คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : chapter 6
6
ฮยอกแจลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่อากาศร้อนอบอ้าวกว่าทุกวัน เขามองไปรอบห้องแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมันเปลี่ยนไปจากที่เขาตั้งไว้ก่อนจะเข้านอน ร่างบางหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆโดยอัตโนมัติ แต่เพราะความง่วงมึนที่ยังไม่จางหายไปทำให้ไม่สามารถประมวลผลอะไรๆได้อย่างใจนึก
ทงเฮยังไม่ตื่น…ร่างทั้งร่างถูกผ้าห่มกลืนกินจนเหลือให้เห็นแค่มือข้างหนึ่งที่โผล่ออกมา ฮยอกแจพยายามนึกว่าทงเฮกลับมาตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็น่าหงุดหงิดที่เขาจำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง
“ทงเฮ” ส่งเสียงเรียพลางออกแรงเขย่าตัวอีกคนเบาๆ “ตื่นได้แล้ว”
ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆนอกจากเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกรบกวนเวลานอนอันแสนสั้น ทงเฮพลิกตัวหนีฝ่ามือนั้นอย่างเอาแต่ใจ
“ทงเฮอ่า…”
“ม่าย…”
“ขาดบ่อยไปแล้วนะ”
“ขอห้านาที” ผงกหัวขึ้นมาแล้วก็มุดกลับเข้าไปในผ้าห่มต่อ ฮยอกแจส่ายหน้าระอา แต่ก็ยังใจดีปล่อยให้นอนต่ออีกสองสามนาทีเพราะหันไปมองนาฬิกาแล้วเพิ่งจะหกโมงกว่าๆเท่านั้น
ร่างบางถัดตัวขึ้นพิงกับหัวเตียงแล้วเบือนหน้ามองคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าทงเฮคงไม่ได้ไปกินเหล้าที่ไหน เพราะหนึ่งเขาไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ สองทงเฮจะไม่สามารถพาตัวเองกลับมาที่นี่ได้เลยในขณะที่กำลังเมา
แล้วเมื่อคืนทงเฮไปไหน…
ฮยอกแจไม่กล้าพอที่จะถามออกไป ความกลัวเล็กๆในจิตใจทำให้เขาเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ แม้ว่าลึกๆแล้วจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม
…กลัวว่าคำตอบของคำถามนั้นจะเป็นซองมิน
ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ไปเสียเลยจะดีกว่า
ความคิดมากมายวิ่งวุ่นจนต้องโคลงศีรษะไปมาหวังว่ามันจะหายไป ฮยอกแจหยัดตัวขึ้นจากเตียงอย่างระมัดระวัง รู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้ ก็เลยคิดว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวลงไปซื้อยาที่ร้านข้างล่าง แต่ทว่า…
“จะไปไหนอ่ะ” เสียงงัวเงียของทงเฮก็ดังขัดขึ้น พร้อมกับหัวฟูๆที่โผล่ขึ้นมาจากผ้าห่มผืนใหญ่
“ซื้อกาแฟ”
“กาแฟ?”
ทงเฮขมวดคิ้วกับคำตอบของเพื่อนสนิท เขาจำได้ว่าตอนที่ลองดื่มกาแฟครั้งแรก ฮยอกแจอ้วกออกมาแบบหมดไส้หมดพุงแล้วก็ลั่นวาจาว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคาเฟอีนอีก…
ทงเฮมองใบหน้านั้นอย่างจับผิด คนที่เกลียดเครื่องดื่มประเภทนี้ยิ่งกว่าอะไร ทำไมถึงบอกว่าจะไปซื้อกาแฟ?
โกหก…
เห็นกันมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มหัดเดิน ทำไมทงเฮจะมองคนคนนี้ไม่ออก…
ร่างหนาหัวเราะ ก่อนจะหยัดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้คนผมบลอนด์ รอยยิ้มของคนรู้ทันปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาช้าๆ
“ไปด้วย”
TOM N TOMS
เขาไม่ได้จะมาซื้อกาแฟซักหน่อย!
ฮยอกแจสบถลั่นอยู่ในใจเมื่อจู่ๆทงเฮก็ลุกพรวดขึ้นมาบอกว่าจะขอตามไปด้วย จากนั้นก็ลากเขาขึ้นรถอย่างเอาแต่ใจที่สุด
จริงๆฮยอกแจแค่พูดไปอย่างนั้นเองว่าจะไปซื้อกาแฟ…เขาเกลียดมันอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออกแล้ว ถ้าบอกว่าจะลงมาซื้อยาก็คงไม่วายถูกทงเฮซักถามอีกยาว
แล้วกาแฟที่ว่านั่น มินิมารท์ข้างล่างคอนโดก็มีขาย ทำไมต้องถ่อสังขารมาไกลถึง TOM N TOMS ด้วย!
ฮยอกแจไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากทำหน้าบูดบึ้งมาตลอดทาง…มันใช่เรื่องหรือไงที่จะใส่ชุดนอนมาร้านกาแฟที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแบบนี้น่ะ! อีกอย่างพอได้มาสัมผัสกับอากาศเย็นๆข้างนอกแล้วก็รู้สึกเหมือนพิษไข้จะรุนแรงมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลย
เพราะเป็นเพียงสาขาเล็กๆที่ตั้งอยู่มุมถนน อีกทั้งความแปรปรวนของสภาพอากาศทำให้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้บริการที่นี่เยอะมากมายเหมือนสาขาอื่นๆ
ก็ดีแล้ว…
อากาศด้านนอกทำให้ฮยอกแจไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาในร้านกาแฟที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังเคล้าไปกับความหอมของกาแฟก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย
ทงเฮเลือกโต๊ะตั้งที่อยู่ติดกับกระจกเป็นที่นั่ง ฮยอกแจเดินตามไปเงียบๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากชวนอีกฝ่ายคุยหรอกนะ แต่เพราะพิษไข้บ้าๆนี่มันทำให้เขารู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไรต่างหาก
ทงเฮจัดการสั่งทุกอย่างเอง โดยไม่หันมาถามความเห็นซักคำว่าอยากจะกินอะไร ไม่นานบรรดาขนมหวานก็วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า…ของทงเฮเป็นช็อคโกแลตเย็น ส่วนของฮยอกแจ…
…ชาร้อน…
“มันดีต่อสุขภาพมากกว่า”
นั่นล่ะเหตุผล…ฮยอกแจค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถหาเสียงตัวเองเจออีกต่อไป ไม่รู้ว่าเพราะไข้หวัดหรือเพราะจำนนต่อเหตุผลนั้นกันแน่…จะว่าไปถ้าให้เลือกระหว่างกาแฟกับชาร้อน ฮยอกแจก็คงเลือกชาร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรยากาศระหว่างคนสองคนเริ่มมึนตึงขึ้น ฮยอกแจเอาแต่ก้มหน้าสนใจชาร้อน ส่วนทงเฮไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขารู้สึกอึดอัดกับที่เป็นอยู่ไม่น้อย ในใจเอาแต่ตะโกนว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้…
ทั้งที่…พยายามจะทำให้ความรู้สึกแย่ๆหายไป
แต่กลับต้องมานั่งอึดอัดกันอยู่แบบนี้เนี่ยนะ!?
ไม่ได้เด็ดขาด!
เสียงตะโกนของทงเฮดังก้องอยู่ข้างใน ก่อนที่ร่างหนาจะเริ่มต้นชวนอีกฝ่ายคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระเพื่อให้บรรยากาศแปลกๆหายไป แต่เหมือนว่ามันจะดูจงใจเกินไปจนฮยอกแจจับสังเกตได้แล้วถามกลับมาว่ามึงเป็นอะไรขึ้นมาอีก
ทงเฮขมวดคิ้วกับความซื่อบื้อของเพื่อนสนิท ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกไปตรงๆว่า…
“ง้ออยู่ไม่รู้หรือไง”
“……………”
ง้อ?
เครื่องหมายเควสชั่นมาร์คอันโตหล่นมาทับหัวฮยอกแจอย่างแรงจนมึนงงไปพักใหญ่ แล้วก็พยายามปะติดปะต่อว่าก่อนหน้านี้ทงเฮทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ แต่ก็คิดไม่ออกจึงถามอีกฝ่ายออกไปแบบไม่มีการอ้อมค้อมสักนิด
“กูเคยโกรธมึงด้วยเหรอ?”
เท่าที่จำได้ ต่อให้ทงเฮทำผิดกี่ร้อยกี่พันหน พอเช้ามาอีกวันฮยอกแจก็ลืมหมด ไม่เคยเก็บมาเป็นเรื่องทะเลาะกันข้ามวันข้ามคืนเสียหน่อย
“ก็วันนั้น…” ทงเฮกลืนน้ำลายลงคอที่เริ่มแห้งผาก “…ที่บอกว่าชอบคยูฮยอน แล้วคยูฮยอนไม่เคยทำให้รู้สึกแย่อะไรนั่นไง”
อ้อ…
“กูทำให้มึงรู้สึกแย่ขนาดนั้นแลยเหรอ”
“ก็เปล่านี่”
“แล้วมึงบอกว่า…”
“พูดไปงั้น”
“ฮยอกแจ”
ทงฮขมวดคิ้วแน่นเหมือนอยากจะเข้ามาบีบคอฮยอกแจให้ตาย นี่สรุปว่าที่เครียดมาเกือบสองวันนี่คือเขาบ้าบอไปเองคนเดียวงั้นเรอะ!
“ตกลงว่าพูดจริงมั้ยเนี่ย”
“จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง”
“ทำไมต้องกวนตีน”
“ก็หัดคิดเองซะบ้างสิ”
ฮยอกแจเบ้ปากแล้วก้มลงสนใจขนมเค้ก ปล่อยให้คนตรงหน้าโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว จบประเด็นสนทนาเอาไว้แค่นั้นดีกว่าให้คนขี้สงสัยอย่างทงเฮถามอะไรออกทะลไปจนกลายเป็นทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ
เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ทั้งสองก็ยังไม่มีความคิดที่จะลุกไปไหน และไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ชาในแก้วของฮยอกแจพร่องไปจนเกือบหมด คงต้องยอมรับเสียแล้วว่าเพราะเจ้าชาร้อนนี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้นมากกว่าเดิม
แม้ว่าจะไม่ได้มีบทสนทนาดีๆที่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่กันเลยแม้แต่คำเดียว แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนอยู่ในใจของทงเฮและฮยอกแจคือพวกเขาสบายใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็น
จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้เท่าไหร่…
“หนาวอ่ะ” ฮยอกแจบ่นออกมาเสียงแห่บแห้ง แล้วใช้หลังมือขยีจมูกตัวเองจนแดงเถือก ทงเฮเพียงแต่เหลือบตาขึ้นมองแล้วก็เหยียดยิ้มเหมือนสมน้ำหน้าอยู่กลายๆ
“นี่ทงเฮ…”
“ว่า”
“ถามไรหน่อย”
ทงเฮเงยหน้าขึ้นมาสบตาฮยอกแจเมื่อจับได้ว่าน้ำเสียงของเพื่อนสนิทเริ่มจริงจังขึ้น แต่พอเห็นว่าร่างบางยังคงก้มหน้าตักขนมเค้กเข้าปากไม่ได้ซีเรียสอะไรเลยพยักหน้าเป็นเชิงว่ามีอะไรก็ถามมา
“ถ้ามึงไม่มีกูมึงจะอยู่ได้ปะ”
คำถามที่ทงเฮไม่สามารถเดาได้ว่าฮยอกแจกำลังคิดอะไรหรือว่าแค่ถามไปอย่างนั้น เขานิ่วหน้าแล้วถามกลับ
“แล้วมึงจะไปไหนอ่ะ”
“ไปในที่ที่มึงหาไม่เจอมั้ง”
“ประสาท” ว่าแล้วก็ยื่นมือไปดันหน้าผากคนที่พูดจาอะไรไม่เข้าท่า ฮยอกแจโวยวายก่อนจะหัวเราะออกมาจนตาหยี
“ก็แค่ถามเฉยๆนี่นา”
“มึงต้องอยู่กับกูไปตลอดนั้นแหละ”
“ก็ถ้ากูไม่อยู่ขึ้นมา…”
“ถ้าไม่มีมึง ก็คงไม่มีกูเหมือนกันฮยอกแจ”
ฮยอกแจชะงัก รอยยิ้มสดใสค่อยๆเลือนหายไปเหลือเพียงแววตาที่สั่นไหวเพราะคำพูดเมื่อครู่ แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ทงเฮก้มหน้าลงสนใจโทรศัพท์ ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน
กูก็อยากจะอยู่กับมึงไปจนตลอดเหมือนกัน
แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะทงเฮ...
ฮยอกแจเพียงแต่พูดอยู่ในใจ
ความเป็นจริงมีแค่เสียงหัวเราะเบาๆที่ตอบกลับไปเท่านั้น
“ฮยอกแจ” ทงเฮเงยหน้าขึ้นมาจากโลกเทคโนโลยี ก่อนจะว่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “รออยู่ที่นี่ก่อนนะ”
ร่างหนาหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง รอยยิ้มบางถูกส่งไปให้คนตรงหน้า ก่อนจะวางมือบนศีรษะคนป่วยแล้วยีเล่นเบาๆ
“เดี๋ยวมา”
ฮยอกแจอยากถามว่าจะไปไหน แต่ในความเป็นจริงก็ทำได้แค่มองทงเฮเดินออกไปเท่านั้น โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะพิษไข้ทำให้เขาเหนื่อยเกินว่าจะพูดประโยคยาวๆ
ร่างบางมองผ่านกระจกใสเห็นทงเฮขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรีบร้อน เลื่อนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นๆ แล้วก็ลอบถอนหายใจออกมา
…ฝนจะตกแล้ว
ฮยอกแจก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง
ครืน...
เสียงฟ้ายังคงร้องคำรามเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานเม็ดฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมาเหมือนอย่างเช่นทุกวัน
เพราะนั่งอยู่ในร้านนานเกินไปจนพนักงานเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ จึงจ่ายเงินแล้วออกมาอาศัยชายคาเล็กๆหน้าร้านยืนรอ
นี่มันก็หกโมงกว่าแล้ว…
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีวี่แววของเพื่อนสนิท ท้องฟ้าสีใสคอยๆแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด..ลมหนาวพัดบาดผิวจนแสบหน้าไปหมด
อากาศเย็นชื้นทำให้เขารู้สึกทรมานอย่างไม่เคยเป็น
แต่ในเมื่อทงเฮบอกให้รอ…เขาก็จะรอ
ถ้าหากร่างกายปกติดี ฮยอกแจคงไม่ลังเลที่จะวิ่งลุยฝนไปโบกแท๊กซี่สักคัน แล้วค่อยโทรไปบอกทงเฮทีหลัง แต่ในเวลานี้ที่แค่ก้าวขายังรู้สึกว่าลำบาก ทำให้จำต้องยืนอยู่นิ่งๆรอจนกว่าคนที่บอกให้รอจะมารับ หรือไม่ก็รอให้สายฝนซาลง…
ฮยอกแจกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมากับความโง่เง่าไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง หนำซ้ำละอองฝนสาดเข้ามาจนโดนรองเท้าคู่สวยจนต้องขยับเท้าเข้าไปชิดกับกำแพง
เขามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้…
คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะคิดหาคำตอบ ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากันแน่น ยืนชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าเขาควรเสี่ยงลุยฝนไปเลยดีรึเปล่า เพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าจะยืนรอทงเฮได้นานแค่ไหนโดยที่ไม่ล้มลงไปเสียก่อน หรือถ้าหากว่ารอจนมันตกหนักกว่านี้คงไม่พ้นต้องเข้าไปหลบในร้านอยู่ดี
…ข้างในมันทรมานจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
ก่อนที่อะไรๆมันจะถลำลึกไปมากกว่านี้
ลองถอยออกมาหรือไม่ก็หยุด…ดีไหมฮยอกแจ?
เวลานี้สายฝนไม่อาจหยุดยั้งความคิดมากมายในหัวของร่างบางได้ ฮยอกแจเอาแต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่…มันถูกแล้วเหรอที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ให้เพื่อนสนิทของตัวเอง
แล้วถ้าลองถอยออกมาทุกอย่างจะดีขึ้นหรือเปล่า
ถอยออกมาในวันที่ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น…
ฮยอกแจไม่อาจหาคำตอบของคำถามพวกนั้นได้ แล้วอีกหนึ่งคำถามก็เกิดขึ้นในใจ…ถ้าหาก…ถ้าหากสมมติว่าเขาถอยออกมาได้แล้ว
…จะอยู่โดยไม่มีคนๆนั้นได้เหรอ…อยู่คนเดียวได้เหรอฮยอกแจ
แล้วหลังจากนั้น...
…จะหยุดรักยังไง?
จะทำได้ยังไง...
“ฮยอกแจ”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยหายไปให้กลับคืนอีกครั้ง ฮยอกแจพยายามมองหาต้นเสียงนั้น…เสียงเรียกที่เกือบจะถูกชะล้างให้กลืนหายไปกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ
หันมองไปรอบทิศจนสุดท้ายแล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งที่มาพร้อมกับร่มสีฟ้าอ่อน…ลมหายใจของร่างบางขาดห้วงเมื่อพบว่านั่นไม่ใช่คนที่เขาอยากเจอ
“คยูฮยอน…”
.
.
.
เม็ดยาหลากสีถูกส่งผ่านลำคอตามด้วยน้ำเย็นที่ทำให้ความเจ็บแปลบแล่นวาบไปทั่วสมอง ฮยอกแจหลับตานิ่งๆให้อาการบ้าๆพวกนี้จางหายไป ก่อนจะบรรจงถอดเสื้อออกอย่างเชื่องช้า…
ไม่รู้ว่าจะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน อยากจะล้มตัวลงนอนเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เขาต้องตายแน่ๆถ้าฝืนนอนทั้งที่ยังใส่เสื้อผ้าชื้นๆแบบนี้
ฮยอกแจรู้ดีว่าร่างกายของเขาคงทนกับพิษไข้ได้อีกไม่นาน จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ…
…แต่ทว่า…
แกรก
เสียงกุกกักที่บานประตูทำให้ต้องหยัดตัวขึ้นมานั่งอีกครั้ง ดวงตาอ่อนล้าจ้องมองร่างหนาที่อยู่ในสภาพเปียกโชก
ทงเฮขมวดคิ้วแปลกใจที่ยังเห็นฮยอกแจนั่งอยู่ตรงนั้น เขาก้าวเท้าเข้ามาก่อนจะทิ้งตัวนั่งลง…ข้างๆ
“ขอโทษ”
ขอโทษอีกแล้ว…
ไม่รู้ว่าคนที่พูดประโยคนั้นออกมามีสีหน้าหรือแววตาที่สำนึกผิดมากแค่ไหน เพราะฮยอกแจเอาแต่ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง และใช้เวลาเนิ่นนานเพื่อคิดหาคำพูดที่จะโต้ตอบอีกฝ่าย
“ไม่ได้รอหรอก” ว่าพลางส่งยิ้มกว้างๆให้ทงเฮรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร “กูเรียกแท๊กซี่กลับตั้งแต่มึงออกไป…”
น้ำเสียงที่ทั้งแห่บแห้งและสั่นเครือทำเอาหัวใจคนฟังหล่นวูบ ทงเฮไม่กล้าคาดเดาว่าฮยอกแจต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่กว่าจะเปล่งมันออกมาได้ซักคำหนึ่ง เพราะเขารู้สึกได้ว่าภายใต้น้ำเสียงและเบื้องหลังใบหน้านั้นยังมีอะไรอีกมากมายที่คนตัวบางไม่ได้แสดงออกมาให้ใครรับรู้
เวลานี้ฮยอกแจดูเหนื่อยล้าเสียจนเขานึกอยากจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้แน่นๆ…แต่แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น
“ฮยอกแจ” ทงเฮเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ “กูเห็นมึงมาตั้งแต่มึงตัวเล็กนิดเดียว คิดว่ากูมองไม่ออกเหรอวะว่ามึงกำลังโกหก”
“…………..”
“กูเป็นคนโทรบอกให้คยูฮยอนไปรับมึงเอง”
ฮยอกแจไม่ได้แปลกใจในสิ่งที่ทงเฮบอกเท่าไหร่นัก เขาไม่ได้อยากรู้ว่าคยูฮยอนไปเจอเขาที่ร้านกาแฟนั่นได้ยังไง ที่อยากรู้จริงๆคือทำไมทงเฮถึงปล่อยให้เขารออยู่ที่นั่นตั้งนาน…ถ้ามารับไม่ได้แล้วทำไมถึงไม่ยอมโทรบอกกันสักนิดเลย
“เห็นคยูฮยอนมันบอกว่ายืนตากฝนรอหรือไง?” ทงเฮถาม ก่อนจะตำหนิฮยอกแจผ่านทางสายตา
“อือ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
ฮยอกแจว่า ก่อนจะยิ้มกว้างๆออกมาอีกที จนทงเฮอดจะสงสัยไม่ได้ว่าคนๆนี้เคยโกรธเขาแบบจริงจังบ้างสักครั้งหรือเปล่า ไม่ว่าทงเฮจะทำผิดอะไรสุดท้ายริมฝีปากนั้นก็ยังคงยิ้มสวยๆให้เขาอยู่เสมอ…
“เออเวลามึงยิ้มน่ารักจะตาย เลิกทำหน้าบูดได้ละ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นให้ฮยอกแจได้นอนสบายๆ แล้วก็เหมือนอย่างทุกครั้งที่ทงเฮไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าซีดเซียวในทีแรกนั้นขึ้นสีจัดแค่ไหน
“วันก่อนเจอซึงฮยอน”
“……………”
ฮยอกแจที่กำลังเขินม้วนอยู่ในผ้าห่มถึงกับชะงักนิ่ง เมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกหยิบมาเป็นประเด็นสนทนา ร่างบางโผล่หน้าขึ้นมามองแผ่นหลังกว้างของทงเฮที่กำลังสั่นน้อยๆเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะ
“มันบอกว่าคิดถึงมึง”
ทงเฮดูไม่ค่อยยี่หระอะไรกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา ตรงกันข้ามกับฮยอกแจที่ขนหัวลุกซู่ทันทีที่ได้ยินคำว่า คิดถึง…
“ก็ยังทำตัวทุเรศไม่เปลี่ยน”
ทงเฮยังคงเล่าเรื่องที่บังเอิญเจอผู้ชายคนนั้นต่อไปเรื่อยๆ ฮยอกแจรับฟังแล้วก็ได้แต่กำผ้าห่มแน่น…พลางนึกไปถึงชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มีรอยยิ้มชวนให้หลงใหล
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นจิตใจที่หยาบกระด้าง
ชเวซึงฮยอน…
ชเวซึงฮยอนที่ครั้งหนึ่งเคยพร่ำบอกว่ารักเขามาก…มากจริงๆ…มากเสียจนฮยอกแจเกือบจะหลวมตัวยอมเรียกผู้ชายคนนั้นว่าคนรัก
…เคยคิดว่าซึงฮยอนคงเป็นคนแรกที่จะยอมเปิดใจให้
แต่สุดท้ายคนๆนั้นก็ทำลายความเชื่อใจที่ฮยอกแจให้ไปจนหมดสิ้น
ความทรงจำเลวร้ายไหลย้อนเข้ามาราวกับเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีตัวเองเป็นนักแสดงนำ เขาไม่เคยลืมความจริงใจจอมปลอมที่ผู้ชายคนนั้นหยิบยื่นมาให้ แม้เวลาจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ฮยอกแจยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆได้อย่างแม่นยำ และน่าเสียดายที่ความทรงจำนั้นแทบจะไม่มีเรื่องราวดีๆระหว่างเขากับชเวซึงฮยอนเลย
…ฮยอกแจไม่เคยลืมว่าเขาหลุดพ้นจากคนแบบนั้นมาได้เพราะใคร
“ทงเฮ…”
พอนึกย้อนไปถึงตรงนี้แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้านี้ทำอะไรเพื่อเขามามากมายจริงๆ ยังมีอะไรหลายอย่างที่เขาไม่ได้บอกให้ทงเฮรู้…นั่นเพราะฮยอกแจหวงแหนคำว่าเพื่อนเสียจนกลัวความเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา หากว่าเขาพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไป
“ว่า?” รอฟังอยู่นานแต่ฮยอกแจก็ไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่นั่งทำหน้าสับสน จนทงเฮชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่าคนตัวเล็กนี้มีอะไรปิดบังอยู่หรือเปล่า…ทำไมพักหลังมานี้ชอบทำท่าทีแปลกๆอยู่เรื่อยเลย
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฮยอกแจไม่กล้าสบตาเขา…
“ทำไม มีอะไรฮึ?” ก้มหน้าลงไปจนเกือบชิด คาดคั้นอีกฝ่ายด้วยการจ้องมองดวงตาที่กำลังไหววูบ แล้วก็ยิ่งประหลาดใจหนักเมื่อฮยอกแจหลบสายตาไปอีกทางพร้อมกับส่ายหน้าแรงๆ
“เปล่า”
“เออมึงจะไปไหนมาไหนก็ระวังหน่อยแล้วกัน” ทงเฮพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม “เมื่อกี้ที่ไปหาซองมินกูก็เจอมัน ท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
จากคำพูดและท่าทางดูเหมือนทงเฮกังวลอยู่ไม่น้อย แต่ฮยอกแจ กลับไม่ได้ใส่ใจคำเตือนนั้น…มีบางอย่างพุ่งตรงเข้ามาจนชาวาบไปทั้งตัว
เมื่อกี้…ทงเฮไปหาซองมิน
เหตุผลที่ปล่อยให้เขายืนหลบฝนรอเป็นชั่วโมงจนไม่สบายนั่นก็เพราะว่าไปหาซองมินอย่างนั้นสินะ…
เหนื่อยมั้ยที่คิดไปซะไกลสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง
เหนื่อยมากหรือเปล่าอีฮยอกแจ…
“ถ้าเจอมันเมื่อไหร่มึงต้องรีบบอกกูทันทีเข้าใจมั้ย”
“…………….”
“เข้าใจมั้ย?”
“เข้าใจ”
“เข้าใจแล้วก็นอนซะ”
ทงเฮวางมือลงบนกลุ่มผมสีบลอนด์แล้วยีเล่นสองสามที ก่อนจะหันไปความสนใจเครื่องมื่อสื่อสารที่สั่นเตือนมาได้สักพักใหญ่ มือหนาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างบาง แล้วเลี่ยงออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกระเบียง…
…เพียงเท่านั้นฮยอกแจก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง
พยายามข่มตาให้หลับไปเสีย
เพราะมันคงเป็นทางเดียวในเวลานี้ที่เขาจะสามารถหนีออกจากโลกความเป็นจริงได้
TBC
งงเนาะ 55555555555555555
ความคิดเห็น