมาอีกยาวยืด เหตุผลร้อยแปดที่จะให้ฮยอกแจหรือไม่ก็เขาย้ายออกไปจากที่นี่


    เขาเกือบพลั้งมือตีคนตรงหน้าไปแล้วโทษฐานที่พ่นคำพูดไร้สาระออกมาแบบนั้น จะให้เขาแยกอยู่กับฮยอกแจน่ะเหรอ? ฝันเถอะ!



    Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr


    เครื่องมือสื่อสารยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับที่ทงเฮยังคงจ้องมองมันด้วยความลังเลใจ



    ไม่อยากรับ


    เขายังไม่พร้อมคุย ไม่พร้อมจะทะเลาะอะไรกับซองมินทั้งนั้น  ถึงแม้ปลายสายตั้งใจจะโทรมาขอโทษ เขาก็ไม่อยากจะรับฟังตอนนี้


    แต่เหมือนอีกฝ่ายจะมีความพยายามมากล้นเหลือเกิน ทงเฮเกือบจะเลื่อนนิ้วไปกดตัดสายแล้วปิดเครื่องหนี แต่เพราะอะไรบางอย่างกลับทำให้เขาเลือกที่จะกดรับในที่สุด



    อือ ว่าไง?”

    ( …………. )

    ได้ยินหรือเปล่า?”


    ( ………….. )


    พวกประเภทที่ว่าพอรับแล้วเสือกไม่พูดนี่มันน่าหาอะไรฟาดให้ปากฉีก แต่เอาเถอะ เขาไม่มีทำแบบนั้นได้อยู่แล้ว ในเมื่อปลายสายยังคงได้ชื่อว่าเป็นคนรักอยู่นี่นะ



    ซองมิน ได้ยินฉันมั้ย?”


    ทงเฮทำได้ดีที่สุดแค่ถามย้ำไป เป็นอีกครั้งที่เขาต้องกลบเกลื่อนอารมณ์แย่ๆของตัวเองไว้ และแทนที่คำตอบจะเป็นน้ำเสียงสดใสของคนรัก แต่เขากลับได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆดังมาตามสาย


     นั่นร้องไห้หรอ!?”


    (  ฉัน..ฮึก )


    เดี๋ยวสิ…ใจเย็นๆก่อน เป็นอะไร?”


    ( ฮยอกแจฮึก)



     

    แค่เพียงได้ยินชื่อนั้นหัวใจของเขาก็กระตุกวูบอย่างน่ากลัว

     

     

    ( ฮยอกแจทำร้ายฉัน )

     


     

    .

    .

    .







     

    ทงเฮไม่เคยร้อนใจมากขนาดนี้มาก่อน

    เขาไม่รู้ว่าความหวาดกลัวเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจนี่มันมาจากอะไร


    หลังจากที่ซองมินบอกว่าโดนฮยอกแจทำร้ายพร้อมกับสะอื้นตลอดจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ เขาก็รีบแต่งตัวมาถึงมหาลัยในเวลาไม่กี่นาที ทงเฮก้าวลงจากรถอย่างรีบร้อนพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูซ้ำๆ จนไม่ทันสังเกตคยูฮยอนที่เดินสวนมา


     

    มึงจะไปไหน?”

    กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยทักเขาจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง


    ธุระ ตอบปัดไปส่งๆ ทงเฮไม่ได้มีเวลาจะมาหยุดทักทายสนทนาพาทีกับใครนานๆ ร่างโปร่งมองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที นั่นทำให้คนใจร้อนอย่างเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาได้ไม่ยาก


    คยูฮยอน กูรีบ


    “……………....”


    แต่คงเป็นเพราะพักหลังมานี่เขาไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกับคยูฮยอนเท่าไรเลยทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆที่น่าอึดอัด และนั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คยูฮยอนลังเลที่จะพูดมันออกมา


    ทงเฮ…”

    รีบๆพูดมาซักทีเถอะ

    ทงเฮออกปากเร่งอย่างไม่สบอารมณ์ เขาคิดว่าคนตรงหน้าคงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เพราะในแววตานั้นมีแต่ความสับสนวิ่งชนกันวุ่นไปหมด ร่างโปร่งเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมาในที่สุด



    เมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเองสักที



    “…………..”



    ทงเฮนิ่งอึ้งไปกับน้ำเสียงที่ขาดห้วงราวกับว่าคนตรงหน้านี้กำลังผิดหวังในตัวเขาอย่างรุนแรง

    ก้อนเนื้อในอกเริ่มทรยศด้วยการเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม



    มึงพูดเรื่องอะไร

    ต้องรีบไปธุระไม่ใช่หรือไง?”


    แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ทงเฮถูกคนตรงหน้ากวนประสาทกลับมาด้วยรอยยิ้มนี่มันน่าโดนเข้าซัดหมัดจริงๆให้ตาย ตกลงว่าเขาผิดเองใช่มั้ยที่เสียเวลาไปจริงจังกับคำพูดของคนปากปีศาจอย่างโจคยูฮยอน!


    ไม่กวนตีนสักทีนี่มันจะตายหรือไง


    ทงเฮกลอกตาอย่างอารมณ์เสีย นึกโมโหตัวเองอยู่ไม่น้อยที่มัวมายืนเล่นสงครามประสาทอยู่ตรงนี้ พอคิดได้แบบนั้นก็เตรียมจะหันหลังกลับ แต่แล้วเสียงของปีศาจก็หยุดฝีเท้าของเขาเอาไว้ได้อีกครั้ง


    อีกอย่างที่ควรจะรู้ไว้นะทงเฮ…”

     



     

    “……………”

     




     

    ฮยอกแจน่ะทนมึงได้ไม่นานนักหรอก





    .

    .

    .

    .





     

    คำพูดของปีศาจ

    เป็นคำพูดที่ฟังยังไงก็ไม่เข้าใจแต่ทว่ามันกลับตามหลอกหลอนเสียจนทงเฮเกือบจะลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงไปแล้วว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร

    เหอะ!นี่ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าโจคยูฮยอนเป็นคนร้ายกาจขนาดนี้นะเขาจะไม่ยอมเสียเวลาหยุดยืนคุยด้วยไม่สิถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่ทำความรู้จักกับมันเลย!


     

    ถ้าสักวันมันรอมึงไม่ไหว


    ‘…………….’


    ‘…จะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ

     



     

    รอ?...

    รออะไร?

    ก็อดจะตั้งคำถามขึ้นมากับตัวเองไม่ได้แล้วไอ้ปีศาจนั่นก็ไม่ยอมขยายความอะไรให้มันมากกว่านี้ใครมันจะไปเข้าใจกันล่ะ


    ทงเฮ…”

    เสียงร้องเรียกที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ปลุกให้ทงเฮหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขาหันมองไปรอบทิศก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ใครคนหนึ่ง


    ซองมิน


    ไม่มีแม้ความคิดที่จะลังเล ทงเฮก้าวเท้าเข้าไปหาคนรัก ก่อนจะลอบถอนใจเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังคงมีพันธะยิ่งใหญ่ติดพันอยู่


    แอบสบถด่าตัวเองที่เมื่อกี้นี้หลงลืมไปว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเก็บเรื่องของคนอื่นมาคิดให้วุ่นวายใจ ลำพังกับแค่คนตรงหน้านี้ก็ปวดหัวจะแย่


    เมื่อก้าวเข้าไปแล้วก็ยิ่งมองเห็นอะไรๆชัดเจนขึ้น ทงเฮไม่แน่ใจนักว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า เขาพยายามไล่สายตามองใบหน้าของคนรักแล้วก็ต้องเบิกตากว้างเพราะนอกจากน้ำสีใสที่เอ่อล้นดวงตากลมโตนั้นแล้วยังมีโลหิตสีแดงเข้มที่ไหลลงมาจากบาดแผลเล็กๆบนหน้าผากมน


     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น






     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     





     

    ห้องกว้างที่นานๆทีจะมาเหยียบ แต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่าห้องของตัวเอง

               …อย่างน้อยก็ในเวลานี้


    เกือบสองชั่วโมงที่ฮยอกแจจมอยู่กับตัวเองความรู้สึกมากมายพากันถาโถมเข้ามาภายในคราวเดียว ทั้งสับสนทั้งเจ็บปวดสุดท้ายก็กลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้


    ริมฝีปากบางจะเหยียดยิ้มออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเอง




    ร้องไห้ทำไม?



    เก่งนักไม่ใช่เหรอทนมาได้ตลอดไม่ใช่เหรอ


    ฮยอกแจยกมือขึ้นปาดความอ่อนแอทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก ตั้งแต่เมื่อคืนที่ทะเลาะกับทงเฮไป แม้ตอนท้ายจะดูเหมือนปรับความเข้าใจกันได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าข้างในยังคงมีหลายสิ่งที่ค้างคาอยู่เต็มไปหมด

     

     

    ซองมินเค้าไม่อยากให้กูอยู่กับมึง

     


     

    คิดเอาไว้แล้วว่าสักวันมันต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

    แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้



    ฮยอกแจหยัดตัวขึ้นเตรียมออกไปจากที่นี่เพราะคิดว่าตัวเองรบกวนเจ้าของห้องอย่างคยูฮยอนมามากแล้ว ร่างบางลุกออกมาเงียบๆโดยที่ไม่ได้บอกใครแม้แต่พี่จองซูนอนแผ่หลาดูทีวีอยู่ตรงนั้น


    เมื่อเช้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาหวิว เขาไม่ได้ปวดหัวหนักเหมือนเมื่อวานแล้ว แต่ก็ยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง ทีแรกก็คิดไว้ว่าจะนอนเอาแรงอีกสักวัน แต่พอเปิดม่านเจอบรรยากาศฟ้าหลังฝนแบบนี้เลยตัดสินใจหอบกระดานวาดรูปไปมหาลัย ด้วยความคิดที่ว่าบางทีศิลปะอาจช่วยบรรเทาสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจให้เบาบางลง



    เพิ่งจะมารู้ก็ตอนนี้ว่าตัวเองคิดผิดที่ทำแบบนั้น





    สองขาพาตัวเองเดินไปเรื่อยๆ ในใจยังไม่มีจุดหมายใหม่ที่ชัดเจน

    ร่างบางเดินไปจนถึงถนนใหญ่ สวนทางกับผู้คนมากมายจนเริ่มเวียนหัว อีกทั้งความหนาวเย็นทำให้รู้สึกปวดหนึบที่ฝ่ามือ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก จำใจต้องเดินต่อไปแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทางก็ตามที


    ฮยอกแจจำได้ลางๆว่าต้องเดินถัดไปอีกเจ็ดบล๊อกเลี้ยวซ้ายสองครั้งเลี้ยวขวาสามครั้งตรงไปอีกสี่บล็อกก็จะถึงคอนโดของเขาแล้ว



    ไกลเกินกว่าร่างกายจะรับไหว




    ...นั่นคือความเป็นจริงที่ไม่ควรฝืน แต่คยูฮยอนชอบบ่นใส่หูให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าฮยอกแจน่ะดื้อ เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเด็กดื้ออย่างเขาจะกัดฟันเดินทรมานตัวเองไปเรื่อยๆ แทนที่จะโบกแท๊กซี่สักคันคงไม่ผิดอะไร





    แค่นี้เองไม่ตายหรอก





    หัวเราะออกมากับความดื้อรั้นของตัวเอง สองเท้ายังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปไกลลมหนาวพัดผ่านเข้ามาพร้อมกับหอบความทรมานแทรกซึมผ่านกายบางไปอีกระลอกถ้าพิษไข้จะกลับมาเล่นงานอีกครั้งคงไม่ต้องโทษใคร




    จนในที่สุดฮยอกแจก็สามารถพาตัวเองกลับมาถึงห้องได้อย่างปลอดภัย ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นนิดหน่อยหลังจากที่เดินเข้ามาข้างใน

    ปลายนิ้วเย็นเอื้อมไปกดลิฟต์ด้วยสติที่ใกล้จะเลือนหายเต็มที

    ไม่นานก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้เผลอใช้มือขวาหมุนลูกบิดไปเต็มแรง ความเจ็บปวดแล่นวาบเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า พอยกขึ้นมาดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิดผ้าพันแผลสีขาวค่อยๆถูกสีแดงเข้มกลืนกินเป็นวงกว้าง


    นั่นทำให้เขาตัดสินใจยืนทบทวนตัวเองเงียบๆอีกครั้ง




    พร้อมที่จะเผชิญหน้าแล้วอย่างนั้นเหรอ?




    คำถามง่ายๆที่ฮยอกแจเองก็ตอบไม่ได้ เขาไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรและเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมันมาตลอด



    แต่สุดท้ายก็เลือกพาตัวเองเข้าไปพบเจอกับความจริง

     



     

     “ฮยอกแจ!”

    และทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดเข้าไป ทงเฮก็ถลาเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วจนฮยอกแจถึงกับสะดุ้งถอยหลัง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วอึดใจ


    กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง


    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ฮยอกแจมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วความรู้สึกเหมือนเด็กหวงของเล่นก็หวนกลับมาอีกครั้ง


     

    นั่นมันเตียงนอนของเขา



    ผ้าห่มนั่นก็ของเขา



    แล้วอีซองมินมีสิทธิ์อะไร

     



     

    รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป

    เสียงเย็นๆของทงเฮเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ทว่ามันกลับกลายเป็นตัวจุดประกายไฟให้ลุกลาม ฮยอกแจเหวี่ยงกลับมาสายตามองคนตรงหน้า แล้วย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะกวนประสาท

    ทำอะไร?”

    ยังจะถามอีกเหรอ!?” ทงเฮพูดเสียงสูง  ก่อนจะก้าวไปยืนข้างๆซองมินที่นั่งอยู่บนเตียง แล้วชี้ไปที่รอยแผลเล็กๆบนศีรษะนั้น นี่มันอะไร?”


    ฮยอกแจเพียงแต่ปรายตามองตามไปด้วยใบหน้าที่เมินเฉยติดจะกวนอารมณ์อยู่เล็กๆ และนั่นทำให้ทงเฮเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมา

     “กูถามว่านี่มันอะไร!?”


    สุดท้ายก็ตวาดใส่เสียงดังลั่น ฮยอกแจหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว แล้วริมฝีปากที่เรียบตึงในทีแรกก็ค่อยๆระบายรอยยิ้มออกมา

    แผลแค่นี้ถ้าจะตายก็ปล่อยให้มันตายไปสิ

    ฮยอกแจ!”

    สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันอย่างไม่ยอมแพ้นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฮยอกแจนึกอยากตีคนตรงหน้าแรงๆสักทีจะได้หายซื้อบื้อ แต่เขาก็ยังใจเย็นพอที่จะไม่ทำแบบนั้น


     “กูไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆจะเดินไปกระทืบใคร


    เลือกที่จะอธิบายช้าๆอย่างอ่อนใจ ทงเฮเป็นคนใจร้อน ถ้าไม่เอาน้ำเย็นเข้าลูบก็ไม่มีวันคุยกันรู้เรื่อง ใช้อารมณ์ไปก็มีแต่แตกหักเท่านั้นเอง


    ฮยอกแจเหลือบไปมองตัวปัญหาอย่างอีซองมินที่ดูจะสะใจมากมายเหลือเกินที่สถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ


    นั่นไม่ใช่สิ่งที่กูอยากได้ยิน



    ละสายตาจากซองมินกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้งฮยอกแจหวังว่าตัวเองจะไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอมากไปจนอีกฝ่ายสังเกตได้





    แล้วฮยอกแจก็หวังหวังว่าทงเฮจะเชื่อใจเขาบ้าง

    แค่เพียงสักนิด

     



     

    แล้วมึงถามกูสักคำหรือยังว่าเพราะอะไรกูถึงทำ

     “จะเพราะอะไรก็ช่าง มึงไม่ควรไปทำเขาขนาดนั้น

     



     

    จะเพราะอะไรก็ช่าง…?

    ยิ่งกว่าถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ชั่วขณะนั้นที่ฮยอกแจรู้สึกเหมือนสมองตัวเองขาวโพลน จนนึกคำพูดที่จะโต้ตอบคนตรงหน้านี้ไม่ออก ลำพังกับแค่ควบคุมจังหวะการหายใจให้ปกติยังทำไม่ได้เลย


    ทงเฮยังคงใช้ดวงตาสีน้ำตาเข้มจ้องมองมาราวกับฮยอกแจเป็นเพียงคนแค่แปลกหน้า ร่างบางไม่แน่ใจว่าเขาแค่คิดไปเองหรือเปล่า



    แต่ข้างในนี้มันชาไปหมดในความรู้สึก


    ฮยอกแจได้แต่ถามตัวเองเงียบๆว่าทำไมคนตรงหน้านี้ถึงได้ทำท่าทางราวกับเห็นเขาเป็นศัตรู

    ทำไมคนที่เคยอยู่ข้างๆกันมาตั้งแต่จำความได้ ถึงมองเขาด้วยสายตาที่ห่างเหินเหมือนยืนอยู่คนละโลกแบบนั้น

     



     

    มึงจะเกลียดเขาแค่ไหนหรือเกลียดเพราะอะไรกูไม่สนหรอก


    “……………..”



    ไว้หน้ากันบ้าง ยังไงซองมินก็แฟนกู

     

     

    ถ้อยคำพวกนั้นชัดเจนจนคนฟังปวดร้าวไปทั่วทั้งใจ

     



    ใช่ มันเป็นแฟนมึง

    แต่คนอย่างฮยอกแจน่ะมีด้วยเหรอที่จะมาอ่อนแอให้ใครเห็น ต่อให้ข้างในจะแย่สักเพียงได้ ใบหน้าหวานก็ยังคงเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้


    จะให้กูกราบตีนขอโทษมั้ย


    อย่ามาประชด


     “แล้วจะให้ทำยังไง…” ถามออกไปเสียงเบาเมื่อคนตรงหน้าทำเหมือนว่าอยากจับฮยอกแจมาลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ทำเต็มแก่


    แต่ทว่าประโยคคำถามสั้นๆที่ร่างบางไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน กลับหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น




     “…มันเกิดอะไรขึ้น

     

     

     








     

    หลายชั่วโมงก่อน

     

    บรรยากาศเช้าวันเสาร์ในมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อฮยอกแจเลยจริงๆ ความเงียบสงบชนิดที่หาไม่ได้ในวันธรรมดา เพราะส่วนใหญ่เขาก็กลับบ้านไม่ก็นอนอยู่หอกันหมด


    ยิ่งอากาศเย็นๆแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็


    ฮยอกแจหยิบอุปกรณ์วาดรูปทั้งหมดออกมาวางเรียง ก่อนจะเริ่มหามุมที่ดีที่สุดเพื่อสร้างงานศิลปะชิ้นใหม่ ใครจะไปรู้ล่ะ ต่อไปภาพวาดพวกนี้อาจจะขายได้เป็นล้านๆก็ได้


    คิดอะไรไปเพลินๆ มือก็จับดินสอลากไปมาอย่างชำนาญ



    ฮยอกแจ…’

     


     

    กึก!

    ดินสอหัก 

             


    ขอคุยด้วยหน่อยสิ

    น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ฟังดูไม่ค่อยรื่นหูนักดึงให้ร่างบางต้องละสายตาจากงานศิลปะตรงหน้า

    แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออีซองมิน


    มีอะไร?’

    ฮยอกแจวางดินสอลง ในหัวคิดเตรียมรับมือกับอะไรหลายๆอย่างที่จะตามมา เพราะการที่คนคนนี้เข้ามาคุยกับเขามันคงจะไม่ใช่เรื่องดี

     ‘เรื่องทงเฮ…’ เจ้าของใบหน้าหวานไม่รีรอ รีบเข้าประเด็นด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น ‘…ฉันไม่ชอบที่นายมาวุ่นวายกับแฟนของฉัน

    แล้วยังไง?’ ฮยอกแจเหวี่ยงสายตาไม่พอใจกลับไป ก่อนจะหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย


    ฉันรู้ว่านายคิดยังไงกับทงเฮ


    จะคิดยังไงแล้วมันทำไม


    ก็ไม่ทำไม แต่ว่านะฮยอกแจนายน่ะชอบเพื่อนสนิทตัวเองมาตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง เขาไม่เห็นจะหันมาสนใจสักนิดฉันสงสาร


    ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้ฮยอกแจมีสีหน้ายังไงกับประโยคเจ็บแสบที่เขาเพิ่งพูดออกไป คนผมสีบลอนด์จ้องมองเขาด้วยสายตาเหมือนอยากจะฆ่าให้ตายอยู่ร่อมร่อ นั่นยิ่งทำให้ซองมินรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นต่อแบบสุดๆ


     ‘อย่างนั้นเหรอ…’

    ร่างบางหรี่ตามองคนตรงหน้า เป็นอีกครั้งที่ต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์จนมือไม้สั่นไปหมด ยิ่งเห็นสายตากับน้ำเสียงเหยียดหยามที่ซองมินใช้มองมาราวกับเห็นฮยอกแจเป็นตัวอะไรสักอย่างแบบนั้น 


    มันทำให้เขาเผลอก้าวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว



     ‘จะทำอะไร!?’

    ความมั่นใจในทีแรกแปรเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดหวั่นเล็กๆเมื่อคนผมบลอนด์สาวเท้าเข้ามาใกล้จนตัวเองเผลอก้าวถอยหลังหนี แต่แล้วซองมินก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่มันคือวิสัยของพวกจนตรอก คิดได้อย่างนั้นก็รีบเรียกสติของตัวเองกลับมา กลอกตามองมีดคัตเตอร์ที่วางรวมอยู่กับอุปกรณ์วาดรูปของฮยอกแจ


     ‘ยอมรับหน่อยสิว่าเขารักฉัน ไม่ใช่นาย!


    คนที่ถอยหลังหนีไปจนเกือบติดกำแพงแผ่ดเสียงออกมาดังลั่น ดวงตาคู่นั้นสั่นระริก ซึ่งฮยอกแจก็ไม่แน่ใจนักว่าเพราะความโกรธหรือความกลัวกันแน่ในใจเขานึกอยากจะให้ทงเฮมาเห็นภาพนี้เสียจริง อยากรู้ว่ายังจะมองว่าคนตรงหน้านี้แสนดีอยู่อีกไหม


     ‘ถอยออกไปนะ!


    เพียงเสี้ยวนาทีที่เผลอคิดไปถึงใครอีกคนทำให้ไม่ทันได้ระวังตัว ได้สติอีกทีก็ตอนที่ปลายมีดคัตเตอร์มาจ่ออยู่ตรงหน้า


    จำไว้นะอีฮยอกแจ…


    ‘……..…….’



    คนที่เป็นได้แค่เพื่อนอย่างนายน่ะ…’


    ‘……………’



    ‘…ไม่มีวันสำคัญกับอีทงเฮได้เท่ากับคนรักอย่างฉั…’

     



     

    ผลัก!

    ไม่จำเป็นต้องอดทนกับคนคนนี้อีกต่อไป ฮยอกแจเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายโดยที่ลืมไปว่าคนตรงหน้ายังคงกำคัตเตอร์เอาไว้ เส้นความอดทนของเขามันขาดลงตั้งแต่เห็นสายตาดูถูกดูแคลนนั้นแล้ว


    ความวุ่นวายเล็กๆเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะสงบลงโดยฮยอกแจได้แผลที่ฝ่ามือจากการยื้อแย่งใบมีดมาเป็นทางยาว ส่วนซองมินก็เซไปจนศีรษะกระแทกเข้ากับกำแพง


    ร่างบางกลอกตามองฟ้าอย่างเหนื่อยหน่าย เดินเลี่ยงไปที่อ่างล้างหน้าใกล้ๆเพื่อล้างแผลที่ฝ่ามือออก เผลอนิ่วหน้าเมื่อน้ำเย็นเฉียบสัมผัสกับบาดแผล  แม้จะไม่ลึกมากแต่ใบมีดที่ใช้เหลาดินสอคงสกปรกพอควร กลับไปคงต้องทำความสะอาดอีกยกใหญ่


     ‘เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่าทงเฮจะเลือกใคร


    เสียงของซองมินดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฮยอกแจไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ลำพังแค่มาใช้พื้นที่หายใจร่วมกันก็สะอิดสะเอียนจะแย่คนอะไรทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลชะมัด ไม่แปลกใจเลยที่คบกับทงเฮได้น่ะ

     
     

    อีกไม่นานนายจะต้องกลายเป็นหมาหัวเน่า…’

     


     

    ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าซองมินคิดจะทำอะไร

     




     

    ‘…ฉันเสียใจด้วยจริงๆนะฮยอกแจ

     

     

     

    เจ้าของใบหน้าใสซื่อประกาศกร้าว ก่อนจะประคองตัวเองขึ้นมาหยิบโทรศัพท์ปลายนิ้วสั่นระริกเลื่อนไปที่ชื่อของใครคนหนึ่ง

     



     

    ละครฉากแรกเริ่มขึ้นแล้ว

     






     

     

     


     

     

    “…มันเกิดอะไรขึ้น


    ฮยอกแจนึกขอบคุณที่อย่างน้อยทงเฮก็พร้อมจะรับฟัง

    แต่เขารู้ดีว่าอีซองมินต้องการให้ทุกอย่างจบลงแบบไหน


    ถึงใบหน้าแสนไร้เดียงสานั้นจะหลอกตาใครหลายๆคนได้ แต่ไม่ใช่กับฮยอกแจ และถ้าทงเฮจะเชื่อในความใสซื่อบริสุทธิ์นั้นด้วยอีกคน….


    เขาก็ไม่อยากขัดอะไร



    เออกูทำเอง กูเป็นคนผลักมันเองฮยอกแจมองคนตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจอีกครั้งว่าที่ทำอยู่นี่มันถูกต้องแล้ว พอใจมั้ย


    สิ้นคำพูดนั้น ซองมินก็ดูเหมือนจะดีใจจนปิดไม่มิดที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ฮยอกแจแค่นยิ้ม มันไม่ใช่ว่าเขาทำตัวเป็นละครน้ำเน่าหลังข่าวที่พูดออกไปนั่นก็ความจริงทั้งนั้น  



    แล้วอย่าลืมถามแฟนมึงด้วยนะว่ามีปัญหาอะไรกับกูนักหนา

    คำพูดที่แทบจะไม่ได้ใช้สมองกลั่นกรองทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะเริ่มแสร้งตีหน้าเศร้าเรียกน้ำตาอย่างรวดเร็ว


    ฮยอกแจทงเฮปรามขึ้นเสียงดุ



    ความจริงแล้วก็มีอะไรมากมายที่อยากพูดแต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากพูดไปแล้วคนที่หวังว่าจะเข้าใจมากที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย แล้วยิ่งตราบใดที่ทงเฮยังเอียงไปทางอีกฝ่ายแบบนี้พูดอะไรไปสุดท้ายคนที่ผิดก็คือฮยอกแจอยู่ดี


    นี่ซองมิน…”


    ฮยอกแจไม่สนใจว่าทงเฮจะคิดยังไง เขาเหวี่ยงสายตากลับไปมองซองมินที่นั่งน้ำตารื้นริมฝีปากบางยกยิ้มจงใจจะกวนประสาท ทำเอาคนที่กำลังเล่นละครฉากใหญ่แทบดิ้นพล่านถ้าหวงมากนักนะวันหลังก็จับทงเฮมันขังกรงไว้ดิ ไปไหนก็หิ้วไปหิ้วมาใส่ปลอกคอไว้ด้วยเดี๋ยวหาย


    ฮยอกแจหยุด…”



     ร่างบางเบือนสายตากลับมามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทช้าๆ แล้วก็ได้รู้ว่าทงเฮเองก็พยายามใจเย็นอยู่เช่นกัน


    ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่ฮยอกแจเคยมองว่ามันสวยที่สุด  แต่ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความผิดหวังมากมาย ทงเฮดูเหมือนจะผิดหวังในการกระทำของเขามากเสียจนเผลอถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว


    ในเมื่อมาถึงขนาดนี้ก็คงไม่มีอะไรจะเสียแล้ว

     

     

    แล้วนั่นจะร้องไห้ทำไม เมื่อกลางวันยังเก่งอยู่เลยไม่ใช่เหรอ

    หยุด…”

     



     

    เหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็ง

     




     

    ทำไมไม่บอกมันไปด้วยล่ะว่ามึงทำอะไรไว้บ้าง

    ฮยอกแจกูบอกให้มึงหยุด!

     





     

    เหนื่อยมากหรือเปล่า

     





     

    ทงเฮ…” ร่างบางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนใจแฟนมึงน่ะมัน…”

     



     

    เพียะ!

     

    รสชาติของคาวเลือดเป็นยังไงฮยอกแจเกือบจะลืมไปแล้ว

    แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันนัก ร่างบางเบือนหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้าราวกับสติที่พอจะมีเหลือทั้งหมดพากันหลุดลอยหายไป ภาพตรงหน้าพร่ามัวจนแทบไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ายังไง กระทั่งหยาดน้ำใสถูกกะพริบไล่ไปจนหมด ถึงได้เห็นว่าคนตรงหน้านี้ไม่แม้แต่จะสบตาเขา


    ในเวลานี้ความเจ็บปวดที่ข้างแก้มยังไม่อาจเทียบเท่าความทรมานที่รุมเข้ากัดกินข้างในจนบอบช้ำ กายบางสั่นเทิ้มจนเกือบจะล้มลงไป แต่ในที่สุดแล้วก็ยังฝืนทำเป็นว่าเข้มแข็งไม่ให้คนตรงหน้าหรือใครอีกคนได้หัวเราะเยาะ


    ตราบใดที่ยังไม่ล้มลงไปก็ถือว่ายังไม่พ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าหยาดน้ำใสที่ไหลอาบลงมาข้างแก้มนี่จะทำให้เขาดูเหมือนอ่อนแอมากก็ตามที



     มึงรู้มั้ยทงเฮ…” ทำลายความเงียบด้วยการพูดออกไปหลังจากพยายามหาเสียงตัวเองอยู่นาน





              “แค่นี้ชดใช้ให้มันไม่พอหรอก


    สิ่งที่เขาได้รับอาจจะยังน้อยไปถ้าเทียบกับแผลบนศีรษะของอีซองมิน ฮยอกแจนึกอยากให้ทงเฮทำมากกว่าตบหน้าแรงๆด้วยซ้ำ อยากรู้จริงๆว่าหัวใจของเขามันจะทนแบกรับความเจ็บปวดได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า



    ในเมื่อยังไงเสียฮยอกแจก็เป็นคนผิดในสายตาของทงเฮอยู่วันยังค่ำ แล้วจะมีประโยขน์อะไรที่เขาจะต้องเสียเวลาอธิบายทุกอย่างให้ฟัง



    ฮยอกแจ…”


    คนตรงหน้าคล้ายว่าจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป แววตาของทงเฮสั่นไหวรุนแรงและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนทำให้คนมองพลอยจะรู้สึกแย่ตามไปด้วย ฮยอกแจไม่ได้รอฟัง และไม่อยากรู้ว่าสิ่งที่ทงเฮจะพูดคืออะไร เขาแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ



    กูจะจำไว้ว่ามึงรักมันมากขนาดนี้นะ…”


    ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังก้อง ริมฝีปากที่ซีดเซียวเพราะพิษไข้พยายามคลี่ยิ้มออกมาอย่างยากเย็น



    ไม่จำเป็นเลยไม่จำเป็นต้องฟังคำอธิบายหรือคำขอโทษ

    ฮยอกแจเข้าใจคนตรงหน้านี้ทุกอย่าง



    ทงเฮไม่ได้ตั้งใจ




    ใช่ฮยอกแจเข้าใจทงเฮเสมอทุกอย่าง

     



     

    มึงบอกกูว่าไม่มีใครเข้าใจมึงเท่ากูอีกแล้ว

     




     

     “………..”

     



     

    แต่ทำไมวะทงเฮ...

     



     

     “………..”

     



     

     “ทำไมมึงไม่เคยเข้าใจกูเหมือนที่กูเข้าใจมึงเลย

     

     

     

     









    TBC

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×