ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - BESTFRIEND

    ลำดับตอนที่ #12 : chapter 11

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 56









    11

     



     

     

     

    กว่าจะกลับมาถึงก็ฟ้าสว่างพอดี


    เพราะทนอยู่กับสภาพอากาศที่หนาวเย็นข้างนอกมาหลายชั่วโมง ทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ทงเฮทิ้งร่างกายอันอ่อนเพลียลงบนเตียงกว้าง  ก่อนจะปิดเปลือกตาหนีความเหนื่อยล้าที่พากันเข้ามารุมเร้าอย่างไม่ปรานี


    แม้ในใจจะสับสนวุ่นวาย แต่ในสภาวะที่ร่างกายต้องการพักผ่อนมากที่สุด เด็กหนุ่มจึงผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย


    ห้องกว้างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงสายลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามากับเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะของคนที่อยู่ในห้วงนิทรา


     กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนบ่ายคล้อย ทงเฮถูกสายลมเย็นๆปลุกให้รู้สึกตัวตื่น ทว่าเปลือกตาบางยังคงปิดสนิทตามประสาคนขี้เซา…เขาขยับตัวไปมาใต้ภายห่มผืนใหญ่ ก่อนจะเปล่งเสียงออกไปตามความเคยชิน


     “ฮยอกแจอ่าหยิบผ้าขนหนูให้หน่อย ว่าแล้วก็ซุกหน้าลงกับหมอน ผ่านไปหลายนาทีใบหน้าหล่อเหลาเริ่มมีรอยของความไม่พอใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับมาอย่างเช่นทุกวัน



    ฮยอกแจ…” ร่างหนาพลิกตัว แล้วค่อยๆปรือตาขึ้นมองกวาดไปทั่ว

     




     

    เขาเหมือนจะลืมอะไรไป








     

    ฮยอ…”

     

     

    ความเงียบทำให้ลมหายใจของเขาสะดุดลงดวงตาคู่สวยมองเห็นเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ทงเฮลำดับเรื่องราวในหัวช้าๆ ก่อนจะพาร่างที่หนักอึ้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเริ่มเดินสำรวจไปทั่ว


    ข้าวของทุกอย่างยังคงวางไว้ที่เดิม ไม่มีอะไรผิดไปจากวันก่อนๆ และนั่นทำให้หัวใจของเขาเหมือนจะเริ่มมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหวัง

     






     

    ฮยอกแจไม่ได้ไปไหนซักหน่อย

    อาจจะอยู่ในห้องน้ำ หรือไม่ก็อาจจะออกไปเรียนแล้ว



    พยายามบอกตัวเองแบบนั้น

     




     

    ขาทั้งสองข้างหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า มือหนาสัมผัสกับบานประตูนั้นอย่างชั่งใจ ก่อนจะค่อยๆเปิดออกด้วยความหวังที่มากล้นอยู่เต็มอก

     


     

    แต่แล้วก็ต้องสัมผัสกับความว่างเปล่าอีกครั้ง

     






     

    ตอนนั้นเองที่โลกมืดลงถนัดตา

    ความว่างเปล่าเปรียบเสมือนเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นความจริงที่เขาต้องก้มหน้ายอมรับ


    ทงเฮพาตัวเองกลับมานั่งที่เตียงด้วยความรู้สึกวูบโหวงข้างในอก พลางคิดว่าถ้าต้องตื่นมาพบเจอกับความจริงที่โหดร้ายแบบนี้ สู้หลับตลอดไปไม่ต้องรับรู้อะไรเสียเลยคงจะดีกว่า


    มือหนาคว้าเครื่องมือสื่อสารที่เป็นเหมือนความหวังสุดท้ายขึ้นมาภาวนาว่าขอให้ฮยอกแจโทรมาหาเขาสักสายหรือทิ้งเมสเซจไว้ซักฉบับ


    ทว่าความหวังที่เหลือน้อยเต็มทนกลับจางหายไปเหลือไว้เพียงความจริงที่น่าเจ็บปวด…

     


     

    -Sungmin-

     

     

    มิสคอลที่ขึ้นเรียงรายนับสิบสายล้วนแต่มาจากคนที่เพิ่งแยกกันเมื่อหลายชั่วโมงก่อน…ทงเฮปิดมันแล้วโยนออกไปให้ห่างตัว ก่อนจะเอนกายซุกหน้าลงกับหมอนใบใหญ่


    หลังจากที่เอ่ยคำลากับอีซองมิน เขาก็รู้สึกโล่งใจราวกับได้อิสระที่ขาดหายไปตลอดสองเดือนกลับคืนมา…อย่างน้อยตอนนี้ทงเฮก็สามารถกังวลกับเรื่องของฮยอกแจได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับใครอีกคน




    ฮยอกแจ




    อยู่ที่ไหน…



    แล้วป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง


    คิดไปแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมากับตัวเอง…ยังคงมีความหวังอยู่ลึกๆว่าบางทีคนตัวเล็กอาจจะไปอาศัยอยู่บ้านใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก แล้วตอนเย็นหรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้าคงหอบเสื้อผ้ากลับมา


    ยังไงเสียฮยอกแจก็ขาดเขาไปไม่ได้หรอก…


    อาจจะดูโง่เง่าเบาปัญญามากที่คิดอะไรเข้าข้างตัวเองแบบนี้…เพราะในความเป็นจริงแล้วคนคนนั้นสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้สบายๆโดยไม่ต้องมีเขาด้วยซ้ำ







    เป็นทงเฮเองต่างหาก

    เป็นทงเฮที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ยังไง…




    เขาหยัดตัวขึ้นอีกครั้งด้วยความกระวนกระวาย…ยังไงก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ จะมานั่งๆนอนๆรอให้ฮยอกแจกลับมานี่ก็บ้าไปแล้ว


    ทงเฮเดินวนไปมาอย่างใช้ความคิด แล้วถ้าเกิดว่าฮยอกแจไม่ยอมกลับมาล่ะ เขาไม่ต้องรอไปจนตายเลยหรือไง…ไม่มีทางเด็ดขาด


    แค่ลองคิดว่าต่อไปจะต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว ต้องไปไหนมาไหนคนเดียว เท่านั้นข้างมันก็รู้สึกโหวงๆเหมือนกำลังทิ้งตัวลงจากหน้าผ่าสูงชัน



    ไม่ใช่…นี่ไม่ใช่ชีวิตอย่างที่เขาต้องการ




    ความเงียบดูเหมือนจะเสียงดังเหลือเกินในเวลานี้ เงียบจนทงเฮได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังก้อง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และตอนนั้นเองที่ตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่ควรทำต่อจากนี้คืออะไร









     

    .

    .

    .

     





     

    คอนโดหรูใจกลางเมืองของตระกูลโจ

    เขาไม่ได้มาที่นี่นานพอควร ครั้งล่าสุดก็น่าจะสองเดือนก่อน



    โอ๊ะคุณทงเฮ สวัสดีครับ

    “…พี่จงอุน

    อ่า คุณจำผมได้



    ทงเฮยิ้มให้คิมจงอุน พนักงานรักษาความปลอดภัยของที่นี่อย่างเป็นมิตร เมื่อก่อนเคยสนิทกันมากเพราะเข้าออกบ่อย…โดยเฉพาะช่วงหนึ่งที่ฮยอกแจมาทำโปรเจคกับคยูฮยอนแล้วเขาต้องรอรับกลับ ก็ได้พี่จงอุนนี่แหละนั่งคุยเป็นเพื่อนแก้เบื่อ


    มาหาคุณคยูฮยอนเหรอครับ


    ทงเฮพยักหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะยื่นของฝากเล็กๆน้อยๆที่ซื้อติดมือมาให้คนตรงหน้า


    เขาเรียกว่าสินบน






    พี่ช่วยเปิดประตูข้างหน้านี่ให้ผมหน่อยได้มั้ย พอดีว่า….”

    ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายหนุ่มก็รีบพยักหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินอาดๆนำไปที่ประตูทางเข้าจากนั้นก็กดรหัสอะไรไม่รู้สองสามที แล้วก็สแกนนิ้วมือเป็นอันเสร็จ ระบบรักษาความปลอดภัยที่ค่อนข้างรัดกุมจนเวอร์ทำให้ทงเฮหงุดหงิดในบางที…แต่ก็นะคอนโดมีระดับขนาดนี้จะมาทำสั่วๆก็คงไม่ได้



    เขาอยากจะหัวเราะออกมากับความร่ำรวยของสองพี่น้องนั่น…




    เคยได้ยินมาว่ากิจการทางบ้านของปาร์คจองซูกับโจคยูฮยอนรุ่งเรืองถึงขนาดขยายสาขาไปต่างประเทศ ทั้งโรงแรม ทั้งอสังหาริมทรัพย์มากมาย แต่ก็นั่นแหละนะ…ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านจะดีแค่ไหน แต่ปัญหาครอบครัวที่ระหองระแหงก็ยังเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้สักที จนสองพี่น้องเลือกที่จะออกมาใช้ชีวิตอิสระด้วยการอยู่คอนโดแห่งนี้ที่มีชื่อพ่อเป็นเจ้าของ



    แล้วปัญหาที่ว่านั่นก็ไร้สาระจนทงเฮอดจะหัวเราะไม่ได้ อย่างเช่นเรื่องนามสกุลที่ถกเถียงกันมาแต่ไหนแต่ไร สุดท้ายก็ลงเอยด้วยคยูฮยอนใช้นามสกุลพ่อ ส่วนพี่จองซูใช้นามสกุลแม่



     “ความจริงคุณก็น่าจะพกคีย์การ์ดไว้สักอันหนึ่งนะครับอ้อแล้วก็คุณคยูฮยอนเพิ่งย้ายขึ้นไปชั้นสิบเอ็ดเมื่อเดือนก่อนนี้เอง เดี๋ยวผมจะพาคุณขึ้นไปแล้วกัน พูดจบก็เดินนำลิ่วๆขึ้นไป


    ตามคำสั่งของโจคยูฮยอนคือมีแค่สามคนเท่านั้นที่คิมจงอุนสามารถเปิดประตูให้เข้ามาได้โดยไม่ต้องซักถามอะไรใดๆทั้งสิ้น นั่นก็คือคิมฮีชอล อีฮยอกแจ และอีทงเฮ



    ห้องนี้แหละครับเห็นคุณจองซูขับรถออกไปตั้งแต่ช่วงสายๆแล้ว แต่ผมคิดว่าคุณคยูฮยอนน่าจะอยู่



    ทงเฮพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายอย่างจริงใจ




    หลังจากที่จงอุนเดินไปแล้วเขาก็เคาะประตูเรียกคนข้างใน รอไม่นานคยูฮยอนก็ออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย


    มีอะไร?” เจ้าของห้องถามขึ้นอย่างจงใจจะกวนประสาท คยูฮยอนไม่ได้มีท่าทีแปลกใจว่าทำไมคนที่หายหัวไปตั้งนานอย่างทงเฮถึงได้โผล่มาเคาะห้องเอาตอนหัวค่ำเช่นนี้


    มึงก็น่าจะรู้



    กูจะไปรู้ได้ไง


    กวนตีน


    ทงเฮขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินเข้าไปแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา พร้อมกับรับแก้วน้ำสีอำพันที่ร่างโปร่งยื่นมาให้ เขาสอดสายตามองกวาดไปรอบๆ อุตสาห์ลงทุนถ่อมาถึงที่นี่ แน่นอนว่าคงไม่ใช่แค่เพื่อทักทายคยูฮยอนแน่ล่ะ


    อยู่คนเดียว?”

    เออ พี่จองซูมันกลับไปจัดการธุระที่บ้าน

    เรื่องนั้นกูไม่ได้อยากรู้


    คิ้วหนาพันกันยุ่งเหยิงเมื่อไม่พบคนที่กำลังตามหา ถ้าไม่ติดว่าเกรงใจคนตรงหน้า เขาก็อยากจะเดินสำรวจให้ทั่วทุกซอกทุกมุมให้แน่ใจ




    ฮยอกแจจะไปไหนได้ ถ้าไม่ใช่ที่นี่…





    แต่ในเมื่อความว่างเปล่าก็คือคำตอบสุดท้ายของทุกคำถามแบบนี้ ทงเฮก็คงทำได้แค่เพียงกระดกแอลกอฮอล์เข้าปากไปเรื่อยๆ พยายามคิดว่านอกเหนือจากที่นี่แล้วฮยอกแจจะไปอยู่ที่ไหน  แต่ทว่าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกจนต้องถอนหายใจยาวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์


    แล้วตกลงว่ามึงมาหากูทำไมเนี่ย

    เลิกแกล้งทำเป็นไม่รู้สักทีเหอะ



    น่ารำคาญจะตาย ทงเฮสบถลั่นอยู่ในใจ เชื่อเถอะว่าเวลานี้รอยยิ้มของโจคยูฮยอนมีอิทธิพลทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลย แล้วไหนจะท่าทางกวนประสาทนั่นอีก…มันน่าให้โดนตีนเข้าสักทีมั้ยเนี่ย

     



     

    คยูฮยอนรู้ว่าฮยอกแจอยู่ที่ไหน

    อะไรบางอย่างทำให้เขาเชื่อแบบนั้น



    กูไม่รู้จริงๆ

    แต่คยูฮยอนก็ปฏิเสธหน้าตาย พร้อมทั้งชูเครื่องมือสื่อสารให้อีกฝ่ายดูเป็นการยืนยันว่ายังคงติดต่อฮยอกแจไม่ได้เหมือนกัน


    ทงเฮหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างจับผิด…ที่พึ่งเดียวของฮยอกแจก็มีแค่คยูฮยอนนี่แหละ เป็นไปได้เหรอที่คนตรงหน้านี้จะไม่รู้เรื่องอะไรน่ะ


    แล้วกูเชื่อมึงได้หรือไง


    แล้วมึงไม่คิดว่ามันจะมีเพื่อนคนอื่นบ้างหรือไง



    คำตอบของคยูฮยอนทำเอาทงเฮนิ่งเงียบไป เขาไม่เคยคิดถึงความจริงข้อนั้นเลย คนไม่ชอบเข้าสังคมอย่างฮยอกแจเนี่ยนะจะมีเพื่อนที่ไหนอีก ถึงจะมีก็คงไม่ได้สนิทกันขนาดขออาศัยอยู่ด้วยได้หรอก



    คนมาชอบมันตั้งเยอะแยะ


    อะไรนะ


    ทงเฮหน้าตึงขึ้นมาทันที แอลกอฮอล์ทำให้สติของเขาเริ่มขาดหายจนเผลอแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกไปอย่างเต็มขั้น ตรงกันข้ามคยูฮยอนกลับยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องปกติที่เขารู้อยู่แล้ว



    นี่มึงไม่รู้เลยเหรอ บางทีมันอาจจะไปอยู่บ้านใครสักคนที่มันคุยๆด้วยอยู่ล่ะมั้ง…” ว่าพลางปรายตามองอีกฝ่ายราวกับจะหยั่งเชิง “…ยังไงมึงก็ต้องมาคาดคั้นเอาความจริงจากกูแบบนี้ไง ฮยอกแจมันฉลาดจะตาย เพราะงั้นมันไม่มีทางบอกกูหรอกว่าตอนนี้ไปเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน



     พอได้ยินแบบนั้นแล้วทงเฮก็กลับมาทำหน้าตาเครียดจัดอีกครั้ง ความเป็นไปได้ที่ฮยอกแจจะไปโดยไม่ยอมบอกให้ใครรู้มีสูงกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก กลายเป็นว่าตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าฮยอกแจอยู่ที่ไหน กับใคร ยังไง


    เอาไว้ถ้ากูติดต่อมันได้แล้วจะโทรบอกมึง โอเคมั้ย?”



    คยูฮยอนพยายามพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ทงเฮพยักหน้ารับไปส่งๆ แล้วหันมาสนใจแก้วแอลกอฮอล์ในมือต่อ สิ่งนี้คงช่วยให้เขาลืมความรู้สึกแย่ๆไปได้ แต่เชื่อเถอะว่ามันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น  พรุ่งนี้เช้าพอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงอยู่ดี

     



     

    โลกของความเป็นจริงที่ไม่มีฮยอกแจอยู่แล้ว

     


     

    อึก…” ทงเฮกลืนความขมขื่นลงไปพร้อมกับน้ำสีอำพันส่วนลึกในหัวใจบอกว่าเขาไม่ควรยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ควรยอมแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรเพื่อให้ฮยอกแจกลับมาเลยสักอย่าง


    แต่ทงเฮก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความเจ็บปวดทำให้เขารู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะวิ่งไล่ตามอะไรทั้งนั้น…แวบหนึ่งที่คิดว่ามันคงจะเปล่าประโยชน์



    พอได้ละ เดี๋ยวก็กลับไม่ได้ คยูฮยอนปรามขึ้นพลางดึงแก้วออกจากมืออีกฝ่าย กูไม่อนุญาตให้ค้างที่นี่นะบอกก่อน


    ทงเฮหัวเราะ…หัวเราะโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกันว่าเพราะอะไร เขาพยายามมองหน้าคยูฮยอนแต่มันก็พร่ามัวไปหมด เห็นแค่เพียงลางๆว่าร่างโปร่งหยัดตัวขึ้นแล้วเดินออกไปนอกระเบียง


    แล้วทงเฮก็ไม่ได้สนใจอีก เขาเอนหลังพิงกับโซฟาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งไปทั่วทั้งร่าง บางทีควรจะหยุดไว้แค่นี้ ก่อนที่จะขับรถกลับไม่ไหวจริงๆอย่างที่อีกฝ่ายบอก



    ทงเฮ เสียงของร่างโปร่งดังแว่วเข้ามาปลุกให้คนที่กำลังจะผล็อยหลับสะดุ้งตื่น สีหน้ากังวลใจของคยูอยอนทำให้เขาพลอยใจไม่ดีตามไปด้วย คนตรงหน้านิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาทงเฮถึงกับเบิกตากว้าง  ฮยอกแจโทรมา




    เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะตายเสียให้ได้ตอนที่ได้ยินแบบนั้น  ทงเฮแอบคิดว่าตัวเองเมาจนหลอนไปแล้วหรือเปล่า แต่วินาทีถัดมาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่คยูฮยอนพูดมานั้นเป็นความจริง




    หน้าจอเครื่องมือสื่อสารของร่างโปร่งมีชื่อของคนที่กำลังตามหาปรากฏอยู่ในลิสต์สายโทรเข้า ตอนนั้นทงเฮอยากจะฆ่าคยูฮยอนจริงๆที่หลบฉากออกไปคุยโดยไม่บอกเขาสักคำ




    ฮยอกแจไม่ได้บอกกูว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน มันบอกมาแค่ว่าอาทิตย์หน้าจะไปอยู่กับแม่…”



    ทงเฮฟังประโยคยาวๆที่คยูฮยอนพูดมาได้ไม่ค่อยถนัดนัก เหมือนว่าจะมีเพียงส่วนท้ายประโยคเท่านั้นที่ดังก้องอยู่ในหู






    “…ที่อเมริกา







    แล้วความเงียบก็เข้าโอบล้อมคนทั้งคู่โดยสมบูรณ์ ทงเฮไม่ได้พูดอะไรเช่นเดียวกับคยูฮยอนที่มองมาด้วยสายตาตึงเครียด ประโยคเมื่อครู่ยังคงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ราวกับจะตอกย้ำให้คนโง่อย่างเขาได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของการจากลา แต่ในขณะนั้นทงเฮเหมือนถูกของแข็งทุบหัวอย่างแรงจนคิดอ่านอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง ลึกๆแล้วยังคงหวังให้ตัวเองหูฝาดหรือไม่คนตรงหน้าอาจจะแค่ล้อเล่นเท่านั้น



    ไม่มีทาง






    แค่ระยะหนึ่ง หรืออาจจะนานกว่านั้น ก็คงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมัน แล้วก็อะไรหลายๆอย่าง

    ทงเฮรู้สึกได้ว่าคยูฮยอนคงพูดประโยคพวกนั้นออกมาด้วยความยากลำบากเช่นเดียวกับเขาที่แม้แต่การหายใจยังติดขัดจนน่าโมโห


     “มึงลองคิดทบทวนในสิ่งที่ทำลงไปนะทงเฮ แล้วบอกกูหน่อยว่ามึงควรจะปล่อยฮยอกแจไปรึเปล่า



    ขอบตาของทงเฮร้อนผ่าวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเปิดเปลือกตาลงแล้วรับฟังคยูฮยอนเงียบๆ ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป นอกจากยิ้มหัวเราะกับสภาพที่น่าสมเพชของตัวเองเท่านั้น


    ลองห่างกันแล้วใช่เวลาทบทวนตัวเองบ้างจะดีกว่ามั้ยทงเฮ

    ห่างงั้นเหรอ?”


     ตอนที่พูดประโยคนั้นออกไปหัวใจก็เหมือนถูกบีบรัดแน่นเสียจนต้องจิกนิ้วเข้ากับโซฟา ทงเฮพยายามเก็บซ่อนไว้ไม่ให้คนตรงหน้าต้องมารับรู้ แต่เหมือนจะไม่สำเร็จเมื่อหยาดน้ำใสเริ่มรื้นขึ้นมาจนเต็มขอบตา



     “ถามตัวเองดีๆนะว่ามึงจะรั้งมันไว้ทำไม เพราะแค่กลัวว่าจะอยู่คนเดียวไม่ได้น่ะเหรอถ้ามึงคิดแบบนั้น มึงก็เห็นแก่ตัวเกินไปแล้วทงเฮทำไมไม่ปล่อยทุกอย่างให้มันเป็นไปตามอย่างที่มันควรจะเป็นล่ะ


    “………………”



    เวลาอาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นก็ได้



    ร่างหนาไม่ได้สนใจว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไร เขารู้เพียงว่าเขาอยากจะออกไปจากที่นี่เร็วๆแม้จะมีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดมากขนาดไหนก็ตาม




    กูกลับก่อนแล้วกัน ทงเฮตัดบท ก่อนจะหยัดตัวขึ้น และเป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามา




    อ้าว…”






    พี่ฮีชอล

     





     

    นี่มึงยังไม่ตาย

    นั่นล่ะ…คำทักทายแรกจากรุ่นพี่คนสนิท ทงเฮไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแต่อ้าแขนรับอ้อมกอดของคิมฮีชอลที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่


    ผมจะกลับแล้วพี่ไว้จะโทรหา

    เฮ้ยจะไม่ออกไปต่อกับพวกกูเหรอ

    ไม่มีอารมณ์แล้วว่ะทงเฮปฏิเสธเสียงเหนื่อย โทษที


    แล้วมึงจะขับรถกลับเองเนี่ยนะคยูฮยอนแย้งขึ้นก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูมันดึกแล้ว กูว่าเดี๋ยวให้พี่ฮีชอล…”


    ไม่เป็นไร


    ทงเฮยกมือขึ้นห้าม ก่อนจะเอ่ยคำลาสั้นๆ แล้วออกมาจากห้องนั้น ด้วยความคิดที่ว่าบางทีเขาอาจจะต้องเริ่มต้นทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง…ไม่ใช่เอาแต่พึ่งพาคนรอบข้างอย่างที่เคยเป็น


    นั่นเป็นคำพูดที่ฮยอกแจชอบพูดให้ฟังบ่อยๆน่ะนะ




    เพิ่งจะเก็บมันมาใส่ใจก็วันนี้


    เพิ่งจะมาเห็นความสำคัญ…



    ทงเฮหัวเราะออกมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ ก็แน่ล่ะ…จะมีคนสติดีสักกี่คนกันที่สามารถหัวเราะร่าได้ในเวลาที่ปวดร้าวไปทั่วทั้งใจแบบนี้

     

     

    จะไม่กลับมาจริงๆเหรอ

    จะทิ้งกันไปจริงๆหรือไง

     


     

    ตั้งคำถามทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีวันได้คำตอบ…ทงเฮทั้งเสียใจ ทั้งน้อยใจ ทั้งโกรธตัวเองที่โง่เง่าได้ขนาดนี้ ความรู้สึกทุกอย่างถูกกลั่นกรองรวมกันจนกลายมาเป็นหยาดน้ำใสๆที่ไหลอาบแก้ม









     

    เวลาอาจทำให้ทุกอย่างดีขึ้นก็ได้’

     






     

    เวลาเหรอ…

    แล้วต้องนานแค่ไหนล่ะถึงจะพอ

     





     

    คุณทงเฮ!”

    ทงเฮไม่ได้สนใจเสียงโวยวายของคิมจงอุนที่ถลาเข้ามาช่วยประคอง สติของเขาหลุดหายไปตามทาง ส่วนหนึ่งคงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่แท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะความคิดเอาแต่วนเวียนอยู่กับใครอีกคนมากกว่า



     

    คุณทงเฮไหวมั้ยครับผมว่า…”

     




     

           และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน 








    TBC

     

      

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×