คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : chapter 8
8
วันนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากทุกๆวันที่ผ่านมา…
ทงเฮลืมตาตื่นขึ้นมารับเช้าวันใหม่อย่างเกียจคร้าน เขาบิดขี้เกียจแล้วกลิ้งตัวไปมาภายใต้ผ้านวมผืนหนา ส่งเสียงครางอื้ออึงในลำคอคล้ายว่าจะบอกให้ใครก็ได้ช่วยเบาแอร์ลงทีกูหนาวจะตายห่าแต่ขี้เกียจเอื้อมมือไปหยิบรีโมตน่ะ
ทว่าห้องกว้างกลับเงียบสงัดจนคนที่นอนอยู่นึกแปลกใจจนต้องผงกหัวขึ้นมา เปลือกตาบางปรือขึ้นแล้วมองกวาดไปทั่ว ก่อนจะทิ้งศีรษะลงกับหมอนอีกครั้งเมื่อไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากตัวเขาเอง
ฮยอกแจไปเรียน…ทั้งที่ไม่สบายเนี่ยนะ?
เป็นครั้งแรกที่ทงเฮเห็นด้วยกับคำพูดของคยูฮยอนที่ว่าเด็กคนนั้นน่ะดื้อจนน่าจับมาฟาดเข้าสักทีจริงๆ ไม่สบายขนาดนั้นแล้วยังจะอุตสาห์ตื่นไปเรียนได้อีก…
แต่ว่าเมื่อคืนนี้…
หลังจากที่ทงเฮพูดทุกอย่างออกไป ฮยอกแจก็ไม่ยอมคุยกับเขาเลยจนกระทั่งเข้านอน ทงเฮไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ยังคิดจะออกไปตามที่ซองมินขอร้องหรือไม่ เขาเอาแต่ถามตัวเองวุ่นวายไปหมด ขนาดฮยอกแจหลับไปแล้วทงเฮก็ยังคงจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองจนเวลาล่วงเลยไปเกือบเช้า
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ได้คำตอบ…
ความจริงเขามักจะอ่านฮยอกแจออกหมดไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร แต่พอมาเรื่องของซองมินทีไร ฮยอกแจจะกลายเป็นคนที่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าคิดอะไรอยู่
มีเพียงแค่เรื่องเดียว…ที่ไม่ว่านานเท่าไร
…คนโง่อย่างเขาก็ไม่เคยเข้าใจเลยสักที
เออช่างมันเถอะ คิดจนขี้เกียจคิดแล้วก็เหนื่อยที่จะคิดละด้วย ในเมื่อคิดไปให้ตายก็ไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนอยู่ดี ไม่ใช่แค่กับฮยอกแจหรอก พักหลังมานี่ทงเฮก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไรไป…
ตั้งแต่มีซองมินเข้ามาเขาก็ทะเลาะกับฮยอกแจแทบทุกวันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถ้าลองมองในอีกมุม…ทงเฮรู้สึกว่าเขาเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง แม้วันนี้จะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ทงเฮเชื่อว่าคงมีสักวันที่คนโง่อย่างเขาจะเข้าใจมัน
Rrrrrrrrrrrrrrrrr
ร่างหนาบิดตัวไล่ความขี้เกียจออกไปไกลๆ ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะไล่ควานหาโทรศัพท์คู่ใจที่แผ่ดเสียงดังลั่นจนน่ารำคาญ
ไม่เคยเข้าใจเลยสักนิดว่าการที่มีใครสักคนโทรมาปลุกทุกเช้านี่มันดูน่ารักมุ้งมิ้งตรงไหนกัน...
ทงเฮกลอกตาอย่างอารมณ์เสียพลางสบถลั่นอยู่ในใจว่าอีควายใครมันโทรมาเช้าขนาดนี้กูจะนอนต่ออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ
-Sungmin-
เจ้าของชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอดึงให้สติสตังกลับคืนมาอย่างครบถ้วน ทงเฮเกือบลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้เขากับซองมินก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเช่นกัน และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาลังเลที่จะรับสาย
เมื่อวันก่อน…
ทงเฮได้รับข้อความจากคนรักว่ากำลังไม่สบายหนัก ฝากซื้อยาเข้ามาให้หน่อยเพราะไม่มีใครอยู่บ้านเลย เขาจึงรีบหุนหันออกไปโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง และปล่อยให้ฮยอกแจรออยู่ที่ร้านกาแฟนั่น…
ทีแรกทงเฮคิดแค่ว่าจะซื้อยาเข้าไปให้ซองมินแล้วจะรีบกลับมา เพราะบ้านของซองมินก็อยู่ไม่ไกลจากร้านกาแฟมากนัก คงใช้เวลาไม่นาน…แต่ใครจะไปรู้ พอถึงแล้วทงเฮกลับพบว่าคนรักของเขาไม่ได้ป่วยอย่างที่บอกในเมสเซจ
ซองมินก็แค่อยากให้เขามาหา…
นั่นทำให้ทงเฮไม่พอใจนิดหน่อย เขาบอกซองมินว่ามีธุระต้องรีบไปทำต่อ แล้วพรุ่งนี้จะมาหาใหม่ แต่ทว่าฝนกลับเทกระหน่ำลงมาทำให้อีกฝ่ายสามารถหาข้ออ้างให้เขาอยู่ต่ออีกสักพัก เพราะไม่อยากให้ขับรถลุยฝนไปมันอันตราย
ทงเฮเข้าใจเหตุผลข้อนั้นดี แต่ว่าฮยอกแจรออยู่…แน่นอนว่าเขากระวนกระวายอยู่ไม่สุข ต้องโทรบอกให้คยูฮยอนไปรับฮยอกแจแทน
ไคลแมกซ์มันอยู่ตรงนั้นไงล่ะ…
เพราะเขาเอาแต่พะวงกับฮยอกแจจนลืมสนใจคนข้างๆไปเสียสนิท ตอนที่โทรบอกคยูฮยอนให้ไปดูฮยอกแจหน่อยนั่นซองมินก็ได้ยินเต็มสองหู เลยกลายเป็นเรื่องให้ต้องทะเลาะกันถัดจากนั้นมา
‘ฉันนั่งอยู่ตรงนี้นายยังเอาแต่สนใจคนอื่นอย่างนั้นเหรอทงเฮ!?’
‘นี่…อย่าหาเรื่องน่า’
ทงเฮสาบานว่าเขาพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุดแล้ว ทั้งที่มันผิดจากนิสัยจริงๆของเขาไปเยอะ พวกคนที่ชอบทำตัวงี่เง่าน่ารำคาญแบบนี้เขาไม่เคยทนได้นานสักราย แล้วซองมินกำลังจะเป็นแบบนั้น…
‘เคยคิดจะสนใจกันบ้างมั้ย!’
‘ฉันไม่สนใจตรงไหน?’
‘ยังจะมาถามอีกเหรอ!?’
‘แล้วฉันไม่สนใจตรงไหน? ที่ทิ้งฮยอกแจมาหานายนี่ยังเรียกว่าไม่สนใจอีกเหรอ!?’
จนในที่สุดก็เผลอตวาดออกไปอย่างลืมตัว เส้นความอดทนกำลังถูกแกว่งให้สั่นคลอน เขาพยายามใจเย็นมากแล้วจริงๆ แต่คนตรงหน้านี้ก็ยังเอาแต่ประชดอยู่ได้ไม่หยุดไม่หย่อน
ข้างนอกฝนตกหนัก แน่นอนว่านั่นมันยิ่งทำให้ทงเฮกระวนกระวายว่าป่านนี้ฮยอกแจจะเป็นยังไง ถึงขนาดว่าไม่ยอมปล่อยโทรศัพท์ให้ห่างตัว ทงเฮพยายามกดโทรหาฮยอกแจพร้อมทั้งยืนเถียงกับซองมินไปด้วย
ช่างเป็นการกระทำที่บ้าสิ้นดี แต่ตราบใดที่คยูฮยอนยังไม่โทรมาบอกว่าส่งฮยอกแจถึงห้องเรียบร้อยแล้ว ทงเฮก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
‘สำคัญมากใช่มั้ย…ฮยอกแจน่ะ…’
‘อย่าเพิ่งงี่เง่าตอนนี้จะได้มั้ย’
‘ถ้าฉันไม่โทรบอก นายจะรู้มั้ยว่าฉันไม่สบาย’
‘นี่ซองมิน…’
‘ยังรักกันอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า…’
ในที่สุดหยาดน้ำใสก็ร่วงลงมาเพราะเขาจนได้ ซองมินหยุดโวยวายแล้วทรุดตัวลงนั่งกับโซฟา ก่อนจะสะอึกสะอื้นจนตัวโยน และนั่นยิ่งทำให้ทงเฮรู้สึกผิดจนต้องลงนั่งข้างๆ แล้วดึงตัวคนรักเข้ามากอดไว้
‘โอเค ฉันขอโทษ’
ความจริงเขาไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนโยนได้ขนาดนั้นน่ะนะ…ก็อย่างที่บอกว่าพักหลังมานี้ทงเฮรู้สึกว่าตัวเองเริ่มแปลกไป จากที่เคยเป็นคนไม่สนใจอะไรกับความเป็นไปของผู้คนรอบข้าง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาแคร์คนอื่นมากขึ้น…
‘…ที่ผ่านไม่ได้ใส่ใจนายมากพอ ฉันขอโทษ’
‘ขอโทษเหรอ…’
‘แล้วจะให้ทำยังไง นายถึงจะหยุดร้องไห้แล้วก็หายโกรธฉันล่ะ’
‘อยากให้ฉันหายโกรธเหรอ?’
‘อือ’
‘ถ้างั้น…ฉันขออะไรนายอย่างหนึ่ง’
‘……………’
‘…ได้หรือเปล่า’
ทงเฮรู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไป…
อย่างแรกเขาไม่น่าพลั้งปากพูดแบบนั้นออกไป จนเกิดเป็นช่องว่างให้ซองมินได้เอ่ยขอสิ่งหนึ่งที่เขาไม่มีวันให้ได้
‘ฉันไม่อยากให้ทงเฮอยู่กับฮยอกแจแล้ว’
ประโยคเดียวที่ทำเอาเส้นความอดทนขาดสะบั้นลง แล้วมันไม่ใช่แค่นั้นเสียด้วย ซองมินยังร่ายอะไรไม่รู้ออกมาอีกยาวยืด เหตุผลร้อยแปดที่จะให้ฮยอกแจหรือไม่ก็เขาย้ายออกไปจากที่นี่
เขาเกือบพลั้งมือตีคนตรงหน้าไปแล้วโทษฐานที่พ่นคำพูดไร้สาระออกมาแบบนั้น จะให้เขาแยกอยู่กับฮยอกแจน่ะเหรอ? ฝันเถอะ!
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เครื่องมือสื่อสารยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกันกับที่ทงเฮยังคงจ้องมองมันด้วยความลังเลใจ
ไม่อยากรับ…
เขายังไม่พร้อมคุย ไม่พร้อมจะทะเลาะอะไรกับซองมินทั้งนั้น ถึงแม้ปลายสายตั้งใจจะโทรมาขอโทษ เขาก็ไม่อยากจะรับฟังตอนนี้
แต่เหมือนอีกฝ่ายจะมีความพยายามมากล้นเหลือเกิน ทงเฮเกือบจะเลื่อนนิ้วไปกดตัดสายแล้วปิดเครื่องหนี แต่เพราะอะไรบางอย่างกลับทำให้เขาเลือกที่จะกดรับในที่สุด
“อือ ว่าไง?”
( …………. )
“ได้ยินหรือเปล่า?”
( ………….. )
พวกประเภทที่ว่าพอรับแล้วเสือกไม่พูดนี่มันน่าหาอะไรฟาดให้ปากฉีก แต่เอาเถอะ เขาไม่มีทำแบบนั้นได้อยู่แล้ว ในเมื่อปลายสายยังคงได้ชื่อว่าเป็นคนรักอยู่นี่นะ
”ซองมิน ได้ยินฉันมั้ย?”
ทงเฮทำได้ดีที่สุดแค่ถามย้ำไป เป็นอีกครั้งที่เขาต้องกลบเกลื่อนอารมณ์แย่ๆของตัวเองไว้ และแทนที่คำตอบจะเป็นน้ำเสียงสดใสของคนรัก แต่เขากลับได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆดังมาตามสาย
“นั่นร้องไห้หรอ!?”
( ฉัน..ฮึก )
“เดี๋ยวสิ…ใจเย็นๆก่อน เป็นอะไร?”
( ฮยอกแจ…ฮึก… )
แค่เพียงได้ยินชื่อนั้น…หัวใจของเขาก็กระตุกวูบอย่างน่ากลัว
( …ฮยอกแจทำร้ายฉัน )
.
.
.
ทงเฮไม่เคยร้อนใจมากขนาดนี้มาก่อน
เขาไม่รู้ว่าความหวาดกลัวเล็กๆที่เกิดขึ้นในใจนี่มันมาจากอะไร…
หลังจากที่ซองมินบอกว่าโดนฮยอกแจทำร้ายพร้อมกับสะอื้นตลอดจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ เขาก็รีบแต่งตัวมาถึงมหาลัยในเวลาไม่กี่นาที ทงเฮก้าวลงจากรถอย่างรีบร้อนพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูซ้ำๆ จนไม่ทันสังเกตคยูฮยอนที่เดินสวนมา
“มึงจะไปไหน?”
กระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยทักเขาจึงหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง
“ธุระ” ตอบปัดไปส่งๆ ทงเฮไม่ได้มีเวลาจะมาหยุดทักทายสนทนาพาทีกับใครนานๆ ร่างโปร่งมองหน้าเขาเหมือนมีอะไรจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที นั่นทำให้คนใจร้อนอย่างเขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาได้ไม่ยาก
“คยูฮยอน กูรีบ”
“……………....”
แต่คงเป็นเพราะพักหลังมานี่เขาไม่ค่อยได้มีเวลาคุยกับคยูฮยอนเท่าไรเลยทำให้เกิดช่องว่างเล็กๆที่น่าอึดอัด …และนั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คยูฮยอนลังเลที่จะพูดมันออกมา
“ทงเฮ…”
“รีบๆพูดมาซักทีเถอะ”
ทงเฮออกปากเร่งอย่างไม่สบอารมณ์ เขาคิดว่าคนตรงหน้าคงกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก เพราะในแววตานั้นมีแต่ความสับสนวิ่งชนกันวุ่นไปหมด ร่างโปร่งเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมาในที่สุด
“เมื่อไหร่…จะรู้ใจตัวเองสักที”
“…………..”
ทงเฮนิ่งอึ้งไปกับน้ำเสียงที่ขาดห้วงราวกับว่าคนตรงหน้านี้กำลังผิดหวังในตัวเขาอย่างรุนแรง
ก้อนเนื้อในอกเริ่มทรยศด้วยการเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม
“มึงพูดเรื่องอะไร”
“ต้องรีบไปธุระไม่ใช่หรือไง?”
แล้วก็เป็นอย่างที่คาด ทงเฮถูกคนตรงหน้ากวนประสาทกลับมาด้วยรอยยิ้ม…นี่มันน่าโดนเข้าซัดหมัดจริงๆให้ตาย ตกลงว่าเขาผิดเองใช่มั้ยที่เสียเวลาไปจริงจังกับคำพูดของคนปากปีศาจอย่างโจคยูฮยอน!
“ไม่กวนตีนสักทีนี่มันจะตายหรือไง”
ทงเฮกลอกตาอย่างอารมณ์เสีย นึกโมโหตัวเองอยู่ไม่น้อยที่มัวมายืนเล่นสงครามประสาทอยู่ตรงนี้ พอคิดได้แบบนั้นก็เตรียมจะหันหลังกลับ แต่แล้วเสียงของปีศาจก็หยุดฝีเท้าของเขาเอาไว้ได้อีกครั้ง…
“อีกอย่างที่ควรจะรู้ไว้นะทงเฮ…”
“……………”
“ฮยอกแจน่ะ…ทนมึงได้ไม่นานนักหรอก”
.
.
.
.
คำพูดของปีศาจ…
เป็นคำพูดที่ฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ…แต่ทว่ามันกลับตามหลอกหลอนเสียจนทงเฮเกือบจะลืมจุดประสงค์ที่แท้จริงไปแล้วว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร
เหอะ!นี่ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าโจคยูฮยอนเป็นคนร้ายกาจขนาดนี้นะเขาจะไม่ยอมเสียเวลาหยุดยืนคุยด้วย…ไม่สิ…ถ้าเป็นไปได้เขาจะไม่ทำความรู้จักกับมันเลย!
‘ถ้าสักวันมันรอมึงไม่ไหว’
‘…………….’
‘…จะมาเสียใจทีหลังไม่ได้นะ’
…รอ?...
รออะไร?
ก็อดจะตั้งคำถามขึ้นมากับตัวเองไม่ได้…แล้วไอ้ปีศาจนั่นก็ไม่ยอมขยายความอะไรให้มันมากกว่านี้…ใครมันจะไปเข้าใจกันล่ะ
“ทงเฮ…”
เสียงร้องเรียกที่แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ปลุกให้ทงเฮหลุดออกจากภวังค์ความคิด เขาหันมองไปรอบทิศก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ใครคนหนึ่ง
ซองมิน…
ไม่มีแม้ความคิดที่จะลังเล ทงเฮก้าวเท้าเข้าไปหาคนรัก ก่อนจะลอบถอนใจเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเขายังคงมีพันธะยิ่งใหญ่ติดพันอยู่
แอบสบถด่าตัวเองที่เมื่อกี้นี้หลงลืมไปว่าไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเก็บเรื่องของคนอื่นมาคิดให้วุ่นวายใจ ลำพังกับแค่คนตรงหน้านี้ก็ปวดหัวจะแย่
เมื่อก้าวเข้าไปแล้วก็ยิ่งมองเห็นอะไรๆชัดเจนขึ้น ทงเฮไม่แน่ใจนักว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า เขาพยายามไล่สายตามองใบหน้าของคนรักแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง…เพราะนอกจากน้ำสีใสที่เอ่อล้นดวงตากลมโตนั้นแล้ว…ยังมีโลหิตสีแดงเข้มที่ไหลลงมาจากบาดแผลเล็กๆบนหน้าผากมน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
- - - - - - - - - - - - - - -
ห้องกว้างที่นานๆทีจะมาเหยียบ แต่กลับให้ความรู้สึกสบายใจมากกว่าห้องของตัวเอง
…อย่างน้อยก็ในเวลานี้
เกือบสองชั่วโมงที่ฮยอกแจจมอยู่กับตัวเอง…ความรู้สึกมากมายพากันถาโถมเข้ามาภายในคราวเดียว ทั้งสับสน…ทั้งเจ็บปวด…สุดท้ายก็กลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำใสที่รื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
ริมฝีปากบางจะเหยียดยิ้มออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเอง
ร้องไห้ทำไม?
เก่งนักไม่ใช่เหรอ…ทนมาได้ตลอดไม่ใช่เหรอ
ฮยอกแจยกมือขึ้นปาดความอ่อนแอทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก ตั้งแต่เมื่อคืนที่ทะเลาะกับทงเฮไป แม้ตอนท้ายจะดูเหมือนปรับความเข้าใจกันได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าข้างในยังคงมีหลายสิ่งที่ค้างคาอยู่เต็มไปหมด
‘ซองมินเค้าไม่อยากให้กูอยู่กับมึง’
คิดเอาไว้แล้วว่าสักวันมันต้องมาถึง…ไม่ช้าก็เร็ว
แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้…
ฮยอกแจหยัดตัวขึ้นเตรียมออกไปจากที่นี่เพราะคิดว่าตัวเองรบกวนเจ้าของห้องอย่างคยูฮยอนมามากแล้ว ร่างบางลุกออกมาเงียบๆโดยที่ไม่ได้บอกใครแม้แต่พี่จองซูนอนแผ่หลาดูทีวีอยู่ตรงนั้น
เมื่อเช้าเขาลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาหวิว เขาไม่ได้ปวดหัวหนักเหมือนเมื่อวานแล้ว แต่ก็ยังอ่อนเพลียอยู่บ้าง ทีแรกก็คิดไว้ว่าจะนอนเอาแรงอีกสักวัน แต่พอเปิดม่านเจอบรรยากาศฟ้าหลังฝนแบบนี้เลยตัดสินใจหอบกระดานวาดรูปไปมหาลัย ด้วยความคิดที่ว่าบางทีศิลปะอาจช่วยบรรเทาสิ่งที่มันอัดแน่นอยู่ในใจให้เบาบางลง
เพิ่งจะมารู้ก็ตอนนี้ว่าตัวเองคิดผิดที่ทำแบบนั้น
สองขาพาตัวเองเดินไปเรื่อยๆ ในใจยังไม่มีจุดหมายใหม่ที่ชัดเจน
ร่างบางเดินไปจนถึงถนนใหญ่ สวนทางกับผู้คนมากมายจนเริ่มเวียนหัว อีกทั้งความหนาวเย็นทำให้รู้สึกปวดหนึบที่ฝ่ามือ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก จำใจต้องเดินต่อไปแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินเส้นทางก็ตามที
ฮยอกแจจำได้ลางๆว่าต้องเดินถัดไปอีกเจ็ดบล๊อก…เลี้ยวซ้ายสองครั้ง…เลี้ยวขวาสามครั้ง…ตรงไปอีกสี่บล็อกก็จะถึงคอนโดของเขาแล้ว
ไกลเกินกว่าร่างกายจะรับไหว
...นั่นคือความเป็นจริงที่ไม่ควรฝืน แต่คยูฮยอนชอบบ่นใส่หูให้ฟังอยู่บ่อยๆว่าฮยอกแจน่ะดื้อ เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเด็กดื้ออย่างเขาจะกัดฟันเดินทรมานตัวเองไปเรื่อยๆ แทนที่จะโบกแท๊กซี่สักคันคงไม่ผิดอะไร
แค่นี้เอง…ไม่ตายหรอก
หัวเราะออกมากับความดื้อรั้นของตัวเอง สองเท้ายังคงก้าวต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปไกล …ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาพร้อมกับหอบความทรมานแทรกซึมผ่านกายบางไปอีกระลอก…ถ้าพิษไข้จะกลับมาเล่นงานอีกครั้งคงไม่ต้องโทษใคร
จนในที่สุดฮยอกแจก็สามารถพาตัวเองกลับมาถึงห้องได้อย่างปลอดภัย ร่างกายเริ่มอุ่นขึ้นนิดหน่อยหลังจากที่เดินเข้ามาข้างใน
ปลายนิ้วเย็นเอื้อมไปกดลิฟต์ด้วยสติที่ใกล้จะเลือนหายเต็มที
ไม่นานก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของตัวเอง และด้วยความเคยชินทำให้เผลอใช้มือขวาหมุนลูกบิดไปเต็มแรง ความเจ็บปวดแล่นวาบเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า พอยกขึ้นมาดูแล้วก็เป็นอย่างที่คิด…ผ้าพันแผลสีขาวค่อยๆถูกสีแดงเข้มกลืนกินเป็นวงกว้าง
…นั่นทำให้เขาตัดสินใจยืนทบทวนตัวเองเงียบๆอีกครั้ง
พร้อมที่จะเผชิญหน้าแล้วอย่างนั้นเหรอ?
คำถามง่ายๆที่ฮยอกแจเองก็ตอบไม่ได้ เขาไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร…และเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมันมาตลอด
แต่สุดท้ายก็เลือกพาตัวเองเข้าไปพบเจอกับความจริง…
“ฮยอกแจ!”
และทันทีที่ประตูห้องถูกเปิดเข้าไป ทงเฮก็ถลาเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็วจนฮยอกแจถึงกับสะดุ้งถอยหลัง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วอึดใจ
กระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง…
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันโดยอัตโนมัติ ฮยอกแจมองภาพนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วความรู้สึกเหมือนเด็กหวงของเล่นก็หวนกลับมาอีกครั้ง
นั่นมันเตียงนอนของเขา…
…ผ้าห่มนั่นก็ของเขา
แล้วอีซองมินมีสิทธิ์อะไร…
“รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
เสียงเย็นๆของทงเฮเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ทว่ามันกลับกลายเป็นตัวจุดประกายไฟให้ลุกลาม ฮยอกแจเหวี่ยงกลับมาสายตามองคนตรงหน้า แล้วย้อนถามกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะกวนประสาท
“ทำอะไร?”
“ยังจะถามอีกเหรอ!?” ทงเฮพูดเสียงสูง ก่อนจะก้าวไปยืนข้างๆซองมินที่นั่งอยู่บนเตียง แล้วชี้ไปที่รอยแผลเล็กๆบนศีรษะนั้น “นี่มันอะไร?”
ฮยอกแจเพียงแต่ปรายตามองตามไปด้วยใบหน้าที่เมินเฉยติดจะกวนอารมณ์อยู่เล็กๆ และนั่นทำให้ทงเฮเริ่มจะไม่พอใจขึ้นมา
“กูถามว่านี่มันอะไร!?”
สุดท้ายก็ตวาดใส่เสียงดังลั่น ฮยอกแจหัวเราะในลำคอ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาสบตาอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว แล้วริมฝีปากที่เรียบตึงในทีแรกก็ค่อยๆระบายรอยยิ้มออกมา
“แผลแค่นี้ถ้าจะตายก็ปล่อยให้มันตายไปสิ”
“ฮยอกแจ!”
สายตาของคนทั้งคู่ประสานกันอย่างไม่ยอมแพ้…นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ฮยอกแจนึกอยากตีคนตรงหน้าแรงๆสักทีจะได้หายซื้อบื้อ แต่เขาก็ยังใจเย็นพอที่จะไม่ทำแบบนั้น
“กูไม่ใช่คนที่อยู่ดีๆจะเดินไปกระทืบใคร”
เลือกที่จะอธิบายช้าๆอย่างอ่อนใจ ทงเฮเป็นคนใจร้อน ถ้าไม่เอาน้ำเย็นเข้าลูบก็ไม่มีวันคุยกันรู้เรื่อง ใช้อารมณ์ไปก็มีแต่แตกหักเท่านั้นเอง
ฮยอกแจเหลือบไปมองตัวปัญหาอย่างอีซองมินที่ดูจะสะใจมากมายเหลือเกินที่สถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการ
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่กูอยากได้ยิน”
ละสายตาจากซองมินกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง…ฮยอกแจหวังว่าตัวเองจะไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอมากไปจนอีกฝ่ายสังเกตได้
แล้วฮยอกแจก็หวัง…หวังว่าทงเฮจะเชื่อใจเขาบ้าง
แค่เพียงสักนิด
“แล้วมึงถามกูสักคำหรือยังว่าเพราะอะไรกูถึงทำ”
“จะเพราะอะไรก็ช่าง มึงไม่ควรไปทำเขาขนาดนั้น”
จะเพราะอะไรก็ช่าง…?
ยิ่งกว่าถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ชั่วขณะนั้นที่ฮยอกแจรู้สึกเหมือนสมองตัวเองขาวโพลน จนนึกคำพูดที่จะโต้ตอบคนตรงหน้านี้ไม่ออก ลำพังกับแค่ควบคุมจังหวะการหายใจให้ปกติยังทำไม่ได้เลย
ทงเฮยังคงใช้ดวงตาสีน้ำตาเข้มจ้องมองมาราวกับฮยอกแจเป็นเพียงคนแค่แปลกหน้า ร่างบางไม่แน่ใจว่าเขาแค่คิดไปเองหรือเปล่า
แต่ข้างในนี้มันชาไปหมดในความรู้สึก
ฮยอกแจได้แต่ถามตัวเองเงียบๆว่าทำไมคนตรงหน้านี้ถึงได้ทำท่าทางราวกับเห็นเขาเป็นศัตรู
ทำไมคนที่เคยอยู่ข้างๆกันมาตั้งแต่จำความได้ ถึงมองเขาด้วยสายตาที่ห่างเหินเหมือนยืนอยู่คนละโลกแบบนั้น…
“มึงจะเกลียดเขาแค่ไหนหรือเกลียดเพราะอะไรกูไม่สนหรอก”
“……………..”
“ไว้หน้ากันบ้าง ยังไงซองมินก็แฟนกู”
ถ้อยคำพวกนั้นชัดเจนจนคนฟังปวดร้าวไปทั่วทั้งใจ
“ใช่ มันเป็นแฟนมึง”
แต่คนอย่างฮยอกแจน่ะ…มีด้วยเหรอที่จะมาอ่อนแอให้ใครเห็น ต่อให้ข้างในจะแย่สักเพียงได้ ใบหน้าหวานก็ยังคงเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้
“จะให้กูกราบตีนขอโทษมั้ย”
“อย่ามาประชด”
“แล้วจะให้ทำยังไง…” ถามออกไปเสียงเบาเมื่อคนตรงหน้าทำเหมือนว่าอยากจับฮยอกแจมาลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ทำเต็มแก่
แต่ทว่า…ประโยคคำถามสั้นๆที่ร่างบางไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน กลับหลุดออกมาจากริมฝีปากนั้น
“…มันเกิดอะไรขึ้น”
หลายชั่วโมงก่อน
บรรยากาศเช้าวันเสาร์ในมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่พระเจ้าสร้างมาเพื่อฮยอกแจเลยจริงๆ ความเงียบสงบชนิดที่หาไม่ได้ในวันธรรมดา เพราะส่วนใหญ่เขาก็กลับบ้านไม่ก็นอนอยู่หอกันหมด
ยิ่งอากาศเย็นๆแบบนี้ด้วยแล้วล่ะก็…
ฮยอกแจหยิบอุปกรณ์วาดรูปทั้งหมดออกมาวางเรียง ก่อนจะเริ่มหามุมที่ดีที่สุดเพื่อสร้างงานศิลปะชิ้นใหม่ ใครจะไปรู้ล่ะ ต่อไปภาพวาดพวกนี้อาจจะขายได้เป็นล้านๆก็ได้…
คิดอะไรไปเพลินๆ มือก็จับดินสอลากไปมาอย่างชำนาญ
‘ฮยอกแจ…’
กึก!
ดินสอหัก…
‘ขอคุยด้วยหน่อยสิ’
น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่ฟังดูไม่ค่อยรื่นหูนักดึงให้ร่างบางต้องละสายตาจากงานศิลปะตรงหน้า
แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออีซองมิน
‘มีอะไร?’
ฮยอกแจวางดินสอลง ในหัวคิดเตรียมรับมือกับอะไรหลายๆอย่างที่จะตามมา เพราะการที่คนคนนี้เข้ามาคุยกับเขามันคงจะไม่ใช่เรื่องดี
‘เรื่องทงเฮ…’ เจ้าของใบหน้าหวานไม่รีรอ รีบเข้าประเด็นด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้น ‘…ฉันไม่ชอบที่นายมาวุ่นวายกับแฟนของฉัน’
‘แล้วยังไง?’ ฮยอกแจเหวี่ยงสายตาไม่พอใจกลับไป ก่อนจะหยัดตัวขึ้นเต็มความสูงจนสายตาอยู่ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย
‘ฉันรู้ว่านายคิดยังไงกับทงเฮ’
‘จะคิดยังไงแล้วมันทำไม’
‘ก็ไม่ทำไม แต่ว่านะฮยอกแจ…นายน่ะชอบเพื่อนสนิทตัวเองมาตั้งหลายปีแล้วไม่ใช่หรือไง เขาไม่เห็นจะหันมาสนใจสักนิด…ฉัน…สงสาร’
ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้ฮยอกแจมีสีหน้ายังไงกับประโยคเจ็บแสบที่เขาเพิ่งพูดออกไป คนผมสีบลอนด์จ้องมองเขาด้วยสายตาเหมือนอยากจะฆ่าให้ตายอยู่ร่อมร่อ นั่นยิ่งทำให้ซองมินรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นต่อแบบสุดๆ
‘อย่างนั้นเหรอ…’
ร่างบางหรี่ตามองคนตรงหน้า เป็นอีกครั้งที่ต้องพยายามสะกดกลั้นอารมณ์จนมือไม้สั่นไปหมด ยิ่งเห็นสายตากับน้ำเสียงเหยียดหยามที่ซองมินใช้มองมาราวกับเห็นฮยอกแจเป็นตัวอะไรสักอย่างแบบนั้น…
…มันทำให้เขาเผลอก้าวเท้าเข้าไปหาคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว
‘จะทำอะไร!?’
ความมั่นใจในทีแรกแปรเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดหวั่นเล็กๆเมื่อคนผมบลอนด์สาวเท้าเข้ามาใกล้จนตัวเองเผลอก้าวถอยหลังหนี แต่แล้วซองมินก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่มันคือวิสัยของพวกจนตรอก คิดได้อย่างนั้นก็รีบเรียกสติของตัวเองกลับมา กลอกตามองมีดคัตเตอร์ที่วางรวมอยู่กับอุปกรณ์วาดรูปของฮยอกแจ
‘ยอมรับหน่อยสิว่าเขารักฉัน ไม่ใช่นาย!’
คนที่ถอยหลังหนีไปจนเกือบติดกำแพงแผ่ดเสียงออกมาดังลั่น ดวงตาคู่นั้นสั่นระริก ซึ่งฮยอกแจก็ไม่แน่ใจนักว่าเพราะความโกรธหรือความกลัวกันแน่…ในใจเขานึกอยากจะให้ทงเฮมาเห็นภาพนี้เสียจริง อยากรู้ว่ายังจะมองว่าคนตรงหน้านี้แสนดีอยู่อีกไหม
‘ถอยออกไปนะ!’
เพียงเสี้ยวนาทีที่เผลอคิดไปถึงใครอีกคนทำให้ไม่ทันได้ระวังตัว ได้สติอีกทีก็ตอนที่ปลายมีดคัตเตอร์มาจ่ออยู่ตรงหน้า
‘จำไว้นะอีฮยอกแจ…’
‘……..…….’
‘คนที่เป็นได้แค่เพื่อนอย่างนายน่ะ…’
‘……………’
‘…ไม่มีวันสำคัญกับอีทงเฮได้เท่ากับคนรักอย่างฉั…’
ผลัก!
ไม่จำเป็นต้องอดทนกับคนคนนี้อีกต่อไป ฮยอกแจเข้าประชิดตัวอีกฝ่ายโดยที่ลืมไปว่าคนตรงหน้ายังคงกำคัตเตอร์เอาไว้ เส้นความอดทนของเขามันขาดลงตั้งแต่เห็นสายตาดูถูกดูแคลนนั้นแล้ว
ความวุ่นวายเล็กๆเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะสงบลงโดยฮยอกแจได้แผลที่ฝ่ามือจากการยื้อแย่งใบมีดมาเป็นทางยาว ส่วนซองมินก็เซไปจนศีรษะกระแทกเข้ากับกำแพง
ร่างบางกลอกตามองฟ้าอย่างเหนื่อยหน่าย เดินเลี่ยงไปที่อ่างล้างหน้าใกล้ๆเพื่อล้างแผลที่ฝ่ามือออก เผลอนิ่วหน้าเมื่อน้ำเย็นเฉียบสัมผัสกับบาดแผล แม้จะไม่ลึกมากแต่ใบมีดที่ใช้เหลาดินสอคงสกปรกพอควร กลับไปคงต้องทำความสะอาดอีกยกใหญ่
‘เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่าทงเฮจะเลือกใคร’
เสียงของซองมินดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฮยอกแจไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ลำพังแค่มาใช้พื้นที่หายใจร่วมกันก็สะอิดสะเอียนจะแย่…คนอะไรทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลชะมัด ไม่แปลกใจเลยที่คบกับทงเฮได้น่ะ
‘อีกไม่นานนายจะต้องกลายเป็นหมาหัวเน่า…’
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าซองมินคิดจะทำอะไร
‘…ฉันเสียใจด้วยจริงๆนะฮยอกแจ’
เจ้าของใบหน้าใสซื่อประกาศกร้าว ก่อนจะประคองตัวเองขึ้นมาหยิบโทรศัพท์…ปลายนิ้วสั่นระริกเลื่อนไปที่ชื่อของใครคนหนึ่ง…
ละครฉากแรกเริ่มขึ้นแล้ว
“…มันเกิดอะไรขึ้น”
ฮยอกแจนึกขอบคุณที่อย่างน้อยทงเฮก็พร้อมจะรับฟัง
แต่เขารู้ดีว่าอีซองมินต้องการให้ทุกอย่างจบลงแบบไหน…
ถึงใบหน้าแสนไร้เดียงสานั้นจะหลอกตาใครหลายๆคนได้ แต่ไม่ใช่กับฮยอกแจ และถ้าทงเฮจะเชื่อในความใสซื่อบริสุทธิ์นั้นด้วยอีกคน….
…เขาก็ไม่อยากขัดอะไร
“เออกูทำเอง กูเป็นคนผลักมันเอง” ฮยอกแจมองคนตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจอีกครั้งว่าที่ทำอยู่นี่มันถูกต้องแล้ว “พอใจมั้ย”
สิ้นคำพูดนั้น ซองมินก็ดูเหมือนจะดีใจจนปิดไม่มิดที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ ฮยอกแจแค่นยิ้ม มันไม่ใช่ว่าเขาทำตัวเป็นละครน้ำเน่าหลังข่าว…ที่พูดออกไปนั่นก็ความจริงทั้งนั้น
“แล้วอย่าลืมถามแฟนมึงด้วยนะว่ามีปัญหาอะไรกับกูนักหนา”
คำพูดที่แทบจะไม่ได้ใช้สมองกลั่นกรองทำเอาคนที่นั่งอยู่บนเตียงถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะเริ่มแสร้งตีหน้าเศร้าเรียกน้ำตาอย่างรวดเร็ว
“ฮยอกแจ” ทงเฮปรามขึ้นเสียงดุ
ความจริงแล้วก็มีอะไรมากมายที่อยากพูด…แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหากพูดไปแล้วคนที่หวังว่าจะเข้าใจมากที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย แล้วยิ่งตราบใดที่ทงเฮยังเอียงไปทางอีกฝ่ายแบบนี้…พูดอะไรไปสุดท้ายคนที่ผิดก็คือฮยอกแจอยู่ดี
“นี่ซองมิน…”
ฮยอกแจไม่สนใจว่าทงเฮจะคิดยังไง เขาเหวี่ยงสายตากลับไปมองซองมินที่นั่งน้ำตารื้น…ริมฝีปากบางยกยิ้มจงใจจะกวนประสาท ทำเอาคนที่กำลังเล่นละครฉากใหญ่แทบดิ้นพล่าน… “ถ้าหวงมากนักนะวันหลังก็จับทงเฮมันขังกรงไว้ดิ ไปไหนก็หิ้วไปหิ้วมาใส่ปลอกคอไว้ด้วยเดี๋ยวหาย”
“ฮยอกแจ…หยุด…”
ร่างบางเบือนสายตากลับมามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทช้าๆ แล้วก็ได้รู้ว่าทงเฮเองก็พยายามใจเย็นอยู่เช่นกัน
ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่ฮยอกแจเคยมองว่ามันสวยที่สุด แต่ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความผิดหวังมากมาย ทงเฮดูเหมือนจะผิดหวังในการกระทำของเขามากเสียจนเผลอถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว
ในเมื่อมาถึงขนาดนี้…ก็คงไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
“แล้วนั่นจะร้องไห้ทำไม เมื่อกลางวันยังเก่งอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“หยุด…”
เหนื่อยหรือเปล่าที่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็ง…
“ทำไมไม่บอกมันไปด้วยล่ะว่ามึงทำอะไรไว้บ้าง”
“ฮยอกแจกูบอกให้มึงหยุด!”
…เหนื่อยมากหรือเปล่า
“ทงเฮ…” ร่างบางเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ “แฟนมึงน่ะมัน…”
เพียะ!
รสชาติของคาวเลือดเป็นยังไงฮยอกแจเกือบจะลืมไปแล้ว…
แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันนัก ร่างบางเบือนหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้าราวกับสติที่พอจะมีเหลือทั้งหมดพากันหลุดลอยหายไป ภาพตรงหน้าพร่ามัวจนแทบไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ายังไง กระทั่งหยาดน้ำใสถูกกะพริบไล่ไปจนหมด ถึงได้เห็นว่าคนตรงหน้านี้ไม่แม้แต่จะสบตาเขา
ในเวลานี้ความเจ็บปวดที่ข้างแก้มยังไม่อาจเทียบเท่าความทรมานที่รุมเข้ากัดกินข้างในจนบอบช้ำ กายบางสั่นเทิ้มจนเกือบจะล้มลงไป แต่ในที่สุดแล้วก็ยังฝืนทำเป็นว่าเข้มแข็งไม่ให้คนตรงหน้าหรือใครอีกคนได้หัวเราะเยาะ
ตราบใดที่ยังไม่ล้มลงไปก็ถือว่ายังไม่พ่ายแพ้ ถึงแม้ว่าหยาดน้ำใสที่ไหลอาบลงมาข้างแก้มนี่จะทำให้เขาดูเหมือนอ่อนแอมากก็ตามที
“มึงรู้มั้ยทงเฮ…” ทำลายความเงียบด้วยการพูดออกไปหลังจากพยายามหาเสียงตัวเองอยู่นาน
“แค่นี้ชดใช้ให้มันไม่พอหรอก”
สิ่งที่เขาได้รับอาจจะยังน้อยไปถ้าเทียบกับแผลบนศีรษะของอีซองมิน ฮยอกแจนึกอยากให้ทงเฮทำมากกว่าตบหน้าแรงๆด้วยซ้ำ อยากรู้จริงๆว่าหัวใจของเขามันจะทนแบกรับความเจ็บปวดได้มากกว่านี้อีกหรือเปล่า
ในเมื่อยังไงเสียฮยอกแจก็เป็นคนผิดในสายตาของทงเฮอยู่วันยังค่ำ แล้วจะมีประโยขน์อะไรที่เขาจะต้องเสียเวลาอธิบายทุกอย่างให้ฟัง
“ฮยอกแจ…”
คนตรงหน้าคล้ายว่าจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป แววตาของทงเฮสั่นไหวรุนแรงและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจนทำให้คนมองพลอยจะรู้สึกแย่ตามไปด้วย ฮยอกแจไม่ได้รอฟัง และไม่อยากรู้ว่าสิ่งที่ทงเฮจะพูดคืออะไร เขาแค่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเงียบๆ
“กูจะจำไว้ว่ามึงรักมันมากขนาดนี้นะ…”
ความเงียบโรยตัวเข้าปกคลุมจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังก้อง… ริมฝีปากที่ซีดเซียวเพราะพิษไข้พยายามคลี่ยิ้มออกมาอย่างยากเย็น
ไม่จำเป็นเลย…ไม่จำเป็นต้องฟังคำอธิบายหรือคำขอโทษ
ฮยอกแจเข้าใจคนตรงหน้านี้ทุกอย่าง
ทงเฮไม่ได้ตั้งใจ
ใช่…ฮยอกแจเข้าใจทงเฮเสมอ…ทุกอย่าง
“มึงบอกกูว่าไม่มีใครเข้าใจมึงเท่ากูอีกแล้ว”
“………..”
“แต่ทำไมวะทงเฮ...”
“………..”
“ทำไมมึงไม่เคยเข้าใจกู…เหมือนที่กูเข้าใจมึงเลย”
TBC
ความคิดเห็น