คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : chapter 1
1
“ทงเฮ…”
“เห้ยฮยอกแจหลบไปปปปปปปปปปป”
โครม!
เสียงโครมครามดังขึ้นพร้อมกับเสียงสบถลั่นของร่างเล็กที่เซถลาไปอีกทางจนหน้าเกือบทิ่ม ถ้าไม่ติดว่าใช้แขนยันกำแพงไว้ทันคงหัวฟาดพื้นตายห่าไปแล้ว
ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงหอบหายใจของคนที่โผล่พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวเบ่อเริ่ม แขนข้างซ้ายหนีบกีต้าร์ตัวโปรดซึ่งตอนนี้ลงไปนอนตายอยู่ที่พื้นเรียบร้อย มองถัดลงมาอีกหน่อยจะเห็นนิ้วทั้งสิบเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง
และไข่ไก่ที่แตกกระจายอยู่ทั่วพื้นห้อง…
“ขอโทษๆๆๆๆๆๆ” ทงเฮรีบวางของในมือทั้งหมดลงกับพื้น แล้วหันมาขอโทษขอโพยคนตัวเล็กที่ยืนเท้าเอวหน้าบึ้งตึง “เห้ยนี่ไม่ได้ตั้งใจเลยนะ ก็มันมองไม่เห็นทางนี่ แล้วของก็เยอะด้วย ไม่ได้จะแกล้งอะไรทั้งนั้นเลยสาบาน”
“มึงนี่มัน…”
ฮยอกแจมองสภาพรอบตัวแล้วกัดฟันแน่น อยากจะคว้าคอไอ้คนตรงหน้านี่มาขย้ำให้ตาย แต่สงสารเลยปล่อยๆมันไป ไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งสายตาให้รู้ว่ากูไม่พอใจมึงมากเป็นการคาดโทษ เสร็จแล้วก็กระทืบเท้าปึงปังเข้าห้องน้ำ แล้วก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสียอีกรอบเมื่อเห็นว่าถุงเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเต็มไปด้วยน้ำเมือกสีใส กลิ่นคาวของไข่ไก่แน่นอนว่ามันสุดจะทนอยู่แล้ว ร่างเล็กย่นจมูกหนี แล้วรีบถอดมันเหวี่ยงออกไปให้ไกลที่สุด
“ฮยอกแจมาช่วยเช็ดก่อน”
ยังไม่ทันจะได้เริ่มทำอะไร ตัวปัญหาอย่างอีทงเฮก็ตะโกนเข้ามาเสียงดังลั่น ฮยอกแจตอบกลับไปแค่สั้นๆ ก่อนจะถอนหายใจฟึดฟัดกับความเอาแต่ใจของเพื่อสนิท เขาใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานนักก็ออกมารบราฆ่าฟันกับคราบสกปรกบนพื้นต่อ
“ในเมื่อมึงเป็นคนทำเลอะ แล้วทำไมคนที่ทำความสะอาดต้องเป็นกูคนเดียววะ” ร่างเล็กก้มหน้าก้มตาเช็ดพื้นพร้อมกับบ่นอุบอิบไปเรื่อยตามประสา “ของเยอะก็ไม่ยอมโทรมา จะได้ลงไปช่วยถือ เล่นหอบขึ้นมาคนเดียวทั้งหมดนี่บ้าไปแล้วไง”
“ก็มึงปิดเครื่อง”
“อ้อ…เออแบตหมด โทษที แล้วจะออกไปทำไมไม่บอก”
“ก็มึงนอนอยู่”
ทงเฮที่วุ่นวายอยู่กับอาหารเย็นตอบพลางหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปมองฮยอกแจที่สาละวนอยู่กับคราบไข่ไก่บนพื้น คำพูดพึมพำมากมายที่เขาไม่ได้ยินยังคงพรั่งพรูออกจากริมฝีปากเล็กไม่หยุดหย่อน
ไม่ว่ายังไงก็ขอให้ได้บ่นสินะ
“รู้ว่าถือคนเดียวไม่ไหวแล้วจะซื้อมาทำบ้าอะไรเยอะแยะ”
“ก็ซื้อมาให้คนแถวนี้กินไง…” ทงเฮตอบกลับไปเสียงเบา แล้วหันกลับมายิ้มกับผักปลาตรงหน้าต่อ คิดว่าคนโง่แถมยังหูตึงอย่างฮยอกแจคงไม่ได้ยินที่เขาพูดไป
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด คนตัวเล็กยังคงเอาแต่บ่นไปเรื่อย สักพักก็ลามไปถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ทงเฮไม่ได้รู้สึกรำคาญอย่างที่ควรจะเป็น
“ถ้าไม่บ่นสักวันนี่ไข้มันจะขึ้นหรือไงฮยอกแจ”
“แล้วไม่ทำตัวให้ต้องบ่นซักวันจะตายมั้ยทงเฮ”
คำตอบของร่างบางทำเอาคนฟังหัวเราะร่วน แต่เพราะต่างฝ่ายต่างหันหลังให้กัน ทำให้ทงเฮไม่ทันเห็นว่าริมฝีปากเรียบตึงของอีฮยอกแจค่อยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเล็กๆเช่นเดียวกัน
เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา…นั่นคงเป็นคำจำกัดความของคนอย่างทงเฮละมั้ง…คนบ้าอะไรโดนด่าอยู่ปาวๆแล้วยังจะมีอารมณ์มาหัวเราะอีก
ฮยอกแจส่ายหน้าก่อนจะเช็ดคราบไข่ไก่บนพื้นจนสะอาด แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างไม้ล้างมือ ทำความสะอาดตัวเองใหม่อีกครั้ง
เรียวคิ้วขมวดมุ่นเพราะรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวูบแปลกๆ แต่พอลองนึกทบทวนดูดีๆแล้วเขาก็เข้าใจทันทีว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
แก้มขาวขึ้นสีจางเพียงเพราะเห็นรอยยิ้มของคนนิสัยไม่ดีแบบนั้น…
รีบหยุดความคิดทุกอย่างไว้ก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ ร่างบางยู่ปากแล้วทำหน้าไม่เข้าใจใส่กระจก แต่สิ่งที่สะท้อนกลับมาก็มีเพียงแค่ความไม่เข้าใจเท่านั้นเอง
อารมณ์ชั่ววูบอย่างนั้นเหรอ?
ยังไม่ทันไรก็ย้อนกลับไปคิดถึงมันอีกจนได้ นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวในชีวิตเลยมั้งที่สลัดยังไงก็ไม่เคยหลุด ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการที่ฮยอกแจเก็บมันมานั่งคิดให้ต้องวุ่นวายใจเล่นเหมือนเดิม
“…แบบนี้อีกแล้ว” พึมพำกับตัวเองหน้านิ่ว ฝ่ามือเรียวยกขึ้นทาบลงบนผิวแก้ม ความสับสนแวะเข้ามาทักทายอีกครั้ง ทั้งที่อยากจะโบกมือลามันแทบขาดใจ
ความจริงแล้วมันก็แค่รอยยิ้มธรรมดาๆนี่นา…
ทงเฮก็แค่หัวเราะแบบจงใจจะกวนตีนเขาไปอย่างนั้นเอง ก็แค่รอยยิ้มธรรมดาที่แปลได้ว่าเจ้าตัวมันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเสียงบ่นของเขา
ก็แค่นั้นไม่ใช่หรือไง
…จะมาเขินอะไรกับคนที่เห็นกันมาตั้งแต่จำความได้แบบนั้นกัน
คิดไปพลางถอนหายใจยาว ใช้กระแสน้ำเย็นเป็นตัวช่วยดับข้อสงสัยมากมายในใจ ฮยอกแจเบ้ปากแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับหยดน้ำที่เกาะพราวบนใบหน้าออกไปลวกๆ
เมื่อก่อน…อีทงเฮก็เป็นแค่เด็กนิสัยไม่ดีที่อาศัยอยู่บ้านข้างๆ
เด็กเกเรที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็หาเรื่องแกล้งเขาทุกวัน
เพราะเกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แล้วแม่ของฮยอกแจก็เป็นเพื่อนกับแม่ของทงเฮมาตั้งแต่สมัยเรียน ยิ่งมาอยู่บ้านใกล้กันแบบนี้ก็ยิ่งทำให้การไปมาหาสู่กลายเป็นเรื่องปกติ
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งชีวิตของอีฮยอกแจมีเด็กนิสัยไม่ดีอย่างอีทงเฮเป็นเพื่อสนิทแค่เพียงคนเดียวมาตลอด…
แล้วจุดพลิกผันแรกในชีวิตก็เริ่มต้นขึ้นตอนฮยอกแจอายุได้เจ็ดขวบ
เขาจำอะไรไม่ได้มากนัก หลายๆอย่างเริ่มเลือนรางไปตามกาลเวลา เท่าที่พอนึกออกก็คงเป็นวันที่พี่สาวเดินเข้ามาบอกว่าพวกเราจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่เมืองนอก
เด็กเจ็ดขวบอย่างเขานึกไม่ออกเลยว่าเมืองนอกหน้าตาเป็นยังไง แต่พี่โซราบอกว่าเมืองนอกมีสวนสนุกที่ใหญ่กว่าที่นี่ มีตุ๊กตามาสคอตเดินแจกขนมกับลูกโป่งเยอะๆ มีร้านขายของเล่น มีอากาศอุ่นๆไม่หนาวด้วย
ฮยอกแจคิดว่าเมืองนอกคงจะไม่เลวร้ายไร
แต่พอคิดต่อไปถึงความจริงที่ว่าเมืองนอกไม่มีทงเฮ…
…เท่านั้นน้ำตามากมายก็พาไหลลงมาไม่หยุดหย่อน แหกปากงอแงพร้อมกับลั่นวาจาไปตามประสาเด็กๆว่าจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น
จำได้ว่าวุ่นวายกันไปทั้งบ้านจนคุณแม่ถึงกับกุมขมับ ท้ายที่สุดก็ไม่มีทางเลือกใด นอกจากจำต้องปล่อยลูกชายหัวดื้อไว้กับครอบครัวคุณนายอีเพื่อนสนิทที่อยู่บ้านหลังข้างๆ
ความห่วงใยก็มีมากตามประสาคนเป็นแม่ แต่อีซอนฮวาได้ให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลฮยอกแจให้ดีที่สุด เลยพอเบาใจลงไปได้บ้าง ตั้งใจไว้ว่าถ้าฮยอกแจโตพอก็อาจจะกลับมารับให้ไปอยู่ด้วยกัน
ส่วนอีทงเฮเด็กชายที่ไม่เคยรับรู้อะไร ได้แต่ยืนทำหน้างงสงสัยไม่เข้าใจว่าฮยอกแจร้องไห้ทำไม…จนถึงวันนี้แล้วทงเฮอาจจะยังไม่รู้ก็ได้ว่าตัวเองคือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ก่อนหน้านั้นสองปี ฮยอกแจอายุแค่ห้าขวบ…คุณพ่อก็มาด่วนจากไปด้วยโรคประจำตัว ด้วยความเป็นเด็กทำให้ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ารสชาติของการจากลาเป็นอย่างไร ความทรงจำที่มีร่วมกับคนเป็นพ่อเลือนรางมากจนตอนนี้นึกเสียดายที่ท่านจากไปก่อนที่เขาจะได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการได้อยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของฮยอกแจก็เหลือแค่แม่กับพี่สาว และเหตุผลที่ต้องย้ายไปต่างประเทศก็เพราะพี่โซราสอบชิงทุนได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นั่น แม่ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปตั้งรกรากใหม่ที่เมืองใดสักเมืองในอเมริกา โดยฝากบ้านหลังนี้ไว้ให้อีซอนฮวาแม่ของทงเฮดูแล
เหมือนคุณนายคงไม่ทันได้คิดว่านอกจากบ้านของสามีแล้ว เธอยังต้องมาฝากลูกชายคนสุดท้องไว้ด้วยอีกคน
นึกไปแล้วก็ยังตลกตัวเองไม่หาย ทำไมถึงให้คนนิสัยไม่ดีแบบทงเฮมาเป็นเหตุผลที่จะไม่ไปก็ไม่รู้…ตอนนั้นคิดแค่เพียงว่าสวนสนุกกับร้านขายของเล่นไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับฮยอกแจเลยถ้าไม่มีทงเฮอยู่ด้วยกัน
เด็กชายวัยเจ็ดขวบจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่นไม่ต่างไปจากที่เคยเป็นอยู่ เพราะความสนิทสนมระหว่างสองบ้านที่มีมาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ยังสาวช่วยลดช่องว่างต่างๆลงไปได้มากโข
อีซอนฮวาจึงเป็นเหมือนแม่คนที่สองของฮยอกแจนับตั้งแต่นั้นมา
วันเวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงชีวิตมัธยมที่เต็มไปด้วยสีสัน…เรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามามากมายหล่อหลอมให้เด็กเจ็ดขวบที่ดูไม่ประสีประสาในวันนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทีละนิด
ที่สำคัญฮยอกแจได้ตื่นเช้ามาเจอหน้าทงเฮทุกวันสมใจอยากจริงๆ
กระทั่งชีวิตเดินทางมาถึงจุดพลิกผันที่สอง ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตวัยรุ่น คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย…และเขายังคงจำได้แม่นยำว่าตัวเองดีใจแค่ไหนตอนที่รู้ว่าสอบติดที่เดียวกับทงเฮ
แต่เพราะมหาวิทยาลัยที่สอบติดอยู่ห่างไกลจากบ้านตั้งเยอะ จะไปมาก็ลำบาก ทำให้ต้องย้ายออกมาเช่าคอนโดใกล้ๆอยู่ด้วยกัน
ตอนแรกฮยอกแจก็ดีอกใจจนลืมคิดไปเสียสนิทว่าการใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกับคนอย่างทงเฮตามลำพังแค่สองคนโดยไม่มีอีซอนฮวาอยู่ด้วยมันไม่ใช่เรื่องง่าย…คนเอาแต่ใจแบบนั้นน่ะ
“ฮยอกแจดูกีต้าร์ให้หน่อยดิ เป็นรอยปะวะเมื่อกี้ตกพื้นแรงสัส”
…นั่นปะไร…
ทุกวันนี้กูก็งงว่าตัวเองมาเรียนหนังสือหรือมาคอยรับใช้มันกันแน่ ฮยอกแจกลอกตา ก่อนจะเดินไปสำรวจความเรียบร้อยของกีต้าร์โปร่ง พอเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายนอกจากรอยขีดเล็กๆตอนตกกระทบพื้นก็พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ามันยังโอเค
ร่างเล็กละมือจากกีต้าร์ไปสนใจตุ๊กตามือตัวใหญ่ที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียงแทน นี่คงไม่พ้นพวกบรรดาแฟนคลับสาวๆของทงเฮให้มาอีกเหมือนเดิม บางวันก็ช็อคโกแลต บางวันก็เป็นขนมแพงๆ ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวก็ดีหน่อยได้เสื้อโค้ทยี่ห้อดีมา
ไม่อยากเชื่อว่าคนนิสัยไม่ดีแบบนั้นจะมีคนเข้าหาจนนับไม่ถ้วน
ฮยอกแจเบ้ปากน้อยๆ ทีกับเขาไม่เห็นจะมีคนเอาอะไรมาให้แบบนั้นบ้างเลยนอกจากช่วงเทศกาล ทงเฮนี่แม่งได้แบบวันเว้นวัน แต่ว่านะ…พวกสาวๆคงเสียใจแย่ถ้ารู้ว่าของที่พวกเธอตั้งใจซื้อให้ ท้ายที่สุดแล้วมันตกมาเป็นของฮยอกแจทั้งหมด
“เป็นบ้าเหรอนั่งยิ้มคนเดียว”
เสียงปีศาจร้ายลอยมาขัดจังหวะความคิด ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นจากเจ้าตุ๊กตาหมีอย่างเสียอารมณ์ คนกำลังคิดอะไรเพลินๆไอ้นี่ก็ชอบขัดจัง
“ยุ่ง”
“ว่างนักใช่มั้ยงั้นมาทำนี่เลย”
“ไม่ทำ” ตอบไปแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็รู้อยู่หรอกว่าคนอย่างทงเฮมันทำกับข้าวไม่เป็น แต่ขี้เกียจลุกไปช่วยอะมีไรป่าว
“ตัวนี้ใครให้มาอะ” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วชี้จิ้มๆลงไปบนหัวตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อนที่ราคาคงแพงพอตัว
“ซองมิน”
“………”
หน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ รอยยิ้มสว่างไสวจางหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือเรียวจะจัดการถีบส่งเจ้าตุ๊กตาหมีไปให้ไกลตัวที่สุด เพราะหลังจากรู้ว่าเจ้าของเป็นใครแล้วก็เกิดเหม็นขี้หน้ามันขึ้นมาทันที
คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำครัวคงไม่ได้ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ ทงเฮเอาแต่ตีหน้ายุ่งไม่เข้าใจว่าควรจะเริ่มทำอาหารพวกนี้ยังไง
เพราะปกติถ้าเบื่ออาหารสำเร็จรูปก็จะซื้อเข้ามาทำกินเองแบบนี้ และหน้าที่ของทงเฮก็มีแค่ซื้อของเข้ามาแล้วจัดเตรียมไว้ให้ฮยอกแจลงมือทำเท่านั้น
ส่วนร่างเล็กที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุตัดสินใจลุกขึ้น แล้วเดินเลี่ยงไปจัดชั้นหนังสือด้วยความหวังว่าตัวเองจะอารมณ์ดีขึ้น
ปลายนิ้วเรียวไล่หาอัลบั้มรูปสมัยที่ยังเป็นเด็ก
…บางทีควรจะหยิบมันออกมาปัดฝุ่นเสียบ้าง
หน้าแรกถูกเปิดออกอย่างเบามือ ตาคู่สวยไล่มองตั้งแต่รูปแรกไปเรื่อยๆ เผลอคลี่ยิ้มออกมาให้กับเด็กชายสองคนที่กอดคอกันฉีกยิ้มในภาพ ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตัวเองอยู่ในอารมณ์เช่นไร
เด็กชายสองคนที่ไม่เคยห่างกันแม้แต่สักครั้งเดียว…
…มองแล้วก็อดจะยิ้มตามไปไม่ได้
แล้วความรู้สึกบ้าๆแบบนั้นจะมาเกิดขึ้นกับไอ้เด็กท่าทางแก่นแก้วแบบนี้เนี่ยนะ…นั่นน่ะมันน่าขนลุกจะตายไปไม่ใช่หรือไง
ฮยอกแจหัวเราะแบบไม่ใส่ใจอะไรนัก เขาปัดไล่มันทิ้งไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนทุกครั้ง แล้วปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวเก่าๆในวัยเด็ก ทุกความทรงจำผ่านสายตาไปช้าๆ จนกระทั่ง…
“ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ใครบางคนตะโกนแหกปากลั่นทำลายภาพแสนสวยงามในหัว
ฮยอกแจห่อไหล่แล้วกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะบรรจงพับอัลบั้มภาพเก็บเข้าชั้นตามเดิม ร่างบางหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาทงเฮที่กระโดดเหยงๆเข้ามาเกาะ
“อะไรของมึงเนี่ย”
“น้ำมันกระเด็นใส่แขนนนฟงหวกฟหวงฟหงกวดสงวหกด”
“โอ้ย”
…แค่นี้เนี่ยนะ! ฮยอกแจตะโกนลั่นอยู่ในใจ อยากจะดึงคนขี้โวยวายมาทุบให้หัวแตก คือแค่น้ำมันพืชกระเด็นโดนแขนแค่นี้มันจะตายไหมถามนิดหนึ่ง เบาแก๊สก็จบละป่ะ
“หลบไปไกลๆเลยไป” ออกแรงผลักร่างหนาไปอีกทาง แล้วเข้าไปจัดการสิ่งที่ไอ้ตัววุ่นวายนั่นทำเละเทะไว้โดยไม่ลืมหันกลับมาชี้หน้าสั่งเสียงเฉียบ “วันหลังไม่ต้องคิดจะทำอีกเลยนะ เข้าใจมั้ย”
“ก็ให้มาทำแล้วไม่มาเองนี่…”
ทงเฮว่าพลางลูบแขนตัวเองไปมาหน้าบูดเบี้ยว ฮยอกแจเลยเบ้ปากกลับไปทำนองว่ากูหมั่นไส้มึงสุดๆเหมือนกันไม่ต้องมาทำหน้าตาเป็นหมาน้อยน่าสงสารเลยคิดว่าจะยอมใจอ่อนหรือยังไง
ยืนถกเถียงกันไปมาอยู่พักใหญ่ ตัวปัญหาที่สำนึกผิดได้แค่สามนาทีก็รีบจรลีออกไปคุยโทรศัพท์นอกระเบียงเหมือนอย่างเคยทุกวัน
ร่างบางมองแผ่นหลังกว้างของเพื่อนสนิท ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เรียกได้ว่าโคตรจะธรรมดาสำหรับเด็กมหาลัยที่จะมีฟงมีแฟน
ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ
สาบานได้ เขาไม่เคยรู้สึกอะไรเวลาที่ทงเฮคุยโทรศัพท์กับผู้หญิง…อาจเป็นความเคยชินเพราะตั้งแต่เข้ามัธยมมานี่คนเข้าหามันเป็นร้อยๆคนได้แล้วมั้ง แล้วคนที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างเขามีเหรอที่จะไม่รับรู้
จริงๆก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกอะไรอยู่แล้วนี่นา…
เพื่อนมีแฟนไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ใช่ป่ะล่ะ เพราะยังไงทงเฮก็แสดงออกให้รู้อยู่ตลอดว่าคนที่เข้ามานั้นไม่เคยมีใครสำคัญไปกว่าฮยอกแจเลยแม้สักคนเดียว เท่าที่เห็นมันก็ไม่เคยจริงจังกับใคร ไม่เกินสองสามเดือนก็เลิกไปหมดด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่ามันเอาใจใครไม่เป็น
แต่…
ฮยอกแจเลื่อนสายตามามองตุ๊กตาหมีที่ถูกวางไว้มุมห้อง
ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิด
อีซองมิน
‘ซองมินเขามาขอกูคบ’
‘ซองมิน?’
‘เออ คนเรียนที่เดียวกับเราตอนมอปลายไง ซองมินห้องสาม’
คนที่ผิวขาวหน้าตาน่ารักคนนั้นน่ะเหรอ…
‘ยินดีที่ได้รู้จักนะฮยอกแจ’
เสียงหวานน่าฟังและรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล…
‘ฮยอกแจผิวขาวเนอะ…ซีดยังกับคนตาย…’
ความอ่อนโยนทั้งในแววตาและการกระทำ…
‘…หุ่นก็ดี…แต่ดูขี้โรคจัง’
เขาไม่เคยลืม…
‘ได้ยินจากทงเฮว่าฮยอกแจวาดรูปเก่งมากเลย เออจะว่าไป…มีเพื่อนอย่างฮยอกแจเนี่ย ชีวิตทงเฮไม่ค่อยดีขึ้นเลยเนอะ’
ฮยอกแจไม่เคยลืม…
‘ฮยอกแจสนิทกับทงเฮมากใช่มั้ย…แต่ก็คงได้แค่นั้นแหละ’
ไม่เคยลืมคำพูดที่ร้ายกาจถูกซ้อนไว้ภายใต้ใบหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์
รอยยิ้มหวานที่เคลือบแฝงด้วยยาพิษ…
เป็นครั้งแรกที่ฮยอกแจรู้สึกไม่ชอบใจเลยจริงๆ พูดจริงๆไม่ได้โกหก เป็นครั้งแรกที่เกิดเหม็นขี้หน้าขึ้นมาไม่มีเหตุผล ไม่ชอบ ไม่อยากให้คบ มากมายหลายสิ่งแต่ไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่ประท้วงอยู่ในใจเงียบๆอารมณ์เหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นชิ้นโปรดที่ไม่ใช่ของตัวเอง
ในเมื่อไม่ใช่ของตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์หวง…ก็ถูกแล้ว
อยากจะตบหัวตัวเองเผลอไม่ได้เป็นต้องคิดอะไรดราม่าตลอด พยายามจะไม่สนใจแล้วแต่ก็ยังทำไม่ได้นี่มันน่าโมโหจริง ฮยอกแจสะบัดศีรษะแรงๆไล่ความคิดอกุศล แล้วหันมาจัดการกับภาระกองโตตรงหน้า
เขาจะไม่เก็บความรู้สึกแบบนั้นมาใส่ใจอีก
และภาวนาว่าสักวันมันจะหายไปจริงๆสักที
TBC
ความคิดเห็น