คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : chapter 7
7
เป็นเช้าแรกที่ฮยอกแจลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีก้อนหินซักร้อยกิโลทับอยู่ พลิกตัวไปมาใต้ผ้าห่มนานสองนาน ก่อนจะปรือตาขึ้นมองแสงแดดอ่อนๆที่ทอดผ่านผ้าม่านสีทึบเข้ามา นั่นทำให้เขาหลับต่อไม่ลง และทันทีที่พยายามหยัดตัวขึ้นความเจ็บปวดก็แล่นวาบเข้ามาจนต้องยกมือขึ้นมากุมขมับไว้
พิษไข้ที่ได้เป็นของแถมจากการยืนให้ฝนสาดเมื่อวานทำให้เช้านี้กลายเป็นเช้าที่ทุลักทุเลพอควร ฮยอกแจงัดตัวเองขึ้นมาจากเตียงอย่างยากเย็น ก่อนจะรีบสาวเท้าไปหากระปุกยาที่ไม่รู้ว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน
ฮยอกแจพยายามเขย่งตัวมองหาบนชั้นวางของที่สูงลิ่วเกินกว่าในระดับที่เขาจะเอื้อมถึง วุ่นวายอยู่กับตัวเองจนลืมสังเกตไปเสียสนิทว่าเช้าวันนี้ไม่มีทงเฮนอนอยู่ข้างๆเหมือนอย่างเช่นทุกวัน
“โอ้ย…”
ส่งเสียงออกมาด้วยความหงุดหงิดเมื่อพบว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะทำอะไรทั้งนั้นในเวลานี้ ฮยอกแจยอมแพ้และลงนั่งกับพื้นในที่สุด ร่างบางก้มหน้านิ่งและหวังว่าอาการปวดศีรษะอย่างจะหายไป แต่ตรงกันข้ามมันกลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนต้องฟุบหน้าลงกับหัวเข่า
“ฮยอกแจ”
สาบานว่าพยายามหาเรี่ยวแรงที่จะยกหัวตัวเองขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้นแล้ว แต่เขาก็หามันไม่เจอ จึงได้แต่ครางในลำคอตอบรับไปเท่านั้น
“มาวัดไข้ก่อน”
น้ำเสียงที่เรียบเฉยติดจะบงการอยู่นิดๆทำเอาคนผมบลอนด์ถึงกับมึนงง ก่อนจะค่อยๆประคองศีรษะตัวเองขึ้น พร้อมกับทงเฮที่ย่อตัวลงมาจนอยู่ในระดับเดียวกัน
“อ้าปาก”
แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย แต่ก็ยอมอ้าปากคาบปรอทไว้ตามที่เพื่อนสนิทสั่ง ดวงตาคู่นั้นกระพริบถี่มองคนตรงหน้า ก่อนจะเลื่อนลงมามองถุงยามากมายที่กองอยู่ข้างๆ
ถึงสมองจะยังไม่พร้อมคิดอะไร แต่ฮยอกแจก็ฉลาดพอที่จะเรียบเรียงได้ว่าทงเฮคงตื่นแต่เช้าไปซื้อยาแล้วก็ปรอทวัดไข้อันใหม่มาให้เขา
“สี่สิบเอ็ดองศา”
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นตัวเลขที่ออกมา ทงเฮตวัดสายตากลับมามอง ก่อนจะคว้าถุงยาขึ้นมาโยนใส่ใบหน้านั้นจนคนป่วยแหกปากโวยวายขึ้นมาเสียงดัง
“ขี้โรค” ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นแล้วก็เดินดุ่มไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วจนเกือบเต็ม กระตุกยิ้มน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงบ่นพึมพำจากอีกฝ่ายตามมา
“เพราะมึงไม่ใช่หรือไง”
“มึงไม่แข็งแรงเอง”
“เออกูผิด เอาน้ำมา”
ทงเฮนั่งมองคนป่วยที่ยอมกินยาอย่างว่าง่ายแล้วก็อดจะออกมาบางๆไม่ได้ แน่นอนว่าฮยอกแจคนเก่งไม่มีทางปฏิเสธการกินยาในขณะที่ร่างกายย่ำแย่แบบนี้ นั่นนับว่าดีแล้วเพราะทงเฮก็ขี้เกียจจะไปลงไม้ลงมือบังคับ
“เก่งมาก” เอ่ยปากชมแล้วรับแก้วน้ำมาถือไว้ ก่อนจะหยัดตัวขึ้นโดยไม่ลืมยื่นแขนอีกข้างให้ฮยอกแจใช้เป็นที่ยึดหยัดตัวลุกตามมา
“แล้วแฟนมึงอ่ะ”
“กูวอทแอปไปบอกละว่าวันนี้ไม่ว่าง หมาไม่สบาย เค้าก็เลยติดรถไปกับพี่ชาย” ว่าไปพลางถอดเสื้อโค้ทตัวหนาออกแขวน แล้วเดินไปจัดการเทโจ๊กที่ซื้อติดมาใส่จานให้คนป่วยที่เอาแต่นั่งทำหน้าสงสัยไม่เลิก
“เค้าไม่งอนมึงไง?”
“งอน”
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูไม่สบาย”
“โอ้ยยยยย เมื่อคืนนอนข้างมึงนี่กูแทบจะไหม้” ว่าแล้วก็วางโจ๊กร้อนๆลงตรงหน้า ก่อนจะใช้หลังมือแตะหน้าผากคนป่วยอีกครั้ง
ความห่วงใยที่ไม่ค่อยได้แสดงออกบ่อยนักทำเอาร่างเล็กถึงกับทำอะไรไม่ถูก ปกติแล้วเป็นฮยอกแจเองต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายคอยดูแลตัวปัญหาอย่างทงเฮ
ร่างบางเลือกที่จะนั่งตักโจ๊กเข้าปากเงียบๆ แล้วเก็บความสงสัยมากมายไว้คนเดียว เขาอยากจะรู้มากจริงๆว่าคนไม่ชอบตื่นเช้าอย่างทงเฮทำไมถึงยอมลุกจากเตียงไปหาข้าวหายามาให้ ทำไมถึงไม่สนใจอีซองมินที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนรักแถมยังดูรักกันมากขนาดนั้น
ทำไมทุกอย่างมันถึงชวนให้คิดเข้าข้างตัวเองไปเสียหมด
กินยังไม่ทันหมดชามคนป่วยก็พาตัวเองมานั่งที่เตียงด้วยความอ่อนเพลียก่อนจะผล็อยหลับไป ใช้แผ่นหลังของคนที่นอนคว่ำหน้าอ่านการ์ตูนเป็นหมอนหนุนชั่วคราว
กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาเข้าไปบ่ายกว่า ฮยอกแจดีดตัวขึ้นเมื่อพบว่าตัวเองนอนอยู่ผิดที่ผิดทาง เหลียวหน้าไปมองคนที่ให้ยืมแผ่นหลังเป็นหมอนแล้วก็ถอนหายใจออกมา
ทงเฮหลับไปแล้ว…
ใบหน้านั้นวางทับอยู่บนหนังสือการ์ตูน เปลือกตาบางที่ปิดสนิทกับจังหวะหายใจที่สม่ำเสมอทำให้ร่างบางรู้สึกผิดขึ้นมาที่เป็นต้นเหตุให้ทงเฮต้องลำบากตื่นแต่เช้าไปหาข้าวหายามาให้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากร้องขอ แต่เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
ฮยอกแจค่อยๆหยัดตัวลุกจากเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด เพราะกลัวว่าทงเฮจะตกใจตื่นแล้วหงุดหงิดเอา ร่างบางหายเข้าไปทำภารกิจส่วนตัวในห้องน้ำอยู่นานสองนาน พอกลับออกมาก็เจอทงเฮที่ตื่นตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ตอนนี้ร่างหนากำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่นอกระเบียง
เหมือนจะกลายเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้ว…แต่ทว่าวันนี้กลับแตกต่างจากวันอื่นๆ เพราะทงเฮเอาแต่เดินวนไปวนมา ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยีหัวตัวเองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ทะเลาะกันเหรอ?
เป็นคำถามที่ฮยอกแจไม่ได้ต้องการให้ใครมาตอบ เพราะเขามองปราดเดียวก็พอจะรู้แล้วว่าคนนอกระเบียงนั่นกำลังมีปากเสียงกับคนรักทางโทรศัพท์อยู่แน่ๆ …ดูจากสายตาก็น่าจะรุนแรงพอควร
ปึง!
เสียงปิดประตูระเบียงรุนแรงจนคนผมบลอนด์สะดุ้ง ฮยอกแจกระพริบตาปริบๆมองเพื่อนสนิทที่เดินหน้าตึงเข้ามา มือหนาโยนโทรศัพท์ทิ้งไว้บนเตียง แล้วเหวี่ยงสายตากลับมามองร่างบางที่ยังยืนงงอยู่ตรงนั้น
“ข้าวกับยาวางอยู่บนโต๊ะนั่นนะ”
“อ่า…”
ฮยอกแจตอบรับไปไม่เต็มเสียงนัก ใครมันจะไปกล้าพูดอะไรในเวลาแบบนี้กันเล่า…ต่อให้ทงเฮไม่ได้โมโหเขาก็เถอะ สงบปากสงบคำไว้แหละปลอดภัยที่สุด ดีไม่ดีพูดอะไรออกไปไม่เข้าหูก็จะโดนพาลใส่เปล่าๆ
ทงเฮไม่ได้พูดอะไรต่อ ร่างหนาก้าวฉับๆไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอนคลุมโปงตัดขาดจากโลกภายนอก ทิ้งให้ฮยอกแจยืนมองอย่างมึนงง
ครืด…ครืด
เสียงเครื่องมือสื่อสารที่ทงเฮโยนทิ้งไว้สั่นเตือนว่ามีสายโทรเข้ามา ฮยอกแจจ้องมองมันอย่างลังเลว่าจะรอให้ทงเฮลุกขึ้นมารับเองหรือปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น
“ไม่ต้องรับ”
โอเค เข้าใจ…ฮยอกแจปล่อยให้มันสั่นต่อไปตามคำสั่งของเจ้าของเครื่อง แต่เหมือนว่าปลายสายจะไม่ล้มเลิกความพยายามง่ายๆ แรงสั่นสะเทือนยังคงต่อเนื่องไม่หยุด หลายครั้งที่เงียบไปแล้วก็ดังขึ้นใหม่ วนเวียนอยู่แบบนี้จนเริ่มรำคาญ
“ปิดมันให้ที”
ทงเฮเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน พอได้รับคำสั่งแบบนั้นแล้วร่างเล็กก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งเข้าไปคว้ามันขึ้นมากดตัดสายไปอย่างไม่ใยดี ยิ่งเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคืออีซองมินด้วยแล้ว ฮยอกแจก็แทบอยากจะขยี้ๆๆๆๆให้พังจนโทรเข้ามาไม่ได้อีกเลย
เดี๋ยวนะ…ความคิดชั่วร้ายแบบนี้
ฮยอกแจหัวเราะออกมากับด้านมืดของตัวเอง มือเรียวกำโทรศัพท์ทงเฮไว้แน่น นี่กะว่าถ้าซองมินยังดื้อโทรมาอีกเขาจะกดรับสายเองซะเลย
Rrrrrrrrrrrrrrrr
เห้ย!
ร่างบางสะดุ้งสุดตัวจนเกือบทำโทรศัพท์ในมือร่วง พอตั้งสติได้ก็พบว่าเสียงนั่นดังมาจากโทรศัพท์ของเขาเอง…
-Kyuhyun-
ตกใจหมดเลย…TvT
ฮยอกแจรีบวิ่งไปหยิบมันขึ้นมากดรับสาย แล้วเลี่ยงออกไปคุยข้างนอกระเบียง เพราะกลัวทงเฮจะตื่น
…เหมือนเขาจะลืมบางอย่างไป…
“ฮัดชิ่ว!”
อากาศข้างนอกไม่เหมาะกับคนที่กำลังไม่สบาย แน่นอนล่ะว่าเขาถูกคนปลายสายดุเสียยกใหญ่ คยูฮยอนเอาแต่บ่นว่าคนประเทศไหนเขาทักทายกันด้วยการจามใส่แบบนี้บ้าง แล้วพอรู้ว่าฮยอกแจออกมาคุยนอกระเบียงทั้งที่ไม่สบายอยู่ก็สวดยาวไปอีกสามจบ
“ตกลงโทรมาเพื่อด่าใช่มั้ยเนี่ย…” ถามเสียงอ่อยเหมือนเด็กเล็กๆที่โดนคุณพ่อดุ เท่านั้นคยูฮยอนก็ถอนหายใจฟึดฟัดอย่างจำยอม เขาพ่ายแพ้ให้กับฮยอกแจโหมดนี้เสมอนั่นแหละ
( แล้วกินยาหรือยัง )
“ก็กำลังจะกิน แต่มีบางคนโทรมาก่อน…”
( เอ้า ผิดหรือไง )
ฮยอกแจหัวเราะร่วน ก่อนจะหลับตาลงรับลมเย็นๆที่พัดผ่านเข้ามา
เขาไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่เกาหลีสดใสแบบนี้มาสักระยะหนึ่งแล้ว
( นี่ยังอยู่ตรงระเบียงใช่มั้ย )
“รู้ได้ไง”
( เสียงลมโกรกซะขนาดนั้นน่ะไม่รู้เลยมั้ง )
ก็นานๆทีอากาศจะแจ่มใสแบบนี้นี่นา…มัวแต่อุดอู้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆแบบนั้นไม่ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันบ้างก็ตายกันพอดี
ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ…
วันนี้เขาเพิ่งเห็นถึงความจริงข้อนั้น
ฮยอกแจมองก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวผ่านสายตาไปอย่างช้าๆ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกล สายลมเย็นพัดโชยผ่านผิวหน้าชวนให้รู้สึกดีขึ้นอีกเป็นกอง วันนี้ท้องฟ้าสว่างสดใสตั้งแต่เช้า หลังจากที่เมื่อคืนพายุเข้าจนการจราจรติดขัดวุ่นวายกันไปหมดทั้งเมือง
ความจริงแล้ว…สายฝนก็มีความสวยงามในแบบของมันเอง
แต่สิ่งที่มาพร้อมกับฝนก็คือพิษไข้ นั่นคงจะเป็นข้อเสียอย่างเดียวที่ฮยอกแจไม่ชอบ
“อยากไปข้างนอก”
( บ้าหรือไง อากาศแบบนี้น่านอนจะตาย )
…เคยมีคนบอกว่าในบางครั้งพื้นหญ้าก็สบายกว่าเตียงนอนนุ่มๆ
เพราะชีวิตของฮยอกแจในแต่ละวันผ่านไปด้วยความยุ่งเหยิงจนแทบไม่ค่อยจะมีช่วงเวลาที่ได้มานั่งทำอะไรแบบนั้น ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะลองไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะหรือไม่ก็นอนเล่นริมทะเลดูบ้าง
( เออนี่ฮยอกแจมึงรู้หรือยังว่า… )
“ว่า…?”
( เมื่อวาน…ทงเฮไปหาซองมิน )
ฮยอกแจรู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงไปอีกหลายเซ็น ทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่พอมาได้ยินคยูฮยอนช่วยยืนยันอีกคนแบบนี้มันก็…
“อือ รู้”
( เห็นว่าไม่สบายหรืออะไรนี่ล่ะ )
“เหรอ”
( ก็คงเหมือนคนอื่นที่ผ่านมา… ) คยูฮยอนพยายามพูดปลอบ เขาพอจะรู้ว่าฮยอกแจคงไม่รู้สึกดีเท่าไรที่ได้ยินแบบนี้ ( มึงไม่ต้องคิดมากหรอก คนอย่างมันเคยคบใครนานด้วยหรือไง )
“ก็ไม่รู้สิ…”
อะไรบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอจนพูดต่อไม่ออก ความจริงแล้วฮยอกแจไม่ใช่คนร้องไห้ง่าย ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม แต่ต่อไปคงต้องยกเว้นเรื่องของทงเฮเอาไว้เรื่องหนึ่งแล้วล่ะ…
“เหนื่อยจังเนอะ” บ่นคำเดิมออกมาให้คนเดิมฟัง นอกจากคยูฮยอนแล้วก็พี่จองซูพี่ฮีชอลแล้วก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าไอ้เบื้องหลังใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ทุกวันนี้จริงๆแล้วมันเป็นยังไง
ข้างในนี้มันทั้งเหนื่อยทั้งสับสนทั้งไม่รู้จะทำยังไง จริงๆมันก็นานแล้วนะ…ฮยอกแจอยู่กับความรู้สึกพวกนี้มานานมากจนเขาเองก็จำไม่ได้ว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่
( เหนื่อยแล้วทำไมไม่ปล่อย )
“………..”
( ไม่ว่าใครก็อยากมีความสุขไม่ใช่เหรอวะ )
“………..”
( มึงเลือกได้ฮยอกแจ )
“…………”
( จะผลักตัวเองเข้าไปหาความเจ็บปวดทำไม? )
มือบางกำโทรศัพท์แน่น แล้วครุ่นคิดตามคำพูดของคนปลายสาย ฮยอกแจไม่กล้าเถียงคยูฮยอนเลยสักคำ เพราะที่คยูฮยอนพูดมาเป็นสิ่งเดียวกับที่เขาคิดเอาไว้เมื่อวานไม่มีผิด…
“ไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือไง”
…..!
เสียงเข้มที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอาร่างบางถึงกับเบิกตากว้าง
มือเรียวลดเครื่องมือสื่อสารลงไว้ข้างตัว ก่อนจะแอบกดวางสายโดยไม่มีบอกลาใดๆทั้งสิ้น
ฮยอกแจหมุนตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว เห็นทงเฮยืนพิงประตูระเบียงด้วยสีหน้าที่เขาเองก็อ่านไม่ออก ตอนนั้นเองรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก แล้วก็หาเสียงตัวเองไม่เจอขึ้นมาเสียดื้อๆ ความหวาดกลัวพลุ่งพล่านจนต้องกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น
ทงเฮมายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…
แล้วเมื่อกี้เขาพูดอะไรออกไปบ้าง
ฮยอกแจพยายามนึกทบทวนคำพูดของตัวเองอย่างเป็นกังวล ถ้าทงเฮรู้ว่าเขาคิดยังไงขึ้นมาทุกอย่างก็จบ…
“ถามว่าไม่สบายอยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วออกมาทำอะไรตรงนี้”
ร่างหนาถามเสียงห้วน ฮยอกแจคิดว่าอารมณ์ของทงเฮคงเหมือนสภาพอาศตอนนี้ล่ะมั้ง แปรปรวนไปมาทุกวันจนตามไม่ทัน เดี๋ยวฝนเดี๋ยวหนาววันดีคืนดีหิมะตกซะงั้น
แค่ออกมายืนคุยโทรศัพท์ตรงระเบียง ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมต้องทำเสียงใส่อารมณ์ด้วย ไม่เข้าใจ
“ฮยอกแจ”
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”
“จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง” ว่าแล้วก็เลื่อนมือไปทาบลงใบหน้าขาวที่เริ่มซีดเซียว ก่อนจะตบลงไปเบาๆ ไอความร้อนลามเลียมาที่ฝ่ามือหนาจนทงเฮรู้สึกได้ว่าพิษไข้ยังคงไม่จางหายไป
…เนี่ยน่ะเหรอคือคำว่าไม่เป็นอะไรของฮยอกแจ?
“แล้วทำไมไม่กินข้าวกินยา”
“ลืม”
“จะมาลืมอะไร ก็บอกแล้ว ทำไว้ให้ทุกอย่างแล้ว แค่เดินไปหยิบมากินนี่มันจะตายหรือไง!?”
“แล้วมึงหงุดหงิดอะไรถึงมาลงที่กู”
ประโยคเดียวของฮยอกแจที่หยุดพายุอารมณ์ของทงเฮไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งสองสบตากันเงียบๆด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ฮยอกแจไม่รู้ว่าทงเฮคิดอะไรอยู่ เขารู้แค่เพียงว่าสมองของตัวเองตอนนี้ว่างเปล่า แล้วมันก็หนักมาจนอยากจะทิ้งตัวล้มลงไป
“กูทะเลาะกับซองมิน”
ประโยคบอกเล่าที่ทำให้ฮยอกแจรู้สึกเหมือนถูกกระชากอย่างแรงจนชาไปทั้งตัว ทงเฮก้มหน้ามองพื้นนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“เมื่อวานที่กูรีบออกไปนั่นล่ะ เขาบอกว่าไม่สบายมาก…แต่พอไปถึงมันกลับไม่ใช่แบบนั้น แล้วเราก็…ทะเลาะกันนิดหน่อย”
“แล้ว?” เลิกคิ้วถามเสียงสูง ฮยอกแจมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้แสดงความสั่นไหวใดๆออกไปทางสายตาเลยแม้แต่น้อย
“แล้วเมื่อกี้เขาก็โทรมาพูดเรื่องเดิมที่ทำให้เราทะเลาะกันเมื่อวาน”
ฮยอกแจไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้านี้จะมาเล่าให้เขาฟังทำไม…มันมีอะไรตรงไหนที่เขาควรจะรับรู้อย่างนั้นเหรอ อีกอย่างคำที่ทงเฮใช้มันคือว่า ‘เรา’ ที่หมายถึงซองมินกับทงเฮ…ไม่เกี่ยวอะไรกับฮยอกแจเสียหน่อย
หรือทงเฮคิดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่ไว้ใจ ก็เลยอยากจะเล่าทุกอย่างให้ฟังแบบนั้นสินะ…
“มึงรู้มั้ยว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร”
คำถามที่ทำเอาคนฟังต้องเบือนหน้าหนี ฮยอกแจรู้สึกว่าลมหายใจของตัวเองขาดห้วงจนข้างในเจ็บร้าวไปหมด กระทั่งทงเฮเริ่มพูดประโยคถัดไปหลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าแทรกซึมอยู่เนิ่นนาน
“ซองมินบอกกูว่า...”
“…………”
“มึงชอบกู”
…เหมือนโลกหยุดนิ่งไป
ฮยอกแจไม่มั่นใจว่าหูฝาดไปเองหรือเปล่า แต่เขาไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าหลังจากที่ทงเฮพูดประโยคนั้นออกมา ทุกๆอย่างรอบตัวก็เงียบลงจนได้เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นโครมครามเหมือนกำลังตกลงไปในเหวลึก
ร่างบางกระพริบตาถี่ๆมองคนตรงหน้าราวกับต้องการจะถามย้ำอีกครั้งว่าสิ่งที่พูดมานั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น…แต่พระเจ้าคงไม่เข้าข้างอีฮยอกแจคนนี้เป็นแน่ เพราะไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ยังไม่เห็นคำว่าล้อเล่นจากแววตาของเพื่อนสนิทเลย
“คือ…” ทงเฮเว้นช่วง บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่คนไม่แคร์โลกอย่างเขาไม่สามารถประคองน้ำเสียงของตัวเองให้มั่นคงได้ “ซองมินเค้าไม่อยากให้กูอยู่กับมึง”
เหตุผลง่ายๆที่คนเป็นแฟนมีสิทธิ์เรียกร้อง แน่นอนว่าฮยอกแจเข้าใจดีที่สุด ใครมันจะไปอยากปล่อยให้แฟนอยู่ร่วมห้องกับคนที่คิดไม่ซื่อแบบนี้ ฮยอกแจหัวเราะก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังกำโทรศัพท์ของทงเฮไว้
ร่างบางส่งโทรศัพท์คืนให้ หน้าจอสี่เหลี่ยมขึ้นโชว์มิสคอลหลายสิบสายที่พยายามโทรเข้ามาไม่หยุด ทงเฮจึงตัดปัญหาด้วยการรับมาแล้วกดปิดเครื่อง ก่อนจะยัดเข้ากระเป๋ากางเกง แล้วหันมาสนใจคนตรงหน้าต่อ
“นั่นล่ะ แล้วเราก็ทะเลาะกัน”
“ง่ายๆก็คือ มึงแค่จะขอให้กูย้ายออกไป”
“ไม่ใช่” ทงเฮรีบสวนกลับหน้ายุ่ง เมื่อร่างบางทำท่าว่าจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ “เพราะกูไม่อยากให้มึงต้องย้ายออกไป ถึงได้ทะเลาะกับเขานี่ไง”
ฮยอกแจอยากจะรับฟังคนตรงหน้าให้มากกว่านี้ แต่เขาคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่วิธีการหายใจง่ายๆก็เหมือนจะลืมไปแล้ว
“ทงเฮ”
แล้วยิ่งกว่านั้นคือการจะเรียกชื่ออีกฝ่ายให้เต็มเสียงได้ในเวลาแบบนี้มันช่างยากเย็น ฮยอกแจเลือกใช้กำแพงโล่งๆเป็นที่วางสายตาเช่นเดียวกับที่ทงเฮเอาแต่เสมองไปอีกทาง
“ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก” ฮยอกแจกลืนก้อนบางอย่างที่ขึ้นมาจุกตรงลำคอให้กลับลงไป แล้วกลั้นใจพูดประโยคหนึ่งที่ขัดแย้งกับความรู้สึกแท้จริงของตัวเองออกมา “กูอยู่คนเดียวได้”
พอได้ยินแบบนั้น คนที่เอาแต่มองไปทางอื่นรีบหันขวับมาเหวี่ยงสายตาไม่พอใจใส่ทันที
“มึงอยู่ได้ แต่กูอยู่ไม่ได้”
“มึงไม่ได้อยู่คนเดียว” ฮยอกแจเถียงกลับไปเสียงอ่อน “อย่าลืมสิว่ามึงยังมีใครอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆนะทงเฮ”
“…………….”
“เพราะมึงมีกูมาตลอดไงทงเฮ…กูคนที่ดูแลมึงทุกอย่างตั้งแต่ตื่นนอนยันมึงเข้านอน… มึงทำห่าอะไรกูก็ไม่เคยโกรธ แค่มึงยิ้มให้กูก็ลืมทุกอย่างแล้ว กูอยู่ตรงนี้กับมึงมาตลอด ไม่เคยทิ้งเลยสักครั้ง แต่รู้รึเปล่า...”
“………………”
“ทั้งหมดนี้…ซองมินก็ทำให้มึงได้”
ทงเฮนิ่งอึ้งไป ก่อนจะเริ่มต้นถามตัวเองว่าทำไมอยู่ดีๆหัวใจของเขาถึงได้เต้นรัวขึ้นมากับคำพูดของเพื่อนสนิท และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกเอะใจว่าทำไมแววตาของอีฮยอกแจถึงได้สั่นไหวรุนแรงถึงเพียงนั้น
“เขารักมึงแค่ไหนมึงไม่รู้หรอก…เดี๋ยวกูจะทำเรื่องย้ายออกเอง บอกแฟนมึงว่าขอเวลาซักสองสามวันแล้วกัน”
ประโยคยาวๆที่คนตัวเล็กพยายามเปล่งมันออกมาอย่างยากลำบากทำให้ทงเฮต้องกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง
ฮยอกแจทำท่าจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพราะเริ่มรู้สึกว่าลมหนาวจะทำให้ร่างกายของเขาแย่ลงเรื่อยๆ
ในขณะที่ฮยอกแจกำลังจะก้าวเท้าเดิน ความคิดมากมายก็พากันไหลเข้ามาในหัวจนต้องกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น ทงเฮไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองมั้ยว่าร่างบางดูเหมือนกำลังภาวนาให้เขารั้งไว้แค่เพียงสักนิด
“มีบางอย่างที่มึงไม่รู้นะฮยอกแจ…”
…และทงเฮตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง
“สำหรับกูแล้วความรักไม่ใช่ทุกอย่าง”
“……………...”
“ซองมินไม่ใช่คนที่นอนอยู่ข้างๆกูมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก เค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูชอบอะไรไม่ชอบอะไร เค้าไม่ใช่คนที่บ่นเยอะชิบหายตอนกูโดดเรียน แต่สุดท้ายแม่งก็วิ่งตามมาด้วย เค้าไม่รู้แม้กระทั่งวิธีทำให้กูหายโกรธ…”
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้พูดออกไปแบบนั้น…
ทงเฮรู้แค่ว่าเขาจะยอมเสียฮยอกแจไปไม่ได้
“เค้าไม่รู้หรอกว่ากูโคตรเกลียดการคุยโทรศัพท์นานๆ ซองมินน่ะ…ไม่เคยนั่งข้างกูแล้วพยายามเล่นมุกฝืดๆเวลากูมีปัญหา แล้วเค้าก็ไม่เคยยืนชี้หน้าด่ากูยันโคตรตอนกูเป็นบ้าอยากตายเพราะอกหัก เค้าไม่ใช่คนที่กูนึกถึงอยู่ตลอดเวลา…”
กว่าจะรู้ตัวอีกที ร่างบางก็อยู่ห่างเพียงแค่คืบเดียว ทงเฮจ้องมองใบหน้านั้นไม่วางตา ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะระบายรอยยิ้มบางเบา
“เพราะนั่นคือซองมิน…” ปลายนิ้วเรียวเลื่อนขึ้นสัมผัสผิวเนียนละเอียดอย่างเชื่องช้า “…ไม่ใช่ฮยอกแจ”
ชั่วขณะหนึ่งทงเฮหลงลืมสถานะแท้จริงของตัวเองไป แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามอารมณ์และความรู้สึก เขาจะไม่มานั่งคิดหาเหตุผลอีกแล้วว่าทำไมถึงอยากทำแบบนั้นแบบนี้ เขาจะไม่อยากรู้อีกแล้วว่าความรู้สึกพวกนี้มันคืออะไรกันแน่
…เพราะในบางเรื่องเหตุผลก็ดูเหมือนจะไม่จำเป็น
“อย่าคิดว่าตัวเองไม่สำคัญอีก…”
ทงเฮก้มหน้าลงไปจนปลายจมูกชิด
…เป็นการย้ำเตือนให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเขาอีกครั้ง
“จำไว้นะฮยอกแจ…”
“……………”
“ไม่มีใครเข้าใจกูเท่ามึงอีกแล้ว”
TBC
ความคิดเห็น