ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - BESTFRIEND

    ลำดับตอนที่ #14 : chapter 13

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 56


     

     

     

     



     

     

    13

                   






    ชีวิตประจำวันของอีทงเฮยังต้องดำเนินต่อไป



    สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเขาเหมือนจะชาชินกับการที่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดชาชินจนรู้สึกว่าแท้จริงแล้วความเงียบก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังตื่นเช้า แต่งตัวไปมหาลัย ตอนเย็นก็กลับมาแล้วเข้านอน



    แม้จะไม่มีใครบางคนอยู่ข้างๆเหมือนเดิมแล้ว แต่ทงเฮก็ยังเดินต่อไปด้วยขาของตัวเองอย่างเต็มกำลัง



    ขาดแค่คนคอยช่วยพยุงไปแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอก

     



     

    จะไม่ให้โอกาสกันจริงๆน่ะเหรอ

    เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ในรอบสัปดาห์ที่ได้ยินคำถามเดิมๆจากคนคนเดิม และแน่นอนว่าคำถามพวกนั้นไม่เคยมีคำตอบเลยแม้แต่สักครั้ง



    มีเพียงแววตาไร้ความรู้สึกที่ทอดมองอดีตคนรักยืนร้องไห้เงียบๆ

    เขาไม่คิดว่าตัวเองใจร้ายเกินไป





    จะรอฮยอกแจไปถึงเมื่อไหร่…” 


    คำถามที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้คำตอบนั้น ทงเฮเพียงแต่ยืนฟังคนตรงหน้าพูดไปเรื่อยๆเหมือนครั้งที่ผ่านมา ไม่คิดจะทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายด้วยการปฏิเสธออกไปตรงๆว่ามันไม่มีทาง ทั้งที่ความจริงแล้วนั้นเป็นนิสัยปกติของเขาเวลาคิดจะทิ้งใครสักคน



    ทงเฮคนเดิมเป็นแบบนั้นอีทงเฮคนเดิมไม่เคยสนใจความรู้สึกของคนรอบตัว ทงเฮคนเดิมที่ยึดเอาแต่ความพึงพอใจของตัวเองเป็นหลัก ไม่เคยแคร์ ไม่เคยสนใจว่าใครจะต้องมาเสียใจกับการกระทำของตัวเอง



    ไม่รู้ว่าตอนนี้คนใจร้ายคนนั้นหายไปไหน

     



     

    นายก็น่าจะรู้ว่าเวลาที่เรารอใครสักคนกลับมามันเป็นยังไง

     




     

    ถ้าหากทงเฮเป็นคนที่ยืนขอโอกาสจากฮยอกแจบ้าง

    ถ้าเขาได้มีโอกาสได้ทำแบบนั้นบ้าง

     





     

    อีกนานแค่ไหนเหรอทงเฮ

     



     

    ถ้าเวลานั้นมาถึงทงเฮจะไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะคุกเข่าลงตรงหน้าฮยอกแจอีกครั้ง เขามีคำพูดมากมายที่อยากบอก แม้ฮยอกแจจะไม่อยากฟังก็ตาม


    นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทงเฮยอมรับฟังทุกอย่างจากคนตรงหน้าแทนที่จะผลักไส คนใจร้ายคนเดิมหายไปเหลือก็แต่อีทงเฮที่เข้าใจความรู้สึกของซองมินมากกว่าใคร

     



     

    จะรอฮยอกแจไปอีกนานแค่ไหน


     

    แต่เขาคิดคำตอบของคำถามพวกนั้นไม่ออกเลย

    ในหัวของทงเฮมีแค่ฮยอกแจแค่ฮยอกแจจริงๆ

     




     

    ฉันขอโทษ

     

    .

    .

    .

     











     

    ฉันขอโทษ

    ฉันขอโทษ

    ฉันขอโทษ

     


     

    มีคำปฏิเสธคำไหนที่ฟังแล้วเจ็บน้อยกว่านี้อีกหรือเปล่า

    ซองมินคิดว่าบางทีอาจจะเป็นแววตาไร้ความรู้สึกของผู้ชายคนนั้นล่ะมั้งที่ทำให้เจ็บปวดได้ไม่แพ้กันเลยไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาถูกทงเฮหันหลังให้อย่างไม่ปรานี ถึงแม้จะไม่มีคำพูดใด แต่ซองมินก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังผลักไสเขาด้วยสายตา


    สายตาที่มีแค่อีฮยอกแจ



    เพียงแค่คิดน้ำตาก็พาลจะไหลลงมาอีกรอบ...ซองมินตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมทงเฮถึงได้ดูเจ็บปวดขนาดนั้น ทำไมทงเฮถึงได้ดูทรมานเพราะอีฮยอกแจขนาดนั้นทำไมถึงได้รู้สึกว่าพื้นที่รอบๆตัวของทงเฮไม่มีที่ยืนสำหรับเขาอีกต่อไป



    หรือบางทีเขาควรยอมแพ้

    ในเมื่อพยายามต่อไปก็ไร้ประโยชน์ทงเฮไม่มีวันกลับมา



    นั่นอาจจะเป็นความจริงที่เจ็บปวดที่สุดแล้วล่ะมั้งความรักระหว่างเราสองคนมันไม่ได้มีมาตั้งแต่แรก หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือมันคงเป็นเพียงความรักข้างเดียวของอีซองมินเท่านั้น


    ตลกดีเหมือนกันที่สุดท้ายต้องมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียวแบบนี้ แต่พอลองนึกย้อนไปแล้วก็ไม่แปลกใจอะไร คนเห็นแก่ตัวอย่างเขาสมควรได้รับบทเรียนมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป


    ซองมินปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆโดยไม่คิดจะเช็ดออก เขาเหนื่อยไปหมดกับการวิ่งตามคนที่ไม่เคยหันมามอง เหนื่อยกับการพยายามตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เหนื่อยจนเริ่มคิดอยากจะหยุด

     



     

    ร้องไห้ทุกวันไม่เบื่อเหรอ



    เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขัดจังหวะความคิด ซองมินสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบหันกลับไปทางต้นเสียง โดยไม่ลืมเช็ดคราบน้ำตาออกไปอย่างรวดเร็ว



    ทั้งที่คิดว่าสวนหย่อมหลังมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก โดยเฉพาะเวลาเย็นๆหลังเลิกเรียนแบบนี้ด้วยแล้วซองมินคิดไปว่าคงจะไม่มีใครเข้ามาแต่เขาก็คิดผิด


     “อะไรที่มันไม่ใช่ของเรา ฝืนให้ตายยังไงมันก็ไม่ใช่หรอก”  

    เจ้าของเสียงเดินเข้ามาพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆอย่างถือวิสาสะ เขาจำได้เพียงลางๆว่าผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของอีฮยอกแจ


    พยายามวิ่งตามไปก็เท่านั้น เหนื่อยเปล่า…”

    น้ำเสียงเอือยๆดังลอดออกมาจากริมฝีปากนั้น ทำเอาซองมินที่ยังคงอึ้งไม่หายถึงกับใบ้กินไปเลย เขาลอบมองเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย ก่อนจะลอบกลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ






    คนอะไรอยู่ดีๆโผล่มา แล้วก็พูดจาแปลกๆแบบนั้น

     


     

    นายเป็นคนประเภทไหนกันเนี่ย เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่เลยตอนนี้กลับมาทำหน้าตาประหลาดใส่ฉันซะงั้น


    ห่ะ…” ซองมินอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เดี๋ยวสิคนที่ควรจะถามคำถามนั้นมันต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือไง!  “…นาย



    อะไร?”



    นายนั่นแหละเป็นคนประเภทไหน มานั่งพล่ามอะไรก็ไม่รู้เนี่ย เราเคยรู้จักกันด้วยหรือไง



    คนแปลกหน้าหัวเราะร่วนอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่ได้ยิน  เขาเหยียดตัวสบายๆเหมือนว่ากำลังนั่งอยู่กับคนที่สนิทสนมกันดี ทั้งที่ความจริงแล้วแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามยังไม่รู้จักเลย!



    ไม่เหนื่อยเหรอ คำถามสั้นๆที่ออกมาจากปากผู้ชายแปลกหน้า พอดีกับที่สายลมเย็นๆพัดผ่านไป ซองมินถอนหายใจก่อนจะหลุบตาลงต่ำ



    นายหมายถึงอะไร


    ก็ที่ทำอยู่เนี่ย ไม่เหนื่อยเหรอ


    “………..”


    “………..”



    เหนื่อยสิ ตอบกลับไปพลางหัวเราะราวกับกำลังอารมณ์ดี แม้จะไม่รู้จักชื่อเสียงของอีกฝ่าย แต่เขาคิดว่าถ้ามีใครสักคนมานั่งคุยเป็นเพื่อนในเวลาแบบนี้ก็คงไม่เลวเท่าไหร่



    แม้จะไม่รู้ว่าผู้ชายผมสีน้ำตาลคนนี้มีจุดประสงค์อะไรถึงได้เข้ามาหาเขาพร้อมทั้งพูดจาแปลกๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ซองมินมั่นใจคือคนคนนี้คงเป็นเพื่อนของฮยอกแจไม่ผิดแน่



    นายคิดว่าที่ทำอยู่มันเรียกว่าความรักได้อย่างนั้นเหรอ


    “…………..”




    มีความสุขนักหรือไงที่เห็นทงเฮมันเป็นแบบนั้นน่ะ


    ทุกคำที่ออกมาจากริมฝีปากนั้นเหมือนเป็นเหล็กแหลมทิ่มแทงเข้ามาในใจจนเจ็บร้าวไปหมด ซองมินคิดคำพูดที่จะโต้ตอบอีกฝ่ายไม่ออกเลย เขาได้แต่กำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น



    คนเรามีทั้งดีและเลว คนคนนั้นยังคงพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆเหมือนไม่ได้ซีเรียสอะไร ฉันรู้ว่านายก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้




    ตรงกันข้าม ตอนนี้ซองมินแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีสีหน้ายังไงแน่นอนว่ามันต้องดูแย่สุดๆใช่! มันแย่มาก เพราะทุกประโยคที่ผู้ชายคนนี้พูดออกมา เขาไม่สามารถเถียงอะไรได้เลยสักคำเดียว



    ทำไมไม่ลองหยุดทำตัวโง่ๆวิ่งตาม แล้วทำอะไรเพื่อเขาดูบ้างล่ะ




    ทำตัวโง่ๆเหรอ!?”


    หรือไม่จริง



    น่าเจ็บใจที่เขาหาเสียงตัวเองไม่เจออีกแล้ว ซองมินนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเหมือนว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นเป็นเรื่องตลกร้าย



    ฉันจะไปทำอะไรเพื่อทงเฮได้…” ตอบกลับไปเสียงเบา ทว่าความเงียบกลับทำให้อีกฝ่ายได้ยินมันอย่างชัดเจน

     


     

    ถ้านายแน่ใจว่าอยากจะช่วยจริงๆล่ะก็นะ…”

     


     

    ร่างโปร่งหยัดตัวขึ้นจากชิงช้า แล้วมาหยุดยืนตรงหน้าอีกคน

     


     

     “…ฉันจะบอกให้

     

    .

    .

    .






     

    อีซองมินไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น


    เกือบชั่วโมงที่เอาแต่จ้องเลขสิบหลักบนกระดาษแผ่นเล็กในมือด้วยความสับสน สารภาพว่าเขาแอบขยำมันทิ้งตั้งหลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ต้องไปเก็บขึ้นมาจากถังขยะอยู่ดี


    ผู้ชายผมสีน้ำตาลอ่อนคนนั้นไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาเพียงแต่ยื่นกระดาษแผ่นนี้มา แล้วบอกให้กลับไปตัดสินใจเอาเองว่าจะทำยังไงกับเลขสิบหลักนี่ซึ่งนั่นก็แปลว่าเขามีสิทธิ์ขยำมันทิ้ง



    ก็อย่างว่าแหละเขาไม่ใช่คนดีอะไร




    ถึงแม้ว่าคำพูดของผู้ชายคนนั้นจะโน้มน้าวจิตใจของซองมินได้มากเท่าไหร่ แต่ในใจลึกๆแล้วเขาก็ยังทนเห็นทงเฮไปเป็นของคนอื่นไม่ได้อยู่ดี



    ในหัวของซองมินตอนนี้ด้านดีกับด้านร้ายกำลังตีกันจนสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาควรทำจริงๆมันคืออะไร เขาจะเสียใจมั้ยถ้าหากทิ้งกระดาษแผ่นนี้ไปแล้วออกวิ่งตามทงเฮอีกครั้ง



    แล้วถ้าเลือกทำตามที่ผู้ชายคนนั้นบอกล่ะ



    หลังจากที่ปล่อยตัวเองให้นั่งทบทวนอะไรหลายๆอย่างอยู่อีกพักใหญ่ ซองมินก็ตัดสินใจได้ในที่สุดเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และภาวนาขอให้มันเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง



    ปลายนิ้วเรียวกดตัวเลขสิบหลักที่เกือบจะจำมันได้ขึ้นใจ  ซองมิน หยุดลังเลแค่เพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะกดโทรออกแล้วเสียงสัญญาณรอสายก็ดังขึ้นพร้อมกับเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันช้าๆ



    เขาเริ่มเอะใจกับอะไรบางอย่าง



    เลขวินาทีปรากฏขึ้นบนหน้าจอเครื่องมือสื่อสารในเสี้ยววินาทีสุดท้ายที่สายกำลังจะตัด นั่นทำให้ซองมินประหม่าจนเลือกที่จะปิดปากเงียบ และเปิดโอกาสให้ปลายสายพูดขึ้นก่อน



    ( นั่นใครครับ )

    เสียงคุ้นหูที่ดังมาตามสายทำเอาคนฟังเกร็งไปทั่วทั้งร่างซองมิน พยายามเรียบเรียงลำดับความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวออกมาทีละขั้น



    เขาได้ยินมาว่าคนปลายสายบินไปต่างประเทศตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนแล้วนี่ทำไมโทรศัพท์ถึงยังคงติดต่อได้อยู่ล่ะ เบอร์นี่ก็เบอร์ของเกาหลีอีกอย่างเขายังไม่ได้กดรหัสประเทศด้วยซ้ำไปนะ




    งั้นมันก็แปลได้อย่างเดียวว่า

     





     

    ไม่ได้ไปต่างประเทศ?

     





     

    ( ถ้าคุณไม่พูดงั้นผมจะวาง)

    ฮยอกแจ…”

     

     

    ซองมินลองเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไมได้โทรผิดปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก




    ( ซซองมิน? )

     




     

    เท่านั้น รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

    ใช่จริงๆด้วย

     




     

    ใจร้ายมากเลยนะนายน่ะ…”            

     






     

    อีฮยอกแจใจร้ายมากเลยจริงๆ













    เอ้ะ



    TBC

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×