คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 2
- LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 2
หงุดหงิด
นั่นคือความรู้สึกเดียวที่ติดอยู่ในหัวของเด็กชายวัยห้าขวบมาตลอดทั้งสัปดาห์ ใครกันที่บอกว่าเด็กลืมง่าย วันนี้อีทงเฮได้ลบล้างคำกล่าวนั้นไปแล้วเรียบร้อย ทั้งคำพูด ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความอับอายทั้งหลายแหล่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในความทรงจำจนต้องหยิบดินสอขึ้นมาแล้วขีดเขียนอะไรลงสมุดไปเรื่อยเพราะไม่รู้จะหันหน้าไประบายกับใคร
ตั้งแต่เลิกคบซองมินไปชีวิตทงเฮก็เงียบเหงา
ถึงจะมีนานะจังก็เถอะ…นั่นมันไม่เหมือนกันสักหน่อย
กระดาษสีขาวมีลายเส้นมากมายปรากฏขึ้นหลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป มันเป็นกิจวัตรเดิมๆที่ทงเฮทำตลอดหลายวันที่ผ่านมา ไม่ได้สุงสิงกับใคร มีโลกของตัวเอง และไม่ได้ไปกวนใจหรือทำตัวดื้อรั้นกับพี่ฮยอกแจอีก มีเพียงสีหน้าปั้นปึ่งเวลาที่เผลอสบตากันเท่านั้น
งอน
พี่ฮยอกแจมีสิทธิ์อะไรมาตีทงเฮต่อหน้าเพื่อนๆ
แล้วมีสิทธิ์อะไรมาหอมแก้มเค้า…
แก้มทงเฮมีไว้ให้นานะจังคนเดียวนี่พูดเลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งฉุนเฉียวอยู่ในใจ ทำได้แค่ระบายด้วยการลงน้ำหนักมือให้มากขึ้น วันนี้นานะจังไม่มาเลยต้องนั่งคนเดียว เหงามาก เบื่อมาก น้องเฮอยากกลับบ้านไปหาหม่าม๊าแล้ว ; w ;
แต่ข้างนอกฝนตก
ไม่มีอะไรสนุกๆทำเลย
ง่วง
และไม่กี่นาทีถัดมาเด็กชายก็ฟุบหลับไปในที่สุด
ความจริงการดูแลเด็กพวกนี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรสำหรับอีฮยอกแจมากนัก
ถ้าการดูแลที่ว่านั่นหมายถึงแค่นั่งดูเฉยๆไม่ให้พวกลูกลิงนี่วิ่งวุ่นออกไปข้างนอกห้องน่ะนะ
ก็อย่างที่คิดนั่นล่ะ…วันนี้เขาบังคับให้โซรานอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
นั่นก็แปลว่าวันนี้ถือเป็นวันฟรีๆสำหรับเจ้าเด็กพวกนี้ไปด้วยเลย มีอาจารย์คิบอมข้างห้องมาช่วยสอนและให้การบ้านไปเมื่อตอนเช้า ส่วนตอนบ่ายก็ปล่อยตามอัธยาศัย โดยมีข้อแม้ว่าห้ามออกไปนอกห้องเด็ดขาด และถ้าจะไปไหนให้บอกพี่ฮยอกแจก่อนทุกครั้ง ซึ่งเหล่าลูกลิงก็พยักหน้าหงึกหงัก ไม่โต้เถียงใดๆ จนถึงตอนนี้ที่เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อยแล้วฮยอกแจก็เห็นเด็กๆบางคนยังคงสรรหาอะไรมาเล่นกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่วนบางคนก็…หลับไปแล้ว…
หลุดหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อสายตาดันไปสะดุดกับร่างกลมๆที่ใช้สมุดการบ้านเป็นหมอนนอนกลางวันไปแล้วเรียบร้อย เขามองภาพนั้นด้วยหัวใจที่เริ่มเบาขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าเจ้าเด็กนั่นจะลุกขึ้นมาสร้างปัญหาอะไร คิดได้แบบนั้นฮยอกแจก็เอนหลังแล้วปิดเปลือกตาที่เริ่มจะอ่อนล้าลง เสียงสายฝนด้านนอกกับอากาศเย็นที่สบายแบบนี้ทำให้เขานึกอยากกลับบ้านไปนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆเสียจริง
“พี่ฮยอกแจ”
หื้อ
เปลือกตาบางค่อยๆขยับขึ้นหลังจากพักไปได้ไม่ถึงห้านาที คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันช้าๆ แต่เมื่อพบว่าเจ้าของเสียงเป็นใครแล้วรอยยิ้มบางๆก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่มได้ไม่ยาก
“ซองมิน” ฮยอกแจยิ้มแล้วเอียงคอมองเด็กชายตัวอ้วนที่ยืนกระตุกชายเสื้อของเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “อันยอง”
ร่างบางทักทายกลับไปเสียงใส ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าอีโซราสามารถปั้นหน้ายิ้มแย้มอยู่ทั้งวันได้ยังไงทั้งที่ข้างในมีเรื่องมากมายให้ต้องคิด ซองมินไม่ได้พูดอะไร หากแต่เด็กน้อยดูเหมือนจะสนใจหน้าจอสว่างๆของ Macbook ราคาแพงลิ่วตรงหน้ามากกว่า
“นี่เขาเรียกว่า Macbook” ฮยอกแจว่าต่อโดยอัตโนมัติ เรื่องอ่านใจเด็กนี่ความจริงเขาก็ไม่ถนัดนัก แต่แววตาและสีหน้าของเด็กตัวเล็กๆพวกนี้ไม่ได้ซับซ้อนถึงขนาดมองไม่ออก นั่นอาจจะเป็นข้อดีที่พวกผู้ใหญ่สมัยนี้ไม่ค่อยจะมีก็ได้
“ซองมินอยากเล่นมั้ย” แต่ฮยอกแจก็ยังถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว แน่นอนว่าซองมินพยักหน้าทันที ดวงตาที่ครั้งแรกนั้นเศร้าหมองดูมีประกายขึ้นมานิดหน่อย
เป็นเด็กนี่ดีเนอะ คิดยังไงก็แสดงออกมาแบบนั้น ไม่ต้องมานั่งปั้นหน้าวางฟอร์มให้เมื่อย
“มา เดี๋ยวพี่ฮยอกแจสอนเล่น”
จบประโยค ซองมินก็ถูกยกขึ้นมานั่งบนตักของอีฮยอกแจเรียบร้อย เขารู้ว่าเด็กคนนี้กำลังเหงา ส่วนหนึ่งคงเพราะทงเฮยังไม่ยอมคุยด้วย…ไม่ใช่สิ…นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหลักๆเลยก็ได้
เวลาผ่านไปจากที่มีแค่อีซองมินคนเดียวก็กลายเป็นว่า Macbook ของอีฮยอกแจได้รับความสนใจจากเด็กตัวน้อยนับสิบคนที่พากันมามุงและส่งเสียงเจี้ยวจ้าวด้วยความตื่นเต้น แม้แต่คิมจงอุนที่ปกติแล้วจะติดนิสัยชอบวางมาดอยู่นิดหน่อยก็ยังยอมทิ้งรถถังในมือเพื่อมาดู
เว้นเสียแต่…เด็กตัวกลมคนหนึ่งที่เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่สนใจใยดีว่ารอบๆตัวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นี่คิดว่าถ่ายเอ็มวีอยู่เรอะ…………
แต่ทว่า ฮยอกแจแอบสังเกตเห็นว่าหลายครั้งที่ทงเฮเหลือบมองมาทางนี้ด้วยท่าทีสนอกสนใจ คงเป็นความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก แต่น่าเสียดายที่ฟอร์มมันทับขาอยู่เลยลุกไม่ขึ้น
เห็นแบบนั้นแล้วก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้เลยแฮะ…
แค่ห้าขวบยังขี้เก๊กขนาดนี้แล้วโตไปจะขนาดไหนกัน
คิดแล้วก็หัวเราะออกมาคนเดียว เรียกสายตาแปลกๆจากบรรดาเด็กตัวน้อยรอบข้างได้ทันที แต่มันก็ยังไม่น่าสนใจไปกว่าของเล่นใหม่ราคาแพงตรงหน้า ฮยอกแจต้องวุ่นวายอยู่ราวๆยี่สิบนาทีได้กว่าเจ้าเด็กพวกนี้จะแยกย้ายไปหาอย่างอื่นเล่น ซึ่งนั่นเป็นยี่สิบนาทีที่ค่อนข้างเหนื่อยมากจริงๆ
“ทึก ไปเล่นตรงนู้นกันเถอะ” หลังจากที่ซีวอนเอ่ยปาก เด็กทั้งสองก็พากันวิ่งดุ๊กๆกลับไปที่มุมของเล่น ฮยอกแจถอนหายใจออกมา เมื่อพบว่ารอบๆตัวไม่มีพวกตัวยุ่งมาคอยกวนใจแล้ว
โล่ง
ร่างบางบิดขี้เกียจแล้ววางแผนว่าออกไปสูดอากาศข้างนอกสักแป๊บ แต่ยังไม่ทันจะคิดจบ ปีศาจตัวหนึ่งก็มายืนจ้องหน้าเขม็ง และแน่นอนว่าปีศาจตัวนี้โคตรจะร้ายกาจแล้วก็วุ่นวายกว่าอีเด็กสิบคนเมื่อกี้อีก
“ฮยอกแจ”
………… -_,-
“คำว่าพี่ข้างหน้าชื่อหายไปไหนไม่ทราบ”
“-3-”
“แล้วมีอะไรฮึ?” ฮยอกแจมองข้ามประโยคหยาบคายตอนแรกไป แล้วเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงติดจะกวนอารมณ์คนฟังอยู่ในที “อยากเล่นบ้างอ่ะดิ”
จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปยั่วโมโหอะไรหรอก แต่แหม…เห็นเด็กตัวกะเปี๊ยกมาวางท่าทำเป็นฟอร์มจัดแล้วมันอดไม่ได้จริงๆนี่ ถ้าไม่กลัวว่าจะร้องไห้งอแงแล้วค้อนตาเขียวปั้ดใส่แบบวันก่อนๆ ฮยอกแจก็อยากจะจับแก้มกลมๆนั้นมาฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวสักที
“ไม่ได้อยากเล่นสักหน่อย ( ̄ ^ ̄)!! อย่ามามั่วนะ!”
…อุแหม่…
ฮยอกแจเบ้ปากพลางคิดไปว่านี่กูมาต่อปากต่อคำอะไรกับเด็กเหรอ แต่ช่างเถอะ เห็นทำหน้าเหงาๆก็จะเล่นเป็นเพื่อนแป๊บหนึ่งละกัน คิดได้แบบนั้นแล้วก็คว้าตัวทงเฮขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะสุ่มเปิดเกมขึ้นมาเกมหนึ่งแล้วเริ่มอธิบายวิธีเล่นแบบง่ายๆ
“เข้าใจมั้ย?” พอพูดจบแล้วก็ก้มหน้าลงไปถาม ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือการสั่นศีรษะรัวๆ บ่งบอกว่าที่กูอุตสาห์ร่ายยาวไปจนคอแห้งนั้นมันไร้ประโยชน์สิ้นดี….
“ฮยอกแจพูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย-3-”
เออ
กู ผิด เอง ก็ ได้
ฮยอกแจกัดฟันจนหน้าเกร็ง พยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้จับคนบนตักมาหักคอให้ตายคามือ และอย่างที่บอกว่าเขาไม่ใช่คนใจเย็น ไอ้เด็กแสบนี่ก็อยู่ไม่สุข ขยับตัวไปมาจนขาทั้งสองข้างเริ่มชาดิก
“ทงเฮไปเล่นกับเพื่อนตรงนู้นไป”
“แป๊บนึง”
-_-
ดวงตาที่เป็นประกายของเด็กน้อยยังคงจับจ้องไปที่หน้าจอ Macbook ไม่ลดละ ไม่นานนิ้วเล็กๆก็เริ่มคลิกนู้นคลิกนี้ไปมาอย่างคล่องแคล่ว เหมือนว่าทงเฮจะเรียนรู้ด้วยตัวเองได้เร็วกว่าการที่มีคนมานั่งบอกนั่งสอน ก็นับว่าฉลาดดี -_- นี่ไม่ได้ชมนะ แค่พูดเฉยๆ
ประเด็นคือ
กูหนัก
“ทงเฮ” ฮยอกแจ(แกล้ง)พูดเสียงอ่อน “พี่ฮยอกแจหนักอะ”
เด็กชายที่ได้ยินแบบนั้นก็หันมาเหวี่ยงสายตาไม่พอใจใส่ทันที ทงเฮขมวดคิ้วแน่นประมาณว่าอารมณ์เสียสุดๆ โอ้ยคือแบบคนกำลังเล่นเพลินๆนี่ก็ขัดจังหวะจริงโว้ย
น้องเฮหงุดหงิดแล้วนะ
“ทงเฮพอได้แล้ว ไปหยิบกระเป๋าเลยอีกยี่สิบนาทีโรงเรียนจะเลิก”
ฮยอกแจไม่ว่าเปล่า รีบแย่งเมาส์จากมืออีกฝ่ายแล้วกดปิดหน้าต่างลงมาเสร็จสรรพ จากนั้นก็อุ้มตัวปัญหาลงจากตัก แต่เหมือนว่าทงเฮจะไม่ยอมละสายตาไปจาก macbook อย่างจริงจังแม้ว่าหน้าต่างเกมจะถูกปิดลงมาแล้วก็ตาม
“นั่น คุณครูฮโยรินนี่!!” น้ำเสียงที่ตื่นเต้นของเด็กชายทำให้ฮยอกแจหยุดชะงัก ดวงตาของทงเฮเป็นประกาย ปลายนิ้วชี้ไปที่หน้าจอเดสทอป พร้อมกับพูดชื่อผู้หญิงในรูปซ้ำๆ
ฮยอกแจรีบพับหน้าจอ Macbook ลง แล้วย่อตัวนั่งคุกเข่ากับพื้นจนใบหน้าของเด็กชายอยู่ในระดับสายตาพอดี “ทงเฮ…ไปเก็บกระเป๋านะ” เสียงของร่างบางเบาลงจนทงเฮยอมโอนอ่อนตาม เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักแล้ววิ่งไปเก็บกระเป๋าตามคำสั่ง
เหลือเพียงอีฮยอกแจที่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น…
เรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่ออีฮโยรินกลับเข้ามาในห้วงความคิดของเขาอีกครั้ง และนั่นทำให้การขยับร่างกายเป็นไปได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน ฮยอกแจนั่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานจนกระทั่งเสียงบอกเวลาเลิกเรียนดังก้องไปทั่ว
ร่างบางได้สติค่อยๆขยับร่างกายอย่างเชื่องช้า เขากวาดสายตามองไปรอบๆเห็นบรรดาตัวแสบทั้งหลายนั่งรอกันอย่างเป็นระเบียบ เท่านั้นรอยยิ้มบางๆก็จุดประกายขึ้นมาบนใบหน้า ฮยอกแจหยัดตัวขึ้นเก็บข้าวของลงกระเป๋า จังหวะเดียวกับที่เครื่องมือสื่อสารดังขึ้น
“ว่าไงโซรา…”
ร่างบางเงียบไปชั่วอึดใจ และประโยคถัดไปจากคนปลายสายก็ทำให้คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันที
หน้าที่ของพี่เลี้ยงจำเป็นจะจบลงก็ต่อเมื่อนักเรียนคนสุดท้ายถึงมือผู้ปกครองโดยสวัสดิภาพไร้รอยขีดข่วน…นั่นคือคติพจน์ที่นางฟ้าอย่างอีโซราพูดกรอกหูฮยอกแจมาเมื่อเช้า
แน่นอนว่าเขาไม่ลืม
“ซีวอนกลับแล้วนะฮะพี่ฮยอกแจ >w<”
“จ้าๆ บายนะ” ฮยอกแจโบกมือลานักเรียนคนสุดท้ายด้วยรอยยิ้ม ทว่ามันกลับเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยบอกตรงๆ เพราะความเป็นจริงแล้วชเวซีวอนไม่ใช่นักเรียนคนสุดท้ายอย่างที่พูดไปก่อนหน้านี่น่ะสิ!
“นี่…”
นั่นแหละ คิดถูกแล้ว
“อยากไปเที่ยวด้วยกันมั้ย”
ฮยอกแจขยับตัวเข้าไปใกล้นักเรียนคนสุดท้าย(จริงๆ)ที่นั่งจุมปุ๊กอยู่บนม้านั่งมาเกือบครึ่งชั่วโมง แต่เจ้าเด็กปีศาจนั่นก็ไม่ยอมหันมาสนใจใยดี เอาแต่มองไปตรงประตูหน้าโรงเรียนอย่างมีความหวัง
ทำไมหม่าม๊าไม่มารับน้องเฮสักที ;_________;
“ว่าไง”
“……….”
“พี่ฮยอกแจจะพาไปกินขนมนะ”
“……….”
“พาไปดูของเล่นด้วย
“………..”
หน๊อยไอ้เด็กนี่…
อุตสาห์พูดดีด้วยแล้วยังกล้ามาเมินกันอีกเรอะ!
เป็นอีกครั้งที่ฮยอกแจโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว ริมฝีปากบางสบถออกมาเบาๆด้วยความหมั่นไส้ นี่ถ้าโซราไม่โทรมาขอร้องว่าแม่ของเจ้าเด็กนี่ติดธุระจริงๆขอฝากทงเฮไว้สองชั่วโมงเขาก็จะกลับบ้านไปนอนแล้ว!
“ตกลงจะไปไม่ไป”
สาบานเลยว่าอีฮยอกแจจะไม่มีวันยอมนั่งกร่อยอยู่ตรงนี้ตลอดสองชั่วโมงแน่….
“ทงเฮ” ร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “พี่ฮยอกแจเหนื่อยนะ ช่วยหันหน้ามาตอบทีเถอะ”
“…………..”
“………….”
“ต้องขอหม่าม๊าก่อน”
ในที่สุดเด็กน้อยก็ยอมเปิดปากออกมาทั้งที่สีหน้ายังคงบึ้งตึง
“ขอแล้ว” ฮยอกแจกลอกตา ก่อนจะเริ่มอธิบาย “วันนี้หม่าม๊าบอกให้พี่ดูแลเด็กดื้อจนถึงหกโมงเย็นเลยล่ะ”
“โกหกเปล่า…”
“จะโกหกทำไมเล่า”
“-_-”
“งั้น…สองชั่วโมงนี้…
…เราไปหาอะไรทำกันดีกว่าเนอะ”
เกมเซนเตอร์
ไม่ๆ นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่
นอกจากคนจะเยอะแล้วยังเสียงดังวุ่นวาย แถมส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกวัยรุ่นวัยคะนองทั้งนั้น หนักหน่อยก็เผลอสบถคำหยาบคายกันออกมาโดยไม่สนว่ามันเป็นที่สาธารณะ…
จะให้ทงเฮไปเห็นอะไรแบบนั้นได้ไง ไม่ได้เด็ดขาด
เพราะฉะนั้นอีฮยอกแจจึงเลือกที่จะจูงมือเล็กๆของทงเฮมาที่ร้านไอศกรีมเล็กๆที่ห้างหลังโรงเรียนแทน
“หม่าม๊าจะไม่ตีทงเฮจริงๆนะ”
จนถึงตอนนี้ แววตาของทงเฮก็ยังคงฉายแววกังวลไปตามประสาเด็ก มือเล็กออกแรงขย่าเบาๆเพื่อให้คนตัวสูงกว่าพูดอะไรสักอย่างให้ได้มั่นใจว่ากลับบ้านไปแล้วจะไม่โดนหม่าม๊าตี
“ไม่ตีหรอก” ฮยอกแจยิ้ม “หม่าม๊าเป็นคนบอกให้พี่พาทงเฮมากินไอติมเอง”
อันที่จริง…ถ้าแม่ของทงเฮรู้ว่าอีฮยอกแจน้องชายคุณครูโซราคนนี้อายุแค่สิบห้าปี เธอจะยังกล้าฝากเด็กดื้อนี่เอาไว้อีกมั้ยนะ…แล้วเจ้าเด็กนี่ก็เชื่อคนง่ายเสียจริง ถ้าสมมติเขาเป็นคนไม่ดีขึ้นมาป่านนี้ไม่ถูกส่งไปชายแดนแล้วหรือไง
ฮยอกแจหัวเราะออกมากับความคิดไร้สาระ เวลานี้เขาก็ทำได้แค่นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยระหว่างรอทงเฮกินไอติม พูดกันตรงๆว่าถ้าเป็นเวลาปกติที่ต้องมารออะไรนานๆฮยอกแจคงหงุดหงิดหาเรื่องกลับบ้านไปแล้ว แต่เอาเถอะ…ตั้งแต่มาช่วยโซราดูแลเด็กพวกนี้เขาก็เหมือนจะใจเย็นขึ้นเยอะ
นี่คงเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้เขาลืมเรื่องทุกอย่างไป…แค่ช่วงเวลานี้เท่านั้น
“ทงเฮ…”
“อารายยยย”
“โตขึ้นทงเฮอยากเป็นอะไร” ฮยอกแจถามออกไปเพราะคิดว่าเขาไม่ควรปล่อยให้บรรยากาศมันเงียบแบบนี้ ถึงแม้ทงเฮจะไม่ได้มีทีท่าว่าอึดอัดหรือเบื่อหน่าย แต่อย่างน้อยการพูดคุยกันบ้าง…มันก็น่าจะดีกว่า
“ฮยอกแจถามเหมือนหม่าม๊าเลย”
“แล้วทงเฮอยากเป็นอะไร”
“เป็นหมอ”
“หื้อ? ทำไมล่ะ?” ฮยอกแจขมวดคิ้ว แต่จริงๆมันก็ไม่แปลกอะไรหรอก อาชีพหมอ ครู หรือตำรวจ เป็นอาชีพที่เด็กๆมักจะเลือกตอบเวลาถูกผู้ใหญ่ถามอยู่แล้ว
“หม่าม๊าไม่สบายบ่อย” ทงเฮตอบทั้งที่ยังคงง่วงอยู่กับไอศกรีมถ้วยใหญ่ “ทงเฮอยากเป็นหมอฉีดยาให้หม่าม๊าหายไวๆ”
ฮยอกแจเผลออมยิ้มไปกับคำตอบที่ออกมาจากปากของเด็กปีศาจอย่างอีทงเฮอยู่นานสองนาน นึกสงสัยว่าหากโตไปจะยังคิดแบบนี้อยู่หรือเปล่า แล้วจะโตไปเป็นเด็กแบบไหนกัน…
“ฮยอกแจ”
“ห…หือ”
“อิ่มแล้ว” ทงเฮบอกพลางนิ่วหน้า นึกสงสัยในท่าทีของอีกฝ่ายที่เอาแต่นั่งจ้องแล้วแถมยังอมยิ้มแปลกๆ…..น่ากลัว…… ;_______;.
ฮยอกแจต้องคิดจะแกล้งอะไรน้องเฮอีกแน่ๆเลย!!
“อ้อ โอเค” ฮยอกแจลูบท้ายทอยแก้เก้อ ก่อนจะลุกเดินไปจ่ายตังค์ ส่วนทงเฮก็เดินตามหลังต้อยๆ ไม่ทันไรข้อมือเล็กก็ถูกคนข้างหน้าคว้าไปจับไว้ราวกับกลัวว่าถ้าคลาดสายตาแม้แต่เสี้ยวนาทีนี่จะถูกใครลักพาตัวงั้นแหละ
ชิ เบื่อจริง ชอบทำเหมือนน้องเฮเป็นเด็กอยู่เรื่อย
แค่สองชั่วโมงทำไมมันนานขนาดนี้…
อีฮยอกแจทรุดตัวลงบนม้านั่งสีขาวริมทางเดินด้วยสภาพเหนื่อยหอบ ข้างๆคือเด็กชายอีทงเฮคนเดิมที่เอาแต่ยืนทำหน้าเบื่อหน่าย สาบานเลย ทุกคนต้องเชื่อนะว่าภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ฮยอกแจพลัดหลงกับไอ้เด็กนี่ไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง!
“ให้ตายเถอะ…”
“-_,-”
“ฉันเรียนอยู่มัธยมเองนะ! แค่มัธยม! แล้วทำไมต้องมาคอยรับผิดชอบชีวิตคนอื่นแบบนี้ด้วย!!!” ฮยอกแจเกือบจะแหกปากออกมา แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่บนฟุตปาธที่คนเดินไปมากันให้ขวัก คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าตะโกนออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า…
ส่วนทงเฮก็ทำได้แค่ยืนมองเฉยๆ ไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไรในขณะที่คนตรงหน้าเหมือนจะเป็นบ้าแบบนี้ ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีพูดให้ฮยอกแจรู้สึกดีขึ้น…
“ทงเฮขอโทษ” นอกจากคำนี้แล้ว ทงเฮก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงจริงๆ
ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมองเด็กแสบที่สร้างปัญหาให้เขาต้องเหนื่อยมาตลอดทั้งวันด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ “ขอโทษ?...เออก็ดี รู้ตัวก็ดีแล้ว!” พูดจบก็ลุกขึ้น แล้วอุ้มคนตัวเล็กกว่าไว้เพื่อป้องกันไม่ให้พลัดหลงกันอีก
แต่
หนักสัส…
“กินอะไรเข้าไปบ้างเนี่ยวันๆ” ฮยอกแจอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาพร้อมกับหน้านิ่วคิ้วขมวด ซึ่งทงเฮที่ถูกว่าแบบนั้นก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน ดิ้นขลุกขลักร้องจะลงๆอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแต่โดยดีเพราะยังไงฮยอกแจก็แรงเยอะกว่า…
“เอาไว้โตแล้วค่อยคิดจะมาสู้นะเด็กน้อย~~” ว่าจบก็ละเลงมือลงไปบนศีรษะอีกฝ่ายเป็นเชิงเหยาะเย้ยผสมกับหมั่นเขี้ยวอยู่ในที ฮยอกแจหัวเราะออกมาเมื่อทงเฮชักสีหน้าไม่พอใจ แถมยังโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ตอบโต้อะไรไม่ได้
“เอาล่ะ อีกเดี๋ยวหม่าม๊าจะมารับแล้ว” ฮยอกแจยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมา พร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่กดโทรศัพท์ไปรายงานคุณแม่ของทงเฮว่ารออยู่ตรงไหน
ยืนทะเลาะกันทางสายตาอยู่ประมาณสิบนาทีได้ รถยนต์คันสวยก็แล่นเข้ามาจอดเทียบ พร้อมกับหญิงวัยกลางคนที่เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งแล้ว เธอดูงุนงงและแปลกใจที่พบว่าน้องชายของคุณครูอีโซราดูเด็กกว่าที่คิดเอาไว้ แต่ในเมื่อทงเฮปลอดภัยดีก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง
“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณอีฮยอกแจ รบกวนแย่…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ฮยอกแจรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ พร้อมกับส่งเด็กชายทงเฮคืนแม่เขาไป ก่อนจะกัดฟันพูดต่อ “ทงเฮเป็นเด็กน่ารัก”
“เอ๊ะ อันนี้ไม่จริงแล้วค่ะ เจ้าเด็กนี่ดื้อจะตายไป” เธอว่าพลางกลั้วหัวเราะ ตรงกันข้ามกับทงเฮที่เอาแต่กอดอกทำหน้าบึ้งตึง “ยังไงก็ขอบคุณมากจริงๆนะคะ”
ฮยอกแจส่ายหน้าทำนองว่าไม่เป็นอะไร จากนั้นก็พูดคุยกันสองสามคำก่อนจะเอ่ยคำลากัน ฮยอกแจคลี่รอยยิ้มพร้อมกับนั่งยองๆลงตรงหน้าทงเฮ ปลายจมูกโด่งฝังลงบนแก้มกลมๆของเด็กชายอีกครั้ง
“พรุ่งนี้เจอกันนะ”
ฮยอกแจยืดตัวขึ้น แล้วส่งยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขอตัวเดินเลี่ยงออกมา ทิ้งไว้เพียงเด็กชายอีทงเฮที่ยังคงอึ้งอยู่กับการกระทำเมื่อครู่
พี่ฮยอกแจ……………………………………………
“ทงเฮ…ขึ้นรถเร็วลูก”
พี่
ฮยอก
แจ
(ಠ益ಠ ╬) !!!!!!!!!!!!!!!!
บอกแล้วไงว่าแก้มน้องเฮเป็นของนานะจังเท่านั้น!!!!!!!!!!!!!!!!!!
TBC
ไม่เคยแต่งอะไรปญอขนาดนี้มาก่อนเลยจะร้องไห้ 55555555555555555555
เราเหนื่อยละกับแนวเครียดๆ ขอเบาสมองบ้างละกัน ใครจะอ่านก็ต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่คาดหวังว่ามันจะมีความสนุกตื่นเต้นบลาๆเด็ดขาดดดดดดดดด เพราะมันไม่มี กร้าก
เรายังไม่ได้บอกใช่มั้ยว่าทำไมฮยอกแจถึงไม่ไปโรงเรียนทั้งที่อายุสิบห้า
และบลาๆอีกหลายอย่างที่ยังอธิบายไม่หมด อ่านไปเดี๋ยวรู้เองอย่าสงสัยให้มาก เข้าใจ๊
อีกสองตอนทงเฮโตละ
ความคิดเห็น