คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : chapter 4
4
ถึงจะบอกว่าให้มันเป็นครั้งสุดท้ายก็เถอะนะ…
แต่ฮยอกแจไม่ใช่อิฐใช่ปูนสักหน่อยที่จะได้ไม่มีความรู้สึก…เรื่องแบบนั้นจะปล่อยให้ผ่านไปได้ง่ายๆ โดยที่ไม่คิดอะไรสักนิดเลยได้ยังไงกัน
“มึงก็รู้ว่าเวลามันเมาแล้วชอบทำอะไรแบบนั้น" คิมฮีชอลยกแขนขึ้นมาเท้าคางมองคนเป็นน้องที่เอาแต่นั่งทำหน้าสับสนมาร่วมชั่วโมง “อย่าคิดมากเลยฮยอกแจ”
“ก็พยายามอยู่นี่ไง”
ฮยอกแจคิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสภาวะที่แย่สุดตีน แย่จนไม่มีแม้แต่อารมณ์จะมานั่งวาดรูปเหมือนอย่างทุกวัน แย่จนต้องเอามือยีหัวตัวเองแรงๆด้วยความหวังว่าใบหน้าของใครคนนั้นจะจางหายไป
“แต่นั่นมันจูบเลยนะเว้ย!”
ปาร์คจองซูตะโกนออกมาเสียงดังลั่น สีหน้าที่จริงจังบ่งบอกว่าเจ้าตัวก็คิดหนักกับเรื่องนี้ไม่ต่างจากฮยอกแจ แม้จะไม่ได้โดนเองก็ตาม
“อย่าตะโกนได้มั้ย!”
ร่างบางแทบจะถลาเข้าไปอุดปาก อีบ้าพี่ทึกนี่พูดเสียงธรรมดามันจะตายหรือไงถึงต้องตะโกนให้ชาวบ้านเขาได้ยินด้วยตลอด
“จริงๆมันก็…แค่แตะ”
“จะแตะหรือจะอะไรก็ช่างยังไงมันก็ไม่ใช่วิสัยที่เพื่อนเขาทำกัน”
“พี่ฮีชอลอ่ะ…อย่าพูดงี้ดิ”
“แล้วนี่มันหายหัวไปไหน”
“ยังไม่ตื่นเลยมั้ง”
“อย่าบอกว่าเมาค้างจากเมื่อคืน?” จองซูทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหันมาจ้องฮยอกแจตาเขม็ง “มึงก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามันคอแข็งจะตาย ต่อให้หัวราน้ำยังไงก็ไม่เคยขาดสติ นอนพักไม่เกินสามชั่วโมงสร่าง”
…ก็ใช่…
แล้วทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยอ่ะ เวลาทงเฮไปดื่มทีไร ตอนเช้าก็ไม่เคยมาเข้าเรียนอยู่แล้ว หาเรื่องนอนเอาแรงทั้งวันเป็นปกติไม่ใช่หรือไง
ฮยอกแจทำหน้ามึนไม่เข้าใจในสิ่งที่รุ่นพี่สองคนพยายามจะสื่อ
“ก็แปลว่า…”
“………….”
“…ตอนมันจูบมึงมันต้องมีสติอยู่บ้าง”
สิ้นคำพูดของคิมฮีชอล ฮยอกแจก็ไม่ลังเลที่จะไถลหน้าไปกับโต๊ะ สองมือยกขึ้นมาปิดหูไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น
“จบประเด็นนี้เถอะ”
“จะจบได้ไง กี่ครั้งแล้วที่มันทำให้มึงสับสนจนต้องมานั่งแหกปากเป็นคนเสียสติให้พวกกูฟังแบบเนี้ยะ”
…กี่ครั้ง?...
..ไม่เคยนับ…
“แล้วทุกครั้งก็จบลงที่มึงเอาแต่วิ่งหนีความรู้สึกตัวเองไง”
“วนลูปมากนะชีวิต”
คิมฮีชอลกับปาร์คจองซูผู้เข้ากันได้ดียิ่งกว่าปี่กับขลุ่ย ฮยอกแจมองทั้งสองคนสลับไปมา ในใจอยากตะโกนดังๆว่าหยุดสักที แต่ก็ทำได้แค่คิดอีกตามเคย เขาไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอะไร เถียงไปให้ตายสุดท้ายก็แพ้…
แพ้ใจตัวเอง
ฮยอกแจเบ้ปากน้อยๆเป็นเชิงตัดพ้อรุ่นพี่ทั้งสองที่พูดเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย ความรู้สึกแบบนี้มันยากที่จะทำใจยอมรับจะตายไป ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วยแล้ว…
คือถ้ามันเกิดขึ้นกับผู้หญิงน่ารักๆสักคนก็ว่าไปอย่าง เขาคงไม่ต้องมานั่งสับสนวุ่นวายใจแบบนี้แน่ๆ ฮยอกแจไม่ได้ซื่อบื้อถึงขนาดไม่รู้จักความรักเสียหน่อย เพียงแต่ในอดีตที่ผ่านมาเคยมีความทรงจำเลวร้ายเกี่ยวกับมันจนหวาดกลัวการเริ่มต้นใหม่ก็เท่านั้น
ยิ่งถ้าคนนั้นเป็นเพื่อนสนิท…อย่างทงเฮ
ไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าทุกอย่างจะไม่เปลี่ยนไปถ้าทงเฮรู้ความจริงขึ้นมา คำว่าเพื่อนสำหรับฮยอกแจมันยิ่งใหญ่มากโดยเฉพาะกับคนที่อยู่ข้างๆกันมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก…ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทงเฮมีค่าเกินกว่าจะยอมเสียไปเพราะความรู้สึกงี่เง่าพวกนี้
“ห้ามความรู้สึกตัวเองมันยากนา…” ฮีชอลว่าเสียงเรียบ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวคนตัวบางเป็นเชิงปลอบใจ “จะฝืนทำไมเนี่ย”
“…………….”
“ชอบก็บอกมันไป”
“…………….”
“ตัวมึงเองน่ะรู้ดีที่สุดฮยอกแจ มึงอาจจะหลอกพวกกู หรือหลอกใครต่อใครว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับมัน แต่สุดท้ายแล้วมึงก็หลอกตัวเองไปไม่ได้ตลอดอยู่ดีอ่ะ”
ฮยอกแจปล่อยให้คำพูดของรุ่นพี่ทั้งสองเข้ามามีอิทธิพลกับความคิดอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากห้ามหรือปิดกั้นอะไรอย่างที่ผ่านมา
“หัวใจมันไม่โกหกมึงหรอก เคยลองถามมันบ้างหรือยังล่ะ ไม่ใช่เอาแต่บอกว่ามันไม่เหมาะมันไม่ควร พูดเองเออเองเจ็บเองอยู่คนเดียว ลองคิดดีๆนะฮยอกแจ…ยังไงซะมึงก็หนีมันได้ไม่นานหรอก”
ร่างบางทบทวนคำพูดพวกนั้นช้าๆ…มันก็จริงอย่างที่พี่จองซูว่า… ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่เคยปล่อยให้หัวใจมีสิทธิ์ออกเสียงอะไรทั้งนั้น ไม่เคยแม้แต่ถามตัวเองว่าคิดยังไง ไม่เคยสนใจว่าแท้จริงแล้วข้างในต้องการอะไรกันแน่
แล้วถ้าวันนี้เขาจะลองถามมันดูสักครั้ง…
เป็นเวลานานที่ฮยอกแจจมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง
แล้วความเงียบก็ช่วยทำให้ทุกอย่างค่อยๆชัดเจนขึ้น
“น้ำเน่า”
ทว่ากลับมีเสียงของใครคนหนึ่งดังขัดขึ้น ทำลายฉากสวยงามทั้งในหัวและในความรู้สึกจนหมดสิ้น ฮยอกแจถอนหายใจออกมา แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังจะส่งยิ้มขอบคุณไปให้
“อีคยูฮยอน…” ผิดกับปาร์คจองซูที่เหวี่ยงสายตาไปทางน้องชายร่วมสายเลือดแทบจะทันที “ช่วยนั่งหุบปากต่อไปทีเถอะ”
“ก็มันน้ำเน่า” คยูฮยอนขมวดคิ้วใส่คนเป็นพี่ชาย ก่อนจะหันกลับมาหาเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ “นี่ฮยอกแจ”
“………….”
“มึงจะทนมองมันกับคนอื่นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
“แล้วถ้ามึงเป็นกูมึงจะทำยังไง”
ฮยอกแจถามกลับไป ร่างสูงนิ่งไปพักใหญ่ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“กูคงบอกมันไป” คยูฮยอนตอบด้วยท่าทีที่ดูเหมือนจะไม่มั่นใจนักว่าถ้าเจอกับตัวจริงๆจะกล้าทำอย่างปากว่าหรือเปล่า
“มึงไม่กลัวเค้าจะอึดอัดหรือไง”
“แล้วเก็บไว้คนเดียวมึงไม่อึดอัดหรือไงฮยอกแจ”
“…………”
“มึงมันดื้อ” ว่าแล้วก็ดึงคนตัวเล็กมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยว ก่อนที่เสียงโวยวายของฮยอกแจจะดังขึ้นประสานกับเสียงหัวเราะของคยูฮยอน
“เห้ยๆ พวกกูก็อยู่ตรงนี้ด้วย” …พี่ฮีชอล
“ทำเหมือนเป็นหัวหลักหัวตอไปได้” …พี่จองซู
“พี่ครับ หุบปากต่อไปก็ไม่มีใครว่าปะครับ” … และคยูฮยอน
“อ้าวไอ้น้องเวรนี่มึง…สห่ฟดเสาหก่เฟวสาเด”
แล้วสงครามระหว่างสองพี่น้องก็เริ่มต้นขึ้น
เหมือนอย่างทุกวันคือฮยอกแจนั่งมองคนทั้งสองถกเถียงกันไปมา ซักพักก็ลามไปเรื่องอื่น ก่อนจะลงท้ายด้วยกูจะฟ้องหม่าม๊า…
นี่อาจเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้ลืมเรื่องราวทุกอย่างไป
อะไรเดิมๆที่ทำให้ฮยอกแจยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกของวัน
- - - - - - - - - - - - - - -
แต่เขาว่ากันว่าความสุขมักอยู่กับคนเราได้ไม่นาน…
“ไปไหนมา”
ยังไม่ทันจะได้หันหลังปิดประตู เสียงเข้มก็พุ่งตรงเข้ามาให้อารมณ์เหมือนเด็กหนีเที่ยวกลับบ้านดึก แล้วพ่อแม่ถือไม้เรียวมายืนรอก็ไม่ปาน ฮยอกแจกลอกตาแล้วถอนหายใจหนัก
คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้…
คนอย่างทงเฮน่ะ ถ้าลองตื่นมาหลังจากสร่างเมาแล้วไม่เจอใครคอยปรนนิบัติพัดวีก็พาลจะหงุดหงิดเอาได้ง่ายๆ แถมฮยอกแจยังหายไปทั้งวันแบบนี้ พอกลับดึกด้วยเลยยิ่งแล้วใหญ่
“ถามว่าไปไหนมา”
“เปล่า”
“จะเปล่าได้ยังไงนี่มันกี่ทุ่มแล้ว” ว่าแล้วก็กระชากแขนบางเข้ามาใกล้อย่างเผลอตัว จริงๆทงเฮคงไม่หงุดหงิดมากขนาดนี้ ถ้าหากฮยอกแจยอมรับโทรศัพท์เขาสักนิด
“อย่าพาล”
“ไม่ได้พาล”
“ทงเฮ!”
“ไปกับคยูฮยอนมาอีกแล้วสิ”
“แล้วจะทำไม”
“นี่ฮยอกแจอย่ามา…”
“มึงก็กลับดึกทุกคืนตีสามตีสี่ กูเคยว่าอะไรซักคำยังอ่ะ”
ฮยอกแจเถียงกลับไปทันทีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยว เมื่อไหร่ทงเฮจะเลิกทำตัวเอาแต่ใจแบบนี้สักที ไม่เคยรู้เลยหรือไงว่ามันทำให้ฮยอกแจคิดมากแค่ไหน
“งี่เง่า”
คำพูดคำจาที่โต้ตอบออกไปด้วยท่าทีแข็งกร้าวไม่ต่างกันยิ่งทำให้ทงเฮยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้น ดวงตาคู่คมไล่มองใบหน้าของฮยอกแจแล้วระบายทุกสิ่งอย่างในใจออกไปด้วยการบีบแขนเล็กนั้นเต็มแรง
ยิ่งอยู่ใกล้กันมากเท่าไหร่ ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ฮยอกแจพยายามเก็บความสั่นไหวทั้งในแววตาและน้ำเสียงไว้ให้ลึกที่สุด ทิ้งให้ความเงียบปกคลุมอยู่แค่เพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะชักแขนตัวเองออกจากฝ่ามือของอีกฝ่าย
“ปล่อย…”
พยายามปฏิเสธ…ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอก
เพื่ออะไร…
หัวใจของฮยอกแจตอนนี้…
…เป็นเหมือนภาพวาดที่ถูกเติมแต่งจนเริ่มสมบูรณ์
นึกตลกตัวเองที่เคยเอาแต่พยายามวิ่งหนี พยายามปัดมันทิ้งไป ทั้งๆที่ความจริงแค่มายืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าคนคนนี้ ทุกอย่างก็ชัดเจนจนแทบไม่ต้องคิดหาคำตอบอะไรอีกแล้ว
“ฮยอกแจ” ทงเฮปล่อยแขนบางให้เป็นอิสระ ก่อนจะก้มหน้านิ่ง…ใบหน้านั้นฉายแววสับสนชัดเจนจนฮยอกแจประหลาดใจ
“คือ…” ทำเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เงียบไป ช่วงเวลาสั้นๆที่เหมือนว่าทงเฮกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างหนัก จนสุดท้ายก็ตัดสินใจพูดมันออกมา
“เรื่องเมื่อคืน…กูขอโทษ”
ไม่ควรพูด…
คำแรกที่แวบเข้ามาในหัวหลังจากเห็นปฏิกิริยาของฮยอกแจ ทงเฮอยากจะซัดหน้าตัวเองแรงๆที่ไม่ยอมคิดให้ดีกว่านี้ แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วคงแก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากหาคำอธิบายดีๆเพื่อไม่ให้คนตรงหน้าต้องรู้สึกแย่มากไปกว่าเดิม
ฮยอกแจนิ่งเงียบไป ไม่รู้ว่าควรต่อบทสนทนานี้ยังไง ใจจริงแล้วอยากจะเดินหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะหากยืนอยู่ต่อไปก็กลัวว่าจะสำลักความอึดอัดตายเสียก่อน
เหตุการณ์เมื่อคืนฉายชัดขึ้นในหัวอีกครั้ง แม้ฮยอกแจจะพยายามลืมเท่าไหร่ แต่ทุกสัมผัส ทุกความรู้สึก ทุกการกระทำยังไม่จางหายไป และตอนนี้คนตรงหน้าก็ย้ำเตือนให้รู้ว่าไม่ใช่แค่ฮยอกแจคนเดียวที่คิดถึงมัน
ไม่ใช่แค่ฮยอกแจคนเดียวที่จดจำความรู้สึกพวกนั้นได้…
คำพูดของรุ่นพี่สองคนที่พูดให้ฟังเมื่อเช้าย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง ฮยอกแจสูดลมหายใจเข้าจนลึก แล้วหันกลับไปสบตาคนตรงหน้าที่กำลังมองมาเช่นกัน
“ขอโทษทำไม…”
การจะประคองเสียงตัวเองไม่ให้สั่นไหวในเวลานี้ดูเหมือนจะยากเกินไปสำหรับฮยอกแจจริงๆ หยาดน้ำใสเอ่อล้นออกมาบดบังม่านตาจนเริ่มเห็นภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด
“จำได้ด้วยหรือไงว่าทำอะไรลงไป”
“กูไม่ได้ตั้งใจ” แววตาของทงเฮดูสับสนไม่ต่างจากเมื่อคืน เพียงแต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าสติของตัวเองครบถ้วน “กูก็ไม่รู้ว่าทำไม…”
“ช่างมันเถอะ”
ฮยอกแจตอบปัดไปเพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าต้องมาคิดมาก ถึงแม้ความรู้สึกของเขาจะชัดเจนขึ้น แต่ก็ไม่ได้อยากให้ทงเฮมารับรู้
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้
“กูไม่ได้คิดมากอะไร”
“มึงคิด”
ทงเฮสวนกลับแทบทันทีจนร่างบางถึงกับนิ่งงัน ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนขึ้นแล้วบรรจงเช็ดหยาดน้ำใสที่กำลังจะเอ่อล้นลงมาในอีกไม่ช้า
“กูขอโทษ”
ทงเฮคิดว่าคำนี้เป็นคำเดียวที่สื่อความรู้สึกในใจของเขาได้ดีที่สุด ต่อให้ต้องพูดมันซ้ำๆอีกเป็นร้อยเป็นพันหนก็ตาม ถ้ามันจะทำให้ฮยอกแจรู้สึกดีขึ้นได้ เขาก็ยินดี
“ขอโทษจริงๆฮยอกแจ กูขอโทษ”
“บอกว่าไม่ได้คิดก็คือไม่ได้คิด”
น้ำเสียงที่แข็งกร้าวของฮยอกแจทำเอาทงเฮแทบหยุดหายใจ ก่อนจะกลับมาทบทวนว่าเขาเผลอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ร่างบางถึงได้มีท่าทีไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเช่นนี้
“พอสักทีเถอะทงเฮ”
ฮยอกแจพูดเสียงเหนื่อยอ่อนราวกับว่าต้องใช้ความอดทนมากมายในการสนทนากับคนตรงหน้า ทั้งที่ความจริงเขาก็แค่เหนื่อยกับความรู้สึกของตัวเอง เหนื่อยกับความหวังเล็กๆที่ทงเฮหยิบยื่นมาให้โดยไม่รู้ตัว
เหนื่อยที่ต้องใจอ่อนให้กับใบหน้าหงอยๆนั้นเสียทุกครั้งไป
เหนื่อย…ที่ต้องทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอะไร
ฮยอกแจเบื่อตัวเองจะตายที่ยังเอาแต่กลัวว่าถ้าคนตรงหน้ารับรู้ถึงความรู้สึกของเขาแล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไป กลัวว่าจะมองหน้ากันไม่ได้อีก กลัวทงเฮจะผิดหวัง กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง
ทงเฮจะรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาคิดยังไง
ไม่อยากให้รู้…ไม่ใช่ตอนนี้
ความรู้สึกแย่ๆก่อตัวขึ้นอีกครั้งเมื่อถูกสายตาของทงเฮมองต้อน และด้วยความหวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะจับท่าทีได้ทำให้ฮยอกแจตัดสินใจพูดประโยคที่ฟังดูงี่เง่าที่สุดในโลกออกไป
“กูจะไปคิดอะไรล่ะ…มึงไม่ใช่คยูฮยอนสักหน่อย”
“……………”
“…………….”
“…มึงชอบมันจริงๆเหรอฮยอกแจ”
“ไม่รู้สิ…” ฮยอกแจส่ายหน้าก่อนจะยิ้มกว้าง สวนทางกับความรู้สึกแท้จริงข้างใน “อาจจะชอบก็ได้”
“………………”
“เพราะอย่างน้อยคยูฮยอนก็ไม่เคยทำให้กูต้องรู้สึกแย่แบบนี้”
TBC
ความคิดเห็น