คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : chapter 12
12
หลังจากที่ไปพบคยูฮยอนวันนั้น ทงเฮก็หมดสติล้มลงไปตอนกำลังจะขึ้นรถกลับ โชคดีที่พี่จงอุนอยู่ตรงนั้นพอดีเลยไปตามคยูฮยอนให้ขับรถพาเขามาส่งถึงคอนโดได้อย่างปลอดภัย
แต่พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ถูกคยูฮยอนสบถคำด่าทอใส่จนหูชาไปหมด เขาจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากสีหน้าบึ้งตึงกับน้ำเสียงห้วนๆที่จับใจความคร่าวๆได้ว่า ‘นี่กูต้องมารับช่วงต่อจากฮยอกแจหรือไง ขอโทษเถอะครับคุณทงเฮกูไม่ใช่ทาสมึงนะ ช่วยดูแลตัวเองบ้าง บลาๆๆๆๆ’ แล้วร่างโปร่งก็โยนปรอทวัดไข้ใส่หน้าเขาอย่างไม่ปรานี
สามสิบเก้าองศา
ไม่มากเท่าไหร่แต่ก็ทำให้ทงเฮรู้สึกเหมือนจะวูบลงไปอยู่หลายครั้งเหมือนกันในช่วงสองสามวันนี้น่ะนะ และก่อนกลับไปคยูฮยอนยังกำชับไว้อย่างดีอีกว่าให้เลิกคิดมากแล้วก็กินยาด้วย…
…คนคนนั้นทำตัวเหมือนฮยอกแจไม่มีผิดเลย
แต่ถ้าไม่ใช่ฮยอกแจเขาก็ขี้เกียจจะต้องไปนั่งเชื่อฟัง ทงเฮไม่ได้สนใจจะกินยาหรืออะไรทั้งนั้นแหละ ในหัวของเขาเอาแต่วุ่นวายอยู่กับเรื่องที่คยูฮยอนบอกเมื่อคืนก่อน แม้ว่าจะจำมันไม่ได้ทุกประโยคก็ตามที
เพล้ง!
ร่างหนาสะดุ้งขึ้นจากภวังค์ความคิด ก้มมองจานใบสวยที่แหลกละเอียดเพราะตกกระทบพื้นอย่างแรง เขาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนจะโน้มตัวลงเก็บมันอย่างระมัดระวัง
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีสติเลยให้ตายสิ...
จำไม่ได้แล้วว่าสองวันที่ผ่านมานี่ทำจานแตกไปกี่ใบ รู้แค่ว่ามันเยอะจนเหนื่อยที่จะต้องมานั่งเก็บกวาดแล้วเนี่ย
ทงเฮจัดการเศษกระเบื้องที่พื้นจนเสร็จ ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งนิ่งๆบนโซฟา น่าหงุดหงิดที่ตลอดสองวันมานี่โทรศัพท์ของเขาเงียบยิ่งกว่าอะไร จะมีก็แต่ซองมินที่ยังโทรมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยมากจนน่ารำคาญ
….
เงียบเกินไปละ…
เงียบเกินไปละจริงๆ
ห้องที่เคยมองว่าคับแคบดูเหมือนจะกว้างขึ้นถนัดตา แต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนภาพของฮยอกแจก็ขึ้นมาซ้อนทับจนอดไม่ได้ที่จะสบถดังๆกับตัวเอง ทงเฮคิดว่าบางทีเขาอาจจะเป็นโรคเห็นภาพหลอนอะไรแบบนั้น
ฮยอกแจไม่ได้กลับมาสักหน่อย…
คนคนนั้นกำลังจะจากไปอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่มาตั้งแต่แรก…กำลังจะจากไปอยู่ในที่ที่ทงเฮไม่มีปัญญาจะไปตามหา ความจริงเรื่องระหว่างเรามันควรกลายเป็นแค่ความทรงจำไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว
คำพูดของคยูฮยอนทำให้เขาเลือกที่จะนั่งอยู่ตรงนี้แทนที่จะดิ้นรนต่อไป เวลาอาจจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้จริงๆ หรืออย่างน้อยมันก็คงจะช่วยให้เขาได้ทบทวนตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม
สำหรับทงเฮที่ผ่านความรักมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะรู้สึกปวดหน่วงไปทั้งใจจนไม่เป็นอันจะทำอะไรแบบนี้ และเขามั่นใจว่าความเจ็บปวดทั้งหมดที่เขากำลังเผชิญไม่ใช่เพราะอีซองมิน…
ไม่ใช่เลย
แต่ไหนแต่ไร ทงเฮไม่เคยให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตสุดท้ายก็ล้วนแต่ผ่านเลยไป และไม่มีความจำเป็นอะไรให้ต้องกลับไปหวนนึกถึงอีก
หากแต่มีใครคนหนึ่งซึ่งไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะใช้คำว่ารักได้เหมือนคนอื่นทั่วไป…แต่ทว่าใครคนนั้นกลับเป็นคนเดียวที่ได้รับความรักมากมายมาโดยตลอด
เขาไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกมันถลำลึกไปมากแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งวันที่คนคนนั้นเดินจากไป ทุกอย่างก็ชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้
ทงเฮถอนใจก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งกดขมับ รู้สึกว่าตัวเองเริ่มเครียดเกินไป บางทีเขาอาจจะไม่สามารถทนอยู่กับมันได้นานอย่างที่คิด
ร่างหนาพยายามหาที่วางสายตาเป็นอะไรที่น่าบันเทิงใจ…อย่างเช่น การออกไปรับลมที่ระเบียง หรือไม่ก็นอนเปิดเพลงสบายๆฟัง
ระหว่างนั้นเองหางตาก็เหลือบไปเห็นโต๊ะหนังสือของฮยอกแจที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง ทงเฮเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะพบว่าอุปกรณ์วาดรูปถูกวางทิ้งไว้ระเกะระกะ แล้วอะไรบางอย่างก็ทำให้คนขี้เกียจอย่างเขายื่นมือไปเก็บเรียงมันให้เข้าที่
ไม่นานโต๊ะหนังสือก็กลับมาเป็นระเบียบอีกครั้ง เหลือก็แต่กองกระดาษปึกหนึ่ง เหมือนจะเป็นรายงายหรืออะไรสักอย่าง หน้าปกมีชื่อของคนผมบลอนด์เด่นหราอยู่ตรงกลาง ถัดลงมาเป็นโพสอิทสีเหลืองแผ่นเล็กๆแปะไว้
‘เดทไลน์วันพฤหัส’
.
.
.
ห้องพักอาจารย์เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ทงเฮไม่คิดจะย่างกรายเข้าไปถ้าไม่มีธุระสำคัญจริงๆ
…แต่…
“ฮยอกแจไม่สบายครับก็เลยฝากให้ผมเอามาส่ง...”
“หือ…” หญิงชราขยับแว่นมองนักศึกษาชายตรงหน้า ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “นายไม่ได้อยู่คณะนี้นี่…”
“อ่าครับ…คือฮยอกแจเขาเป็นรูมเมทกับผม…” แอบประหม่านิดหน่อยกับการที่ต้องมายืนอธิบายให้หญิงสูงวัยเข้าใจ ดวงตาที่อยู่ใต้กรอบแว่นหนาไล่ตรวจดูรูปเล่มทั่วไปของรายงาน ก่อนจะหยักเพยิดให้อีกฝ่ายออกไปได้แล้ว
ทงเฮโค้งขอบคุณก่อนจะเดินออกมาจากห้องนั้นด้วยความโล่งใจ ในทีแรกกว่าเขาจะหาตัวอาจารย์ประจำวิชาของฮยอกแจเจอก็เล่นเอาหอบไปเหมือนกัน…ก็เรียนคนละคณะแล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่าต้องเอาไปส่งที่ไหน
ร่างหนาพาตัวเองเข้ามานั่งนิ่งๆในรถอยู่พักใหญ่ ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนต่อดี เขาอยากจะไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่การกลับคอนโดไปอยู่นั่งจมกับความเงียบเหงาแบบนั้น
จนในที่สุดรถยนต์คันหรูก็มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง…ทงเฮเห็นแสงไฟสว่างลอดออกมาจากทางหน้าต่าง ซึ่งก็แปลว่าคงจะมีคนอยู่ข้างใน…และนั่นมันยิ่งทำให้เขาลังเลใจที่จะกดกริ่งเรียก
ทงเฮยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน กระทั่งชายวัยกลางคนเดินออกมา
“ทงเฮ…”
“พ่อ”
ประตูรั้วสีขาวถูกเลื่อนออกโดยเจ้าของบ้าน แต่ทงเฮยังคงไม่กล้าพอที่จะก้าวเดินเข้าไป จนคนตรงหน้าต้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแทน
“ลมอะไรหอบแกมาถึงนี่”
อีซึงโฮขมวดคิ้วแปลกใจ เขาเดินไปตบบ่าลูกชายเบาๆ ก่อนจะรั้งให้เดินตามเข้ามาในบ้าน อันที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ทงเฮโผล่หัวมาให้เห็น หลังจากไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี ครั้งสุดท้ายที่เจอกันก็น่าจะเป็นช่วงที่ทงเฮมันอยู่โรงเรียนไฮสคูลล่ะมั้ง
ระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกันแม้จะไม่นานเท่าไร แต่อีซึงโฮก็ยังรู้สึกว่าลูกชายของเขาโตขึ้นกว่าเดิมมาก
“พ่อจะอยากรู้เหตุผลไปทำไมครับ ผมก็แค่มาหา”
แล้วก็กวนตีนขึ้นเยอะเลยด้วย! -_,-
“ทะเลาะกับแม่? เงินหมด? หรืออะไร”
”นี่พ่อเห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”
ทงเฮตอบกลับไปหน้านิ่ว แล้วเดินตามคนเป็นพ่อเข้าไปในบ้าน หลังเล็กๆที่ค่อนข้างจะรกไปนิดในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ชายแล้วคงมองว่าเป็นเรื่องปกติอย่างนั้นล่ะมั้ง
เขาแทบจะไม่ได้มาเหยียบที่นี่เลยตั้งแต่พ่อเลิกรากับแม่ไป…
“อยู่คนเดียวเหรอครับ”
“ก็คนเดียวน่ะสิ”
“แล้ว…” …ผู้หญิงคนนั้นล่ะ
แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆ แต่อีซึงโฮก็เข้าใจว่าทงเฮหมายถึงใคร ชายวัยกลางคนหัวเราะ ก่อนจะตอบออกไปด้วยท่าทีสบายๆ
“เค้าก็ไปตามทางของเค้า”
ทงเฮพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก นิสัยเจ้าชู้เปลี่ยนผู้หญิงไปเรื่อยก็เป็นอีกอย่างที่เขาได้พ่อมาเต็มๆ เหตุผลที่ผู้ชายคนนี้ยังดูเป็นหนุ่มอายุน้อยอยู่นั่นก็เพราะว่าแต่งงานเร็วนั่นล่ะ เคยได้ยินว่าแม่เป็นรักแรกอะไรเทือกๆนั้นอ่ะเขาก็ไม่ได้สนใจจะฟัง
“แม่แกเป็นยังไงบ้าง”
ทงเฮนิ่งไป เขากลอกตาไปมา ไม่รู้จะตอบบิดาบังเกิดเกล้าว่าอย่างไรดี เพราะช่วงนี้ก็ไม่ได้กลับไปหาคนเป็นแม่เลยเช่นกัน
“นี่อย่าบอกนะว่าแกไม่ได้กลับไปดูซอนฮวาเลยน่ะ”
“ผมไม่มีเวลา”
“แล้วมีเวลาถ่อมาหาฉันเนี่ยนะ”
“พ่อจะหาเรื่องทำไมเนี่ย”
ทงเฮมองซึงโฮด้วยสีหน้าเหนื่อยใจสุดๆ…ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีเขากับผู้ชายตรงหน้าก็ไม่วายจะต้องเถียงกันทุกครั้งที่เจอ…นั่นคงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ขี้เกียจมาหาบ่อยๆล่ะมั้ง
“ตกลงมีเรื่องอะไรฮึ?”
ซึงโฮเลิกคิ้วถาม เป็นพ่อแท้ๆสายเลือดเดียวกัน ทั้งนิสัย และสันดานก็ถ่ายทอดจากกันไปเต็มๆ แล้วทำไมเขาจะมองไม่ออกว่าลูกชายกำลังมีปัญหาที่คิดไม่ตกและคงจะพึ่งพาใครไม่ได้จริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่ถ่อมาไกลถึงที่นี่หรอก
ความจริงเขาปฏิเสธไม่ได้ว่าลึกๆแล้วคิดถึงทงเฮมากแค่ไหน
ก็ลูกชายคนเดียวนี่นะ…
“พ่อ…” ทงเฮเว้นช่วงไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักว่าหากพูดออกไปแล้วคนตรงหน้านี้จะช่วยเขาได้สักเท่าไหร่ “จำฮยอกแจได้ป่ะ”
“ฮยอกแจ…?”
ทงเฮพยักหน้า ปมที่คิ้วยังไม่คลายลง
“เด็กตัวผอมๆที่ท่าทางขี้โรคนั่นน่ะนะ”
“อือ ทะเลาะกัน”
คำตอบที่ได้ยินทำเอาซึงโฮแปลกใจอยู่ไม่น้อย…ในทีแรกคิดว่าคงจะเป็นเรื่องเงิน หรือไม่ก็เรื่องผู้หญิง คือเขาไม่คิดว่าปัญหาโลกแตกของลูกชายจะเป็นเรื่องของเด็กที่เคยอาศัยอยู่บ้านข้างๆน่ะ
เพราะซึงโฮจากบ้านหลังนั้นมาตั้งแต่ทงเฮยังเด็ก ทำให้จำอะไรไม่ค่อยได้นัก พอย้ายออกมาแล้วนานๆทีถึงจะได้มีโอกาสได้แวะไปหาบ้าง เป็นบางครั้งบางคราว ก็เลยพอจะเห็นผ่านตาว่ามีเด็กตัวผอมๆคนหนึ่งที่ชอบทำตัวติดกับลูกชายตลอด…ไปกี่ทีก็ไม่เคยเห็นว่าจะห่างกัน
“ทะเลาะเรื่องอะไรล่ะ”
“……………..” ทงเฮเงียบ
“ง้อไม่เป็นสินะ”
“ถึงง้อเป็นเค้าก็ไม่อยู่ให้ผมง้ออยู่ดี”
ได้ยินแบบนั้นคนเป็นพ่อถึงกับหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่
สำหรับคนที่ค่อนข้างทันโลกสมัยใหม่แถมผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชนอย่างเขา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
ถ้าแค่เพื่อนกันธรรมดาคงไม่มานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนี้แน่นอน
“มาหาคนผิดแล้วไอ้หนู…” ซึงโฮว่าพลางส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าฉันเก่งขนาดให้คำแนะนำเรื่องความรักกับคนอื่นได้ ฉันก็คงไม่ต้องมาอยู่คนเดียวแบบนี้หรอก”
“ก็พอจะรู้อยู่หรอกครับ”
ทงเฮถอนหายใจแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่กวาดสายตาไปรอบตัวบ้าน พลางคิดไปว่าที่ผ่านมามัวแต่หลงระเริงกับอะไรอยู่ถึงไม่มีเวลากลับมาเยี่ยมคนในครอบครัวบ้างเลย
“นั่งอยู่ทำไมล่ะ” ซึงโฮถามพลางขมวดคิ้ว “ไปหาแม่แกนู้นสิ”
“แล้วพ่อจะไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
“แม่แกได้ฆ่าฉันตาย”
ทงเฮหัวเราะออกมานิดหน่อย เขาไม่ได้ซีเรียสอะไรกับปัญหาครอบครัวแบบนี้หรอก ทำไมจะไม่รู้ว่าลึกๆแล้วพ่อของเขาก็อยากกลับไปอยู่กับแม่จะตาย เพียงแต่ทิฐิของคนทั้งคู่สูงเกินกว่าจะยอมหันหน้ามาคุยกันดีๆก็เท่านั้น
“งั้นเอาไว้ผมจะมาเยี่ยมใหม่นะครับ”
- - - - - - - - - - - - - - -
พนันได้เลยว่าอุณหภูมิร่างกายของเขาคงพุ่งทะลุปรอทไปแล้ว…
พอพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน อากาศรอบตัวก็หนาวเย็นขึ้น …แต่อีทงเฮที่อยู่ในชุดนักศึกษาบางๆเพียงตัวเดียวก็ยังคงพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านที่แสนคุ้นเคยได้โดยที่ไม่ล้มลงไปเสียก่อน
หลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาที่นี่เลย…
แต่ทว่าข้างในกลับเงียบสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่ ทงเฮยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงนั้นนานสองนาน ก่อนจะเหลือบไปมองบ้านข้างๆที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน เพราะย้ายไปอยู่ต่างประเทศกันทั้งครอบครัว
เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มหายใจติดขัดขึ้นมาอีกครั้ง
ทงเฮจึงเบือนหน้ากลับมาชะเง้อมองเข้าไปในบ้านของตัวเอง… คราวนี้เหมือนจะเห็นไฟดวงหนึ่งเปิดทิ้งไว้ แต่ลองกดกริ่งเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีใครออกมาเสียที
สงสัยว่าแม่จะไม่อยู่แฮะ…
ทงเฮยืนรออยู่ตรงนั้นสักพัก กระทั่งร่างกายเริ่มพากันส่งเสียงประท้วงจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับฟุตบาทอย่างอ่อนแรง ศีรษะของเขาหนักอึ้งจนมองเห็นภาพตรงหน้าพร่าเลือน แถมยังหมุนไปหมุนมาจนน่าเวียนหัว
เหมือนว่าวันนี้ทั้งความคิดและร่างกายจะถูกใช้งานหนักเกินไป
สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามาปะทะกับผิวกายจนต้องกอดตัวเองไว้หลวมๆ ทงเฮฝืนตัวเองเฮือกสุดท้าย หยัดตัวขึ้นยืน ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นริ้วไปทั่วร่างจนต้องนิ่วหน้า นึกเจ็บใจที่ไมได้หยิบเสื้อโค้ทติดมือมาสักตัว อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้ร่างกายของเขาอุ่นขึ้นบ้าง
ทงเฮก้าวเท้าไปที่รถยนต์คู่ใจอย่างเชื่องช้า ราวกับมีลูกเหล็กเป็นร้อยๆกิโลมาถ่วงไว้ ตอนนั้นแหละที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะตายให้ได้เลย
ขนาดจะควานหากุญแจในกระเป๋ากางเกงยังไม่มีแรง พอเจอแล้วก็ดันเลื่อนหลุดมือไปง่ายๆจนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด
กลับไปคงต้องกินยาชุดใหญ่อย่างที่คยูฮยอนสั่งไว้จริงๆซะแล้ว…
เขาก้มๆเงยๆอยู่นานกว่าจะเจอมัน และทันทีที่ยืดตัวขึ้น…โลกก็หมุนติ้วจนเซถลา ทงเฮใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวรถไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้มลงไป
ก่อนที่สติทั้งหมดจะเลือนหาย ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงความคิดอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่รู้สึกว่าหัวใจของเขาเจ็บแปลบ
“ฮยอกแจ…”
แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำมืด
‘ทงเฮ…’
รอยยิ้มสว่างไสวที่ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงของความทรงจำ
‘คุณแม่บอกฉันว่าเมืองนอกมีมาสคอตกับสวนสนุกเยอะแยะเลยนะ แล้วก็มีหุ่นยนต์กับร้านขายของเล่นเต็มไปหมด’
‘แล้วยังไง’
‘ก็มันน่าสนุกไง ทงเฮไม่คิดแบบนั้นเหรอ…คุณแม่บอกว่าฉันต้องไปอยู่ที่นั่น ฉันดีใจมากเลยนะ แต่ถ้าไม่มีทงเฮอยู่ด้วยฉันก็ไม่อยากไปแล้ว’
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่พูดไปเรื่อยจนคนฟังนึกรำคาญ ทงเฮไม่ได้สนใจหรอกว่าฮยอกแจจะพูดอะไร เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอยู่ดีๆเด็กผู้ชายท่าทางขี้โรคข้างบ้านถึงได้ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันแบบนี้
แต่ก็ดี…เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาไม่เหงา
‘ฮยอกแจไม่มีวันทิ้งทงเฮหรอก’
รอยยิ้มนั้น…ยังสว่างไสวชัดเจน…
‘สัญญาเลย’
รอยยิ้มนั้น…ทงเฮจำมันได้ดี
นิ้วก้อยเล็กๆยื่นมาพร้อมกับเสียงใสของเด็กชายตัวน้อยที่มักจะเอ่ยคำสัญญากับเขาอยู่บ่อยๆ…ทงเฮไม่มีวันลืม
แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะค่อยๆเลือนหายไปกับกลุ่มควัน
…จางหายไป
ราวกับไม่เคยมีอยู่
‘ฮยอกแจ…อย่าไป’
แต่เขาก็ไม่เคยนึกโทษใคร
…นอกจากตัวเอง
“อึก...”
เสียงพายุฝนด้านนอกทำให้คนที่อยู่ในห้วงนิทราสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างง่ายดาย เหงื่อกาฬมากมายพากันไหลลงมาไม่ขาด ฝ่ามือหนายกขึ้นทาบทับก้อนเนื้อในอกที่เต้นรัวแรงไปพร้อมๆกับเสียงหอบหายใจถี่รัว
ฝันเหรอ…
ทงเฮตั้งสติอยู่สักพักจนรู้สึกว่าจิตใจเริ่มสงบขึ้น จากนั้นเขาก็เริ่มเรียงลำดับความคิดในหัวช้าๆ… จำได้ว่าตอนบ่ายแวะเข้าไปหาอีซึงโฮผู้เป็นพ่อ แล้วหลังจากนั้นก็ฝ่าอากาศหนาวๆไปหาซอนฮวาที่บ้านในตอนเย็น…ส่วนเหตุการณ์หลังจากนั้นเหมือนว่าเขาจะจำมันไม่ได้อีก
ทงเฮกวาดสายตามองไปรอบๆตัวแล้วก็ยิ่งงุนงงเมื่อพบว่าตัวเองกลับมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดนี่อีกครั้ง…พร้อมกับกระดาษหนึ่งแผ่นที่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง
ขี้โรค
ตอนที่มึงเห็นโน้ตยาวๆนี่กูคงไม่อยู่แล้ว
น่าเสียดายที่ยังไม่ได้ยินคำขอโทษจากมึงเลย แต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ได้อยากฟังอยู่แล้ว เพราะยังไงซะฮยอกแจคนโง่คนนี้ก็ไม่เคยโกรธทงเฮลงสักครั้งเลยนี่นา
หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาสบายดีใช่หรือเปล่า…แต่ก็แน่ล่ะ ไม่มีคนมาคอยนั่งบ่นมันก็ต้องดีอยู่แล้วแหละเนอะ
จำได้มั้ยที่เคยถามว่าถ้าวันหนึ่งไม่มีกูมึงจะทำยังไง…
วันนั้นมาถึงเร็วกว่าที่คิดเยอะเลย เพราะฉะนั้นต่อไปมึงต้องดูแลตัวเองให้มากๆแล้วนะ อย่าปล่อยให้ห้องรกขนาดนี้อีกเด็ดขาด
แล้วที่สำคัญมากๆคืออย่าลืมดูแลตัวเองจนไม่สบายหนักจนล้มลงไปแบบวันนี้อีก ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครขับรถพากลับมาส่งแล้วต้องนอนแข็งตายอยู่ข้างถนนไม่รู้ด้วย
ขอบคุณนะ…สำหรับรายงานที่อุตสาห์นั่งเขียนให้จนเสร็จ
แล้วก็ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้น กูไม่ได้อยากให้มึงต้องทะเลาะกับซองมิน เพราะฉะนั้นการที่กูเดินออกมาแบบนี้คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราทุกคนแล้ว
ขอโทษสำหรับความรู้สึกที่มันมันถลำลึกมากไปจนเกือบทำลายความเป็นเพื่อนของเรา ขอโทษที่เผลอทำตัวให้ต้องอึดอัด ให้ต้องลำบากใจ
ถ้าแค่ไม่คิดอะไร…ทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?
ทงเฮรู้รึเปล่า…สำหรับฮยอกแจแล้วทงเฮเป็นทุกอย่างเท่าที่คนคนหนึ่งจะเป็นได้ ทงเฮเป็นทุกอย่างในชีวิตมาตลอด แต่เราอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ได้นั่นคือความจริง~
ต้องไปแล้ว…จะพูดเหมือนเดิมว่าให้ดูแลตัวเองดีๆ
คงไม่ได้เจอกันอีกสักพักใหญ่ๆหรือนานกว่านั้น แต่ถ้าสมมติได้กลับมาเจออีกครั้ง ตอนนั้นเราอาจจะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมแล้วก็ได้…และถ้ามันเป็นอย่างนั้น ทงเฮจะรับฟังอะไรอีกสักอย่างได้มั้ย
มีอย่างหนึ่งที่ทงเฮไม่รู้…
ทงเฮคือความรักของฮยอกแจเลยนะ
สักวันคงได้พบกันอีก
…
사랑해
เมื่อคำสุดท้ายในจดหมายจบลง…
…น้ำตาหยดแรกจึงไหลริน
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาวูบหนึ่ง พาเอากระดาษแผ่นบางปลิวหลุดจากฝ่ามือ ทว่าทงเฮไม่มีสติแม้แต่จะก้มลงไปเก็บมัน เขากลืนน้ำลายลงลำคอที่แห้งผาก ดวงตาทั้งสองข้างถูกบดบังด้วยหยาดน้ำใสที่พยายามสะกดกลั้นมาตลอดหลายวัน
สองมือกำผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ร่างทั้งร่างสั่นเทาด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาจนตั้งรับไม่ทัน ทงเฮปัดไล่ความอ่อนแอออกไปก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบบริเวณ
ห้องกว้างกลับมาสะอาดสะอ้านอีกครั้ง ข้าวของทุกอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ เสื้อผ้าสำหรับไปมหาวิทยาลัยวันนี้ถูกแขวนเตรียมไว้ให้อย่างดี ข้างกายมีอาหารเช้าและยาแก้ปวดหัว
ทำไม…เขาถามตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ
ถ้าไม่ได้โกรธ แล้วทำไมไม่กลับมา…
ทำไมต้องทิ้งกันไปแบบนี้ด้วย
ทำไมฮยอกแจถึงไม่อยู่รอฟังคำนั้น คำที่ทงเฮอยากพูดออกไปมากที่สุดในเวลานี้ ทำไมถึงไม่อยู่ฟังมัน…
มีอย่างหนึ่งที่ฮยอกแจไม่รู้
…ความรักของทงเฮก็คือฮยอกแจเหมือนกัน
TBC
ความคิดเห็น