ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - BESTFRIEND

    ลำดับตอนที่ #7 : chapter 6

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 57


     

     






                                                

     

     

     

     




    6

     

     

     

    ฮยอกแจลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าที่อากาศร้อนอบอ้าวกว่าทุกวัน เขามองไปรอบห้องแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศมันเปลี่ยนไปจากที่เขาตั้งไว้ก่อนจะเข้านอน ร่างบางหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ข้างๆโดยอัตโนมัติ แต่เพราะความง่วงมึนที่ยังไม่จางหายไปทำให้ไม่สามารถประมวลผลอะไรๆได้อย่างใจนึก


    ทงเฮยังไม่ตื่นร่างทั้งร่างถูกผ้าห่มกลืนกินจนเหลือให้เห็นแค่มือข้างหนึ่งที่โผล่ออกมา ฮยอกแจพยายามนึกว่าทงเฮกลับมาตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็น่าหงุดหงิดที่เขาจำอะไรไม่ได้เลยซักอย่าง


    ทงเฮส่งเสียงเรียพลางออกแรงเขย่าตัวอีกคนเบาๆตื่นได้แล้ว

    ไม่มีเสียงตอบกลับใดๆนอกจากเรียวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ที่ถูกรบกวนเวลานอนอันแสนสั้น ทงเฮพลิกตัวหนีฝ่ามือนั้นอย่างเอาแต่ใจ

    ทงเฮอ่า…”

    ม่าย…”

    ขาดบ่อยไปแล้วนะ

    ขอห้านาที ผงกหัวขึ้นมาแล้วก็มุดกลับเข้าไปในผ้าห่มต่อ ฮยอกแจส่ายหน้าระอา แต่ก็ยังใจดีปล่อยให้นอนต่ออีกสองสามนาทีเพราะหันไปมองนาฬิกาแล้วเพิ่งจะหกโมงกว่าๆเท่านั้น

    ร่างบางถัดตัวขึ้นพิงกับหัวเตียงแล้วเบือนหน้ามองคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าทงเฮคงไม่ได้ไปกินเหล้าที่ไหน เพราะหนึ่งเขาไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ สองทงเฮจะไม่สามารถพาตัวเองกลับมาที่นี่ได้เลยในขณะที่กำลังเมา




    แล้วเมื่อคืนทงเฮไปไหน


    ฮยอกแจไม่กล้าพอที่จะถามออกไป ความกลัวเล็กๆในจิตใจทำให้เขาเลือกที่จะเก็บมันเอาไว้ แม้ว่าลึกๆแล้วจะอยากรู้มากแค่ไหนก็ตาม


    กลัวว่าคำตอบของคำถามนั้นจะเป็นซองมิน

    ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ไปเสียเลยจะดีกว่า



    ความคิดมากมายวิ่งวุ่นจนต้องโคลงศีรษะไปมาหวังว่ามันจะหายไป ฮยอกแจหยัดตัวขึ้นจากเตียงอย่างระมัดระวัง รู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนจะเป็นไข้ ก็เลยคิดว่าจะอาบน้ำก่อนแล้วเดี๋ยวลงไปซื้อยาที่ร้านข้างล่าง แต่ทว่า


    จะไปไหนอ่ะ เสียงงัวเงียของทงเฮก็ดังขัดขึ้น พร้อมกับหัวฟูๆที่โผล่ขึ้นมาจากผ้าห่มผืนใหญ่


    ซื้อกาแฟ


    กาแฟ?”


    ทงเฮขมวดคิ้วกับคำตอบของเพื่อนสนิท เขาจำได้ว่าตอนที่ลองดื่มกาแฟครั้งแรก ฮยอกแจอ้วกออกมาแบบหมดไส้หมดพุงแล้วก็ลั่นวาจาว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับคาเฟอีนอีก


    ทงเฮมองใบหน้านั้นอย่างจับผิด คนที่เกลียดเครื่องดื่มประเภทนี้ยิ่งกว่าอะไร ทำไมถึงบอกว่าจะไปซื้อกาแฟ?






    โกหก

    เห็นกันมาตั้งแต่เพิ่งเริ่มหัดเดิน ทำไมทงเฮจะมองคนคนนี้ไม่ออก

    ร่างหนาหัวเราะ ก่อนจะหยัดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ แล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้คนผมบลอนด์ รอยยิ้มของคนรู้ทันปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาช้าๆ

    ไปด้วย

















     

     

     

    TOM N TOMS

     

    เขาไม่ได้จะมาซื้อกาแฟซักหน่อย!

    ฮยอกแจสบถลั่นอยู่ในใจเมื่อจู่ๆทงเฮก็ลุกพรวดขึ้นมาบอกว่าจะขอตามไปด้วย จากนั้นก็ลากเขาขึ้นรถอย่างเอาแต่ใจที่สุด

    จริงๆฮยอกแจแค่พูดไปอย่างนั้นเองว่าจะไปซื้อกาแฟเขาเกลียดมันอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนั้นมันคิดอะไรไม่ออกแล้ว ถ้าบอกว่าจะลงมาซื้อยาก็คงไม่วายถูกทงเฮซักถามอีกยาว

    แล้วกาแฟที่ว่านั่น มินิมารท์ข้างล่างคอนโดก็มีขาย ทำไมต้องถ่อสังขารมาไกลถึง TOM N TOMS ด้วย!


     ฮยอกแจไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากทำหน้าบูดบึ้งมาตลอดทางมันใช่เรื่องหรือไงที่จะใส่ชุดนอนมาร้านกาแฟที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแบบนี้น่ะ! อีกอย่างพอได้มาสัมผัสกับอากาศเย็นๆข้างนอกแล้วก็รู้สึกเหมือนพิษไข้จะรุนแรงมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเลย


    เพราะเป็นเพียงสาขาเล็กๆที่ตั้งอยู่มุมถนน อีกทั้งความแปรปรวนของสภาพอากาศทำให้ไม่ค่อยมีคนเข้ามาใช้บริการที่นี่เยอะมากมายเหมือนสาขาอื่นๆ




    ก็ดีแล้ว




    อากาศด้านนอกทำให้ฮยอกแจไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ก้าวเท้าเข้ามาในร้านกาแฟที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังเคล้าไปกับความหอมของกาแฟก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย


    ทงเฮเลือกโต๊ะตั้งที่อยู่ติดกับกระจกเป็นที่นั่ง ฮยอกแจเดินตามไปเงียบๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากชวนอีกฝ่ายคุยหรอกนะ แต่เพราะพิษไข้บ้าๆนี่มันทำให้เขารู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไรต่างหาก


    ทงเฮจัดการสั่งทุกอย่างเอง โดยไม่หันมาถามความเห็นซักคำว่าอยากจะกินอะไร ไม่นานบรรดาขนมหวานก็วางเรียงรายอยู่ตรงหน้าของทงเฮเป็นช็อคโกแลตเย็น ส่วนของฮยอกแจ




    ชาร้อน




    มันดีต่อสุขภาพมากกว่า

    นั่นล่ะเหตุผลฮยอกแจค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถหาเสียงตัวเองเจออีกต่อไป ไม่รู้ว่าเพราะไข้หวัดหรือเพราะจำนนต่อเหตุผลนั้นกันแน่จะว่าไปถ้าให้เลือกระหว่างกาแฟกับชาร้อน ฮยอกแจก็คงเลือกชาร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย


    บรรยากาศระหว่างคนสองคนเริ่มมึนตึงขึ้น ฮยอกแจเอาแต่ก้มหน้าสนใจชาร้อน ส่วนทงเฮไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขารู้สึกอึดอัดกับที่เป็นอยู่ไม่น้อย ในใจเอาแต่ตะโกนว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้


    ทั้งที่พยายามจะทำให้ความรู้สึกแย่ๆหายไป

    แต่กลับต้องมานั่งอึดอัดกันอยู่แบบนี้เนี่ยนะ!?


    ไม่ได้เด็ดขาด!

    เสียงตะโกนของทงเฮดังก้องอยู่ข้างใน ก่อนที่ร่างหนาจะเริ่มต้นชวนอีกฝ่ายคุยด้วยเรื่องสัพเพเหระเพื่อให้บรรยากาศแปลกๆหายไป แต่เหมือนว่ามันจะดูจงใจเกินไปจนฮยอกแจจับสังเกตได้แล้วถามกลับมาว่ามึงเป็นอะไรขึ้นมาอีก





    ทงเฮขมวดคิ้วกับความซื่อบื้อของเพื่อนสนิท ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกไปตรงๆว่า

     


     

    ง้ออยู่ไม่รู้หรือไง




    “……………”

     


     

    ง้อ?

    เครื่องหมายเควสชั่นมาร์คอันโตหล่นมาทับหัวฮยอกแจอย่างแรงจนมึนงงไปพักใหญ่ แล้วก็พยายามปะติดปะต่อว่าก่อนหน้านี้ทงเฮทำอะไรให้เขาไม่พอใจอย่างนั้นเหรอ แต่ก็คิดไม่ออกจึงถามอีกฝ่ายออกไปแบบไม่มีการอ้อมค้อมสักนิด


    กูเคยโกรธมึงด้วยเหรอ?”

    เท่าที่จำได้ ต่อให้ทงเฮทำผิดกี่ร้อยกี่พันหน พอเช้ามาอีกวันฮยอกแจก็ลืมหมด ไม่เคยเก็บมาเป็นเรื่องทะเลาะกันข้ามวันข้ามคืนเสียหน่อย


    ก็วันนั้น…” ทงเฮกลืนน้ำลายลงคอที่เริ่มแห้งผาก “…ที่บอกว่าชอบคยูฮยอน แล้วคยูฮยอนไม่เคยทำให้รู้สึกแย่อะไรนั่นไง




     

    อ้อ

     



     

    กูทำให้มึงรู้สึกแย่ขนาดนั้นแลยเหรอ


    ก็เปล่านี่


    แล้วมึงบอกว่า…”


    พูดไปงั้น


    ฮยอกแจ


    ทงฮขมวดคิ้วแน่นเหมือนอยากจะเข้ามาบีบคอฮยอกแจให้ตาย นี่สรุปว่าที่เครียดมาเกือบสองวันนี่คือเขาบ้าบอไปเองคนเดียวงั้นเรอะ!


    ตกลงว่าพูดจริงมั้ยเนี่ย


    จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง


    ทำไมต้องกวนตีน


    ก็หัดคิดเองซะบ้างสิ


    ฮยอกแจเบ้ปากแล้วก้มลงสนใจขนมเค้ก ปล่อยให้คนตรงหน้าโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว จบประเด็นสนทนาเอาไว้แค่นั้นดีกว่าให้คนขี้สงสัยอย่างทงเฮถามอะไรออกทะลไปจนกลายเป็นทะเลาะกันขึ้นมาจริงๆ


    เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่ทั้งสองก็ยังไม่มีความคิดที่จะลุกไปไหน  และไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ชาในแก้วของฮยอกแจพร่องไปจนเกือบหมด คงต้องยอมรับเสียแล้วว่าเพราะเจ้าชาร้อนนี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้นมากกว่าเดิม


    แม้ว่าจะไม่ได้มีบทสนทนาดีๆที่สร้างเสียงหัวเราะให้แก่กันเลยแม้แต่คำเดียว แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนอยู่ในใจของทงเฮและฮยอกแจคือพวกเขาสบายใจมากอย่างที่ไม่เคยเป็น



    จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกันแบบนี้เท่าไหร่



    หนาวอ่ะฮยอกแจบ่นออกมาเสียงแห่บแห้ง แล้วใช้หลังมือขยีจมูกตัวเองจนแดงเถือก ทงเฮเพียงแต่เหลือบตาขึ้นมองแล้วก็เหยียดยิ้มเหมือนสมน้ำหน้าอยู่กลายๆ


    นี่ทงเฮ…”


    ว่า



    ถามไรหน่อย



    ทงเฮเงยหน้าขึ้นมาสบตาฮยอกแจเมื่อจับได้ว่าน้ำเสียงของเพื่อนสนิทเริ่มจริงจังขึ้น แต่พอเห็นว่าร่างบางยังคงก้มหน้าตักขนมเค้กเข้าปากไม่ได้ซีเรียสอะไรเลยพยักหน้าเป็นเชิงว่ามีอะไรก็ถามมา



    ถ้ามึงไม่มีกูมึงจะอยู่ได้ปะ


    คำถามที่ทงเฮไม่สามารถเดาได้ว่าฮยอกแจกำลังคิดอะไรหรือว่าแค่ถามไปอย่างนั้น เขานิ่วหน้าแล้วถามกลับ


    แล้วมึงจะไปไหนอ่ะ


    ไปในที่ที่มึงหาไม่เจอมั้ง


    ประสาท ว่าแล้วก็ยื่นมือไปดันหน้าผากคนที่พูดจาอะไรไม่เข้าท่า ฮยอกแจโวยวายก่อนจะหัวเราะออกมาจนตาหยี


    ก็แค่ถามเฉยๆนี่นา


    มึงต้องอยู่กับกูไปตลอดนั้นแหละ


    ก็ถ้ากูไม่อยู่ขึ้นมา…”


    ถ้าไม่มีมึง ก็คงไม่มีกูเหมือนกันฮยอกแจ



    ฮยอกแจชะงัก รอยยิ้มสดใสค่อยๆเลือนหายไปเหลือเพียงแววตาที่สั่นไหวเพราะคำพูดเมื่อครู่ แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่ทงเฮก้มหน้าลงสนใจโทรศัพท์ ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเห็นมัน

     





     

    กูก็อยากจะอยู่กับมึงไปจนตลอดเหมือนกัน

    แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะทงเฮ...

     


     

    ฮยอกแจเพียงแต่พูดอยู่ในใจ

    ความเป็นจริงมีแค่เสียงหัวเราะเบาๆที่ตอบกลับไปเท่านั้น 

     



     

    ฮยอกแจ ทงเฮเงยหน้าขึ้นมาจากโลกเทคโนโลยี ก่อนจะว่าต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง รออยู่ที่นี่ก่อนนะ

    ร่างหนาหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง รอยยิ้มบางถูกส่งไปให้คนตรงหน้า ก่อนจะวางมือบนศีรษะคนป่วยแล้วยีเล่นเบาๆ  



    เดี๋ยวมา


    ฮยอกแจอยากถามว่าจะไปไหน แต่ในความเป็นจริงก็ทำได้แค่มองทงเฮเดินออกไปเท่านั้น โดยให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะพิษไข้ทำให้เขาเหนื่อยเกินว่าจะพูดประโยคยาวๆ


    ร่างบางมองผ่านกระจกใสเห็นทงเฮขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรีบร้อน เลื่อนสายตาขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่นๆ แล้วก็ลอบถอนหายใจออกมา


    ฝนจะตกแล้ว

     

     




























     

     

    ฮยอกแจก็เป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง

    ครืน...

    เสียงฟ้ายังคงร้องคำรามเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานเม็ดฝนจะเริ่มโปรยปรายลงมาเหมือนอย่างเช่นทุกวัน


    เพราะนั่งอยู่ในร้านนานเกินไปจนพนักงานเริ่มมองด้วยสายตาแปลกๆ จึงจ่ายเงินแล้วออกมาอาศัยชายคาเล็กๆหน้าร้านยืนรอ


    นี่มันก็หกโมงกว่าแล้ว


    ครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่มีวี่แววของเพื่อนสนิท ท้องฟ้าสีใสคอยๆแปรเปลี่ยนเป็นความมืดมิด..ลมหนาวพัดบาดผิวจนแสบหน้าไปหมด


    อากาศเย็นชื้นทำให้เขารู้สึกทรมานอย่างไม่เคยเป็น




    แต่ในเมื่อทงเฮบอกให้รอเขาก็จะรอ



    ถ้าหากร่างกายปกติดี ฮยอกแจคงไม่ลังเลที่จะวิ่งลุยฝนไปโบกแท๊กซี่สักคัน แล้วค่อยโทรไปบอกทงเฮทีหลัง แต่ในเวลานี้ที่แค่ก้าวขายังรู้สึกว่าลำบาก ทำให้จำต้องยืนอยู่นิ่งๆรอจนกว่าคนที่บอกให้รอจะมารับ หรือไม่ก็รอให้สายฝนซาลง

     

    ฮยอกแจกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะพ่นลมหายใจออกมากับความโง่เง่าไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเอง หนำซ้ำละอองฝนสาดเข้ามาจนโดนรองเท้าคู่สวยจนต้องขยับเท้าเข้าไปชิดกับกำแพง


    เขามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้



    คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัว แต่ก็เหนื่อยเกินกว่าจะคิดหาคำตอบ ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากันแน่น ยืนชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าเขาควรเสี่ยงลุยฝนไปเลยดีรึเปล่า เพราะเขาไม่แน่ใจนักว่าจะยืนรอทงเฮได้นานแค่ไหนโดยที่ไม่ล้มลงไปเสียก่อน หรือถ้าหากว่ารอจนมันตกหนักกว่านี้คงไม่พ้นต้องเข้าไปหลบในร้านอยู่ดี



    ข้างในมันทรมานจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว





    ก่อนที่อะไรๆมันจะถลำลึกไปมากกว่านี้





    ลองถอยออกมาหรือไม่ก็หยุดดีไหมฮยอกแจ?




    เวลานี้สายฝนไม่อาจหยุดยั้งความคิดมากมายในหัวของร่างบางได้ ฮยอกแจเอาแต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่มันถูกแล้วเหรอที่จะมีความรู้สึกแบบนี้ให้เพื่อนสนิทของตัวเอง





    แล้วถ้าลองถอยออกมาทุกอย่างจะดีขึ้นหรือเปล่า



    ถอยออกมาในวันที่ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น




    ฮยอกแจไม่อาจหาคำตอบของคำถามพวกนั้นได้ แล้วอีกหนึ่งคำถามก็เกิดขึ้นในใจถ้าหากถ้าหากสมมติว่าเขาถอยออกมาได้แล้ว




    จะอยู่โดยไม่มีคนๆนั้นได้เหรออยู่คนเดียวได้เหรอฮยอกแจ







    แล้วหลังจากนั้น...







    จะหยุดรักยังไง?







    จะทำได้ยังไง...





    ฮยอกแจ


    เสียงของใครบางคนดังขึ้นเรียกสติที่กำลังจะหลุดลอยหายไปให้กลับคืนอีกครั้ง ฮยอกแจพยายามมองหาต้นเสียงนั้นเสียงเรียกที่เกือบจะถูกชะล้างให้กลืนหายไปกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ



    หันมองไปรอบทิศจนสุดท้ายแล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งที่มาพร้อมกับร่มสีฟ้าอ่อนลมหายใจของร่างบางขาดห้วงเมื่อพบว่านั่นไม่ใช่คนที่เขาอยากเจอ




    คยูฮยอน…”

     



     

    .

    .

    .

     


     

    เม็ดยาหลากสีถูกส่งผ่านลำคอตามด้วยน้ำเย็นที่ทำให้ความเจ็บแปลบแล่นวาบไปทั่วสมอง ฮยอกแจหลับตานิ่งๆให้อาการบ้าๆพวกนี้จางหายไป ก่อนจะบรรจงถอดเสื้อออกอย่างเชื่องช้า


    ไม่รู้ว่าจะเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน อยากจะล้มตัวลงนอนเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เขาต้องตายแน่ๆถ้าฝืนนอนทั้งที่ยังใส่เสื้อผ้าชื้นๆแบบนี้


    ฮยอกแจรู้ดีว่าร่างกายของเขาคงทนกับพิษไข้ได้อีกไม่นาน จึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ




    แต่ทว่า





    แกรก


    เสียงกุกกักที่บานประตูทำให้ต้องหยัดตัวขึ้นมานั่งอีกครั้ง ดวงตาอ่อนล้าจ้องมองร่างหนาที่อยู่ในสภาพเปียกโชก


    ทงเฮขมวดคิ้วแปลกใจที่ยังเห็นฮยอกแจนั่งอยู่ตรงนั้น เขาก้าวเท้าเข้ามาก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

     


     

    ขอโทษ

     


     

    ขอโทษอีกแล้ว

    ไม่รู้ว่าคนที่พูดประโยคนั้นออกมามีสีหน้าหรือแววตาที่สำนึกผิดมากแค่ไหน เพราะฮยอกแจเอาแต่ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง และใช้เวลาเนิ่นนานเพื่อคิดหาคำพูดที่จะโต้ตอบอีกฝ่าย


    ไม่ได้รอหรอก ว่าพลางส่งยิ้มกว้างๆให้ทงเฮรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นอะไร กูเรียกแท๊กซี่กลับตั้งแต่มึงออกไป…”
     

    น้ำเสียงที่ทั้งแห่บแห้งและสั่นเครือทำเอาหัวใจคนฟังหล่นวูบ ทงเฮไม่กล้าคาดเดาว่าฮยอกแจต้องใช้ความพยายามมากเท่าไหร่กว่าจะเปล่งมันออกมาได้ซักคำหนึ่ง เพราะเขารู้สึกได้ว่าภายใต้น้ำเสียงและเบื้องหลังใบหน้านั้นยังมีอะไรอีกมากมายที่คนตัวบางไม่ได้แสดงออกมาให้ใครรับรู้


    เวลานี้ฮยอกแจดูเหนื่อยล้าเสียจนเขานึกอยากจะดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดไว้แน่นๆแต่แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น



     “ฮยอกแจทงเฮเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างอ่อนใจกูเห็นมึงมาตั้งแต่มึงตัวเล็กนิดเดียว คิดว่ากูมองไม่ออกเหรอวะว่ามึงกำลังโกหก


    “…………..”



    กูเป็นคนโทรบอกให้คยูฮยอนไปรับมึงเอง



    ฮยอกแจไม่ได้แปลกใจในสิ่งที่ทงเฮบอกเท่าไหร่นัก เขาไม่ได้อยากรู้ว่าคยูฮยอนไปเจอเขาที่ร้านกาแฟนั่นได้ยังไง ที่อยากรู้จริงๆคือทำไมทงเฮถึงปล่อยให้เขารออยู่ที่นั่นตั้งนานถ้ามารับไม่ได้แล้วทำไมถึงไม่ยอมโทรบอกกันสักนิดเลย


    เห็นคยูฮยอนมันบอกว่ายืนตากฝนรอหรือไง?” ทงเฮถาม ก่อนจะตำหนิฮยอกแจผ่านทางสายตา


    อือ แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว

    ฮยอกแจว่า ก่อนจะยิ้มกว้างๆออกมาอีกที จนทงเฮอดจะสงสัยไม่ได้ว่าคนๆนี้เคยโกรธเขาแบบจริงจังบ้างสักครั้งหรือเปล่า ไม่ว่าทงเฮจะทำผิดอะไรสุดท้ายริมฝีปากนั้นก็ยังคงยิ้มสวยๆให้เขาอยู่เสมอ


    เออเวลามึงยิ้มน่ารักจะตาย เลิกทำหน้าบูดได้ละ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นให้ฮยอกแจได้นอนสบายๆ แล้วก็เหมือนอย่างทุกครั้งที่ทงเฮไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าใบหน้าซีดเซียวในทีแรกนั้นขึ้นสีจัดแค่ไหน



    วันก่อนเจอซึงฮยอน



    “……………”



     ฮยอกแจที่กำลังเขินม้วนอยู่ในผ้าห่มถึงกับชะงักนิ่ง เมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกหยิบมาเป็นประเด็นสนทนา ร่างบางโผล่หน้าขึ้นมามองแผ่นหลังกว้างของทงเฮที่กำลังสั่นน้อยๆเหมือนพยายามกลั้นหัวเราะ


    มันบอกว่าคิดถึงมึง


    ทงเฮดูไม่ค่อยยี่หระอะไรกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกมา ตรงกันข้ามกับฮยอกแจที่ขนหัวลุกซู่ทันทีที่ได้ยินคำว่า คิดถึง


    ก็ยังทำตัวทุเรศไม่เปลี่ยน


    ทงเฮยังคงเล่าเรื่องที่บังเอิญเจอผู้ชายคนนั้นต่อไปเรื่อยๆ ฮยอกแจรับฟังแล้วก็ได้แต่กำผ้าห่มแน่นพลางนึกไปถึงชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มีรอยยิ้มชวนให้หลงใหล



     ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง ยกเว้นจิตใจที่หยาบกระด้าง



    ชเวซึงฮยอน…



    ชเวซึงฮยอนที่ครั้งหนึ่งเคยพร่ำบอกว่ารักเขามากมากจริงๆมากเสียจนฮยอกแจเกือบจะหลวมตัวยอมเรียกผู้ชายคนนั้นว่าคนรัก


    เคยคิดว่าซึงฮยอนคงเป็นคนแรกที่จะยอมเปิดใจให้

    แต่สุดท้ายคนๆนั้นก็ทำลายความเชื่อใจที่ฮยอกแจให้ไปจนหมดสิ้น




    ความทรงจำเลวร้ายไหลย้อนเข้ามาราวกับเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่มีตัวเองเป็นนักแสดงนำ เขาไม่เคยลืมความจริงใจจอมปลอมที่ผู้ชายคนนั้นหยิบยื่นมาให้ แม้เวลาจะผ่านมานานมากแล้ว แต่ฮยอกแจยังคงจดจำเรื่องราวต่างๆได้อย่างแม่นยำ และน่าเสียดายที่ความทรงจำนั้นแทบจะไม่มีเรื่องราวดีๆระหว่างเขากับชเวซึงฮยอนเลย



    ฮยอกแจไม่เคยลืมว่าเขาหลุดพ้นจากคนแบบนั้นมาได้เพราะใคร 



    ทงเฮ…”


    พอนึกย้อนไปถึงตรงนี้แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้านี้ทำอะไรเพื่อเขามามากมายจริงๆ  ยังมีอะไรหลายอย่างที่เขาไม่ได้บอกให้ทงเฮรู้นั่นเพราะฮยอกแจหวงแหนคำว่าเพื่อนเสียจนกลัวความเปลี่ยนแปลงที่จะตามมา หากว่าเขาพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกไป


    ว่า?” รอฟังอยู่นานแต่ฮยอกแจก็ไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่นั่งทำหน้าสับสน จนทงเฮชักจะสงสัยขึ้นมาแล้วว่าคนตัวเล็กนี้มีอะไรปิดบังอยู่หรือเปล่าทำไมพักหลังมานี้ชอบทำท่าทีแปลกๆอยู่เรื่อยเลย






    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ฮยอกแจไม่กล้าสบตาเขา




    ทำไม มีอะไรฮึ?” ก้มหน้าลงไปจนเกือบชิด คาดคั้นอีกฝ่ายด้วยการจ้องมองดวงตาที่กำลังไหววูบ แล้วก็ยิ่งประหลาดใจหนักเมื่อฮยอกแจหลบสายตาไปอีกทางพร้อมกับส่ายหน้าแรงๆ



    เปล่า


    “เออมึงจะไปไหนมาไหนก็ระวังหน่อยแล้วกันทงเฮพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม เมื่อกี้ที่ไปหาซองมินกูก็เจอมัน ท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่


    จากคำพูดและท่าทางดูเหมือนทงเฮกังวลอยู่ไม่น้อย  แต่ฮยอกแจ กลับไม่ได้ใส่ใจคำเตือนนั้นมีบางอย่างพุ่งตรงเข้ามาจนชาวาบไปทั้งตัว



    เมื่อกี้ทงเฮไปหาซองมิน




    เหตุผลที่ปล่อยให้เขายืนหลบฝนรอเป็นชั่วโมงจนไม่สบายนั่นก็เพราะว่าไปหาซองมินอย่างนั้นสินะ




    เหนื่อยมั้ยที่คิดไปซะไกลสุดท้ายก็ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง


    เหนื่อยมากหรือเปล่าอีฮยอกแจ





    ถ้าเจอมันเมื่อไหร่มึงต้องรีบบอกกูทันทีเข้าใจมั้ย



    “…………….”



    เข้าใจมั้ย?”



    เข้าใจ


    เข้าใจแล้วก็นอนซะ


    ทงเฮวางมือลงบนกลุ่มผมสีบลอนด์แล้วยีเล่นสองสามที ก่อนจะหันไปความสนใจเครื่องมื่อสื่อสารที่สั่นเตือนมาได้สักพักใหญ่ มือหนาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างบาง แล้วเลี่ยงออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกระเบียง



    เพียงเท่านั้นฮยอกแจก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง



    พยายามข่มตาให้หลับไปเสีย


               เพราะมันคงเป็นทางเดียวในเวลานี้ที่เขาจะสามารถหนีออกจากโลกความเป็นจริงได้

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     




    TBC




    งงเนาะ 55555555555555555

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×