คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 7
- LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 7
Your smile makes me smile
เข็มนาฬิกาเพิ่งจะขยับพ้นเลขหกมาไม่นาน บรรยากาศโรงพยาบาลยังคงเงียบสงบและไม่วุ่นวายมากนัก เพราะว่าเช้ามากคนไข้จึงดูบางตา ทำให้เสียงพูดคุยกับเสียงฝีเท้ากลายเป็นเสียงที่ดังที่สุดในเวลานี้
“เป็นเด็กดีนะ”
มือหนาวางลงบนกลุ่มผมนุ่มพร้อมกับโน้มหน้าลงไปจนหน้าผากชน หากแต่เพียงเสี้ยวนาทีก็ผละออก เรียกเสียงโวยวายจากคนตัวบางได้เป็นอย่างดี
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าฉันไม่ใช่เด็ก”
“ผู้ใหญ่อะไรตัวแค่นี้”
เถียงคำไม่ตกฟาก…นั่นคงเป็นคำนิยามของคนอย่างอีทงเฮล่ะ
ฮยอกแจจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ พอหาคำพูดมาเถียงต่อไม่ได้ก็หันไปใช้กำลังด้วยการฟาดมือลงไปบนไหล่หนาเต็มแรง ทว่าคนถูกกระทำยังคงมีรอยยิ้มทะเล้นอยู่บนใบหน้าชวนให้ร่างบางอดไม่ได้ที่ฟาดซ้ำลงไปอีกหลายทีจนหนำใจ
สงครามเล็กๆของเด็กมัธยมปลายกับคุณหมอขี้โมโห
เหมือนจะเป็นกิจวัตรประจำวันที่ช่วยเรียกรอยยิ้มของเหล่าบรรดาพยาบาลไปเสียแล้ว
“ทำไมพี่ต้องตีผมทุกวัน”
ทงเฮท้วงพลางใช้มือลูบต้นแขนที่เริ่มออกอาการชาหนึบ ใบหน้ายุ่งๆบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงนึกเคืองใจอยู่ไม่น้อย นี่มันไม่ยุติธรรมเลย เขาอุตสาห์ตื่นแต่เช้าทุกวันเพื่อมาเจอทั้งที่ไม่ใช่นิสัย แล้วทำไมถึงตอบแทนกันด้วยการทุบตีแบบนี้….
“เด็กมันดื้อก็ต้องตี”
“เด็กมันดื้อก็ต้องหอมสักทีอะไรแบบนี้ไม่ได้เหรอ”
ผัวะ!
“ทะลึ่ง”
…อีกหนึ่งทีเข้าที่ขมับซ้าย
;__________;
“ไปได้แล้วไป”
“เพิ่งเจ็ดโมงเอง…”
“ทงเฮ”
ดุอีกละ ;_;
เบ้ปากแล้วยืนอิดออดอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายพอเจอสายตาเข้มๆกดมองก็จำใจต้องยอมให้อีกเหมือนเคย
“งั้นเดี๋ยวเย็นๆมารับนะ” ว่าแล้วก็พาดแขนไปบนไหล่บางพร้อมกับกดปลายจมูกลงบนแก้มขาวๆนั้นอย่างถือวิสาสะ “ตั้งใจทำงานล่ะ”
ยีเส้นผมสีดำสนิทเล่นอีกครั้งก่อนจะก้าวถอยหลังออกมาด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าทงเฮไม่อยู่รอฟังเสียงก่นด่าที่กำลังจะตามมา เด็กหนุ่มวิ่งเหยาะๆออกไปพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสายหาเพื่อนสนิทอย่างคิมจงอุนที่เพิ่งถูกสถาปนาให้เป็นคนรับใช้ส่วนตัว คอยแวะรับส่งระหว่างโรงพยาบาลกับโรงเรียนอีกทอดหนึ่ง
ฮยอกแจที่ถูกปล่อยทิ้งให้ยืนเคว้งอยู่ตรงนั้นได้แต่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มวิ่งห่างออกไป มือบางยกขึ้นลูบเบาๆที่ผิวแก้ม คล้ายว่าสัมผัสเมื่อครู่ยังคงหลงเหลืออยู่และกลายสภาพเป็นไอร้อนที่ลามเลียไปทั่วจนใบหน้าขาวขึ้นสีจัด
…ตั้งใจทำงานงั้นเหรอ
มันควรเป็นฮยอกแจสิที่ต้องเป็นฝ่ายบอกให้ตั้งใจเรียน!
ยืนหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่พักใหญ่จนเริ่มสังเกตว่าคนไข้เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จึงระลึกขึ้นมาได้ว่าเขาควรจะไปทำงานได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่ยืนคิดถึงไอ้เด็กนิสัยไม่ดีคนนั้น ฮยอกแจถอนใจก่อนจะหมุนตัวกลับไปพบกับสายตาล้อเลียนจากเหล่าบรรดาพยาบาลที่ส่งมาให้อย่างพร้อมเพรียง
“ค…แค่น้องชายน่ะ…อย่ามองแบบนั้นสิ”
เหมือนคนร้อนตัวที่พูดออกไปทั้งที่ยังไม่มีใครถาม แต่ก็ใช่ว่าฮยอกแจจะเดาไม่ออกเสียหน่อย ช่วงสองสามสัปดาห์ให้หลังมานี้ทงเฮมาที่นี่แทบทุกวัน แล้วสายตากับรอยยิ้มของพวกพยาบาลก็ชัดเจนแล้วว่าคงคิดกันไปถึงไหนต่อไหน
ในเมื่อมันไม่ใช่แบบที่คิด…ผิดหรือที่เขาจะแก้ตัว
“ก็ยังไม่มีใครว่าอะไรคุณหมอเลยนี่คะ” อึนบีพยาบาลสาวคนหนึ่งตอบเสียงสูง
“ก็ดูพวกคุณมองเข้าสิ!” สวนกลับไปเสียงตะกุกตะกัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้หน้าเขาแดงเถือกไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แน่นอนว่านั่นมันยิ่งเรียกรอยยิ้มของบรรดาสาวๆชุดขาวได้อีกเป็นเท่าตัว
“ไม่อยากให้มองก็อย่ามาทำให้เห็นสิคะคุณหมอ พวกเราก็อิจฉาเหมือนกันนะ”
สิ้นคำตัดพ้อของพยาบาลรุ่นใหญ่ เสียงสนับสนุน(และโห่แซว)ก็ดังตามมาจนฮยอกแจทนไม่ไหวต้องยกสองมือขึ้นมาอุดหูแล้วเดินดุ่มๆหนีเข้ามาในตรวจด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำ
ไม่อยากให้มองก็อย่ามาทำให้เห็นสิคะคุณหมอ
อย่ามาทำให้เห็นเหรอ…
…เท่าที่จำได้เขายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
ถ้าไม่อยากเห็นก็ไปบอกไอ้เด็กนั่นเองสิว่าอย่ามาเที่ยวหอมแก้มคนอื่นเขาสุ่มสี่สุ่มห้า! (ಠ益ಠ ╬) !!!!
- - - - - - - - - - -
หลังจากโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมสายอาชีพไปเมื่อตอนเช้า พักเที่ยงฮยอกแจก็รีบโทรหาทงเฮพร้อมกับสั่งอย่างเฉียบขาดว่าเย็นนี้ไม่ต้องมา ในทีแรกเด็กหนุ่มดูจะแปลกใจไม่น้อยที่คุณหมอมาดเยอะเป็นฝ่ายโทรไปหา แถมยังออกคำสั่งห้ามนู้นห้ามนี่มาเสียยืดยาว แต่พอจับได้ว่าฮยอกแจโดนพวกพยาบาลแซวมาทงเฮก็หัวเราะลั่นแล้วตอบกลับไปอย่างเต็มปากว่าไร้สาระ...
ฮยอกแจหน้าชาไปนิดหน่อยที่ถูกคนอายุน้อยกว่าเกือบสิบปีพูดจาแบบนั้นใส่ แต่ทงเฮก็ให้เหตุผลต่อไปว่ามันเป็นเรื่องนิดเดียวที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจ ยิ่งไปกว่านั้น พอฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนทงเฮจะพอใจมากที่เขาโดนคนอื่นล้อ!
เด็กหนุ่มหัวดื้อยังคงยืนยันว่ายังไงตอนเย็นก็จะไปหา แม้ฮยอกแจจะยกข้ออ้างสารพัดยังไงทงเฮก็ยังยืนยันคำเดิมจนฮยอกแจต้องเป็นฝ่ายยอม และนั่นเป็นเหตุให้การตรวจคนไข้ในช่วงบ่ายค่อนข้างจะทุลักทุเลเนื่องมาจากเหตุผลเล็กๆอย่างอารมณ์ของหมอไม่คงที่มากพอที่จะรับฟังปัญหาใดๆของคนไข้
ถ้าพี่ฮีชอลรู้มีหวังโดนด่าเละแหง ;__________;
“ฮยอกแจ”
“เฮ้ย!”
สะดุ้งขึ้นสุดตัวเมื่อคนในความคิดมายืนอยู่ตรงหน้ายังกับในละคร ดวงตาของฮยอกแจเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับหัวใจดวงน้อยที่ดิ่งวูบลงเหวทันที คิดไปต่างๆนาๆว่าจะโดนด่าอะไรหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็มีเพียงเสียงหาวเบาๆดังมาจากรุ่นพี่คนสนิทเท่านั้น
“คืนนี้อยู่เวรแทนหน่อยสิ”
“…………..”
“จะบ้านกลับไปนอนแล้ว ง่วง”
สิ้นคำพูดนั้นร่างของคิมฮีชอลก็จรลีหายไปจากกรอบสายตา ปิดโอกาสไม่ให้ฮยอกแจได้เอ่ยคำปฏิเสธ…แต่ถึงมีโอกาสฮยอกแจก็คงปฏิเสธไม่ได้อยู่ดี
อันที่จริงการอยู่เวรมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรสำหรับฮยอกแจเลย
…ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะนะ
เมื่อก่อนตอนที่ยังใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียว…ไม่มีใครอีกคนให้ต้องคอยห่วง
ปกติแล้วถ้าคืนไหนที่ต้องอยู่เวร ฮยอกแจก็แค่โทรบอกโซราว่าไม่ต้องเหลือข้าวเย็นไว้เท่านั้นก็เป็นอันจบ หากแต่ครั้งนี้…คนแรกที่ร่างบางเลือกโทรหากลับไม่ใช่พี่สาวร่วมสายเลือดอย่างที่ควรจะเป็น
( ทำไมวันนี้พี่โทรหาผมบ่อยจัง ไม่สบายปะเนี่ย )
เสียงของคนปลายสายดูประหลาดใจ….ซึ่งมันก็แน่ล่ะ น้อยครั้งมากที่ฮยอกแจจะเป็นฝ่ายโทรไปหาทงเฮ ส่วนใหญ่จะเป็นทงเฮที่โทรมาเพื่อถามว่าฮยอกแจอยู่ที่ไหน และอีกสิบนาทีถัดจากวางสายทงเฮก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วทุกครั้ง
( หรือว่าคิดถึง? )
“ไม่ใช่สักหน่อย! แค่จะบอกว่าวันนี้อยู่เวร”
( แล้ว? )
“ไม่ต้องมานะ”
( นี่ข้ออ้างเหรอ ) ทงเฮถามกลับมาเสียงขุ่น ( ผมบอกพี่แล้วไงว่าไม่ต้องไปแคร์ ใครจะแซวก็เรื่องของเค้าสิ )
“ฉันต้องอยู่เวรจริงๆ พี่ฮีชอลไม่ว่าง”
( แน่ใจ? )
“จะโทรไปถามพี่ฮีชอลมั้ยล่ะ”
( อย่าเสียงดังสิผมแค่ถามเฉยๆ )
“เอาไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
( โอเค…ก็ได้ )
ฮยอกแจรู้สึกโล่งใจที่ทงเฮยอมเชื่อฟังเขาในที่สุด แต่ก็อดจะรู้สึกผิดไม่ได้ที่ได้ยินว่าเสียงของทงเฮเบาลง ต่างฝ่ายต่างก็เงียบกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งฮยอกแจตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป…บางอย่างที่เขาไม่เคยพูดกับใครมาก่อน
“ทงเฮ…”
( …………. )
“…อย่างอแงนะ”
( …………. )
“แล้วจะโทรหา”
ทงเฮคิดว่าเขาอาจจะขาดใจตายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า…
…จริงๆนะ
สมองของเขาทำงานช้าลงเพราะโทนเสียงที่ทั้งอ่อนนุ่มและหวานจับใจจากคนปลายสาย แม้มันจะเป็นเพียงคำพูดธรรมดาๆแต่ก็ทำให้หูของเขาอื้ออึงไม่รับรู้เรื่องราวไปพักใหญ่
สำหรับทงเฮมันคือครั้งแรกที่หัวใจเต้นแรงเพราะใครสักคน
ตลอดเวลาเป็นเขาเองที่ชัดเจนอยู่เสมอ ทั้งคำพูดไปจนถึงการกระทำ ไม่เคยมีสักครั้งที่คนคนนั้นจะแสดงออกให้รู้ว่าคิดยังไง อาจเพราะฮยอกแจมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า คงยากถ้าจะให้มานั่งพูดความรู้สึกในใจกับใคร
หลายต่อหลายครั้งที่ทงเฮคิดว่าฮยอกแจคงไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าความเป็นพี่น้องธรรมดา ฮยอกแจอาจจะไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ เพราะร่างบางเอาแต่บ่นแล้วก็ออกคำสั่งให้เขาเลิกทำแบบนั้นแบบนี้เสียที…หลายครั้งที่ทงเฮคิดว่าเขาควรจะหยุด
ทว่า…คำพูดสั้นๆเมื่อครู่กลับทำให้ความท้อแท้ทุกอย่างมลายหายไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เป็นครั้งแรก…ครั้งแรกจริงๆที่ฮยอกแจพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
ครั้งแรกที่ฮยอกแจให้สัญญาว่าจะเป็นฝ่ายโทรมาหา
เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับทงเฮในตอนนี้ เพราะเขาแทบจะไม่ได้คาดหวังอะไรด้วยซ้ำ
ฮยอกแจพูดอะไรต่ออีกสองสามคำแล้วก็วางสายไป ทงเฮจึงค่อยๆเก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋ากางเกงโดยที่สติสัมปชัญญะยังไม่ครบถ้วนดีนัก แน่นอนว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กมัธยมอย่างเขาจะมีความรัก…สิ่งที่พวกผู้ใหญ่เรียกความรักนั้นน่ะทงเฮรู้จักมันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วด้วยซ้ำ
แต่ก็อย่างที่บอก…นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกใจเต้นแรงเพราะใครสักคน
“มึงเป็นอะไรเนี่ย”
แม้เสียงของคิมจงอุนยังไม่สามารถทำให้ทงเฮหลุดออกจากห้วงภวังค์ความคิดได้ ริมฝีปากหยักยังคงยกยิ้มอยู่อย่างนั้น ในหัวสมองของเขามีแต่ภาพของอีฮยอกแจลอยอยู่เต็มไปหมด จนกระทั่งมือของจงอุนเอื้อมมาเขย่าไหล่เบาๆเรียกให้ต้องหันไปมอง และตอนนั้นเองที่ทงเฮคิดว่าเขากำลังจะตาบอด
เขาเห็นหน้าจงอุนเป็นสีชมพู
“พี้กัญชามาไง๊? ยิ้มอยู่ได้”
พอเห็นท่าทีแปลกๆของเพื่อนสนิทแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตั้งข้อสันนิฐานออกไปตามความน่าจะเป็น นานมาแล้วที่จงอุนไม่เห็นทงเฮมีอาการแปลกๆแบบนี้ ครั้งล่าสุดก็เหมือนจะเป็นตอนประถมนู้น…สมัยที่มันจีบกับนานะเด็กญี่ปุ่นสุดโมเง้ประจำโรงเรียน
จงอุนค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้ก็เป็นเคสเดียวกัน แต่คนที่ทำให้มันมีอาการแบบนี้คงไม่ใช่นานะ…
“คืนนี้กูไปกับพวกมึงนะ”
“เอ้า แล้วพี่หมอของมึงอะ” จงอุนขมวดคิ้วแล้วถามกลับไปอย่างประหลาดใจ “ไม่ไปหาเค้าละอ่อ”
“เค้าอยู่เวร” …คำว่า’พี่หมอ’เหมือนจะทำให้ทงเฮยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย มือไม้ไม่รู้จะเอาวางไว้ตรงไหนได้แต่ยกขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ
“แล้วมึงมาเขินอะไรเนี่ยกูแค่ถาม”
จงอุนว่าพลางขยับตัวออกห่างเพื่อนสนิทอย่างนึกหวาดกลัว
“เชี่ยนี่…”
.
.
.
.
“ถ้ามึงจะมาเพื่อนั่งเล่นโทรศัพท์ก็กลับไปไป๊”
เป็นคิมจงอุนอีกเหมือนเดิมที่บ่นขึ้นพร้อมกับส่งแอลกอฮอล์เข้าปาก จังหวะดนตรีหนักๆกับเสียงโห่ฮาของพวกเซียนโต๊ะสนุ๊กไม่สามารถดึงคนที่กำลังจมดิ่งลงไปในโลกส่วนตัวให้กลับขึ้นมาได้
“พวกคนมีแฟนก็เงี้ยะ ไม่สนใจเพื่อน”
ใครสักคนพูดขึ้นพลางโน้มตัวลง เพ่งสมาธิไปที่ลูกกลมๆบนโต๊ะ แต่ถึงขนาดนั้นแล้วเจ้าของชื่ออีทงเฮที่โดนเมนชั่นอยู่ก็ยังคงไม่สนใจที่จะเงยหน้าขึ้นรับรู้สถานการณ์รอบตัว ดวงตาคู่คมยังคงจับจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหุนหันเดินออกไปข้างนอก
( อยู่ไหน )
เพราะเสียงห้วนๆจากคนปลายสายทำให้ทงเฮไม่ทันได้ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนสนิท เขาเดินหลบฉากออกมาเรื่อยๆจนกระทั่งมั่นใจว่าจะไม่มีเสียงรบกวนอะไรแล้วจึงตอบกลับไป
“ข้างนอก”
( ทำไมยังไม่กลับบ้าน ) แต่เหมือนว่าปลายสายจะจับได้เสียแล้วว่าเขาอยู่ในสถานที่แบบไหนถึงได้ทำเสียงเขียวกลับมาแบบนั้น ( ท ง เ ฮ ) พอไม่ตอบก็เรียกย้ำมาจนเจ้าของชื่ออดจะเสียวสันหลังวูบไม่ได้ ถ้าให้เดาป่านนี้คุณหมอคนเก่งคงร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติด แน่ล่ะ ฮยอกแจเคยสวมวิญญาหม่าม๊าสั่งห้ามไม่ให้เขาตามพวกเยซองมาเที่ยวสถานที่อัปโคจรอย่างเด็ดขาด
“ตอนนี้ผมไปหาพี่ได้แล้วใช่มั้ย?”
( อ…อะไร… )
“ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่”
( ………. )
“เพราะงั้นผมไปหาพี่ได้แล้วใช่มั้ย?”
คำถามนั้นทำเอาฮยอกแจถึงกับนิ่งเงียบไปนาน
แต่สุดท้ายก็ตอบออมาเสียงเข้มตามประสาคนฟอร์มเยอะ
( ภายในสิบนาที )
“…………….”
( …ถ้ายังไม่มาให้เห็นหน้าก็ไม่ต้องมาคุยกันอีกเลยด้วย )
- - - - - - - - - - -
คงไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าการเดินคนเดียวในโรงพยาบาลตอนกลางดึกสงัดอีกแล้ว
ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในหัวของทงเฮตอนที่รองเท้าของเขาเสียดสีกับพื้นกระเบื้องจนเกิดเสียงสะท้อนกลับ มองไปรอบกายแล้วก็บว่าบรรยากาศเงียบสงบแถมยังมืดสลัวชวนให้ขนหัวลุกขึ้นมาได้ไม่ยาก รีบสาวเท้าไปตามโถงทางเดินที่ปราศจากผู้คน ผ่านเข้ามายังแผนกตรวจโรคทั่วไปที่ฮยอกแจอยู่ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเมื่อพบพยาบาลคนหนึ่งที่นั่งอยู่หน้าเคาท์เตอร์
ห้องตรวจของฮยอกแจเหมือนจะอยู่ถัดจากนี้ไปอีกสองสามล็อค ทงเฮพยายามก้าวเท้าอย่างเงียบเชียบ บางทีเขาอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในอาคารนี้ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่จึงทำให้รู้สึกโหวงๆพิกล หันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวงไปตามเรื่อง แล้วก็ถอนใจออกมาเมื่อสองเท้าก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้องที่มีป้ายชื่อของฮยอกแจติดอยู่
มือหนาหมุนลูกบิดประตูเข้าไปอย่างเบามือ น่าแปลกที่ไฟในห้องมืดสนิท ทั้งที่ถ้าฮยอกแจอยู่เวรก็น่าจะเปิดไฟไว้ ทงเฮถอยหลังออกมาดูป้ายชื่อหน้าประตูอีกครั้งให้แน่ใจ ตอนนั้นเองที่หางตาของเขาเห็นแสงไฟแล่นไปมาวูบวาบท่ามกลางความมืด ความหวาดกลัวค่อยๆซึมลึกเข้าไปในหัวสมองของทงเฮช้าๆ หากแต่ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากกว่าส่งให้เขาค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปสู่ความมืดมิดนั้นด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
ก่อนที่บางอย่างจะพุ่งตรงเข้ามา…
“แฮ่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
นาทีนั้นเสียงร้องของเด็กหนุ่มดังก้องไปทั่วอาคารผู้ป่วยที่เงียบสงบ ทงเฮเกือบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าไฟในห้องสว่างขึ้นดึงสติที่หล่นหายให้กลับคืนมา พร้อมกับเสียงหัวเราะของคุณหมอคนเก่งที่มีไฟฉายอยู่ในมือ
“เล่นอะไรของพี่เนี่ย…”
…หัวใจแทบวาย
มือหนายกขึ้นมากุมหน้าอกข้างซ้ายที่กำลังสั่นริ้วอย่างน่ากลัว เหงื่อกาฬมากมายพร้อมใจกันไหลทะลักทั้งที่อยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ฮยอกแจมองสภาพนั้นแล้วก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเอียงนาฬิกาข้อมือให้อีกฝ่ายดู
“เลทไปสองนาที”
หากแต่ทงเฮกลับไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจคำพูดนั้นอีกแล้ว เขาพยุงตัวเองขึ้นแล้วเดินโซเซไปที่โซฟาตัวยาว ทิ้งร่างเหนื่อยล้าของตัวเองลงพร้อมกับปิดเปลือกตาแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกที่สุด
“ถ้าผมหัวใจวายตายไปแล้วพี่จะรู้สึก”
“อายุตั้งสิบแปดแล้วยังจะมากลัวผีอยู่ได้” ฮยอกแจเบ้ปากก่อนจะเดินไปนั่งข้างๆ แล้วโน้มหน้าลงไปจนปลายจมูกสัมผัสกับเสื้อนักเรียนของอีกฝ่าย “กลิ่นบุหรี่”
“มันติดมาตอนไปกับพวกเยซอง”
“ให้จริง”
“พี่นี่ชอบทำตัวเหมือนเป็นแฟนผมอยู่เรื่อย”
“ฟ..แฟน…อะไร…” ตะกุกตะกักอยู่สักพักก็หลบสายตาไปทางอื่นอย่างจงใจ เรียกเสียงหัวเราะของผู้ชนะอย่างทงเฮได้อีกครา นั่งคุยเล่นปล่อยให้เวลาผ่านไปอยู่พักใหญ่ ฮยอกแจก็เปลี่ยนโหมดไปเป็นจริงจังด้วยการถามสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป
“ทงเฮ”
“หื้อ”
“ขอเหตุผลที่เราต้องเจอกันทุกวันได้มั้ย?”
“…………….”
“เหตุผลที่เด็กมัธยมต้องมาโรงพยาบาลทุกวันหลังเลิกเรียน”
“พี่อยากได้เหตุผลกี่ข้อ”
“สัก…” เอียงคอทำท่าคิด ก่อนจะชูนิ้วขึ้นเป็นคำตอบ “สาม”
ท่าทางน่ารักๆที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นทำให้ทงเฮหลุดยิ้มออกมา เขาขยับเข้าไปใกล้ฮยอกแจมากขึ้น แล้วใช้ปลายนิ้วพันเส้นผมอีกฝ่ายเล่น
“ข้อหนึ่ง…” เสียงนุ่มค่อยเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย “ผมอยากเห็นหน้าพี่”
“…………”
“ข้อสอง…ผมคิดเรื่องของเราตั้งแต่ครั้งแรก…ไม่สิ…ตั้งแต่ตอนที่ผมเจอพี่อีกครั้ง”
คำพูดแสนพิเศษหากแต่กลับถูกเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยโทนเสียงธรรมดา
“และข้อสาม…”
“…………..”
“ตอนนี้ผมอยากกอดพี่”
“มันเกี่ยวมั้ยน่ะ” ท้วงขึ้นมาหน้ายุ่งเมื่อเห็นว่าคำตอบเริ่มออกทะเลไปไกล ฮยอกแจยังคงแสร้งตีหน้าโมโหอย่างที่ชอบทำโดยไม่รู้ตัวว่าแก้มขาวๆนั้นขึ้นสีไปถึงไหนต่อไหน
หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างก็นิ่งเงียบกันไปพักใหญ่ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ยังคงทำงานอยู่ จนกระทั่งฮยอกแจเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปใกล้ทงเฮ พร้อมกับเอนศีรษะลงไป ใช้ไหล่กว้างนั้นเป็นหมอนหนุน
“พี่ไม่กลัวโดนแซวแล้วเหรอ”
“ใครจะมาแซวล่ะ” ฮยอกแจปิดเปลือกตาลงพลางหัวเราะ “ก็อยู่กันแค่สองคน”
เต้นแรงอีกแล้ว…หัวใจ…
แขนแกร่งขยับโอบคนในอ้อมกอดไว้หลวมๆ รอยยิ้มบางปราฏขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง…และอีกครั้งจนทงเฮเองก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่านับตั้งแต่ฮยอกแจกลับเข้ามาในชีวิตเขายิ้มไปแล้วกี่ล้านครั้งกัน
“พี่อยากฟังเหตุผลข้อที่สี่มั้ย…” ถามออกไปทั้งที่รู้ว่าร่างบางเข้าสู่ห้วงนินทราไปแล้วเพราะความเหนื่อยอ่อน ไม่มีเสียงใดตอบกลับนอกจากเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
ริมฝีปากหยักค่อยกดจูบลงบนเส้นผมนุ่มของคนในอ้อมกอดอย่างนุ่มนวล พร้อมกระซิบเสียงเบา…
“ผมชอบพี่”
TBC
จำได้มั้ยตอนเด็กๆที่ฮยอกแจขโมยหอมแก้มทงเฮ
แล้วทงเฮมันโมโหแทบตาย 555555555555555
ความคิดเห็น