คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : chapter 13
13
ชีวิตประจำวันของอีทงเฮยังต้องดำเนินต่อไป…
สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเหมือนจะชาชินกับการที่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวด…ชาชินจนรู้สึกว่าแท้จริงแล้วความเงียบก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังตื่นเช้า แต่งตัวไปมหาลัย ตอนเย็นก็กลับมาแล้วเข้านอน
แม้จะไม่มีใครบางคนอยู่ข้างๆเหมือนเดิมแล้ว แต่ทงเฮก็ยังเดินต่อไปด้วยขาของตัวเองอย่างเต็มกำลัง
ขาดแค่คนคอยช่วยพยุงไปแค่นี้…ไม่ถึงกับตายหรอก
“จะไม่ให้โอกาสกันจริงๆน่ะเหรอ”
เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ในรอบสัปดาห์ที่ได้ยินคำถามเดิมๆจากคนคนเดิม และแน่นอนว่าคำถามพวกนั้นไม่เคยมีคำตอบเลยแม้แต่สักครั้ง
มีเพียงแววตาไร้ความรู้สึกที่ทอดมองอดีตคนรักยืนร้องไห้เงียบๆ
เขาไม่คิดว่าตัวเองใจร้ายเกินไป
“จะรอฮยอกแจไปถึงเมื่อไหร่…”
คำถามที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้คำตอบนั้น ทงเฮเพียงแต่ยืนฟังคนตรงหน้าพูดไปเรื่อยๆเหมือนครั้งที่ผ่านมา ไม่คิดจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธออกไปตรงๆว่ามันไม่มีทาง ทั้งที่ความจริงแล้วนั้นเป็นนิสัยปกติของเขาเวลาคิดจะทิ้งใครสักคน
ทงเฮคนเดิมเป็นแบบนั้น…อีทงเฮคนเดิมไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนรอบตัว ทงเฮคนเดิมที่ยึดเอาแต่ความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ไม่เคยแคร์ ไม่เคยสนใจว่าใครจะต้องมาเสียใจกับการกระทำของตัวเอง
ไม่รู้ว่าตอนนี้คนใจร้ายคนนั้นหายไปไหน
“นายก็น่าจะรู้ว่าเวลาที่เรารอใครสักคนกลับมามันเป็นยังไง”
ถ้าหากทงเฮเป็นคนที่ยืนขอโอกาสจากฮยอกแจบ้าง…
ถ้าเขาได้มีโอกาสได้ทำแบบนั้นบ้าง…
“อีกนานแค่ไหนเหรอทงเฮ”
ถ้าเวลานั้นมาถึง…ทงเฮจะไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะคุกเข่าลงตรงหน้าฮยอกแจอีกครั้ง เขามีคำพูดมากมายที่อยากบอก แม้ฮยอกแจจะไม่อยากฟังก็ตาม
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทงเฮยอมรับฟังทุกอย่างจากคนตรงหน้าแทนที่จะผลักไส คนใจร้ายคนเดิมหายไปเหลือก็แต่อีทงเฮที่เข้าใจความรู้สึกของซองมินมากกว่าใคร
“จะรอฮยอกแจไปอีกนานแค่ไหน”
แต่…เขาคิดคำตอบของคำถามพวกนั้นไม่ออกเลย
ในหัวของทงเฮมีแค่ฮยอกแจ…แค่ฮยอกแจจริงๆ
“ฉันขอโทษ”
.
.
.
ฉันขอโทษ
ฉันขอโทษ
ฉันขอโทษ
มีคำปฏิเสธคำไหนที่ฟังแล้วเจ็บน้อยกว่านี้อีกหรือเปล่า…
ซองมินคิดว่าบางทีอาจจะเป็นแววตาไร้ความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นล่ะมั้งที่ทำให้เจ็บปวดได้ไม่แพ้กันเลย…ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาถูกทงเฮหันหลังให้อย่างไม่ปรานี ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใด แต่ซองมินก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังผลักไสเขาด้วยสายตา
สายตาที่มีแค่อีฮยอกแจ…
เพียงแค่คิดน้ำตาก็พาลจะไหลลงมาอีกรอบ...ซองมินตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมทงเฮถึงได้ดูเจ็บปวดขนาดนั้น ทำไมทงเฮถึงได้ดูทรมานเพราะอีฮยอกแจขนาดนั้น…ทำไมถึงได้รู้สึกว่าพื้นที่รอบๆตัวของทงเฮไม่มีที่ยืนสำหรับเขาอีกต่อไป
…หรือบางทีเขาควรยอมแพ้
ในเมื่อพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์…ทงเฮไม่มีวันกลับมา
นั่นอาจจะเป็นความจริงที่เจ็บปวดที่สุดแล้วล่ะมั้ง…ความรักระหว่างเราสองคนมันไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือมันคงเป็นเพียงความรักข้างเดียวของอีซองมินเท่านั้น
ตลกดีเหมือนกันที่สุดท้ายต้องมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ แต่พอลองนึกย้อนไปแล้วก็ไม่แปลกใจอะไร คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาสมควรได้รับบทเรียนมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
ซองมินปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆโดยไม่คิดจะเช็ดออก เขาเหนื่อยไปหมดกับการวิ่งตามคนที่ไม่เคยหันมามอง เหนื่อยกับการพยายามตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เหนื่อยจนเริ่มคิดอยากจะหยุด…
“ร้องไห้ทุกวันไม่เบื่อเหรอ”
เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขัดจังหวะความคิด ซองมินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหันกลับไปทางต้นเสียง โดยไม่ลืมเช็ดคราบน้ำตาออกไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งที่คิดว่าสวนหย่อมหลังมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก โดยเฉพาะเวลาเย็นๆหลังเลิกเรียนแบบนี้ด้วยแล้ว…ซองมินคิดไปว่าคงจะไม่มีใครเข้ามา…แต่เขาก็คิดผิด
“อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา ฝืนให้ตายยังไงมันก็ไม่ใช่หรอก”
เจ้าของเสียงเดินเข้ามาพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆอย่างถือวิสาสะ เขาจำได้เพียงลางๆว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของอีฮยอกแจ…
“พยายามวิ่งตามไปก็เท่านั้น เหนื่อยเปล่า…”
น้ำเสียงเอือยๆดังลอดออกมาจากริมฝีปากนั้น ทำเอาซองมินที่ยังคงอึ้งไม่หายถึงกับใบ้กินไปเลย เขาลอบมองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ
คนอะไร…อยู่ดีๆโผล่มา แล้วก็พูดจาแปลกๆแบบนั้น
“นายเป็นคนประเภทไหนกันเนี่ย เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่เลยตอนนี้กลับมาทำหน้าตาประหลาดใส่ฉันซะงั้น”
“ห่ะ…” ซองมินอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เดี๋ยวสิ…คนที่ควรจะถามคำถามนั้นมันต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือไง! “…นาย”
“อะไร?”
“น…นายนั่นแหละเป็นคนประเภทไหน มานั่งพล่ามอะไรก็ไม่รู้เนี่ย เราเคยรู้จักกันด้วยหรือไง”
คนแปลกหน้าหัวเราะร่วนอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่ได้ยิน เขาเหยียดตัวสบายๆเหมือนว่ากำลังนั่งอยู่กับคนที่สนิทสนมกันดี ทั้งที่ความจริงแล้วแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามยังไม่รู้จักเลย!
“ไม่เหนื่อยเหรอ” คำถามสั้นๆที่ออกมาจากปากผู้ชายแปลกหน้า พอดีกับที่สายลมเย็นๆพัดผ่านไป ซองมินถอนหายใจก่อนจะหลุบตาลงต่ำ
“นายหมายถึงอะไร”
“ก็ที่ทำอยู่เนี่ย ไม่เหนื่อยเหรอ”
“………..”
“………..”
“เหนื่อยสิ” ตอบกลับไปพลางหัวเราะราวกับกำลังอารมณ์ดี แม้จะไม่รู้จักชื่อเสียงของอีกฝ่าย แต่เขาคิดว่าถ้ามีใครสักคนมานั่งคุยเป็นเพื่อนในเวลาแบบนี้ก็คงไม่เลวเท่าไหร่
แม้จะไม่รู้ว่าผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนี้มีจุดประสงค์อะไรถึงได้เข้ามาหาเขาพร้อมทั้งพูดจาแปลกๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ซองมินมั่นใจคือคนคนนี้คงเป็นเพื่อนของฮยอกแจไม่ผิดแน่
“นายคิดว่าที่ทำอยู่มันเรียกว่าความรักได้อย่างนั้นเหรอ”
“…………..”
“มีความสุขนักหรือไงที่เห็นทงเฮมันเป็นแบบนั้นน่ะ”
ทุกคำที่ออกมาจากริมฝีปากนั้นเหมือนเป็นเหล็กแหลมทิ่มแทงเข้ามาในใจจนเจ็บร้าวไปหมด ซองมินคิดคำพูดที่จะโต้ตอบอีกฝ่ายไม่ออกเลย เขาได้แต่กำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น
“คนเรามีทั้งดีและเลว” คนคนนั้นยังคงพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่ได้ซีเรียสอะไร “ฉันรู้ว่านายก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”
ตรงกันข้าม ตอนนี้ซองมินแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีสีหน้ายังไง…แน่นอนว่ามันต้องดูแย่สุดๆ…ใช่! มันแย่มาก เพราะทุกประโยคที่ผู้ชายคนนี้พูดออกมา เขาไม่สามารถเถียงอะไรได้เลยสักคำเดียว
“ทำไมไม่ลองหยุดทำตัวโง่ๆวิ่งตาม แล้วทำอะไรเพื่อเขาดูบ้างล่ะ”
“ทำตัวโง่ๆเหรอ!?”
“หรือไม่จริง”
น่าเจ็บใจที่เขาหาเสียงตัวเองไม่เจออีกแล้ว ซองมินนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเหมือนว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องตลกร้าย
“ฉันจะไปทำอะไรเพื่อทงเฮได้…” ตอบกลับไปเสียงเบา ทว่าความเงียบกลับทำให้อีกฝ่ายได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ถ้านายแน่ใจว่าอยากจะช่วยจริงๆล่ะก็นะ…”
ร่างโปร่งหยัดตัวขึ้นจากชิงช้า แล้วมาหยุดยืนตรงหน้าอีกคน
“…ฉันจะบอกให้”
.
.
.
อีซองมินไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น…
เกือบชั่วโมงที่เอาแต่จ้องเลขสิบหลักบนกระดาษแผ่นเล็กในมือด้วยความสับสน สารภาพว่าเขาแอบขยำมันทิ้งตั้งหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องไปเก็บขึ้นมาจากถังขยะอยู่ดี
ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนคนนั้นไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาเพียงแต่ยื่นกระดาษแผ่นนี้มา แล้วบอกให้กลับไปตัดสินใจเอาเองว่าจะทำยังไงกับเลขสิบหลักนี่…ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขามีสิทธิ์ขยำมันทิ้ง
ก็อย่างว่าแหละ…เขาไม่ใช่คนดีอะไร
ถึงแม้ว่าคำพูดของผู้ชายคนนั้นจะโน้มน้าวจิตใจของซองมินได้มากเท่าไหร่ แต่ในใจลึกๆแล้วเขาก็ยังทนเห็นทงเฮไปเป็นของคนอื่นไม่ได้อยู่ดี
ในหัวของซองมินตอนนี้ด้านดีกับด้านร้ายกำลังตีกันจนสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาควรทำจริงๆมันคืออะไร เขาจะเสียใจมั้ยถ้าหากทิ้งกระดาษแผ่นนี้ไปแล้วออกวิ่งตามทงเฮอีกครั้ง
แล้วถ้าเลือกทำตามที่ผู้ชายคนนั้นบอกล่ะ …
หลังจากที่ปล่อยตัวเองให้นั่งทบทวนอะไรหลายๆอย่างอยู่อีกพักใหญ่ ซองมินก็ตัดสินใจได้ในที่สุด…เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และภาวนาขอให้มันเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง
ปลายนิ้วเรียวกดตัวเลขสิบหลักที่เกือบจะจำมันได้ขึ้นใจ ซองมิน หยุดลังเลแค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะกดโทรออก…แล้วเสียงสัญญาณรอสายก็ดังขึ้นพร้อมกับเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันช้าๆ
เขาเริ่มเอะใจกับอะไรบางอย่าง…
เลขวินาทีปรากฏขึ้นบนหน้าจอเครื่องมือสื่อสารในเสี้ยววินาทีสุดท้ายที่สายกำลังจะตัด นั่นทำให้ซองมินประหม่าจนเลือกที่จะปิดปากเงียบ และเปิดโอกาสให้ปลายสายพูดขึ้นก่อน
( นั่นใครครับ )
เสียงคุ้นหูที่ดังมาตามสายทำเอาคนฟังเกร็งไปทั่วทั้งร่าง…ซองมิน พยายามเรียบเรียงลำดับความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวออกมาทีละขั้น
เขาได้ยินมาว่าคนปลายสายบินไปต่างประเทศตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้วนี่…ทำไมโทรศัพท์ถึงยังคงติดต่อได้อยู่ล่ะ เบอร์นี่ก็เบอร์ของเกาหลี…อีกอย่างเขายังไม่ได้กดรหัสประเทศด้วยซ้ำไปนะ
งั้นมันก็แปลได้อย่างเดียวว่า…
ไม่ได้ไปต่างประเทศ?
( ถ้าคุณไม่พูดงั้นผมจะวาง… )
“ฮยอกแจ…”
ซองมินลองเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไมได้โทรผิด…ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
( ซ…ซองมิน? )
เท่านั้น รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ใช่จริงๆด้วย…
“ใจร้ายมากเลยนะนายน่ะ…”
อีฮยอกแจ…ใจร้ายมากเลยจริงๆ
เอ้ะ
TBC
ความคิดเห็น