คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 8
ถ้าลืมก็ย้อนกลับไปอ่านใหม่นะ 5555
- LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 8
‘ผมชอบพี่’
สำหรับอีฮยอกแจคงต้องบอกว่ามันเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่นรกแตกมากจริงๆกับการที่ต้องทำงานโดยมีคำสามพยางค์นั้นตามมาหลอกหลอน โชคดีที่ตอนนั้นเขาไม่ได้ลืมตา ก็เลยแสร้งทำเป็นว่าหลับไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่รู้จะทำหน้ายังไง…แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่รบกวนจิตใจของเขาจนแทบจะไม่เป็นอันทำงานทำการก็คือ…
ทงเฮหายไป
ฮยอกแจคิดว่ามันเป็นช่วงสัปดาห์ของการสอบ เด็กนั่นก็เลยไม่ได้โผล่หัวมาที่โรงพยาบาลเลย แต่มันน่าโมโหตรงที่แม้แต่สายโทรเข้าหรือข้อความสักฉบับก็ไม่มี!
ทำไมถึงทำให้คนอื่นเขาคิดมากแล้วก็หายตัวไปเฉยๆแบบนั้นกัน…
หนึ่งสัปดาห์ของอีฮยอกแจผ่านไปอย่างทุลักทุเล เพราะว่าทั้งหงุดหงิดและฟุ้งซ่านก็เลยทำให้โดนพี่ฮีชอลดุที่เอาแต่นั่งเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แน่นอนล่ะว่ามันไปกระทบกับงานอย่างรุนแรงจนโดนคำสั่งให้กลายเป็นบุคคลว่างงานตลอดทั้งวัน
ฮยอกแจเดินลากเท้าไปตามห้องพักผู้ป่วยอย่างเอ่อระเหย เพราะว่าวันนี้ไม่มีงานทำก็เลยได้แต่เดินเข้าออกห้องของคนไข้เพื่อสนทนาสั้นๆเป็นว่าเล่น ห้องไหนที่เป็นผู้ป่วยสูงอายุและไม่มีญาติก็อยู่คุยนานหน่อยเพื่อไม่ให้พวกเขาเครียดเกินไป
หลังจากผ่านพ้นช่วงบ่ายมาแล้วก็เข้าสู่การว่างงานอย่างจริงจังจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้หน้าห้องตรวจเพื่อรอเวลาเข้าเวรแทนพี่ฮีชอล ฮยอกแจมองเข็มนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังแล้วก็พรูลมหายใจอุ่นๆออกมาเป็นรอบที่ล้าน มือข้างหนึ่งล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกมาเลื่อนๆดูอย่างไร้จุดหมาย
ก็ยังไม่มีมิสคอลสักสาย…เหมือนเดิม
ครั้งที่เท่าไหร่ในรอบสัปดาห์ไม่รู้ที่ฮยอกแจเอาแต่ทะเลาะกับความคิดของตัวเองจนเผลอทำหน้ายุ่งจนคนรอบข้างต้องเอ่ยทัก เอาจริงๆนะ…เขาไมพร้อมเจอทงเฮเลยหลังจากที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของเด็กนั่น…แต่ในขณะเดียวกันความหงุดหงิดมันกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาคิดว่ามันคงจะหายไปในทันทีถ้าเขาได้เจอทงเฮ…
โอ้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
แล้วอีฮยอกแจก็ต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับเด็กมัธยมปลายด้วยการเป็นฝ่ายกดโทรออกไปในที่สุด เสียงสัญญาณดังอยู่หลายครั้งก่อนจะเงียบหายไปและมีเสียงโอเปอร์เรเตอร์ขึ้นมาแทนที่ แน่นอนว่ามาขนาดนี้แล้วเขาไม่ยอมแพ้หรอก!
นิ้วเรียวกดโทรออกไปอีกครั้งพร้อมกับคิดคำด่าไว้ในใจมากมาย ฮยอกแจนั่งเคาะนิ้วรออยู่หลายนาทีจนในที่สุดเสียงสัญญาณก็หายไปกลายเป็นเสียงรถราและเสียงเอะอะของผู้คนเข้ามาแทนที่
“……….” น่าแปลกคำพูดมากมายที่คิดเอาไว้ในทีแรกถูกกลืนหายไปเหลือเพียงความเงียบเท่านั้น เช่นเดียวกับปลายสายที่ไม่ตอบอะไรกลับมา ต่างฝ่ายต่างเงียบกันอยู่สักพักราวกับเป็นเกมจิตวิทยาที่ใครเริ่มพูดก่อนคนนั้นต้องเป็นฝ่ายแพ้
นาทีแรกผ่านพ้นไปด้วยความอึดอัด อะไรบางอย่างทำให้ฮยอกแจแน่ใจว่าทงเฮฟังอยู่
“จะไม่พูดใช่มั้ย”
สุดท้ายก็เป็นฮยอกแจที่ยอมแพ้และเริ่มพูดก่อน และทันทีที่เขาพูดออกไปนั้นเสียงหัวเราะเบาๆจากทางปลายสายก็ดังขึ้น
( พี่มีอะไรรึเปล่า ผมกำลังจะสอบน่ะ )
คำถามนั้นทำให้ฮยอกแจรู้สึกเบาใจ ทงเฮติดสอบอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ
“เปล่า ก็แค่…ว่าง”
( ว่างเหรอ… ) ทงเฮตอบกลับมาเสียงกลั้วหัวเราะ ( น่าอิจฉาจังนะ ผมยุ่งมากจนไม่มีเวลานอนเลยเนี่ย )
มาถึงตรงนี้ ฮยอกแจก็เพิ่งจะสังเกตว่าเสียงของทงเฮดูเหนื่อยล้ากว่าเดิม
“งั้นไม่กวนแล้วก็ได้”
( แต่ฟังจากเสียงแล้วพี่ดูเหมือนอยากจะกวนผมมากๆเลยนะ ) ทงเฮหัวเราะ
“คิดไปเอง! แค่นี้ล่ะฉันมีงานต้องทำอีกเยอะ” แน่นอนว่าฮยอกแจโกหก
( เมื่อนาทีก่อนพี่เพิ่งบอกว่าพี่ว่าง )
“อีทงเฮ”
( ฮ่าๆ โอเค วางก็วางครับ )
ด…เดี๋ยวสิ…
จะวางจริงๆเหรอ
ฮยอกแจขมวดคิ้วแล้วกำโทรศัพท์แน่น มีหลายประโยคที่วิ่งพล่านอยู่ในหัวและเขาอยากจะถามออกไป
ทำไมถึงยังทำตัวปกติอยู่ได้…
ทำไมถึงเป็นเขาคนเดียวล่ะที่กระวนกระวาย…
“เดี๋ยว!”
( ……… )
“นายจะหายไปแบบนี้ทั้งที่เพิ่งบอกว่าชอบฉันเนี่ยนะ!?”
ฮยอกแจโพล่งออกไปโดยที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองเลยสักนิด นาทีนั้นร่างบางคิดเพียงว่าถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่างในตอนนี้ สักวันคงต้องอกแตกตายแน่ๆ
ทงเฮเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบ ( พี่ได้ยินเหรอ? )
“…………..”
( ผมนึกว่าพี่หลับอยู่ )
ฮยอกแจหลับตาลงแล้วพูดอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้หลับ”
( ถ้างั้น… )
ประโยคถัดมาของทงเฮทำให้ฮยอกแจผ่อนลมหายใจลงแล้วเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้
( เราควรออกมาเจอกันมั้ย? )
แค่นั้นแหละที่เขาต้องการ
- - - - - - - - - - -
เป็นครั้งแรกรอบสิบกว่าปีที่ฮยอกแจกลับมาที่สนามเด็กเล่นในโรงเรียนอนุบาล
เมื่อตอนอายุสิบห้า เขาจำได้ว่าเขามาที่นี่แทบทุกวัน มันเป็นแบบนั้นอยู่ประมาณสองสามเดือนเห็นจะได้ เหตุผลก็เพราะต้องมาช่วยพี่สาวที่เป็นคุณครูดูแลเด็กๆจอมแสบนับสิบคน
และมันทำให้เขาได้เจอกับทงเฮ
ทงเฮคนที่เมื่อสิบปีก่อนตัวสูงแค่หัวเข่าของฮยอกแจ ทงเฮคนที่มักจะชอบมาเล่นที่สนามเด็กเล่นแห่งนี้คนเดียวเพราะว่าไม่ค่อยมีเพื่อนคบ(อันที่จริงก็มีแต่ชอบทำตาขวางใส่ชาวบ้านเขาน่ะเลยไม่มีใครอยากเข้าใกล้) ทงเฮคนที่เอาแต่ร้องไห้เวลาไม่ได้ดั่งใจและส่งสายตาอาฆาตใส่ทุกสิ่งที่รู้สึกเกลียด
ฮยอกแจเองก็เคยได้รับสายแบบนั้นจากทงเฮเหมือนกัน
แต่เมื่อสิบปีผ่านไป วันนี้ ทงเฮที่ยืนข้างๆเขายังเป็นคนเดิม…แต่กลับตัวสูงพอๆกับฮยอกแจแล้วทั้งที่เพิ่งอายุแค่สิบแปด ทงเฮคนเดิมที่ไม่สนใจจะเล่นเครื่องเล่นพวกนี้เลยสักนิด แถมยังเอาแต่ทำหน้าเครียดแล้วก็เงียบขรึมเหมือนพวกนักธุรกิจที่กำลังจะล้มละลาย
ฮยอกแจมองใบหน้าด้านข้างของทงเฮพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น…ใบหน้าที่เคยสดใสและมีรอยยิ้มกลับดูหมองคล้ำลงอย่างน่าใจหาย แค่เวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ไม่เจอกัน ทงเฮเหมือนกลายเป็นอีกคนที่เขาไม่เคยรู้จัก
“พี่มีคำถามมากมายที่อยากจะรัวใส่หน้าผมใช่มั้ยล่ะ”
ทงเฮพูดโดยที่ไม่ได้หันมามอง สายตาคู่นั้นมองตรงไปยังอากาศข้างหน้า
…ถูกเผงเลย…
“ผมให้พี่ถามแค่สามข้อ”
ฮยอกแจขมวดคิ้ว แต่ก็ยอมเล่นไปตามที่ทงเฮสั่ง
“นายหายไปไหนมา”
“ผมบอกไปแล้วว่าผมสอบ” ทงเฮหัวเราะ “เพราะงั้นคำตอบคือ อ่านหนังสือครับ”
ฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด…ถ้าเป็นเวลาปกติคงมีการลงไม้ลงมือกันสักทีที่เล่นไม่รู้เวลาแบบนี้ แต่เมื่อเห็นว่าสีหน้าของทงเฮไม่ได้มีแววล้อเล่นฮยอกแจจึงถามคำถามต่อไป
“แล้วทำไมถึงไม่โทรมา…”
“คำตอบเดียวกับข้อเมื่อกี้” ทงเฮพูดขณะที่รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา “อ่านหนังสือครับ”
“ขี้โกงนี่” ฮยอกแจตีหน้ายุ่ง และรู้สึกได้ว่าคำตอบนั้นมันน่าหัวเราะมากเมื่อออกมาจากปากของเด็กที่ดูเหมือนจะไม่เอาอะไรเลยทงเฮ
“แล้วที่พูดวันนั้น…”
“เรื่องที่ว่าผมชอบพี่น่ะเหรอ” ทงเฮแทรกขึ้นก่อนที่ฮยอกแจจะถามจบ “มันคงทำให้พี่อึดอัดน่าดู”
“ป…เปล่า…”
“หน้าพี่มันบอกน่ะ…ที่ผมหายไปเพราะว่าผมสอบ และที่ผมไม่โทรมาเพราะกลัวว่าพี่จะอึดอัด แบบ…ตอนแรกผมคิดว่าพี่คงไม่ได้ยินหรอก แต่มันก็แปลกๆไงที่พูดออกไปแบบนั้น อีกอย่างพี่ก็แคร์คนที่โรงพยาบาลด้วย ผมเลยคิดว่าผมไม่ไปหาพี่สักพักดีกว่า”
ทงเฮพูดออกมายาวเหยียด ฮยอกแจขมวดคิ้ว เขาคิดว่าเขาเข้าใจเหตุผลของทงเฮ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่เข้าใจ นี่เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าของทงเฮดูเหมือนแบกอะไรไว้มากมายเสียจนคนที่โตกว่าอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือขึ้นไปบีบที่ไหล่หนาเบาๆ
“นั่นสิ…” ฮยอกแจพูดเสียงเบา “ห่างกันบ้างอาจจะดีกว่าก็ได้”
เป็นอีกครั้งที่ฮยอกแจโกหก
“ผมรู้” ทงเฮหันหน้ากลับมามองคนตัวเล็กก่อนจะยิ้มออกมา “ผมรู้ว่าพี่แคร์คำพูดของคนพวกนั้น”
ไม่…ไม่ใช่สักหน่อย…ถึงจะเคยคิดแบบนั้นแต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว
“ช่วงที่อยู่คนเดียวผมคิดอะไรได้เยอะแยะเลย มันคงจะดีกว่าถ้าเรากลับไปเป็นเหมือนตอนนั้น แต่น่าเสียดายที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเราสองคนเป็นยังไง”
“…………..”
“แต่พอจะนึกออกลางๆนะว่าผมเกลียดพี่โคตรเลย”
“………….”
“พี่เป็นแค่ผู้ใหญ่ใจยักษ์”
“ทงเฮ”
“ครับ?”
“ฉันขอถามอะไรอีกสักสามข้อได้มั้ย”
“ผิดกติกานะ” ทงเฮว่าก่อนจะพลิกตัวกลับมามองฮยอกแจตรงๆ “แต่ถ้าเป็นพี่ผมโอเคอยู่ละ ว่ามาเลยครับ”
“……………”
“…………….”
“ระหว่างเรามันเป็นไปได้ด้วยเหรอ”
“…………….”
“ฉันหมายถึงสถานะ การงาน หน้าที่”
“อายุ” ทงเฮพูดต่อทันที ก่อนจะหัวเราะในลำคอ “เราจะทะเลาะกันแน่ๆถ้าเป็นประเด็นนี้”
“ฉันก็ว่างั้น…”
“พี่มองในมุมของพี่ที่ผ่านอะไรมาเยอะแยะ มองในมุมของผู้ใหญ่ที่มองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล แคร์สังคม แคร์คนรอบข้าง แล้วหน้าที่การงานอะไรของพี่นั่นน่ะ แต่ผมมองในมุมของผม ในมุมมองของเด็กอายุสิบแปดที่อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมีกฏเกณฑ์หรือคิดอะไรมากมาย มันน่ารำคาญจะตาย”
ประโยคยาวๆของทงเฮทำให้ฮยอกแจนิ่งเงียบ
“ผมขอถามบ้าง เวลาพี่จะคบกับใครสักคนพี่มองเค้าตรงไหน แล้วใช้อะไรเป็นตัวตัดสิน”
“……………”
“ไม่ใช่ความรู้สึกเหรอ”
“ฉันไม่มีเวลาให้ใครหรอก ลำพังกับตัวเองฉันยัง…”
“พี่ไปส่งผมตอนเช้าและผมมาหาพี่ตอนเย็น ผมรอพี่เลิกงานแล้วเราจะไปนั่งหาอะไรอร่อยๆกินกันก่อนกลับบ้าน ถ้าวันไหนพี่ว่างพี่จะมาอยู่กับผมทั้งคืน ถ้าพี่ไม่ว่างพี่โทรหาผมแล้วบอกฝันดี…แล้วตอนนี้พี่ก็ยืนอยู่ตรงนี้ นั่นมันดีที่สุดแล้ว”
“ทงเฮ…”
“ผมเคยเรียกร้องเวลาจากพี่หรือไง”
ทงเฮในตอนนี้ดูเหมือนเด็กหัวรั้นคนเดิมที่พยายามอธิบายเหตุผลของตัวเอง ฮยอกแจหัวเราะออกมานิดหน่อย ก่อนจะหยิบบางอย่างในกระเป๋ากางเกงออกมา มันเป็นกระดาษเอสี่ที่ถูกพับเป็นทบๆจนกลายเป็นแผ่นเล็กๆ มือเรียวคลี่มันออกช้าๆแล้วยื่นให้เด็กหนุ่มตรงหน้าดู
“จำได้มั้ย?”
ทงเฮจ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ผมเป็นคนวาดมันเหรอ?”
เขาเคลื่อนกายเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพื่อดูภาพวาดบนกระดาษสีซีดให้ชัดๆ “ห่วยชะมัด…”
“น่ารักออก” ฮยอกแจมุ่ยหน้า “นายวาดให้ฉันตอนที่ฉันกำลังจะไปเรียนต่อน่ะ”
ทงเฮขมวดคิ้ว พยายามนึกทวทวนเหตุการณ์ตอนนั้นแต่เขาก็จำมันไม่ได้อยู่ดี
“เสียดายที่ผมนึกไม่ออก แต่ผมดีใจที่พี่ยังเก็บมันไว้”
“ทงเฮ”
“…….”
“จะเป็นยังไงถ้าเราคบกัน”
จู่ๆฮยอกแจก็ถามขึ้นมา สายตาจับจ้องไปยังรูปวาดบนกระดาษ
วินาทีถัดมากระดาษแผ่นนั้นร่วงลงสู่พื้น พร้อมกับร่างบางที่ถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอุ่น
“คงเป็นแบบนี้มั้ง”
“……….”
“ผมจะกอดพี่ทุกวันเลย”
ฮยอกแจหลุดหัวเราะออกมา เขาคิดว่านั่นคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเด็กมัธยมปลาย
“ทุกวันเลยเหรอ…”
“ทุกครั้งที่ผมเหนื่อย”
“ฉันสิที่ควรจะพูดว่าเหนื่อย” ฮยอกแจเถียง
“งั้นผมอนุญาตให้พี่กอดผมทุกครั้งที่พี่เหนื่อยเลย”
“ทำไมฉันรู้สึกเสียเปรียบล่ะ”
“เพราะพี่เอาเปรียบผมไว้เยอะแล้ว”
“ตอนไหนกัน”
“ตอนที่ผมห้าขวบ”
ไม่รู้กี่ครั้งที่ฮยอกแจหัวเราะออกมาเพราะคนในอ้อมกอด …ตอนนี้เขารู้สึกแตกต่างออกไปจากตอนที่กอดเด็กตัวอ้วนกลมเมื่อสิบปีก่อน
ตอนนั้น…เหมือนว่าอีฮยอกแจคือฝ่ายที่ทำให้เด็กตัวเล็กๆรู้สึกปลอดภัย
หากแต่ในตอนนี้…เขากลับรู้สึกปลอดภัยอยู่ในอ้อมกอดของเด็กคนเดิม
“ผมว่าผมนึกออกละ” ทงเฮพูดขึ้นพร้อมกับผละออกมาจ้องหน้าฮยอกแจ “เมื่อก่อนพี่ชอบหอมแก้มผม”
“มั่วแล้ว…”
“จริงๆ ผมจำได้”
“เอ่….ใช่เหรอ” ฮยอกแจกลอกตาไปมา “ฉันไม่เห็นจะจำได้เลย”
“งั้นผมทวนความจำให้เอามะ”
“ทวนความจำบ้าอะไรเล่า…” ฮยอกแจพึมพำ และแน่นอนว่าเขาถอยห่างออกมาจากทงเฮประมาณสามก้าวใหญ่ๆทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบ
“พี่นี่…” ทงเฮมองฮยอกแจยืนห่างออกไป แล้วขมวดคิ้ว “ทำไมต้องทำเหมือนไม่เคย”
“น…นี่…”
“เมื่ออาทิตย์ก่อนผมก็เพิ่งหอมแก้มพี่ไปเองนี่นา”
“หยุดทำเหมือนมันเป็นแค่เรื่องดินฟ้าอากาศได้มั้ย!!!” ฮยอกแจหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับท่าทีของทงเฮที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่พูดมา…นั่นล่ะ…นั่นล่ะคืออีทงเฮคนเดิม คนที่ชอบทำอะไรตามใจชอบโดยไม่คิดหน้าคิดหลังและไม่เคยสนใจสายตาของใคร
“เสียงดังใส่อีกละนะ ตอนนั้นพี่ก็หอมแก้มผมต่อหน้าเพื่อนๆ ต่อหน้านานะจังด้วย”
“ก็นั่นมันเด็ก!!”
“เด็กก็มีหัวใจนะครับ”
“ตลกหรือไง” ฮยอกแจไม่ลังเลที่จะเดินเข้าไปดึงแก้มของอีกฝ่ายแรงๆด้วยความหมั่นเขี้ยว และตอนนั้นเองที่ทงเฮถือโอกาสรวบเอวบางเข้ามาใกล้อีกครั้ง
“พี่ว่ามันแปลกมั้ยที่ทุกอย่างสลับกันหมดเลย”
“พูดเรื่องอะไร”
“ตอนนั้นกับตอนนี้” ทงเฮจ้องเข้าไปในตาของฮยอกแจ “สลับกันหมดเลย”
“ก็หยุดทำตัวเป็นผู้ใหญ่สักทีสิ แล้วก็หยุดทำเหมือนฉันเป็นเด็กด้วย!”
ฮยอกแจกัดฟันพูด ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของทงเฮ
“ผมชอบพี่นะ”
“………….”
“ทั้งตอนนั้นแล้วก็ตอนนี้”
“โกหก” ฮยอกแจสวนกลับไปเสียงแข็ง ตรงกันข้ามกับใบหน้าที่ขึ้นสีและริมฝีปากที่เห็นชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังกลั้นยิ้ม “ตอนนั้นนายเกลียดฉันจะตาย”
“ใช่ เกลียดมาก”
“เห็นมั้ยล่ะ!”
“แต่ก็ชอบมากด้วยเหมือนกัน”
“ชอบอะไรล่ะ วันๆเห็นแต่นั่งมโนตัวเองกับนานะจัง”
“พี่นี่ขี้ประชดนะ”
“ฉันพูดความจริง”
“โห ดูดิ ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่มองตาเขียวละ” ทงเฮทำหน้าล้อเลียนพลางกระชับเอวบางให้เข้ามาใกล้ “แล้วถ้าเป็นขึ้นมาผมคงต้องย้ายบ้านไปนอนโรงบาลถาวรเลยมั้ง”
“เตรียมตัวย้ายไว้เลยสิ”
“โหววววว…อะไรนะ เมื่อกี้ว่าไงนะ”
ทงเฮเลิกคิ้วถามอย่างจงใจจะกวนประสาท ฮยอกแจเม้มริมฝีปากแน่น
“ฉัน บอก ให้ เตรียม ตัว ย้าย ไป นอน โรง พยา บาล ไว้ ได้ เลย”
“หื้อ…งั้นแปลว่าพี่จะคบกับผมเหรอ”
“………….”
“ไม่ตอบ”
“…………”
“อยากยิ้มก็ยิ้มสิกลั้นไว้ทำไมเล่านั่น”
“อี ทง เฮ”
“ผมยินดีนะที่จะเข้าโรงพยาบาลทุกวันเพราะพี่”
“…………”
“แล้วผมก็ชอบเวลาพี่ทำหน้าแบบนี้มากเลย”
“…………”
“จริงๆ”
“ชอบเหรอ?” ฮยอกแจเลิกคิ้วถาม “งั้นนายตายแน่”
“ตาย?”
พวกเขาจ้องหน้ากันอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งฮยอกแจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ใช่ นายต้องตายแน่ที่มีแฟนอย่างฉัน”
ฮยอกแจคิดว่ารอยยิ้มของตอนนี้เป็นรอยยิ้มที่สวยที่สุดตั้งแต่เขาเคยเห็นมา
“พี่…”
“หื้อ?”
“พี่อย่าขำนะถ้าจะบอกว่าผมยอมตายว่ะ”
❤
TBC
อีกตอนหนึ่งน่าจะจบละ -.-
ความคิดเห็น