ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - BESTFRIEND

    ลำดับตอนที่ #6 : chapter 5

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 57


     













     **ตัวละครเปลี่ยนอีกละ อย่างที่บอกไว้หน้าบทความว่าให้เริ่มอ่านใหม่ทั้งหมดนะคะ
    อันนี้คือแน่นอนจริงๆแล้ว ที่รีไรท์รอบก่อนเป็นความผิดพลาดของเราเอง กด CTRL+F แล้วแก้ชื่อ
    ตอนนั้นในหัวคิดถึงซีวอนอยู่เลยพิมพ์ชื่อซีวอนไปเฉยเลย ก็งงทำไมคอมเม้นมาพูดถึงซีวอนกัน 5555
    ก็เอาเป็นว่าตามนี้นะ ลืมต้นฉบับ ลืมทุกสิ่งที่เคยอ่านมาแล้วเริ่มใหม่ โอเคนะะะะ ._. *****




     

    5

     

             






    เขาไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดมากขนาดนี้มาก่อน

    ทงเฮขมวดคิ้วแน่น ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปมาแก้เบื่อ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าเผลอเหวี่ยงสายตาใส่ใครไปแล้วบ้าง 


     

    เห็นอะไรผ่านตาก็รู้สึกรำคาญไปเสียหมด



    ขนาดบรรยากาศภายในร้านอาหารที่ค่อนข้างเงียบสงบนี่ยังไม่สามารถช่วยให้ทงเฮรู้สึกดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย  ซ้ำยังจะพาลทำให้ไม่สบอารมณ์หนักกว่าเดิม เหตุผลหนึ่งคงจะเป็นเพราะเขานั่งอยู่ที่นี่มานานร่วมสองชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ลุกไปไหน


     ส่วนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือซองมินที่เป็นคนรัก กำลังนั่งก้มหน้าทำโปรเจคอะไรก็ไม่รู้ เห็นว่าต้องหาข้อมูลนอกสถานที่ ก็เลยจัดการโทรปลุกแล้วลากทงเฮออกมาด้วยอย่างที่เห็น


     “ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องคิดมากหรือเปล่า พอเริ่มสังเกตได้ว่าทงเฮดูมีท่าทีเครียดๆ ผิดจากปกติไป ซองมินก็ละสายตาขึ้นมาจากกองเอกสาร แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย บอกฉันได้นะ


    ไม่มีหรอก

    ร่างหนาเพียงแต่คลี่ยิ้มบาง ก่อนจะสั่นศรีษะน้อยๆ แล้วหยิบเมนูขึ้นมาโบกไปมาเพื่อคลายร้อน พยายามหาที่วางสายตาเป็นอะไรที่มันน่าบันเทิงใจเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง


    ใกล้ถึงวันครบรอบของเราแล้วนะทงเฮ

    เสียงใสๆของคนรักดังขึ้นขณะที่เจ้าตัวยังคงให้ความสนใจกับเอกสารมากมายตรงหน้า ทงเฮครางรับในลำคอไปแบบไม่ใส่ใจอะไรนัก เขานั่งฟังซองมินเล่านู้นเล่านี่ไปเรื่อยๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ในหัวกำลังคิดไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน



    สองเดือนก่อน

    มีคนหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินเข้ามาสารภาพรัก





    ทงเฮยอมรับว่าตกใจอยู่ไม่น้อยที่คนคนนั้นคือคนที่คุ้นหน้ากันดีอย่างอีซองมินตอนเรียนอยู่มัธยมปลายก็เดินสวนกันอยู่บ่อยๆ  แต่ไม่มีใครเริ่มทักใครก่อน ก็เลยรู้จักแค่ชื่อกับหน้าเท่านั้น



    ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งคนๆนี้เดินเข้ามาบอกความในใจกับเขา




    เขาจำความรู้สึกตัวเองตอนนั้นไม่ได้ ทงเฮไม่ได้ตื่นเต้นดีใจกับการถูกบอกรัก ต้องเรียกว่าแปลกใจคงจะถูกกว่า


    วินาทีนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรนอกจากยื่นมือไปรับของที่ซองมินอุตสาห์ทำมาให้ ก่อนจะเอ่ยถามเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกกับเขาแบบนั้น  แล้วซองมินก็ร่ายยาวมาแบบฟังไม่หมด แล้วเขาก็จำไม่ได้แล้วด้วย



    ทงเฮบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงกับคนตรงหน้า ลังเลอยู่นานว่าควรใช้คำพูดแบบไหนตอบอีกฝ่ายไป เขารู้แค่เพียงว่าตอนนั้นความคิดที่จะปฏิเสธไม่มีอยู่ในหัวเลย



    ทงเฮไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องทำลายน้ำใจของซองมิน อีกอย่างตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีใครเข้ามาสักพักแล้ว




    บางอย่างที่ทุกคนอาจไม่รู้คือเขาไม่เคยผลักไสคนที่เข้ามาในชีวิตด้วยถ้อยคำแรงๆ ไม่เคยปฏิเสธความสัมพันธ์ทุกรูปแบบที่เข้ามา ยกเว้นก็แต่พวกที่ทำตัวสุดจะทนจริงๆเท่านั้นน่ะนะ



    ในความคิดของทงเฮตอนนั้นคิดว่าซองมินก็โอเคดี



    เขาคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ




    จนถึงทุกวันนี้อีซองมินก็ยังคงเป็นอีซองมินที่อ่อนโยนและน่ารักในสายตาของเขามาตลอด เหมือนวันแรกที่พบกัน


    ซองมินเป็นคนรักที่ดี ถ้าเทียบกับใครหลายๆคนที่ผ่านมา


    เจ้าของใบหน้าหวานที่มักจะมีรอยยิ้มให้เขาทุกครั้งที่พบหน้ากัน เจ้าของเสียงเพราะๆที่ร้องเพลงให้เขาฟังก่อนนอน ส่วนนิสัยงี่เง่าเอาแต่ใจเหมือนพวกคุณหนูอะไรทำนองนั้นก็ยังไม่เห็นว่าจะมี


    ยิ่งเรื่องนอกใจนี่ลืมไปได้เลย หรือต่อให้มีจริงๆทงเฮก็ไม่ได้สนใจขนาดเก็บเอามาเป็นปัญหาชีวิต คนอย่างเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรักมากมายขนาดนั้น ชีวิตใครชีวิตมัน ถ้าไม่อยากคบกันแล้วเลิกไปก็จบ


     ทงเฮน่าจะชวนฮยอกแจมาด้วยกัน

    หื้อฮยอกแจเหรอ?”



    ทงเฮขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมเมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนทนา


    อื้อ บรรยากาศดีๆแบบนี้เหมาะกับคนชอบวาดรูปอย่างฮยอกแจจะตาย

                 ซองมินพูดพลางทำหน้าเสียดาย



    วันนี้มันไม่ว่างหรอก เห็นบอกว่าจะไปไหนกับคยูฮยอนไม่รู้

    อ่านั่นสินะ พวกเขาเหมือนจะคบๆกันอยู่นี่นา

    ซองมินพยักหน้ารับ ก่อนจะก้มลงไปสนใจกองหนังสือตรงหน้าต่อ ทิ้งให้ทงเฮขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร สุดท้ายก็ยอมแพ้กับการหาคำตอบจนต้องถอนหายใจออกมา


    เออนี่ทงเฮ เดี๋ยวต้องไปยืมหนังสืออีกสองสามเล่มน่ะพอดีว่าเนื้อหามันยังขาดอยู่อีกนิดหน่อยซองมินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเกรงใจอยู่นิดๆ ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”


    อื้อ ฉันโอเค


    พอได้ยินแบบนั้นก็โล่งอก ความจริงเห็นทงเฮอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก็ไม่อยากจะไปรบกวนมากนัก แค่โทรตามให้ออกมานั่งเป็นเพื่อนนี่ก็กังวลจะแย่แล้ว กลัวทงเฮจะเบื่อ กลัวทงเฮจะไม่ชอบ



    ซองมินหยุดความคิดฟุ้งซ่านไว้เท่านั้น แล้วรีบเก็บข้าวของเดินตามหลังทงเฮไปเงียบๆ ตอนนั้นเองที่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าไหล่ทั้งสองของทงเฮดูเหมือนคนแบกปัญหาเอาไว้มากมายปัญหาที่คนอย่างเขาไม่มีทางช่วยแบ่งเบาได้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรับรู้ด้วยซ้ำ


    ที่ผ่านมาซองมินไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าไปในโลกของคนคนนั้นเลยสักครั้ง

     







     

     “อีทงเฮ?”

     





     

    ความคิดของซองมินสะดุดลงเมื่อได้ยินใครบางคนเรียกชื่อคนรักดังมาจากทางด้านหลัง ทงเฮหยุดฝีเท้านิ่ง แต่ก็ยังไม่ได้หันกลับมามอง  



    ทงเฮใช่มั้ย?”


    เจ้าของโทนเสียงหยาบกระด้างถามย้ำขึ้นอีกครั้ง

    ทันทีที่ทงเฮหันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก ก็เห็นร่างสูงโปร่งดูคุ้นตายืนมองเขาอยู่ไม่ไกล





     

    ชเวซึงฮยอน...

     




     

    พอแน่ใจแล้วว่ามองไม่ผิดแน่ ทงเฮก็หน้าตึงคันไม้คันมืออยากกระทืบคนขึ้นมาทันทีดูจากสารรูปแล้วก็ยังน่าขยะแขยงเหมือนเดิม



    ยังไม่ตายอีกหรือไง

    จริงๆเขาไม่ควรมาเสียเวลาหยุดเสวนากับคนแบบนี้เลยด้วยซ้ำ

    เสียใจด้วยที่กูยังสบายดี

    ร่างสูงโปร่งในชุดลำลองธรรมดาเจ้าของชื่อชเวซึงฮยอนยักไหล่ แล้วคลี่ยิ้มเหมือนไม่ได้คิดอะไรกับคำทักทายสุดจะเป็นมงคลของอีกฝ่าย



    พอดีแวะมาหาชางมินน่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอ…”

    ไม่ได้ถาม

    ซึงฮยอนหัวเราะออกมากับคำพูดที่ยังตรงไปตรงมาไม่เปลี่ยน….ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของใบหน้าน่ารักที่ยืนอยู่ข้างๆร่างหนาแทน  แล้วริมฝีปากก็กดรอยยิ้มเหยียดออกมาชวนให้คนมองอย่างทงเฮรู้สึกพะอืดพะอมอยากจะโก่งคออ้วกออกมาเสียตรงนั้น


    นั่นเด็กใหม่มึงหรอวะสายตาโลมเลียของชเวซึงฮยอนถูกส่งมาให้ซองมินที่ยังคงยืนทำหน้ามึนไม่เข้าใจสถานการณ์ ก็นึกว่ามึงได้กับฮยอกแจของกูไปละ นี่ตกลงว่ายัง…”
     

    เสือก"

    คนปากไวสวนกลับไปก่อนที่ฟาร์มหมาของชเวซึงฮยอนจะออกมาวิ่งพล่าน ซองมินที่แม้จะยังไม่เข้าใจอะไร แต่ก็ฉลาดพอที่จะรับรู้ได้ว่าอีกไม่นานความอดทนของทงเฮจะต้องหมดลงเพราะแปลกหน้าคนนั้น


    แค่นี้ทำไมต้องโมโหด้วยเล่า” ซึงฮยอนแสร้งยิ้ม ก่อนจะเลิกคิ้วกวนอารมณ์อีกคนให้ขุ่นกว่าเดิม หรือว่ามึงได้ฮยอกแจแล้วทิ้ง?”



    ถ้อยคำต่ำช้าหลุดออกมาจากปากคนที่ทงเฮเกลียดที่สุดในชีวิต

    เสียงหัวเราะเย้ยหยันกับใบหน้าที่พร้อมจะหาเรื่องอยู่ตลอดนั่น




    ไหนว่ารักนักรักหนาไม่ใช่หรือไง?”

     



     

    เกลียด

    เกลียดมากกว่าอะไรบนโลกใบนี้

     



     

    น่าเสียดายออกนาถ้าจะไม่เอาแล้วก็บอกดิว้า…”


     

    พลั่ก!!

    หมัดหนักๆซัดเข้าที่ใบหน้าของคนตัวสูงเต็มแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น ทงเฮถมน้ำลายใส่แล้วทำท่าจะเข้าไปซ้ำอีกที ซองมินเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้าไปดึงตัวออกมา แม้ร่างเล็กจะหวาดกลัวกับสักเหตุการณ์ตรงหน้าสักเพียงใด แต่หากไม่จับไว้เดี๋ยวเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่



    เก็บคำพูดต่ำๆพวกนั้นไว้ใช้กับตัวเองเถอะ


    ทงเฮกัดกรามแน่น ร่างทั้งร่างสั่นเทาด้วยความโกรธ



    แล้วจำใส่สมองของมึงไว้ด้วยว่าอย่ามาดูถูกอีฮยอกแจอีก!


    ไม่รู้เลยว่าจังหวะนั้นเขาพูดออกไปดังแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอสะบัดแขนออกจากซองมินอย่างแรงจนร่างเล็กเซถลา ทงเฮรู้แค่ว่าเขาอยากจะถีบส่งคนตรงหน้าให้ไปเฝ้ายมบาลในนรกเร็วๆก็เท่านั้น


    ชเวซึงฮยอนหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง แล้วใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออกไปลวกๆ ดวงตาคู่นั้นประสานกับทงเฮอย่างไม่ยอมแพ้



    คืนนี้ไปเจอกูที่ลานแข่ง

     

    “……………”

     

    ถ้ามึงแน่จริง

     



     

    .

    .

    .

     



     

    หลังจากที่ผ่านพ้นจากตรงนั้นมาได้ ทงเฮก็เหมือนจะหงุดหงิดหนักกว่าเดิมจนซองมินไม่กล้าถามอะไร ปล่อยให้คนรักระบายออกมาด้วยการเหยียบคันเร่งจนสุด กว่าจะมาถึงห้องสมุดได้ก็เล่นเอาหัวใจเกือบวาย

    จนเวลาล่วงเลยไป ซองมินคิดว่าทงเฮอาจจะอารมณ์เย็นขึ้นแล้ว จึงละสมาธิจากกองหนังสือแล้วถามสิ่งที่สงสัยมาตลอดออกไป


    เอ่อผู้ชายคนนั้น….”

    ทำงานไปเถอะ เดี๋ยวก็ไม่เสร็จหรอก


    ทว่ากลับถูกตัดบทเสียดื้อๆ แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็ยังโล่งใจที่น้ำเสียงของทงเฮไม่ได้หงุดหงิดอะไรแล้ว ซ้ำยังส่งยิ้มบางๆมาให้ ไม่ได้มีทีท่าว่าลำบากใจที่จะตอบ


    ไม่ต้องรู้หรอกว่าเป็นใคร แค่อย่าไปยุ่งกับมันก็พอ

    ซองมินพยักหน้ารับ ผู้ชายคนนั้นดูไม่น่าเข้าใกล้จริงๆนั้นแหละ  แล้วเขามีเรื่องอะไรกับทงเฮกันล่ะ

    แต่เหมือนทงเฮจะสังเกตเห็นว่าแววตาของคนรักหยังไม่คลายความสงสัยไปเสียทีเดียว เขาหัวเราะแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกความจริงให้คนตรงหน้ารับรู้


    “ชเวซึงฮยอน” จะว่าไปแล้วก็กระดากปากอยู่ไม่น้อยที่ต้องพูดถึงชื่อคนสารเลวคนนั้นขึ้นมาอีก คนที่เคยมาชอบฮยอกแจน่ะ



    “……………….”



    ไม่มีอะไรหรอก

    ทงเฮตอบแบบปัดๆไปไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรต่อจากนั้น  แต่ซองมินกลับเข้าใจทุกอย่างดี เหตุผลที่ทำให้ทงเฮไม่สบอารมณ์ได้ขนาดนี้สุดท้ายก็ไม่ใช่เพราะใคร


    อยู่ดีๆก็รู้สึกวูบโหวงข้างในอกจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามถึงคำพูดสุดท้ายที่ผู้ชายคนนั้นทิ้งไว้


    แล้วจะไปตามที่เขาบอกหรือเปล่า


    สิ้นคำถาม ทงเฮก็เปลี่ยนไปเข้าโหมดซีเรียสอีกครั้ง เรียวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก


    ทงเฮ…” ซองมินเรียกชื่อคนรักเสียงอ่อน ก่อนจะเลื่อนไปกุมฝ่ามืออีกฝ่ายไว้ราวกับจะบอกว่าไม่อยากให้ไป


             “ฉันเป็นห่วง




    ทงเฮนิ่งไป แล้วส่งรอยยิ้มบางกลับมา


    ฉันรู้

     


     

    - - - - - - - - - - - - - - - -  





     

    Bestfriend

    ( กลับดึกนะ ไม่ต้องรอ )

     




     

    เอี๊ยดดดดดดดดดดด!

    เสียงล้อยางที่เสียดสีไปกับพื้นถนนดังสนั่นเรียกความสนใจของผู้คนข้างสนาม ทุกสายตาพร้อมใจกันหันมาจับจ้องรถสปอร์ตคันหรู แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นระงม


    ช่างเป็นการต้อนรับที่น่าประทับใจดีจริงๆ



    ทงเฮส่ายหน้าอย่างระอา สังคมของคนพวกนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีก่อนเท่าไหร่เลย วันนั้นขี้นินทายังไง วันนี้ก็ยังขี้นินทาอยู่เหมือนเดิม


    เขาละสายตาจากกลุ่มคนไปมองในสนามแข่งแทน รถยนต์หลายคันวิ่งไล่บี้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเคยเจนสนามอย่างเขาคิดถึงความรู้สึกตอนที่ได้เหยียบคันเร่งจนสุดอยู่ไม่น้อยเลย



    ทงเฮสูดลมหายใจลึกก่อนจะเปิดประตูรถออกไป แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเขาตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในที่นั่นทันที


    ความเงียบเข้าปกคลุมไม่ได้นาน เสียงฮือฮาก็ดังขึ้น ทว่าทงเฮกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร  ร่างหนาเดินผ่านผู้คนมากมายไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็จำได้เธอได้ขึ้นใจ



    ยุนอา


    พี่ทงเฮ!?”



    หญิงสาวเจ้าของชื่ออิมยุนอาดูเหมือนจะตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก เธอค่อยๆหยัดตัวขึ้นแล้วใช้สายตาไล่มองสำรวจอยู่นานสองนาน จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเป็นทงเฮจริงๆก็รีบรัวคำถามใส่มาเป็นชุด

    พี่จริงๆด้วย!”

    ก็พี่น่ะสิ

    พี่มาที่นี่ทำไม มาได้ยังไง แล้วพี่ฮยอกแจรู้เรื่องนี้รึเปล่า!?”

    ใจเย็นๆก่อน พี่ตอบไม่ทันนะ ทงเฮหัวเราะแล้วว่าต่อ ขับรถมาคนเดียว ถ้าฮยอกแจรู้พี่คงไม่ได้มาหรอก แล้วเธอก็ไม่ต้องไปบอกด้วยล่ะ

    เออรู้แล้วน่า แต่ฉันไม่เห็นด้วยเลยนะที่พี่จะกลับมาที่นี่อีกอ่ะ…”

    แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว มันจำเป็นจริงๆ

    เพราะพี่ซึงฮยอนใช่มั้ย?”



    ทงเฮเงียบไป แล้วยุนอาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสำหรับคนไม่ยอมใครอย่างทงเฮคงมีอยู่แค่เหตุผลเดียว


    ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะว่ามันยอมไม่ได้ แต่ว่าคนแบบนั้นน่ะไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยพี่ก็น่าจะรู้

    บอกว่ามันจำเป็นไงเล่า

    พี่ก็หัวดื้อแบบนี้ เตือนอะไรไม่เคยจะฟัง

    ไม่ต้องมาพูดมาก เธอเองน่ะปีหน้าจะเข้ามหาลัยแล้วไม่ใช่เหรอทำไมยังเอาแต่สนใจเรื่องพวกนี้เนี่ย?” ทงเฮว่าพลางใช้ปลายนิ้วเรียวจิ้มเข้าที่กลางหน้าผากสวยจนหญิงสาวร้องลั่น


    อย่าสิ! ฉันจัดการชีวิตตัวเองได้น่า

    ให้มันจริงเถอะ เด็กอย่างเธอน่ะนะ…” เว้นคำในช่องว่างไว้ให้เจ้าตัวไปเดาต่อเอาเอง ยุนอากัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามคิดคำพูดมาโต้เถียงคนตรงหน้า แต่แน่นอนล่ะเธอไม่เคยเอาชนะทงเฮได้หรอก


    ผู้ชายคนนี้ชอบทำตัวเหมือนรู้นิสัยของเธอดีแบบนี้ตลอดเลย!



    ทำไม? มองหน้าแบบนั้นคิดจะเถียงหรือไง อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นิสัยเธอนะ หนังสือหนังหาหัดเปิดอ่านบ้างเอนท์ไม่ติดแล้วอย่ามาร้อง

    เป็นห่วงหรือไง

    ไม่ห่วงมั้ง เธอเป็นน้องพี่นะ

    ไม่ต้องย้ำก็ได้หรอกน่า…” ร่างเล็กเบ้ปากกับสถานะที่อีกฝ่ายพูดมา ยังไงพี่ก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกันนะคะ คนอย่างพี่ซึงฮยอนโกงได้ทุกอย่างนั่นแหละ


    ยุนอาทิ้งคำพูดเตือนสติไว้แค่นั้นแล้วเดินเลี่ยงออกไปอีกทางอาจดูเหมือนเป็นความห่วงใยในฐานะน้องสาว แต่สำหรับเธอแล้วเธอที่เคยเป็นถึงคนรักเก่า แน่นอนว่าความรู้สึกมันไม่ได้หยุดอยู่ที่คำว่าพี่น้อง



    วันแรกที่เจอกัน เธอรู้สึกกับทงเฮยังไง วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น



    อีกไม่กี่นาทีการแข่งขันรอบใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น หญิงสาวยกนาฬิกาขึ้นมาพลางถอนหายใจหนักด้วยความกังวล หากว่าถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อนเธอคงไม่กังวลมากมายขนาดนี้



    ยุนอา


    เสียงของเพื่อนสาวคนสนิทดังขึ้น อีซุนคยูเดินเข้ามานั่งข้างๆพร้อมกับถามคำถามที่ยุนอาเชื่อว่าทุกคนในที่นี้เองก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน


    พี่ทงเฮกลับมาแข่งรถอีกแล้วเหรอ?”


    เจ้าของใบหน้าน่ารักถามขึ้นเสียงใสจริงๆมันก็ไม่แปลกหรอกที่ทุกคนจะสงสัยในการกลับมาอย่างกระทันหันแบบนั้น


    เมื่อสองปีก่อนทงเฮมีชื่อเสียงในวงการนี้จะตายไป ตอนนั้นคำว่าเจ้าสนามคงจำกัดความคนมากฝีมืออย่างทงเฮได้ดีที่สุด

    มันคงเป็นเหตุผลที่สำคัญมากเลยเนอะ ไม่อย่างนั้นพี่เขาคงไม่กลับมาลงแข่งง่ายๆแน่


    สายตาของซุนคยูทอดมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนเช็ครถอยู่ไม่ไกล

    ยุนอายิ้มเธอเห็นด้วยกับสิ่งที่ซุนคยูพูดทุกอย่าง


    เหตุผลที่ทำให้คนเคยรถคว่ำปางตายกลับมาลงสนามอีกครั้ง

    เหตุผลนั้นคงสำคัญมาก

    และเธอรู้ดีว่ามีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สำคัญกับชีวิตของทงเฮมีไม่กี่อย่างที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นมาทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังได้ขนาดนี้

    ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเป็นยังไง



     

    อือคงเป็นเหตุผลสำคัญมากๆเลยล่ะมั้ง

     


     

    เหตุผลสำคัญที่ทำให้อีทงเฮเป็นแบบนี้ได้

    นอกจากครอบครัวแล้วก็คงจะเป็น

     



     

    ..อีฮยอกแจ…

     




     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     



     

    ในทีแรกเขาหงุดหงิดนิดหน่อย

    แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงสองนาทีหลังจากลงสนาม ทงเฮก็อารมณ์ดีขึ้นแน่นอนว่าการที่ห่างหายจากการบังคับพวงมาลัยในสนามแข่งมานาน ฝีมือก็ย่อมลดระดับลงไปบ้าง ถ้าจะคิดจะแข่งจริงๆคงเอาชนะได้ไม่ยาก แต่มันก็น่าแปลกชเวซึงฮยอนไม่สามารถแซงเขาได้อย่างที่คาดไว้


    ผ่านไปตั้งสองปีฝีมือไม่พัฒนาขึ้นเลยหรือไงกัน


    ฮึรอยยิ้มเหยียดปรากฎขึ้นทันทีที่เห็นว่าตัวเองทิ้งห่างออกมามาก มากจนถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องให้ถึงเส้นชัยก็คงรู้ผลแล้ว


    ชนะใสใสแบบนี้ไม่สนุกเลยจริงๆนะ



    ก่อนหน้านั้นหวังว่าการกลับมาหลังจากห่างหายไปสองปีจะมีอะไรน่าตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ก็เอาเถอะ


    ร่างหนาเหลือบมองนาฬิกาแล้วกระตุกยิ้มร้ายกาจ นึกถึงคำเตือนของยุนอาก่อนหน้านี้ว่ายังไงเสียเขาก็ประมาทไม่ได้ คนอย่างชเวซึงฮยอนมันโกงได้ทุกอย่างจริงๆนั้นแหละ ทงเฮเบนสายตาไปที่กระจกมองข้างแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะออกแรงเหยียบคันเร่งจนสุด



    อีกไม่กี่อึดใจหรอกน่า

     


     

    5




    4



    3



    2


    1

     


     

    Win!

     

     




     

    เขาไม่ได้สัมผัสกับรสชาติของชัยชนะมานานมากแล้ว

    จริงอยู่ที่เมื่อหลายปีก่อนทงเฮคุ้นชินกับมันดี คุ้นชินจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ยักรู้ว่าจะหอมหวานได้ถึงเพียงนี้ และก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสียงปรบมือกับเสียงโห่ร้องด้วยความชื่นชมจากข้างสนามจะทำให้เขารู้สึกดีได้มากมายจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา


    ยิ่งถ้าฝ่ายที่เข้าเส้นชัยทีหลังเขาด้วยสถิติที่ห่างกันหลายวินาทีแบบนี้คือชเวซึงฮยอนด้วยแล้วล่ะก็นะ


    รถของซึงฮยอนแล่นเข้ามาจอดเทียบ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะก้าวลงมาเผชิญหน้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว


    โทษทีนะ...” ทงเฮเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะแสร้งปั้นหน้ารู้สึกผิด แล้วยักไหล่ประมาณว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ “…ก็พยายามออมมือแล้ว


     

    ซึงฮยอนทำได้เพียงแค่กำหมัดแน่นจนสั่นไปทั้งตัว สาบานเลยว่าเขาไม่เคยเห็นใครทำหน้ากวนตีนได้น่าหมั่นไส้เหี้ยๆขนาดนี้มาก่อน



    ก า ก …”

    ทงเฮขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง ตามด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วน่าเอาตีนกระแทกแม่งซักที แล้วที่น่าโมโหคือในวินาทีนั้นซึงฮยอนคิดหาทางตอบโต้อีกฝ่ายไม่ออกเลยซักอย่างเดียว


    สถานการณ์รอบข้างเงียบลงถนัดตา แต่ก็ยังคงมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเป็นระยะ บรรดาผู้คนจากข้างสนามเหมือนจะให้ความสนใจสงครามเล็กๆระหว่างคนสองคนมากกว่าผลแพ้ชนะหรือเงินพนัน


    แล้วอย่าให้กูรู้…”


    รอยยิ้มในทีแรกเลือนหายไป เหลือเพียงแววตาที่ทำเอาคนมองถึงกับเสียวสันหลังวูบ อย่าให้กูรู้ว่ามึงเอาฮยอกแจไปพูดเสียๆหายๆอีก


     

    “…………….”

     

     

    แต่ถ้าอยากเหลือแค่ชื่อสลักไว้ข้างโลงก็ลองดู

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     




     

    ตีสี่ครึ่ง

    การทำสงครามกับคนเลี้ยงหมาไว้ในปากเป็นฟาร์มแถมฉลาดแกมโกงอย่างชเวซึงฮยอนนี่ต้องยอมรับว่าแม่งเหนื่อยมากจริงๆ ซ้ำร้ายสองสามคืนก่อนหน้านี้ก็ได้นอนไปแค่นิดเดียว ทงเฮเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาขับรถกลับมาที่ห้องโดยที่ยังครบสามสิบสองยังไง ตอนแรกนึกว่าตัวเองจะน็อคตายห่าไปแล้ว




    ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง




    ความจริงถ้านอนพักเอาแรงในรถ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยขับกลับมาก็ไม่มีใครด่า ยังจะดีซะกว่าฝืนขับมาทั้งที่ร่างกายไม่ไหว แต่คือแม่งกูอยากกลับมาหาฮยอกแจไงเข้าใจมั้ย



    ห้องสี่เหลี่ยมที่เงียบสงบกับร่างเล็กที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ทำให้ทงเฮเบาใจว่าอย่างน้อยฮยอกแจก็ไม่ได้อยู่รอเขา ร่างหนาหรี่อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลง ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงจ้องมองใบหน้าของคนที่จมอยู่ในห้วงนิทรา




    จังหวะลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอแบบนี้แปลว่าร่างบางคงกำลังหลับสนิททงเฮจ้องมองใบหน้าที่ไร้การเติมแต่งใดๆ แล้วแอบลอบยิ้มบางออกมาคนเดียว ฮยอกแจที่เป็นแบบนี้ดูน่ารักมากกว่าเวลาที่เอาแต่ขมวดคิ้วหรือทำหน้าบูดใส่เขาตั้งเยอะ



    ฮยอกแจเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยจะยิ้มให้ใครง่ายๆ  ถ้าหากว่าไม่รู้จักกันจริงๆอาจจะมองว่าหยิ่ง นิสัยไม่ดีบลาๆสารพัด สุดแต่ว่าใครจะคิดไปทางไหน แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ว่า ต่อให้ฮยอกแจเป็นแบบนี้ ก็ยังมีผู้คนมากมายให้ความสนใจมาตั้งแต่เข้าเรียนมัธยม


    ทุกอย่างที่เป็นคนคนนี้ทำให้ใครต่อใครตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า




    ในบรรดาผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฮยอกแจนั้นก็มีทั้งดีและเลว

    และชเวซึงฮยอนเป็นหนึ่งในจำพวกที่เลวจนไม่น่าให้อภัย




    เพียงแค่คิดก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา



    ทงเฮยังคงจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ชายคนนั้นเคยทำกับฮยอกแจได้

    ทุกการกระทำ ทุกคำพูด เขายังคงจำวันที่ซึงฮยอนหลอกให้ฮยอกแจไปหาที่บ้านยังจำภาพของฮยอกแจที่วิ่งเข้ามากอดเขาเอาไว้แล้วร้องไห้แทบขาดใจเพราะถูกคนสารเลวนั่นพยายามจะข่มขืน



    เหตุการณ์วันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจของทงเฮมาจนถึงตอนนี้

    เขาจะไม่มีวันลืมมันอย่างเด็ดขาด



    ทงเฮรู้ว่าคนอย่างซึงฮยอนทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ  คนๆนั้นมีทั้งเงินและอำนาจ สามารถได้ทุกอย่างมาไว้ในครอบครองเพียงแค่กระดิกนิ้ว อย่างเดียวที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีอาจจะเป็นจิตสำนึกล่ะมั้ง


    แค่คิดก็เหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ ทงเฮไม่อยากจินตนาการเลย หากว่าวันนั้นเขาไปช่วยฮยอกแจไม่ทันอะไรจะเกิดขึ้น


    ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาช้าไปแค่เพียงก้าวเดียว

    และจากวันนั้นมาเขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำอะไรฮยอกแจอีก


    ไม่รู้หรอกว่าฮยอกแจสำคัญกับเขามากแค่ไหนแต่อย่างหนึ่งที่ทงเฮรู้คือ เขาสามารถยอมสละอะไรหลายอย่างในชีวิต เพียงเพราะแค่คนตัวเล็กเอ่ยปากร้องขอ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญมากเพียงใด ถ้าฮยอกแจไม่อยากให้ทำ ทงเฮก็จะไม่ทำ



    ทงเฮจ้องมองคนตัวเล็กที่พลิกตัวไปมาภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แล้วภาพความทรงจำอันเลวร้ายเมื่อสองปีก่อนก็ฉายซ้ำขึ้นในหัวอีกครั้ง






     

    สองปีที่แล้ว

    วันนั้นสนามแข่งรถดูคึกคักมากกว่าทุกวันกลางสนามมีรถสองคันที่ไล่เบียดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทงเฮเหยียบคันเร่งจนมิดท่ามกลางเสียงเชียร์ อารมณ์อยากเอาชนะของเขามันพลุ่งพล่านขึ้นมาทุกครั้งที่คู่แข่งเป็นคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำอย่างชเวซึงฮยอน


    ชั่วนาทีนั้นสมองของเขาตื้อไปหมดคล้ายกับว่าสติได้ขาดหายไป ทงเฮเอาพะวงกับการเข้าเส้นชัยมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง ต่อมาเขาได้ยินเสียงรอบตัวดังสนั่น เสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน



    ทงเฮไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกเหวี่ยงออกจากตัวรถตั้งแต่เมื่อไหร่






    ไม่รู้ว่าระยะทางที่ร่างของเขาไถลไปกับพื้นถนนมันไกลแค่ไหน



    จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ็บตรงไหนบ้าง



    แล้วเสียงรอบตัวก็เงียบหายไป กลายเป็นเสียงตะโกนโวกเวก

    เขาพยายามลืมตา แต่ในเวลานั้นเหมือนว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน ทงเฮจำได้ว่ามีหลายคนวิ่งเข้ามา พยายามเขย่าตัวบอกให้เขาลืมตาไว้ แต่เขากลับมองอะไรไม่ชัดสักอย่าง มันพร่ามัวจนน่าโมโห


    ทว่าภาพสุดท้ายที่เห็นชัดเจนก่อนสติจะดับวูบไป คือใครคนคนหนึ่งที่เข้ามากอดเขาไว้แน่น  ดวงตาคู่สวยนั้นมีน้ำใสเอ่อล้น


     

    อีฮยอกแจ...




    .

    .

    .

     

     

    ตอนที่เขาพยายามลืมตา ความเจ็บปวดก็เข้าแทรกซึม

    สิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานสีขาวกับรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลก...

     
     

    ร้องไห้เหรอ...

    เขายังจำได้ดีว่าตัวเองต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเปล่งเสียงออกไปทงเฮไม่แน่ใจว่าสมองเขายังสมบูรณ์อยู่หรือเปล่าถึงได้เห็นคนตรงหน้าร้องไห้ไปด้วยแล้วก็ยิ้มไปด้วยในคราวเดียวกัน

    ทงเฮ…’

    แล้วทงเฮก็จำอะไรไม่ได้อีก นอกจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น



    เขาอยากขอบคุณ


             ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ทงเฮคนนี้มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าอีฮยอกแจอีกครั้ง


    ทงเฮไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงเมตตาคนอย่างเขา


    แต่เขาก็ยังอยากขอบคุณ.




    .

    .

    .

     

     

    กูขออะไรมึงอย่างหนึ่งได้มั้ยทงเฮ

    หื้ม? อะไร?’

    ถามขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่จอทีวี เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่กี่วันหลังจากนอนแห้งอยู่ที่นั่นเป็นเดือน โคตรเบื่อจริงๆถ้าไม่มีฮยอกแจมาอยู่เป็นเพื่อนนี่ตายห่าไปละ

    เลิกแข่งรถได้มั้ย?’


    ‘…………..’


    กูไม่อยากเห็นมึงเป็นอะไรไป


    ‘……….…’


    …นะ


    ทงเฮนิ่งไป เขาก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเองเนิ่นนานราวกับกำลังตัดสินใจครั้งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปคลี่ยิ้มบางให้เพื่อนสนิทที่รอฟังคำตอบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก


    มึงรู้มั้ยว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตกูรองมาจากมึง


    ‘………..….’ ฮยอกแจเงียบ คนตัวเล็กรู้ดีว่านอกจากครอบครัวแล้ว สิ่งที่ทงเฮรักก็คงไม่พ้นการแข่งรถ ใช่เขารู้ดีที่สุด

     

    หากแต่ถ้าการแข่งรถมันไม่ต้องแลกมากับการเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย ฮยอกแจจะไม่มาวิงวอนให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่แบบนี้เลยจริงๆ


    แค่รถคว่ำปางตายครั้งเดียว ทำให้กูออกจากวงการนี้ไม่ได้หรอก

     

    สีหน้าของฮยอกแจดูหม่นลงถนัดตา เขามองแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง

     
     

    ถ้าคนอื่นขอร้องกูแบบนี้ กูคงไม่ยอม

     


     

    ‘………….…’

     

    แต่เพราะเป็นมึง’ 

     


     

    ทงเฮหันหน้าไปสนใจจอทีวี มือหนากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย

    รอยยิ้มยังไม่จางหายไป

     


    มึงสำคัญสำคัญมากกว่ารถ สำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด

     

    ‘…………….’

     

    กูจะไม่แข่งรถอีก

     

     ‘…………...’

     

     ‘กูสัญญา

     

    .

    .

    .




     

     

     …ในวันนี้เขาทำผิดสัญญา

    ปลายนิ้วเรียวไล่ไปตามพวงแก้มขาว คนที่นอนหลับสนิทดูไร้เดียงสาเสียจนไม่อยากคิดภาพตอนที่ฮยอกแจรู้ว่าเขาไปกลับลงสนามอีกครั้งเพียงเพราะคำท้าของชเวซึงฮยอนทงเฮคิดว่าฮยอกแจคงไม่เข้าใจ


     

    ไม่มีวันเข้าใจว่าทุกอย่างที่เขาทำไปนี้ไม่ใช่เพื่อใครเลย

     



     

    ขอโทษนะ

     

     

     




    TBC


     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×