คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : chapter 15
15
สายตาของคนทั้งคู่สบประสานกันผ่านความเงียบ…
นั่นทำให้ทงเฮแทบจะสำลักความอึดอัดตายอยู่รอมร่อ หลังจากที่อ่านจดหมายฉบับนั้นจบ เขาก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกับฮยอกแจอีกแล้ว จึงไม่ได้คิดแผนเตรียมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้เอาไว้เลย…
ทงเฮไม่รู้วิธีการรับมือกับความรู้สึกมากมายที่พร้อมใจกันประดังประเดเข้ามา…อย่างเช่นตอนนี้ที่ทำได้แค่เบือนหน้าไปอีกทางหรือไม่ก็ก้มลงมองฝ่ามือตัวเอง เขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำทั้งที่มีคำถามมากมายไหลเวียนอยู่ในหัว ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรเพื่อลดช่องว่างที่น่าอึดอัดนี่ลง
ขี้ขลาด
ตอนนี้ทงเฮคงเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดที่สุดในโลก…
เขาเลื่อนหน้ากลับมาสบตากับร่างบางอีกครั้ง บางทีฮยอกแจอาจกำลังรอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง แต่พอจะเริ่มต้นประโยค ความรู้สึกผิดก็พากันแล่นขึ้นมาจุกหลอดลมจนพูดไม่ออกไปเสียอย่างนั้น
มีบางอย่างเปลี่ยนไป
นั่นเป็นความรู้สึกเดียวที่ทั้งสองรับรู้ได้ตรงกัน
เวลาผ่านไป ต่างฝ่ายต่างก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเช่นเดิม ฮยอกแจจึงใช้เวลาตรงนั้นทบทวนตัวเองไปพร้อมๆกับคนตรงหน้า
“ฮยอกแจ…” ในที่สุดทงเฮก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน และตอนนั้นเองที่ฮยอกแจรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นรัวจนไม่ทันได้สังเกตว่าปลายเสียงของคนตรงหน้าสั่นเครือ “…ไม่ได้ไปอเมริกาเหรอ”
คำถามสั้นๆที่มาพร้อมกับเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คอันโต
“อะไรนะ…” ฮยอกแจถามกลับไปเสียงสูง “…อเมริกาเหรอ?”
“ไม่ได้ไปเหรอ”
ร่างบางส่ายหน้ารัว ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมากับสิ่งที่ได้ยิน ตรงกันข้าม ทงเฮที่รู้แบบนั้นแล้วก็ยิ่งขมวดคิ้วหน้าเครียดหนักกว่าเดิม
“คยูฮยอนบอกว่ามึงไป…”
เมื่อคีย์เวิร์ดสุดท้ายหลุดออกมา ฮยอกแจก็เข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม ร่างบางรีบส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบอีกครั้ง
“ซะที่ไหนกันเล่า…” พูดจบก็ยกมือขึ้นมาปิดปากพยายามกลั้นหัวเราะจนเจ็บหน้าท้อง “ก็อยู่ที่นี่ตลอดอ่ะ”
โจคยูฮยอน…
ทงเฮอยากจะตบกบาลตัวเองแรงๆ นี่ลืมไปได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นมันเป็นปีศาจที่ทอแรและแถเก่งที่สุดในโลก…เขากำมือแน่น ก่อนจะคาดโทษเอาไว้ในใจ สาบานเลยว่าเดี๋ยวต้องมีการคิดบัญชีย้อนหลังแน่
“แล้วโทรไปทำไมไม่รับ”
“เปลี่ยนเบอร์แล้ว”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้กลับไม่ได้น่าอึดอัดเหมือนในทีแรก ทงเฮดูหัวเสียนิดหน่อยกับประเด็นก่อนหน้านี้ แต่พอหันมาเจอคนผมบลอนด์ทำตาปริบๆอยู่ตรงหน้าก็อารมณ์ดีขึ้นมานิดนึง
“เงียบทำไมอ่ะโกรธเหรอ…ฮ…เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว ร่างทั้งร่างก็ลอยวืดขึ้นจากพื้นโดยมีแขนแกร่งของทงเฮโอบรัดไว้ ฮยอกแจรีบเกี่ยวคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ไอ้บ้าปล่อยเลย เล่นอะไรเนี่ยฟหกดเฟหกาเสดก่าฟสาดกห”
พอได้สติก็โวยวายออกมาดังลั่นเรียกเสียงหัวเราะของทงเฮได้เป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์ เขาวางร่างบางลงบนเตียงกว้าง ก่อนจะตามลงไปนั่งข้างๆด้วยสีหน้ากึ่งขบขัน
“ใจคอจะนั่งคุยกันบนพื้นจริงๆหรือไง”
ฮยอกแจหน้ามุ่ย มองคนตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มทะเล้นไม่เลิก เริ่มหงุดหงิดนิดหน่อยที่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนทางสายตาจนกลายเป็นต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน
“จะมาจ้องทำไม…” ฮยอกแจถามขึ้น ทว่าเสียงนั้นกลับบางเบาแทบจะถูกกลืนหายไปกับอากาศ ทงเฮหัวเราะกับท่าทีของร่างบางที่แสดงออกมาเหมือนจะไม่กลัวเกรง แต่ก็ไม่กล้ามองกลับมาอยู่ดี
มีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปจริงๆด้วย…
“ทำไม” ทงเฮว่าพลางใช้มือจับคางมนให้หันกลับมา “หลบทำไม”
“เปล่า…”
เวลานี้คำว่าเพื่อนเหมือนจะไม่มีความหมายสำหรับเขาอีกต่อไป ทงเฮอยากจะถีบมันออกไปไกลๆแล้วเริ่มต้นทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเสียที
เขาควรจะมองใบหน้านี้ให้เต็มตาเพื่อชดเชยสองสัปดาห์ที่เสียไป
“จะเปล่าได้ไงก็เห็นอยู่ว่าหลบ”
ทงเฮเริ่มสนุกกับการใช้สายตากลั่นแกล้งคนตรงหน้า เขาหัวเราะออกมาเมื่อเห็นฮยอกแจทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มทน
“อย่าแกล้งได้มั้ย…”
โอเค…ฮยอกแจจะร้องไห้จริงๆแล้ว ทงเฮละสายตาจากใบหน้านั้น ก่อนจะขยับห่างออกมา ร่างบางพ่นลมหายใจเหมือนโล่งอก แต่แล้ว…
“ไหนบอกว่ารักไง”
ทงเฮคิดว่าถ้าหากมีอะไรเปลี่ยนไปอย่างที่รู้สึกจริงๆ…
ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆเขาก็ไม่ควรปฏิเสธหรือวิ่งหนีมันอีก
“อะไร………..นะ”
ฮยอกแจน่ารักจะตายเวลาแก้มแดง…
เรื่องนั้นเขารู้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้วล่ะนะ
“ก็ฮยอกแจบอกว่ารักทงเฮ”
“……………”
“ทงเฮคือความรั…โอ้ยยยยยยยยยยยยยย”
ฝ่ามือเรียวของคนตัวเล็กแต่พละกำลังเหมือนควายสิบตัวฟาดลงมาที่ท่อนแขนของทงเฮอย่างไม่ออมแรงเลยแม้แต่น้อย จนคนที่กำลังมีแผนชั่วในใจถึงกับแหกปากโวยวายออกมาลั่น
“โอเคๆๆไม่แกล้งละ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เสียงหัวเราะสะใจก็ยังไม่จางหายไป ฮยอกแจปั้นหน้าบูดบึ้งมองคนข้างๆแล้วเตรียมจะขยำหัวอีกทีให้หายแค้นหายเขิน
“โอ้ยพอแล้วๆ ยอมแล้วๆ”
ทงเฮยกมือขึ้นมาเป็นเชิงว่ายอมแล้วจริงๆ เขาดึงคนตัวบางที่หน้าขึ้นสีระเรื่อเข้ามาไว้ในอ้อมกอดโดยไม่ฟังเสียงประท้วงจากอีกฝ่าย
เขาเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองได้หัวเราะอย่างเต็มเสียงแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เห็นทีว่าคงจะถึงเวลาแล้วที่ทงเฮต้องโบกมือลาความทุกข์ระทมในใจที่สะสมมาตลอดหลายวันลงตรงนี้
ลาก่อนความเสียใจ
Godbye my nightmare! J
- - - - - - - - - - - - - - -
นี่อาจเป็นเช้าแรกที่ดีที่สุด
ทงเฮลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้นอนเต็มอิ่มโดยไม่ฝันร้ายเหมือนคืนก่อนๆที่ผ่านมา เพดานสีขาวสะอาดเป็นสิ่งแรกที่มองเห็น เขาบิดขี้เกียจก่อนจะพลิกตัวหันกลับไปมองคนที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างกาย
ฮยอกแจ…
คนที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายวัน…ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาอยู่ตรงหน้าเร็วขนาดนี้ ทงเฮยังจำได้ดีว่าตลอดเวลาที่ไม่มีคนตัวเล็กอยู่ข้างกายมันทรมานถึงขนาดที่แค่จะฝืนยิ้มยังรู้สึกว่ามันช่างยาก
แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกว่าตัวเองคงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกไปแล้ว เมื่อได้มองเห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในห้วงนิทรา มันคงไม่มีอะไรวิเศษไปกว่าการลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเจอคนตัวเล็กนอนอยู่ข้างๆแบบนี้
ทงเฮจ้องมองใบหน้านั้นอยู่เนิ่นนาน แล้วรอยยิ้มบางๆก็ระบายออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ปลายนิ้วเรียวเลื่อนขึ้นเกลี่ยเส้นผมสีบลอนด์ให้พ้นไปจากกรอบหน้า
“อื้อ…” แม้จะเป็นสัมผัสที่บางเบา แต่ก็ทำให้คนที่นอนอยู่เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา ร่างบางขยับตัวนิดหน่อย ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆขยับขึ้นรับแสงของวันใหม่
“ตื่นแล้วเหรอ”
ฮยอกแจแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นทงเฮกำลังจ้องมองมา แถมยังมีรอยยิ้มทะเล้นๆนั่นอีก…แต่เขาก็ไม่มีสติมากพอจะพูดหรือถามอะไรต่อจากนี้ ความง่วงมึนยังคงถ่วงให้เปลือกตาพร้อมจะปิดลงทุกเมื่อ
“ยังไม่ตื่นมั้งเนี่ย” ทงเฮตอบพลางกลั้วหัวเราะ ก่อนจะใช้ทาบมือลงไปที่ผิวแก้มเนียน แล้วสัมผัสนุ่มนิ่มที่ฝ่ามือก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัวขึ้น
“อย่าสิ”
ฮยอกแจส่งเสียงประท้วงอยู่ในลำคอ เมื่อมือปลาหมึกของทงเฮเริ่มซุกซนจนนอนต่อไม่ได้ เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ดันตัวเองขึ้นมาแล้วฟาดมือเข้าที่แขนแกร่งเต็มแรง
“ไอ้เลว” ว่าแล้วก็คว้าหมอนขึ้นมาเหวี่ยงใส่อีกฝ่าย “คนจะนอน”
ทงเฮหัวเราะออกมากับสีหน้ายุ่งๆที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ฮยอกแจนั่งหัวเสียอยู่สักพักก็ทำท่าจะลุกไปอาบน้ำ แต่ทว่าเอวบางกลับถูกแขนของคนที่นอนอยู่รวบไว้จนเซถลาลงมานั่งเหมือนเดิม
“ทงเฮ”
“ครับ”
“อยากโดนใช่มั้ย”
เสียงแข็งๆของฮยอกแจไม่ได้ทำให้ทงเฮยอมเชื่อฟัง ซ้ำยังจะยิ่งรั้งเอวบางให้เข้ามาใกล้มากขึ้นจนคนตัวเล็กต้องหันกลับมาทำหน้าจะเอาเรื่องถึงได้ยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
ฮยอกแจพาตัวเองเข้าไปทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำอยู่นานสองนาน พอกลับออกมาก็เจอทงเฮกำลังนั่งเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าให้อย่างขมักเขม้น
“จะรีบไปไหนเนี่ย” ฮยอกแจว่าพลางกลอกตากับท่าทีกะตือรือร้นเกินกว่าเหตุของอีกฝ่าย ทงเฮดูตื่นเต้นมากหลังจากที่เมื่อคืนเขาตอบตกลงว่าจะกลับไปอยู่ที่คอนโดด้วยเหมือนเดิม
“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวจัดเอง”
ร่างบางใช้เท้าเขี่ยๆคนที่นั่งทำหน้ามึนอยู่บนพื้น ทงเฮขมวดคิ้วแต่ก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี เขารับผ้าขนหนูที่ฮยอกแจโยนมาให้แล้วทำท่าจะเดินเข้าห้องน้ำ แต่แล้วก็ต้องสะดุดกึกกับประโยคหนึ่งที่ดังไล่หลังมา
“แล้วกลับไปเอารถมารับด้วยนะ”
ทงเฮหันหน้ากลับมามองคนที่ตอนนี้ลงไปนั่งจัดกระเป๋าแทนเขาด้วยหัวใจที่กำลังพองโตขึ้นอย่างช้าๆ…นึกสงสัยว่าทำไมเดี๋ยวนี้ก้อนเนื้อในอกถึงได้ขยันเต้นผิดจังหวะบ่อยจัง
แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าประโยคเมื่อครู่…
ปกติแล้วฮยอกแจมักจะชอบบอกว่าให้ขึ้นรถเมล์เอาก็ได้ไม่แพงแถมประหยัดน้ำมันบลาๆอะไรประมาณนั้น
ไม่เคยหรอกที่จะอ้อนให้ตามใจแบบนี้
เปล่า…เขาไม่ได้รู้สึกแย่หรือไม่ชอบใจ ตรงกันข้ามทงเฮกลับรู้สึกดีมากด้วยซ้ำที่ฮยอกแจแสดงท่าทีเอาแต่ใจแบบนี้บ้าง ไม่ใช่คอยตามดูแลเขาฝ่ายเดียวอย่างที่ผ่านมา
“ก็ไม่ชอบนั่งรถไฟฟ้า” ฮยอกแจที่เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องมองรีบแก้ตัวออกไปเสียงขุ่น “คนมันเยอะ”
พูดจบใบหน้าขาวก็ขึ้นสีระเรื่อจนคนมองเกือบวูบไปตรงนั้น ทงเฮไม่ได้ตอบรับอะไรนอกจากหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งให้ฮยอกแจขมวดคิ้วมองตาม
หลังจากที่บานประตูปิดลงเหลือเพียงความเงียบ
รอยยิ้มจางจึงปรากฎขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งคู่…
- - - - - - - - - - - - - - -
เหี้ยมาก…
เพราะการจราจรที่หนาแน่นทำให้ทงเฮหงุดหงิดหน่อย…อันที่จริงก็ไม่นิดละ เกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่เขาติดแหงกอยู่ตรงแยกนี้ไม่ได้ขยับไปไหน แน่นอนว่าคนอารมณ์ร้อนโดยสันดานไม่มีทางทนได้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องมานั่งทำสงครามกับฮยอกแจที่เอาแต่บ่นว่าหิวข้าวไม่ได้หยุด
ดีกันได้ไม่ถึงห้านาทีจริงๆ…
ทงเฮกลอกตาอย่างอ่อนใจ หลังจากที่ลงทุนนั่งรถไฟฟ้ากลับไปเอารถมารับคุณนายที่นั่งกระดิกขารออยู่บ้านสบายใจ แล้วเขายังต้องมาอดทนกับสภาวะการจราจรที่ห่วยแตกสุดๆอีก แต่ก็เอาเถอะ…
ยอม
“บอกให้เลี้ยวไปทางนั้นแทนทำไมไม่ยอมไปอะ หิวข้าวจะแย่ละเนี่ยต้องรออีกกี่นาทีมันจะขยับ โอ้ยควายจริงๆ”
ถ้าไม่ใช่ฮยอกแจนี่กูถีบตกรถไปนานละบอกเลย ทงเฮได้แต่พึมพำอยู่คนเดียว เพราะยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนอกจากนั่งรอต่อไปเรื่อยๆ
“เดี๋ยวหลุดแยกนี้ไปได้ มึงเลี้ยวข้างหน้านั่นนะ มีตลาดนัด”
= _ =
“ไปทำบ้าไรที่ตลาดนัด”
ทงเฮตอบกลับไปด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวไม่แพ้กัน ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วมองทงเฮประมาณว่านี่โง่จริงหรือแอ๊บ
“ไปซักผ้าที่ตลาดนัดมั้ง”
ฝั่งทงเฮที่ได้ยินแบบนั้นแล้วก็เลือกเงียบปากไปเป็นที่ดีสุด บทเรียนที่จำได้ขึ้นใจเลยคือไม่มีครั้งไหนเลยที่ทงเฮจะเถียงชนะฮยอกแจ โดยเฉพาะเรื่องติ๊งต๊องไร้สาระแบบนี้
นั่งรออยู่ไม่นานไฟเขียวก็มาโปรด ทงเฮพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกโล่งใจเป็นอย่างมาก รถยนต์คู่ใจค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปพอดีกับฮยอกแจที่เงยหน้าขึ้นมาจากเทคโนโลยีในมือ
“เลี้ยวๆๆ”
“เออรู้แล้ว”
เอาจริงๆนะ ถ้าไม่ติดว่าชีวิตเพิ่งดราม่ามาทงเฮจะขอจับคนตัวเล็กนี่มาหักคอกินแทนข้าวสักมื้อให้หายหมั่นเขี้ยว แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นอ่ะ เพราะความเป็นจริงคือเขาพ่ายแพ้ให้ฮยอกแจทุกทางอยู่ละ
“คนเยอะ”
คำแรกที่ทงเฮพูดออกไปหลังจากก้าวเท้าลงจากรถ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแบบอารมณ์เสียสุดๆ ตรงหน้าคือตลาดนัดขนาดเล็กที่มีคนมากหน้าหลายตาเดินสวนไปมา และมันเบียดเสียดถึงขนาดที่ว่าเขาไม่อยากจะจินตนาการเวลาฮยอกแจไปเดินอยู่ท่ามกลางฝูงคนพวกนั้นเลย ดีไม่ดีอาจจะโดนเหยียบตายก็ได้ ตัวยิ่งเล็กๆอยู่
“แล้วยืนนิ่งอยู่ทำไมเนี่ย ตามมาเร็ว”
ระหว่างที่ยืนมโนหน้าเครียดอยู่นั้น คนผมบลอนด์ก็ยื่นมือมาดึงเสื้อของเขาให้เดินตามไป ร่างของเขาค่อยๆกลืนเข้าไปกับฝูงคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ และแน่นอนว่าฮยอกแจมัวแต่สนใจร้านค้าที่วางเรียงรายจนไม่ได้ทันสังเกตสีหน้าของทงเฮในตอนนี้
“ฮยอกแจ…” สะกิดเรียกคนข้างหน้าพร้อมทั้งกลืนน้ำลายเอือก เตรียมรับมือกับพายุอารมณ์ลูกใหญ่ที่กำลังจะตามมาในไม่ช้า
เวลาเลือกของอย่ากวน นั่นคือสิ่งที่ฮยอกแจประกาศกร้าวไว้ตั้งแต่จำความได้ แต่จะให้ทำยังไงวะ เขาไม่ชอบที่นี่จริงๆนะมันร้อน คนก็เยอะเบียดกันไปเบียดกันมา “…ไปเดินตากแอร์ในห้างกันเถอะ”
“ทำอะไรอยู่ไม่เห็นเหรอ”
“ก็มัน…”
“แป๊ปเดียว ขอดูของก่อน”
ทงเฮจำใจต้องเดินตามร่างเล็กไปอย่างเสียไม่ได้ สาบานว่าเขาไม่ได้ละสายตาจากแผ่นหลังของฮยอกแจเลยแม้แต่วินาทีเดียว คนเยอะขนาดนี้ร้อยทั้งร้อยมีสิทธิ์หลง…เขารู้ว่าฮยอกแจไม่ใช่เด็กแล้ว แต่ถ้ามันเกิดหลงขึ้นมาก็ต้องเสียเวลาตามหาอีก
“เห้ย”
นั่นไง…เผลอคิดอะไรเพลินๆไม่ทันไรฮยอกแจเดินไปนู้นละ ทงเฮแทรกตัวเดินตามไปพลางถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อกี้เกือบหาฮยอกแจไม่เจอใจหายแวบเลย แต่โชคดีหน่อยที่ผมสีบลอนด์มันสะดุดตา
พอแทรกตัวเข้าไปได้แล้วก็คว้ามือบางมากุมไว้แน่น ด้วยความกลัวว่าจะคลาดกันอีกรอบ ฮยอกแจที่กำลังเลือกของอยู่ถึงกับต้องหันหน้ามามองอย่างงุนงง
“จับมือไว้ จะได้ไม่หลง”
เหตุผลสั้นๆที่ให้คนตัวบางถึงกับขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ฮยอกแจเดินเลือกของไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยไปบ่ายสองกว่า นึกขึ้นมาได้รีบหันไปมองทงเฮที่ยืนหน้าซีดเหมือนคนจะตาย
“อึดอัดเหรอ”
“เปล่าอะ หิว” ทงเฮบ่ายเบี่ยง ทั้งที่ความจริงก็ทั้งอึดอัดทั้งหิวทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งง่วงนั้นแหละ
“ปล่อยมือก็ได้นะ”
ฮยอกแจพูดจบก็ชักมือออก แล้วเดินนำลิ่วๆไปทิ้งให้ทงเฮมองตามอย่างด้วยสายตามึนงง ร่างบางเดินแทรกตัวออกไปหาอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก ยืนอยู่สักพักไม่เห็นทงเฮตามออกมาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะชะเง้อคอมองหา แต่คนเยอะขนาดนี้แน่นอนว่าคนตัวเล็กอย่างเขาไม่มีทางหาเจอ เลยตัดสินใจหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาเตรียมจะโทรตามอีกฝ่าย
“ฮยอกแจ”
ทว่าเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้ต้องหันกลับไปมอง แล้วก็พบว่าทงเฮกำลังวิ่งเหยาะๆเข้ามาหยุดตรหน้าพร้อมกับหอบหายใจถี่รัวเหมือนกำลังจะตาย
“ไหวปะเนี่ย…” ฮยอกแจพูดเสียงเบา ก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยลูบแผ่นหลังกว้าง ทงเฮที่พอกอบโกยอากาศเข้าปอดแล้วก็ยืดตัวขึ้น แล้วส่งน้ำสีแดงในมือให้คนตรงหน้า
“สตอเบอรี่ปั่น”
ฮยอกแจรับน้ำสตอเบอรี่ปั่นมาแล้วมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่แปลกไป เริ่มอึดอัดกับความห่วงใยที่อีกฝ่ายหยิบยื่นมาให้ทั้งที่ไม่เคยทำ
ไม่ชิน…
“มึงไม่ต้องทำขนาดนี้หรอก”
อีกทั้งความทรงจำในคืนนั้นก็ยังไม่จางหายไป ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางทีทงเฮอาจจะมาตามเอาใจเขาเพราะแค่ความรู้สึกผิดก็ได้
“บอกแล้วไงว่าไม่ได้โกรธแล้ว”
ฮยอกแจส่ายหน้าช้าๆก่อนจะยิ้มฝืน ทงเฮไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ดวงตาคู่คมมองกลับมาด้วยความรู้สึกที่ร่างบางอ่านไม่ออกเท่านั้น
“กลับเถอะ…” ว่าไว้แค่นั้นแล้วก็เดินนำออกมาเงียบๆ พอกำลังจะก้าวขาขึ้นรถ ข้อมือบางก็ถูกรั้งไว้จนต้องหยุดชะงัก
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
ฮยอกแจไม่ได้หันไปมองว่าทงเฮกำลังมีสีหน้ายังไง เขากลืนน้ำลายลงคอก่อนจะชักมือออกจากเกาะกุม
“แล้วปกติมึงเคยทำแบบนี้เหรอทงเฮ”
เหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ทั้งที่มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ฟังดูร้ายแรงอะไร ทงเฮจ้องมองแผ่นหลังบางที่อยู่ห่างกันไม่ถึงก้าวด้วยความรู้สึกที่ตีรวน
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน…” ฮยอกแจพูดย้ำโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมามอง แต่ถึงอย่างนั้นทงเฮก็ยังรับรู้ได้ว่าไหล่บางสั่นไหว แม้น้ำเสียงนั้นจะฟังดูหนักแน่นมากก็ตามที “ไม่ใช่สิ…เราเป็นเพื่อนกัน”
ทงเฮปิดเปลือกตาลงเพื่อข่มความรู้สึกไว้ข้างใน สถานะที่อีกฝ่ายย้ำเตือนมาทำให้เขารู้ตัวว่าเผลอมองข้ามตรงจุดเล็กๆนี้ไป
“แล้วเพื่อนก็ไม่จำเป็นต้องมาทำอะไรแบบนี้ให้กันหรอก”
น้ำสตอเบอรี่ปั่นถูกส่งคืน ก่อนที่ร่างบางจะแทรกตัวเข้าไปนั่งนิ่งๆในรถ ทิ้งให้ทงเฮยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ราวๆหนึ่งนาทีที่เขาไม่ได้ขยับตัวไปไหน กระทั่งได้สติขึ้นมาจึงเดินเอาน้ำสตอเบอรี่ไปทิ้งที่ถังขยะใกล้ๆ
ฮยอกแจมองแผ่นหลังกว้างเดินห่างออกไปด้วยหัวใจที่กำลังสับสน เขาไม่เข้าใจท่าทีแบบนั้นของทงเฮเลย เขาไม่รู้ว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่…ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งเมื่อวานและวันนี้มันมาจากความรู้สึกผิดหรือยังไง ฮยอกแจคงโง่เกินไปที่ไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของสายตาคู่นั้นที่จ้องมองมา
คำบอกเล่าของอีซองมินยังคงสะท้องก้องอยู่ในหัว แต่เขาก็ยังไม่เชื่อทั้งหมดจนกว่าจะได้สัมผัสกับตัวเอง เพราะในอนาคตไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากความเป็นเพื่อนมันหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง ฮยอกแจก็อยากจะให้มันเกิดขึ้นเพราะความรู้สึกที่แท้จริงของทั้งสองคน ไม่ใช่ความรู้สึกผิดหรืออย่างอื่น
ทงเฮเดินกลับมาขึ้นรถแล้ว แต่ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ เสี้ยวใบหน้านั้นดูกังวลต่างจากในทีแรก เพียงเท่านั้นฮยอกแจก็รู้สึกผิดที่หาเรื่องทำให้อีกฝ่ายต้องมาหน้านิ่วคิ้วขมวด ร่างบางหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะพูดออกไปเสียงเบา
“ขอโทษนะ”
ความเงียบทำให้อีกฝ่ายได้ยินมันอย่างชัดเจน ทงเฮหันหน้ามากำลังจะเอ่ยปากถาม แต่คนตัวเล็กก็หันไปปรับเบาะแล้วเอนหลังนอนราบลงไป พร้อมทั้งปิดเปลือกตาลงหลบหนีจากทุกสิ่ง
TBC
ความคิดเห็น