คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : chapter 14
14
สถานีรถไฟใต้ดิน
ทางเดินที่ทอดยาวเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาชวนให้พาลจะเวียนหัวขึ้นมาได้ง่ายๆ เด็กหนุ่มสบถออกมาเบาๆเมื่อไหล่หนาถูกใครบางคนชนเข้าเต็มแรง แต่เพราะเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้ไม่ได้หันไปเอาเรื่องอะไร บางทีเขาอาจจะคิดผิดมหันต์ที่ตัดสินใจทิ้งรถไว้ที่คอนโดแล้วเดินเท้ามาจนถึงสถานีแห่งนี้
ทงเฮไม่แน่ใจว่าที่นี่วุ่นวายแบบนี้เป็นเรื่องปกติเลยหรือเปล่า เพราะตัวเขาเองก็ไม่ค่อยจะได้มาใช้บริการบ่อยนัก แน่นอนล่ะ…เขาเกลียดการเดินทางที่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเยอะๆจะตายไป
น่าตลกที่แม้แต่ชานชาลาที่เต็มไปด้วยผู้คนก็ยังไม่สามารถช่วยบรรเทาความอ้างว้างในใจของเขาได้เลย
ทงเฮรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยที่ต้องมายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นที่เดินสวนไปมา แต่ก็ยังยอมอดทนยืนรออยู่ตรงนั้นนิ่งๆจนกระทั่งขบวนรถไฟแล่นเข้าจอดเทียบชานชาลา
เขาก้าวเท้าเข้าไปแล้วเลือกก้าอี้ตัวริมสุดเป็นที่นั่ง…มือหนาหยิบหูฟังขึ้นมาก่อนจะหาที่วางสายตาไปเรื่อย ทงเฮไม่คุ้นเคยกับยานพาหนะชนิดนี้จึงไม่สามารถคำนวนระยะเวลาที่แน่นอนได้ แต่คิดว่ากว่าจะถึงสถานีที่หมายก็คงจะอีกนานพอควร
เสียงพูดคุยของกลุ่มวัยรุ่นสองสามกลุ่มทำให้รถไฟฟ้าขบวนนี้ไม่เงียบจนเกินไปนัก เขาปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปพร้อมกับเสียงเพลงได้แค่เพียงไม่กี่อึดใจก็ต้องปรือตาขึ้น ได้ยินเสียงเตือนแว่วๆว่าใกล้ถึงแล้ว
เร็วกว่าที่คิดแฮะ…
ทงเฮรอจนคนทยอยออกไปหมดแล้วจึงก้าวเท้าออกมาเป็นคนสุดท้าย เขาเดินเอื่อยๆลงบันไดอย่างไม่เร่งรีบนัก
จนในที่สุดก็มาถึงที่หมาย
เขาหยุดยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จ้องมองคนที่ยืนหันหลังรดน้ำต้นไม้ผ่านรั้วเหล็ก ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปกดกริ่งหน้าบ้านเหมือนว่าเป็นแขกคนหนึ่ง
“ทงเฮ!?”
หญิงวัยกลางคนที่ง่วนอยู่กับการรดน้ำต้นไม้หันกลับมา พร้อมกับเบิกตากว้าง เธอไม่ลังเลที่จะทิ้งสายยางในมือแล้วก้าวเท้ายาวๆไปเปิดประตูต้อนรับเด็กหนุ่ม เมื่อไม่มีรั้วกั้นแล้วจึงตรงเข้าสวมกอดเด็กหนุ่มทันที
“คิดถึงแม่จัง”
เสียงพึมพำเบาๆที่ข้างหูทำเอาคนเป็นแม่ถึงกับยิ้มกว้าง ซอนฮวากระชับกอดให้แน่นยิ่งขึ้นไปให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอเองก็คิดถึงมากเช่นกัน
“ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้กันล่ะ…”
“ก็ไม่ค่อยว่างนี่นา”
ทงเฮยู่ปากก่อนจะโน้มตัวลงหอมแก้มคนตรงหน้าฟอดใหญ่ หลังจากนั้นก็โดนลากแขนให้ไปนั่งคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
“ไม่สบายหรือเปล่าเนี่ยเรา?” เธอถามพลางขมวดคิ้วกังวล
“ช่วงนี้เหนื๊อยเหนื่อย ก็เลย…”
“…ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง” ว่าต่ออย่างรู้ทัน ก่อนจะฟาดเข้าที่แขนเสียทีหนึ่งจนเด็กหนุ่มถึงกับร้องลั่น สำหรับคนเป็นแม่ พอเห็นลูกชายหน้าซีดเซียวเพราะไม่ยอมดูแลแบบนั้นแล้วมันอดจะตีเข้าสักทีไม่ได้จริงๆ
“อาทิตย์ที่แล้วผมแวะไปหาพ่อมา”
“…………..”
“พ่อฝากมาบอกว่าคิดถึงแม่ด้วยนะครับ”
ซอนฮวาหน้าตึงขึ้นมาภายในชั่วพริบตา เธอเบ้ปากเมื่อนึกไปถึงหน้าของสามีที่เลิกรากันไปหลายปี
“คนแบบนั้นน่ะพูดคำว่าคิดถึงเป็นด้วยหรือไง”
“เป็นสิครับ” ทงเฮหัวเราะ “รู้สึกว่าพ่อเค้าจะอยู่คนเดียวมาสักพักแล้วนะ แม่น่าจะลองไปเยี่ยมเค้าบ้าง…”
“หยุดพูดไปเลยนะทงเฮ”
“โอเคๆ ไม่พูดละก็ได้” พูดจบก็กอดปลอบไปเสียทีหนึ่ง…แต่ยังไม่วายทำหน้าทะเล้นล้อเลียนคนปากแข็ง ก็เห็นอยู่ว่าคิดถึงพ่อเหมือนกันยังจะมาทำเป็นทิฐิสูงอยู่อีก
“นี่ทงเฮ…”
“ครับ”
“ทะเลาะกันเหรอ?”
“…….”
“…กับฮยอกแจ”
ทงเฮนิ่งไปนาน เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะขาดอากาศหายใจทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่พยายามข่มใจให้ไม่นึกถึงมาตลอดสองสัปดาห์ แต่ทว่ากลับถูกคนรอบข้างซักถามจนเริ่มเหนื่อยที่ต้องตอบซ้ำๆ เริ่มเหนื่อยที่ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เปล่าครับ” ส่ายหน้ากลับไปเป็นคำตอบ “ไม่ได้ทะเลาะกัน”
“โตจนป่านนี้แล้วยังงอนกันเป็นเด็กอยู่อีก…จริงๆเลยน้า”
ซอนฮวาหัวเราะ ดวงตาเศร้าสร้อยของทงเฮในตอนนี้สะท้อนเรื่องราวออกมามากมาย แม้ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามปกปิดไว้มันด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็ตามที…เพราะเธอเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด จึงไม่แปลกที่จะสามารถมองเด็กหนุ่มตรงหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ทงเฮ” เธอขยับเข้าไปใกล้ลูกชายมากขึ้น แล้ววางมือลงบนเส้นผมสีดำสนิท “อย่าลืมสิว่าฮยอกแจน่ะ โกรธเด็กนิสัยไม่ดีอย่างแกไม่ลงหรอก”
“วันนี้มันอาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นี่ครับ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”
“ก็…” ทงเฮเว้นช่วงไปเพื่อกลืนก้อนบางอย่างที่แล่นขึ้นมาจุกตรงลำคอ “…เขาไม่เห็นจะกลับมาเลย”
“บางทีแกก็น่าจะลองเปลี่ยนตัวเองดูบ้างนะ”
ซอนฮวาว่าเสียงเรียบ เธอทำท่าคิดอยู่สักพักราวกับลังเลที่จะพูดประโยคถัดไป แต่พอเห็นว่าสายตาของทงเฮดูรอคอยที่จะฟัง เธอจึงคลี่ยิ้มแล้วเริ่มพูดออกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้าพ่อแกมาขอโทษแม่สักคำ…ทำให้แม่เชื่อใจ แล้วพยายามมากกว่านี้อีกหน่อย…แม่ไม่เคยลังเลที่จะให้โอกาสเลยนะทงเฮ”
รอยยิ้มจางของหญิงวัยกลางคนยังคงหวานหยดไม่ต่างอะไรกับเมื่อหลายปีก่อน ทั้งความความอ่อนโยนในแววตายามที่พูดถึงผู้ชายไม่เอาไหนคนนั้นทำให้ทงเฮรู้สึกว่าพ่อช่างเป็นคนโง่ที่น่าอิจฉาเสียจริง
“คนเราถ้าลองได้รักใครด้วยหัวใจจริงๆแล้ว การให้อภัยมันก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก”
ทงเฮจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ยักรู้ว่าแม่ก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกัน…คือถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องเป็น เขาแทบจะไม่เคยมาปรึกษาปัญหาอะไรแบบนี้กับผู้ให้กำเนิดเลยมากกว่า
“แม่ครับ”
ซอนฮวาเลิกคิ้ว เธอเห็นแววตาที่ทอประกายของลูกชายสั่นไหว
“คืนนี้ผมนอนที่นี่ได้ใช่มั้ย”
.
.
.
ทงเฮรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง…
ห้องของเขาแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนับจากวันที่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ทุกอย่างยังคงวางอยู่ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ แต่มันก็น่าแปลกที่แม้แต่ละอองฝุ่นสักนิดก็ไม่มีให้เห็น…เขาคิดว่าแม่คงเข้ามาทำความสะอาดให้บ่อยๆ
ทงเฮไล่มองสำรวจไปทั่วด้วยความคิดถึงจับใจ ห้องนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องเก็บความทรงจำในวัยเด็ก แต่ว่าเมื่อก่อนไม่ได้สะอาดขนาดนี้…เขาจำได้ว่ามันรกขนาดที่ว่าแทบจะไม่มีที่ให้เดินเลยด้วยซ้ำ
มีเรื่องตลกร้าย…
นั่นคือไม่ว่าเขาจะก้าวเดินไปทางไหน ที่ตรงนั้นล้วนแต่มีอีฮยอกแจเป็นส่วนประกอบของความทรงจำด้วยเสมอ ภาพซ้อนทับที่ทำยังไงก็ไม่มีวันหลีกหนีมันพ้น ต่อให้พยายามเท่าไหร่ เขาก็ไม่มีวันไล่คนคนนั้นออกจากห้วงความคิดได้เลย
คงต้องความจำเสื่อมหรือไม่ก็ตัดหัวทิ้งไปเลยล่ะมั้ง…
ทงเฮหัวเราะออกมากับความคิดของตัวเอง ก่อนที่มือหนาจะเลื่อนเปิดประตูระเบียง จังหวะเดียวกับที่ลมหนาวพัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกหนาวเย็นอะไรมากนัก
ทงเฮยืนปิดเปลือกตารับลมอยู่ครู่หนึ่งก็กลับเข้ามาข้างใน ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา แล้วทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง เงยหน้ามองเพดานด้วยสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงนัก คำพูดของคนเป็นแม่ดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับความคิดของเขามากในเวลานี้ และนั่นทำให้เขาเลือกระบายความสับสนในใจออกมาด้วยการขยี้หัวตัวเองอย่างแรง
อยากจะบ้า…
สบถอยู่คนเดียว ก่อนจะดันตัวเองขึ้น ถอดเสื้อโค้ทตัวหนาเหวี่ยงลงตะกร้าอย่างแม่นยำ บางทีเขาควรจะอาบน้ำแล้วมานอนหลับสักตื่นเพื่อป้องกันไม่ให้พิษไข้กลับมาเล่นงานอีกครั้ง
แน่นอนล่ะ ตลอดสองสัปดาห์เขาแทบจะไม่ได้สนใจดูแลตัวเองเลย ถึงแม้ว่าเนื้อความในจดหมายที่ฮยอกแจทิ้งไว้จะย้ำนักย้ำหนาแล้วก็ตาม
ทงเฮไม่ใช่คนที่เวลาป่วยแล้วจะต้องล้มหมอนนอนเสื่อเสียหน่อย ถึงไม่กินยาก็ไม่เป็นอะไรอยู่ดี เป็นหนักแค่ไหนสุดท้ายมันก็จะค่อยๆหายไปเองเพราะภูมิคุ้มกันดีมาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
แต่ยังไงก็ไม่อยากกลับไปเป็นอีกรอบหรอกนะ…
คิดได้อย่างนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองเข้าห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกลิ่นสบู่กลิ่นเก่าที่เคยใช้เมื่อหลายปีก่อน เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าด้วยความหวังว่าเสื้อเก่าๆน่าจะยังใส่ได้อยู่ แต่แล้วบางสิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้ากลับทำให้ทงเฮชะงักนิ่งไป
ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่าทุกอย่างเงียบสนิทจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระรัว ทงเฮค่อยๆเรียบเรียงความคิดมากมายในหัว แล้วลมหายใจของเขาก็เกิดติดขัดขึ้นมาอีกครั้ง
เสื้อผ้าของฮยอกแจ…
ไม่จริง…เสียงหนึ่งในหัวค้านขึ้นมาแบบนั้น แล้วทงเฮก็ไม่รีรอที่จะหยิบมันออกมาดู ให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้โดนพิษไข้เล่นงานจนประสาทหลอนไปเอง ร่างหนาใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะเรียกสติกลับคืนมาครบถ้วน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
ทงเฮหยิบเสื้อผ้าชุดเก่าของเขาที่ถูกเลื่อนไปไว้อีกมุมออกมาสวมอย่างลวกๆ เขาสบถออกมาเมื่อมือทั้งสองข้างสั่นเทาเสียจนหยิบจับอะไรไม่ได้ดั่งใจ ความคิดตอนนี้คือต้องลงไปคุยกับแม่ให้รู้เรื่องว่ามันหมายความว่ายังไงกันแน่
ร่างหนาหมุนตัว มือจับลูกบิดประตูเตรียมจะเปิดออกไป จังหวะเดียวกับที่ใครบางคนกำลังจะเปิดเข้ามาทำให้หน้าผากของทงเฮปะทะเข้ากับขอบประตูที่ถูกดันเข้ามาเต็มแรง
“โอ้ยยยยยยยยยยยไอ้สัส….” สบถลั่นออกมาตามนิสัย ก่อนจะค่อยๆทรุดตัวลงนั่งกับพื้น มือข้างหนึ่งกุมศีรษะไว้…ให้สาบานมั้ยว่าตอนนี้เขาเห็นดาวเป็นร้อยๆดวงลอยอยู่ตรงหน้าเลยเนี่ย
ทงเฮร้องโอดโอย ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นเพื่อมองหาตัวต้นเหตุ แต่น่าเสียดายที่เขามึนหัวไปหมดจนมองเห็นภาพตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนนัก
“ซุ่มซ่าม”
เสียงหัวเราเบาๆดังขึ้นพร้อมกับใครคนหนึ่งที่ย่อตัวลงนั่งจนอยู่ในระดับเดียวกัน
ทุกอย่างรอบตัวนิ่งสนิท
ในวินาทีนั้นทงเฮลืมความเจ็บปวดทุกอย่างไปจนหมดสิ้น เขาจ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ ไม่แน่ใจว่าเพราะการปะทะที่รุนแรงเมื่อกี้เลยทำให้สมองเบลอไปแล้วหรือเปล่า
“ฮยอก…แจ…”
กว่าจะเรียบเรียงออกมาเป็นคำได้ ทงเฮต้องใช้ความพยายามในการหาเสียงตัวเองอยู่เนิ่นนาน ดวงตาคู่สวยสั่นระริกจ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมา เพียงชั่วอึดใจที่สบตากันนิ่งๆ มือหนาก็เลื่อนเข้าไปหาใบหน้านั้นโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าที่เฝ้าคิดถึง…เฝ้าโหยหามาตลอด
…รอยยิ้มสดใสที่ทงเฮไม่คิดฝันว่าเขาจะมีโอกาสได้เห็นมันอีกครั้ง
แต่ทว่าฝ่ามือของทงเฮกลับหยุดชะงักกลางอากาศ…
ถ้าหากมันเป็นเพียงภาพลวงที่เขาคิดไปเองคนเดียวล่ะ ถ้าหากรอยยิ้มสดใสนั้นไม่ได้มีอยู่จริงอย่างที่ตาเห็น…แล้วเขาจะทำยังไง
อยากจะเก็บมันไว้…อยากมองให้นานกว่านี้
“ฮยอกแจ…”
กลัวว่าหากยื่นมือออกไป…ภาพนั้นจะเลือนหาย
“ทงเฮ…” คนตรงหน้ายิ้มบาง ก่อนจะวางมือลงบนไหล่หนา
สัมผัสบางเบาเหมือนเครื่องย้ำเตือนว่าคนตรงหน้านี้คืออีฮยอกแจจริงๆ ทงเฮกลืนทุกอย่างลงคอไปพร้อมหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นเต็มม่านตา
ฝันอยู่ใช่ไหม…
“ไม่เป็นไรนะ”
ปลายนิ้วเรียวเลื่อนขึ้นไล่เกลี่ยอย่างเบามือ รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไป สบประสานกันอยู่เพียงครู่ ร่างบางก็ถูกรวบตัวเข้าไปในอ้อมกอด
เนิ่นนานที่ต่างฝ่ายต่างซึบซับความรู้สึกของกันและกันผ่านอ้อมกอดอุ่นๆ…นานจนฮยอกแจสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่หัวไหล่และหัวใจสองดวงที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
คิดถึง…
…คิดถึงมาก
ฮยอกแจรับรู้แค่เท่านั้น เขากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
ความหวังสุดท้ายของทงเฮที่เหือดหายไปตั้งแต่อ่านจดหมายฉบับนั้นจบ ถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งด้วยอ้อมกอดนี้…อ้อมกอดที่ทำให้ทงเฮได้รับรู้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น
คิดถึงฮยอกแจ
มากที่สุด
…ในโลก
.
.
.
( ใจร้ายมากเลยนะนายน่ะ… )
น้ำเสียงเจือหัวเราะจากปลายสายทำเอามือบางที่กำเครื่องมือสื่อสารไว้ถึงกับสั่นระริก ฮยอกแจตั้งสติแล้วทำท่าจะกดวางเพราะเขาคิดว่าคงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดคุยกับคนๆนี้อีก
( อย่าเพิ่งวางนะ ) เสียงของคนปลายสายอ่อนลงมาก และนั่นทำให้ฮยอกแจหยุดชะงัก ( ถ้านายจะฟังฉันสักนิด… )
เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันช้าๆ ฮยอกแจนิ่งอึ้งไปราวกับไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง…เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้ยินอีกฝ่ายพูดจาด้วยโทนเสียงแบบนั้น
โทนเสียงอ่อนโยนจากอีซองมินคนนั้นน่ะ…
“มีอะไรก็รีบพูดมา”
ทว่าร่างบางยังคงโทนเสียงแข็งๆของตัวเองไว้เช่นเดิม ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องพูดจาดีกับคนแบบนั้น ถึงจะอยากรู้ว่าซองมินไปเอาเบอร์ใหม่เขามาจากไหน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปตั้งคำถามอยู่ดี
( ฉันรู้ว่านายเสียใจ ) ซองมินเอ่ยขึ้นเสียงเบา และน่าแปลกที่ฮยอกแจรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังสำนึกผิดอยู่จริงๆ ( ฉันเองก็เสียใจเหมือนกัน )
“แล้วยังไง”
( ฉัน…ขอโทษ… )
ฮยอกแจตกใจกับคำนั้นจนเกือบจะปล่อยโทรศัพท์ให้ร่วงจากมือ แต่เขาก็ยังมีสติพอที่จะกำมันไว้แน่น แล้วตอบกลับไป
“อือ ฉันลืมมันไปแล้วล่ะ”
( ไม่หรอกฮยอกแจ ฉันเข้าใจ )
แล้วต่างฝ่ายก็ต่างเงียบไปด้วยความกระอักกระอ่วน ฮยอกแจใช้เวลาตรงนั้นทบทวนในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาช้าๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าจุดประสงค์แท้จริงแล้วอีซองมินต้องการอะไรจากเขาอีก
( นายอยู่ที่ไหนน่ะ )
คำถามสั้นๆที่สร้างความลำบากใจให้ฮยอกแจอย่างมากมาย เขานิ่งไปนานกว่าจะตัดสินใจตอบออกไป
“ก็แถวนี้…” ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกปิดบังอีกต่อไป เพราะการที่อีกฝ่ายมีเบอร์ใหม่ของเขาแล้วติดต่อมาแบบนี้ก็แปลว่าซองมินคงรู้อะไรมาบ้างพอสมควร…เขาเดาว่าอย่างนั้น
( ว่าแล้วเชียว… ) ปลายสายเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดประโยคถัดไปที่ทำเอาคนฟังถึงกับหลุดหัวเราะ
( ถ้าฉันขอร้องให้นายกลับมามันก็คงจะแปลกๆ )
“แปลกแน่ล่ะ” ฮยอกแจแค่นหัวเราะแกนๆ “นายไม่ได้กำลังคิดวางแผนเล่นตลกอะไรอยู่หรอกใช่มั้ย?”
( ฉันไม่ได้อยากจะยอมแพ้แล้วทำตัวเป็นคนดีแบบนี้สักหน่อย )
ร่างบางขมวดคิ้วกับคำว่ายอมแพ้ที่อีกฝ่ายพูดออกมาเสียงอ่อย
( แต่ฉันก็ไม่ชอบที่เห็นทงเฮต้องมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน )
หัวใจของฮยอกแจเต้นรัวขึ้นเมื่อชื่อบุคคลที่สามหลุดออกมา
“ทงเฮ…”
( เขาไม่ได้สบายดีอย่างที่นายคิดหรอก )
“ขาดคนรับใช้ไปทั้งคนจะสบายได้ยังไงล่ะ” ฮยอกแจว่าพลางหัวเราะ “นายคงเหนื่อยแย่เลย ดูแลคนเอาแต่ใจแบบนั้นน่ะ”
( อย่าพูดประชดสิ )
“ฉันไม่ได้ประชด”
( ฉันเลิกกับเขาตั้งแต่วันนั้นแล้ว… )
“………………”
( นายอาจจะไม่เชื่อ แต่… ) ซองมินกลืนก้อนบางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมาจนรู้สึกหน่วงๆข้างในอก แล้วว่าต่อ ( ทงเฮไม่เคยรักฉัน )
“คิดมากไปแล้ว ทงเฮน่ะ…”
( ฮยอกแจ ฟังฉัน… )
ซองมินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มต้นเล่าทุกอย่างที่พอจะรู้ให้อีกฝ่ายฟัง รวมไปถึงเรื่องที่ทงเฮยอมกลับไปแข่งรถกับชเวซึงฮยอน ซึ่งร่างบางก็เพียงแต่รับฟังเงียบๆ ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
( …น่าอิจฉาที่ทงเฮดูแคร์ฮยอกแจขนาดนั้น )
ซองมินว่าพลางนึกไปถึงสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายของคนในบทสนทนา แล้วจู่ๆก็ร้อนวูบที่ขอบตา แต่ก็พยายามฝืนทนประคองเสียงพูดต่อไปอย่างมั่นคง ไม่ให้คนฟังจับสังเกตได้
( คนที่ทงเฮรักคือนายนะฮยอกแจ…) หลังจากพูดจบ ต่างฝ่ายต่างก็เงียบไปนาน จนซองมินเริ่มพูดต่อ ( เขาเพิ่งรู้ตัวก็ตอนที่นาย… )
“ซองมิน” แต่ฮยอกแจก็ขัดขึ้นเสียก่อน “ฉันว่า…”
( เชื่อฉันเถอะนะฮยอกแจ )
“แต่…”
( เอาเถอะฉันรู้ว่ามันยากที่นายจะไว้ใจฉัน )
“……….”
( ฉันแค่หวังว่านายจะเก็บมันไปคิด )
TBC
พซมน่ารักที่สุด
ความคิดเห็น