คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : chapter 5
**ตัวละครเปลี่ยนอีกละ อย่างที่บอกไว้หน้าบทความว่าให้เริ่มอ่านใหม่ทั้งหมดนะคะ
อันนี้คือแน่นอนจริงๆแล้ว ที่รีไรท์รอบก่อนเป็นความผิดพลาดของเราเอง กด CTRL+F แล้วแก้ชื่อ
ตอนนั้นในหัวคิดถึงซีวอนอยู่เลยพิมพ์ชื่อซีวอนไปเฉยเลย ก็งงทำไมคอมเม้นมาพูดถึงซีวอนกัน 5555
ก็เอาเป็นว่าตามนี้นะ ลืมต้นฉบับ ลืมทุกสิ่งที่เคยอ่านมาแล้วเริ่มใหม่ โอเคนะะะะ ._. *****
5
เขาไม่เคยรู้สึกหงุดหงิดมากขนาดนี้มาก่อน
ทงเฮขมวดคิ้วแน่น ปลายนิ้วสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ไปมาแก้เบื่อ ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าเผลอเหวี่ยงสายตาใส่ใครไปแล้วบ้าง
เห็นอะไรผ่านตาก็รู้สึกรำคาญไปเสียหมด
ขนาดบรรยากาศภายในร้านอาหารที่ค่อนข้างเงียบสงบนี่ยังไม่สามารถช่วยให้ทงเฮรู้สึกดีขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังจะพาลทำให้ไม่สบอารมณ์หนักกว่าเดิม เหตุผลหนึ่งคงจะเป็นเพราะเขานั่งอยู่ที่นี่มานานร่วมสองชั่วโมงแล้วยังไม่ได้ลุกไปไหน
ส่วนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือซองมินที่เป็นคนรัก กำลังนั่งก้มหน้าทำโปรเจคอะไรก็ไม่รู้ เห็นว่าต้องหาข้อมูลนอกสถานที่ ก็เลยจัดการโทรปลุกแล้วลากทงเฮออกมาด้วยอย่างที่เห็น
“ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องคิดมากหรือเปล่า” พอเริ่มสังเกตได้ว่าทงเฮดูมีท่าทีเครียดๆ ผิดจากปกติไป ซองมินก็ละสายตาขึ้นมาจากกองเอกสาร แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “บอกฉันได้นะ”
“ไม่มีหรอก”
ร่างหนาเพียงแต่คลี่ยิ้มบาง ก่อนจะสั่นศรีษะน้อยๆ แล้วหยิบเมนูขึ้นมาโบกไปมาเพื่อคลายร้อน พยายามหาที่วางสายตาเป็นอะไรที่มันน่าบันเทิงใจเผื่อว่าจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
“ใกล้ถึงวันครบรอบของเราแล้วนะทงเฮ”
เสียงใสๆของคนรักดังขึ้นขณะที่เจ้าตัวยังคงให้ความสนใจกับเอกสารมากมายตรงหน้า ทงเฮครางรับในลำคอไปแบบไม่ใส่ใจอะไรนัก เขานั่งฟังซองมินเล่านู้นเล่านี่ไปเรื่อยๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ในหัวกำลังคิดไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน
สองเดือนก่อน…
…มีคนหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินเข้ามาสารภาพรัก
ทงเฮยอมรับว่าตกใจอยู่ไม่น้อยที่คนคนนั้นคือคนที่คุ้นหน้ากันดีอย่างอีซองมิน…ตอนเรียนอยู่มัธยมปลายก็เดินสวนกันอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีใครเริ่มทักใครก่อน ก็เลยรู้จักแค่ชื่อกับหน้าเท่านั้น
ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งคนๆนี้เดินเข้ามาบอกความในใจกับเขา
เขาจำความรู้สึกตัวเองตอนนั้นไม่ได้ ทงเฮไม่ได้ตื่นเต้นดีใจกับการถูกบอกรัก ต้องเรียกว่าแปลกใจคงจะถูกกว่า
วินาทีนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรนอกจากยื่นมือไปรับของที่ซองมินอุตสาห์ทำมาให้ ก่อนจะเอ่ยถามเหตุผลว่าทำไมถึงรู้สึกกับเขาแบบนั้น แล้วซองมินก็ร่ายยาวมาแบบฟังไม่หมด แล้วเขาก็จำไม่ได้แล้วด้วย
ทงเฮบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงกับคนตรงหน้า ลังเลอยู่นานว่าควรใช้คำพูดแบบไหนตอบอีกฝ่ายไป เขารู้แค่เพียงว่าตอนนั้นความคิดที่จะปฏิเสธไม่มีอยู่ในหัวเลย
ทงเฮไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่ต้องทำลายน้ำใจของซองมิน อีกอย่างตอนนี้เขาก็ไม่ได้มีใครเข้ามาสักพักแล้ว…
บางอย่างที่ทุกคนอาจไม่รู้คือเขาไม่เคยผลักไสคนที่เข้ามาในชีวิตด้วยถ้อยคำแรงๆ ไม่เคยปฏิเสธความสัมพันธ์ทุกรูปแบบที่เข้ามา ยกเว้นก็แต่พวกที่ทำตัวสุดจะทนจริงๆเท่านั้นน่ะนะ
ในความคิดของทงเฮตอนนั้นคิดว่าซองมินก็โอเคดี
เขาคิดว่าอย่างนั้นน่ะนะ…
จนถึงทุกวันนี้…อีซองมินก็ยังคงเป็นอีซองมินที่อ่อนโยนและน่ารักในสายตาของเขามาตลอด เหมือนวันแรกที่พบกัน
ซองมินเป็นคนรักที่ดี ถ้าเทียบกับใครหลายๆคนที่ผ่านมา
เจ้าของใบหน้าหวานที่มักจะมีรอยยิ้มให้เขาทุกครั้งที่พบหน้ากัน เจ้าของเสียงเพราะๆที่ร้องเพลงให้เขาฟังก่อนนอน ส่วนนิสัยงี่เง่าเอาแต่ใจเหมือนพวกคุณหนูอะไรทำนองนั้นก็ยังไม่เห็นว่าจะมี
ยิ่งเรื่องนอกใจนี่ลืมไปได้เลย หรือต่อให้มีจริงๆทงเฮก็ไม่ได้สนใจขนาดเก็บเอามาเป็นปัญหาชีวิต คนอย่างเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับความรักมากมายขนาดนั้น ชีวิตใครชีวิตมัน ถ้าไม่อยากคบกันแล้วเลิกไปก็จบ
“ทงเฮน่าจะชวนฮยอกแจมาด้วยกัน”
“หื้อ…ฮยอกแจเหรอ?”
ทงเฮขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมเมื่อชื่อของบุคคลที่สามถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสนทนา
“อื้อ บรรยากาศดีๆแบบนี้เหมาะกับคนชอบวาดรูปอย่างฮยอกแจจะตาย”
ซองมินพูดพลางทำหน้าเสียดาย
“วันนี้มันไม่ว่างหรอก เห็นบอกว่าจะไปไหนกับคยูฮยอนไม่รู้”
“อ่า…นั่นสินะ พวกเขาเหมือนจะคบๆกันอยู่นี่นา”
ซองมินพยักหน้ารับ ก่อนจะก้มลงไปสนใจกองหนังสือตรงหน้าต่อ ทิ้งให้ทงเฮขมวดคิ้วมุ่นไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร สุดท้ายก็ยอมแพ้กับการหาคำตอบจนต้องถอนหายใจออกมา
“เออนี่ทงเฮ เดี๋ยวต้องไปยืมหนังสืออีกสองสามเล่มน่ะ…พอดีว่าเนื้อหามันยังขาดอยู่อีกนิดหน่อย” ซองมินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะเกรงใจอยู่นิดๆ “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“อื้อ ฉันโอเค”
พอได้ยินแบบนั้นก็โล่งอก ความจริงเห็นทงเฮอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก็ไม่อยากจะไปรบกวนมากนัก แค่โทรตามให้ออกมานั่งเป็นเพื่อนนี่ก็กังวลจะแย่แล้ว กลัวทงเฮจะเบื่อ กลัวทงเฮจะไม่ชอบ…
ซองมินหยุดความคิดฟุ้งซ่านไว้เท่านั้น แล้วรีบเก็บข้าวของเดินตามหลังทงเฮไปเงียบๆ ตอนนั้นเองที่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าไหล่ทั้งสองของทงเฮดูเหมือนคนแบกปัญหาเอาไว้มากมาย…ปัญหาที่คนอย่างเขาไม่มีทางช่วยแบ่งเบาได้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรับรู้ด้วยซ้ำ
ที่ผ่านมา…ซองมินไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองได้เข้าไปในโลกของคนคนนั้นเลยสักครั้ง
“อีทงเฮ?”
ความคิดของซองมินสะดุดลงเมื่อได้ยินใครบางคนเรียกชื่อคนรักดังมาจากทางด้านหลัง ทงเฮหยุดฝีเท้านิ่ง แต่ก็ยังไม่ได้หันกลับมามอง
“ทงเฮใช่มั้ย?”
เจ้าของโทนเสียงหยาบกระด้างถามย้ำขึ้นอีกครั้ง
ทันทีที่ทงเฮหันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก ก็เห็นร่างสูงโปร่งดูคุ้นตายืนมองเขาอยู่ไม่ไกล
ชเวซึงฮยอน...
พอแน่ใจแล้วว่ามองไม่ผิดแน่ ทงเฮก็หน้าตึงคันไม้คันมืออยากกระทืบคนขึ้นมาทันที…ดูจากสารรูปแล้วก็ยังน่าขยะแขยงเหมือนเดิม
“ยังไม่ตายอีกหรือไง”
จริงๆเขาไม่ควรมาเสียเวลาหยุดเสวนากับคนแบบนี้เลยด้วยซ้ำ
“เสียใจด้วยที่กูยังสบายดี”
ร่างสูงโปร่งในชุดลำลองธรรมดาเจ้าของชื่อชเวซึงฮยอนยักไหล่ แล้วคลี่ยิ้มเหมือนไม่ได้คิดอะไรกับคำทักทายสุดจะเป็นมงคลของอีกฝ่าย
“พอดีแวะมาหาชางมินน่ะ ไม่คิดว่าจะได้เจอ…”
“ไม่ได้ถาม”
ซึงฮยอนหัวเราะออกมากับคำพูดที่ยังตรงไปตรงมาไม่เปลี่ยน….ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของใบหน้าน่ารักที่ยืนอยู่ข้างๆร่างหนาแทน แล้วริมฝีปากก็กดรอยยิ้มเหยียดออกมาชวนให้คนมองอย่างทงเฮรู้สึกพะอืดพะอมอยากจะโก่งคออ้วกออกมาเสียตรงนั้น
“นั่นเด็กใหม่มึงหรอวะ”สายตาโลมเลียของชเวซึงฮยอนถูกส่งมาให้ซองมินที่ยังคงยืนทำหน้ามึนไม่เข้าใจสถานการณ์ “ก็นึกว่ามึงได้กับฮยอกแจของกูไปละ นี่ตกลงว่ายัง…”
“เสือก"
คนปากไวสวนกลับไปก่อนที่ฟาร์มหมาของชเวซึงฮยอนจะออกมาวิ่งพล่าน ซองมินที่แม้จะยังไม่เข้าใจอะไร แต่ก็ฉลาดพอที่จะรับรู้ได้ว่าอีกไม่นานความอดทนของทงเฮจะต้องหมดลงเพราะแปลกหน้าคนนั้น
“แค่นี้ทำไมต้องโมโหด้วยเล่า” ซึงฮยอนแสร้งยิ้ม ก่อนจะเลิกคิ้วกวนอารมณ์อีกคนให้ขุ่นกว่าเดิม “หรือว่ามึงได้ฮยอกแจแล้วทิ้ง?”
…ถ้อยคำต่ำช้าหลุดออกมาจากปากคนที่ทงเฮเกลียดที่สุดในชีวิต
เสียงหัวเราะเย้ยหยันกับใบหน้าที่พร้อมจะหาเรื่องอยู่ตลอดนั่น…
“ไหนว่ารักนักรักหนาไม่ใช่หรือไง?”
เกลียด…
เกลียดมากกว่าอะไรบนโลกใบนี้
“น่าเสียดายออกนา…ถ้าจะไม่เอาแล้วก็บอกดิว้า…”
พลั่ก!!
หมัดหนักๆซัดเข้าที่ใบหน้าของคนตัวสูงเต็มแรงจนล้มลงไปกองกับพื้น ทงเฮถมน้ำลายใส่แล้วทำท่าจะเข้าไปซ้ำอีกที ซองมินเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้าไปดึงตัวออกมา แม้ร่างเล็กจะหวาดกลัวกับสักเหตุการณ์ตรงหน้าสักเพียงใด แต่หากไม่จับไว้เดี๋ยวเรื่องมันจะบานปลายไปกันใหญ่
“เก็บคำพูดต่ำๆพวกนั้นไว้ใช้กับตัวเองเถอะ”
ทงเฮกัดกรามแน่น ร่างทั้งร่างสั่นเทาด้วยความโกรธ
“แล้วจำใส่สมองของมึงไว้ด้วยว่าอย่ามาดูถูกอีฮยอกแจอีก!”
ไม่รู้เลยว่าจังหวะนั้นเขาพูดออกไปดังแค่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอสะบัดแขนออกจากซองมินอย่างแรงจนร่างเล็กเซถลา ทงเฮรู้แค่ว่าเขาอยากจะถีบส่งคนตรงหน้าให้ไปเฝ้ายมบาลในนรกเร็วๆก็เท่านั้น
ชเวซึงฮยอนหยัดตัวขึ้นเต็มความสูง แล้วใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่มุมปากออกไปลวกๆ ดวงตาคู่นั้นประสานกับทงเฮอย่างไม่ยอมแพ้
“คืนนี้ไปเจอกูที่ลานแข่ง”
“……………”
“ถ้ามึงแน่จริง”
.
.
.
หลังจากที่ผ่านพ้นจากตรงนั้นมาได้ ทงเฮก็เหมือนจะหงุดหงิดหนักกว่าเดิมจนซองมินไม่กล้าถามอะไร ปล่อยให้คนรักระบายออกมาด้วยการเหยียบคันเร่งจนสุด กว่าจะมาถึงห้องสมุดได้ก็เล่นเอาหัวใจเกือบวาย
จนเวลาล่วงเลยไป ซองมินคิดว่าทงเฮอาจจะอารมณ์เย็นขึ้นแล้ว จึงละสมาธิจากกองหนังสือแล้วถามสิ่งที่สงสัยมาตลอดออกไป
“เอ่อ…ผู้ชายคนนั้น….”
“ทำงานไปเถอะ เดี๋ยวก็ไม่เสร็จหรอก”
ทว่ากลับถูกตัดบทเสียดื้อๆ แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็ยังโล่งใจที่น้ำเสียงของทงเฮไม่ได้หงุดหงิดอะไรแล้ว ซ้ำยังส่งยิ้มบางๆมาให้ ไม่ได้มีทีท่าว่าลำบากใจที่จะตอบ
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าเป็นใคร แค่อย่าไปยุ่งกับมันก็พอ”
ซองมินพยักหน้ารับ ผู้ชายคนนั้นดูไม่น่าเข้าใกล้จริงๆนั้นแหละ แล้วเขามีเรื่องอะไรกับทงเฮกันล่ะ…
แต่เหมือนทงเฮจะสังเกตเห็นว่าแววตาของคนรักหยังไม่คลายความสงสัยไปเสียทีเดียว เขาหัวเราะแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกความจริงให้คนตรงหน้ารับรู้
“ชเวซึงฮยอน” จะว่าไปแล้วก็กระดากปากอยู่ไม่น้อยที่ต้องพูดถึงชื่อคนสารเลวคนนั้นขึ้นมาอีก “คนที่เคยมาชอบฮยอกแจน่ะ”
“……………….”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ทงเฮตอบแบบปัดๆไปไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรต่อจากนั้น แต่ซองมินกลับเข้าใจทุกอย่างดี เหตุผลที่ทำให้ทงเฮไม่สบอารมณ์ได้ขนาดนี้สุดท้ายก็ไม่ใช่เพราะใคร…
อยู่ดีๆก็รู้สึกวูบโหวงข้างในอกจนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามถึงคำพูดสุดท้ายที่ผู้ชายคนนั้นทิ้งไว้
“แล้วจะไปตามที่เขาบอกหรือเปล่า”
สิ้นคำถาม ทงเฮก็เปลี่ยนไปเข้าโหมดซีเรียสอีกครั้ง เรียวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ทงเฮ…” ซองมินเรียกชื่อคนรักเสียงอ่อน ก่อนจะเลื่อนไปกุมฝ่ามืออีกฝ่ายไว้ราวกับจะบอกว่าไม่อยากให้ไป
“ฉันเป็นห่วง”
ทงเฮนิ่งไป แล้วส่งรอยยิ้มบางกลับมา
“ฉันรู้”
- - - - - - - - - - - - - - - -
Bestfriend
( กลับดึกนะ ไม่ต้องรอ )
เอี๊ยดดดดดดดดดดด!
เสียงล้อยางที่เสียดสีไปกับพื้นถนนดังสนั่นเรียกความสนใจของผู้คนข้างสนาม ทุกสายตาพร้อมใจกันหันมาจับจ้องรถสปอร์ตคันหรู แล้วเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นระงม…
ช่างเป็นการต้อนรับที่น่าประทับใจดีจริงๆ
ทงเฮส่ายหน้าอย่างระอา สังคมของคนพวกนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อสองปีก่อนเท่าไหร่เลย วันนั้นขี้นินทายังไง วันนี้ก็ยังขี้นินทาอยู่เหมือนเดิม
เขาละสายตาจากกลุ่มคนไปมองในสนามแข่งแทน รถยนต์หลายคันวิ่งไล่บี้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร คงปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเคยเจนสนามอย่างเขาคิดถึงความรู้สึกตอนที่ได้เหยียบคันเร่งจนสุดอยู่ไม่น้อยเลย
ทงเฮสูดลมหายใจลึกก่อนจะเปิดประตูรถออกไป แล้วก็เป็นอย่างที่คิด…เขาตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในที่นั่นทันที
ความเงียบเข้าปกคลุมไม่ได้นาน เสียงฮือฮาก็ดังขึ้น ทว่าทงเฮกลับไม่ได้ใส่ใจอะไร ร่างหนาเดินผ่านผู้คนมากมายไปหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็จำได้เธอได้ขึ้นใจ
“ยุนอา”
“พี่…ทงเฮ!?”
หญิงสาวเจ้าของชื่ออิมยุนอาดูเหมือนจะตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก เธอค่อยๆหยัดตัวขึ้นแล้วใช้สายตาไล่มองสำรวจอยู่นานสองนาน จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเป็นทงเฮจริงๆก็รีบรัวคำถามใส่มาเป็นชุด
“พี่จริงๆด้วย!”
“ก็พี่น่ะสิ”
“พี่มาที่นี่ทำไม มาได้ยังไง แล้วพี่ฮยอกแจรู้เรื่องนี้รึเปล่า!?”
“ใจเย็นๆก่อน พี่ตอบไม่ทันนะ” ทงเฮหัวเราะแล้วว่าต่อ “ขับรถมาคนเดียว ถ้าฮยอกแจรู้พี่คงไม่ได้มาหรอก แล้วเธอก็ไม่ต้องไปบอกด้วยล่ะ”
“เออรู้แล้วน่า แต่ฉันไม่เห็นด้วยเลยนะที่พี่จะกลับมาที่นี่อีกอ่ะ…”
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว มันจำเป็นจริงๆ”
“เพราะพี่ซึงฮยอนใช่มั้ย?”
ทงเฮเงียบไป แล้วยุนอาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสำหรับคนไม่ยอมใครอย่างทงเฮคงมีอยู่แค่เหตุผลเดียว
“ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะว่ามันยอมไม่ได้ แต่ว่าคนแบบนั้นน่ะไม่ควรเข้าไปยุ่งเลยพี่ก็น่าจะรู้”
“บอกว่ามันจำเป็นไงเล่า”
“พี่ก็หัวดื้อแบบนี้ เตือนอะไรไม่เคยจะฟัง”
“ไม่ต้องมาพูดมาก เธอเองน่ะปีหน้าจะเข้ามหาลัยแล้วไม่ใช่เหรอทำไมยังเอาแต่สนใจเรื่องพวกนี้เนี่ย?” ทงเฮว่าพลางใช้ปลายนิ้วเรียวจิ้มเข้าที่กลางหน้าผากสวยจนหญิงสาวร้องลั่น
“อย่าสิ! ฉันจัดการชีวิตตัวเองได้น่า”
“ให้มันจริงเถอะ เด็กอย่างเธอน่ะนะ…” เว้นคำในช่องว่างไว้ให้เจ้าตัวไปเดาต่อเอาเอง ยุนอากัดริมฝีปากตัวเองแน่น พยายามคิดคำพูดมาโต้เถียงคนตรงหน้า แต่แน่นอนล่ะเธอไม่เคยเอาชนะทงเฮได้หรอก
ผู้ชายคนนี้ชอบทำตัวเหมือนรู้นิสัยของเธอดีแบบนี้ตลอดเลย!
“ทำไม? มองหน้าแบบนั้นคิดจะเถียงหรือไง อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นิสัยเธอนะ หนังสือหนังหาหัดเปิดอ่านบ้างเอนท์ไม่ติดแล้วอย่ามาร้อง”
“เป็นห่วงหรือไง”
“ไม่ห่วงมั้ง เธอเป็นน้องพี่นะ”
“ไม่ต้องย้ำก็ได้หรอกน่า…” ร่างเล็กเบ้ปากกับสถานะที่อีกฝ่ายพูดมา “ยังไงพี่ก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกันนะคะ คนอย่างพี่ซึงฮยอนโกงได้ทุกอย่างนั่นแหละ”
ยุนอาทิ้งคำพูดเตือนสติไว้แค่นั้นแล้วเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง…อาจดูเหมือนเป็นความห่วงใยในฐานะน้องสาว แต่สำหรับเธอแล้ว…เธอที่เคยเป็นถึงคนรักเก่า แน่นอนว่าความรู้สึกมันไม่ได้หยุดอยู่ที่คำว่าพี่น้อง
…วันแรกที่เจอกัน เธอรู้สึกกับทงเฮยังไง วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
อีกไม่กี่นาทีการแข่งขันรอบใหม่ก็จะเริ่มต้นขึ้น หญิงสาวยกนาฬิกาขึ้นมาพลางถอนหายใจหนักด้วยความกังวล หากว่าถ้าเป็นเมื่อสองปีก่อนเธอคงไม่กังวลมากมายขนาดนี้
“ยุนอา”
เสียงของเพื่อนสาวคนสนิทดังขึ้น อีซุนคยูเดินเข้ามานั่งข้างๆพร้อมกับถามคำถามที่ยุนอาเชื่อว่าทุกคนในที่นี้เองก็อยากรู้คำตอบเช่นกัน
“พี่ทงเฮกลับมาแข่งรถอีกแล้วเหรอ?”
เจ้าของใบหน้าน่ารักถามขึ้นเสียงใส…จริงๆมันก็ไม่แปลกหรอกที่ทุกคนจะสงสัยในการกลับมาอย่างกระทันหันแบบนั้น
เมื่อสองปีก่อนทงเฮมีชื่อเสียงในวงการนี้จะตายไป ตอนนั้นคำว่าเจ้าสนามคงจำกัดความคนมากฝีมืออย่างทงเฮได้ดีที่สุด
“มันคงเป็นเหตุผลที่สำคัญมากเลยเนอะ ไม่อย่างนั้นพี่เขาคงไม่กลับมาลงแข่งง่ายๆแน่”
สายตาของซุนคยูทอดมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนเช็ครถอยู่ไม่ไกล
ยุนอายิ้ม…เธอเห็นด้วยกับสิ่งที่ซุนคยูพูดทุกอย่าง
เหตุผลที่ทำให้คนเคยรถคว่ำปางตายกลับมาลงสนามอีกครั้ง…
เหตุผลนั้นคงสำคัญมาก
และเธอรู้ดีว่ามีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สำคัญกับชีวิตของทงเฮ…มีไม่กี่อย่างที่ทำให้ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นมาทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังได้ขนาดนี้
…ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเป็นยังไง
“อือ…คงเป็นเหตุผลสำคัญมากๆเลยล่ะมั้ง”
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อีทงเฮเป็นแบบนี้ได้
นอกจากครอบครัวแล้วก็คงจะเป็น…
..อีฮยอกแจ…
- - - - - - - - - - - - - - -
ในทีแรกเขาหงุดหงิดนิดหน่อย
แต่เมื่อผ่านไปไม่ถึงสองนาทีหลังจากลงสนาม ทงเฮก็อารมณ์ดีขึ้น…แน่นอนว่าการที่ห่างหายจากการบังคับพวงมาลัยในสนามแข่งมานาน ฝีมือก็ย่อมลดระดับลงไปบ้าง ถ้าจะคิดจะแข่งจริงๆคงเอาชนะได้ไม่ยาก แต่มันก็น่าแปลกชเวซึงฮยอนไม่สามารถแซงเขาได้อย่างที่คาดไว้
ผ่านไปตั้งสองปี…ฝีมือไม่พัฒนาขึ้นเลยหรือไงกัน
ฮึ…รอยยิ้มเหยียดปรากฎขึ้นทันทีที่เห็นว่าตัวเองทิ้งห่างออกมามาก มากจนถึงขนาดที่ว่าไม่ต้องให้ถึงเส้นชัยก็คงรู้ผลแล้ว
ชนะใสใสแบบนี้ไม่สนุกเลยจริงๆนะ
ก่อนหน้านั้นหวังว่าการกลับมาหลังจากห่างหายไปสองปีจะมีอะไรน่าตื่นเต้นมากกว่านี้ แต่ก็เอาเถอะ…
ร่างหนาเหลือบมองนาฬิกาแล้วกระตุกยิ้มร้ายกาจ นึกถึงคำเตือนของยุนอาก่อนหน้านี้ว่ายังไงเสียเขาก็ประมาทไม่ได้ คนอย่างชเวซึงฮยอนมันโกงได้ทุกอย่างจริงๆนั้นแหละ ทงเฮเบนสายตาไปที่กระจกมองข้างแล้วหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะออกแรงเหยียบคันเร่งจนสุด
อีกไม่กี่อึดใจหรอกน่า…
5
4
3
2
1
Win!
เขาไม่ได้สัมผัสกับรสชาติของชัยชนะมานานมากแล้ว…
จริงอยู่ที่เมื่อหลายปีก่อนทงเฮคุ้นชินกับมันดี คุ้นชินจนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่ยักรู้ว่าจะหอมหวานได้ถึงเพียงนี้ และก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเสียงปรบมือกับเสียงโห่ร้องด้วยความชื่นชมจากข้างสนามจะทำให้เขารู้สึกดีได้มากมายจนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ยิ่งถ้าฝ่ายที่เข้าเส้นชัยทีหลังเขาด้วยสถิติที่ห่างกันหลายวินาทีแบบนี้คือชเวซึงฮยอนด้วยแล้วล่ะก็นะ…
รถของซึงฮยอนแล่นเข้ามาจอดเทียบ ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะก้าวลงมาเผชิญหน้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“โทษทีนะ...” ทงเฮเป็นฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะแสร้งปั้นหน้ารู้สึกผิด แล้วยักไหล่ประมาณว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ “…ก็พยายามออมมือแล้ว”
ซึงฮยอนทำได้เพียงแค่กำหมัดแน่นจนสั่นไปทั้งตัว สาบานเลยว่าเขาไม่เคยเห็นใครทำหน้ากวนตีนได้น่าหมั่นไส้เหี้ยๆขนาดนี้มาก่อน
“ก า ก …”
ทงเฮขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง ตามด้วยรอยยิ้มที่เห็นแล้วน่าเอาตีนกระแทกแม่งซักที แล้วที่น่าโมโหคือในวินาทีนั้นซึงฮยอนคิดหาทางตอบโต้อีกฝ่ายไม่ออกเลยซักอย่างเดียว
สถานการณ์รอบข้างเงียบลงถนัดตา แต่ก็ยังคงมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเป็นระยะ บรรดาผู้คนจากข้างสนามเหมือนจะให้ความสนใจสงครามเล็กๆระหว่างคนสองคนมากกว่าผลแพ้ชนะหรือเงินพนัน
“แล้วอย่าให้กูรู้…”
รอยยิ้มในทีแรกเลือนหายไป เหลือเพียงแววตาที่ทำเอาคนมองถึงกับเสียวสันหลังวูบ “อย่าให้กูรู้ว่ามึงเอาฮยอกแจไปพูดเสียๆหายๆอีก”
“…………….”
“แต่ถ้าอยากเหลือแค่ชื่อสลักไว้ข้างโลงก็ลองดู”
- - - - - - - - - - - - - - -
ตีสี่ครึ่ง…
การทำสงครามกับคนเลี้ยงหมาไว้ในปากเป็นฟาร์มแถมฉลาดแกมโกงอย่างชเวซึงฮยอนนี่ต้องยอมรับว่าแม่งเหนื่อยมากจริงๆ ซ้ำร้ายสองสามคืนก่อนหน้านี้ก็ได้นอนไปแค่นิดเดียว ทงเฮเลยอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาขับรถกลับมาที่ห้องโดยที่ยังครบสามสิบสองยังไง ตอนแรกนึกว่าตัวเองจะน็อคตายห่าไปแล้ว
ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง
ความจริงถ้านอนพักเอาแรงในรถ แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยขับกลับมาก็ไม่มีใครด่า ยังจะดีซะกว่าฝืนขับมาทั้งที่ร่างกายไม่ไหว แต่คือแม่ง…กูอยากกลับมาหาฮยอกแจไงเข้าใจมั้ย
ห้องสี่เหลี่ยมที่เงียบสงบกับร่างเล็กที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ทำให้ทงเฮเบาใจว่าอย่างน้อยฮยอกแจก็ไม่ได้อยู่รอเขา ร่างหนาหรี่อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศลง ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงจ้องมองใบหน้าของคนที่จมอยู่ในห้วงนิทรา
จังหวะลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอแบบนี้แปลว่าร่างบางคงกำลังหลับสนิท…ทงเฮจ้องมองใบหน้าที่ไร้การเติมแต่งใดๆ แล้วแอบลอบยิ้มบางออกมาคนเดียว ฮยอกแจที่เป็นแบบนี้ดูน่ารักมากกว่าเวลาที่เอาแต่ขมวดคิ้วหรือทำหน้าบูดใส่เขาตั้งเยอะ
ฮยอกแจเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยจะยิ้มให้ใครง่ายๆ ถ้าหากว่าไม่รู้จักกันจริงๆอาจจะมองว่าหยิ่ง นิสัยไม่ดีบลาๆสารพัด สุดแต่ว่าใครจะคิดไปทางไหน แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ว่า ต่อให้ฮยอกแจเป็นแบบนี้ ก็ยังมีผู้คนมากมายให้ความสนใจมาตั้งแต่เข้าเรียนมัธยม
ทุกอย่างที่เป็นคนคนนี้…ทำให้ใครต่อใครตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในบรรดาผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตฮยอกแจนั้น…ก็มีทั้งดีและเลว
…และชเวซึงฮยอนเป็นหนึ่งในจำพวกที่เลวจนไม่น่าให้อภัย
เพียงแค่คิดก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา
ทงเฮยังคงจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้ชายคนนั้นเคยทำกับฮยอกแจได้
ทุกการกระทำ ทุกคำพูด เขายังคงจำวันที่ซึงฮยอนหลอกให้ฮยอกแจไปหาที่บ้าน…ยังจำภาพของฮยอกแจที่วิ่งเข้ามากอดเขาเอาไว้แล้วร้องไห้แทบขาดใจเพราะถูกคนสารเลวนั่นพยายามจะข่มขืน
เหตุการณ์วันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในใจของทงเฮมาจนถึงตอนนี้
…เขาจะไม่มีวันลืมมันอย่างเด็ดขาด
ทงเฮรู้ว่าคนอย่างซึงฮยอนทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ คนๆนั้นมีทั้งเงินและอำนาจ สามารถได้ทุกอย่างมาไว้ในครอบครองเพียงแค่กระดิกนิ้ว อย่างเดียวที่ผู้ชายคนนั้นไม่มีอาจจะเป็นจิตสำนึกล่ะมั้ง
แค่คิดก็เหมือนจะหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ ทงเฮไม่อยากจินตนาการเลย หากว่าวันนั้นเขาไปช่วยฮยอกแจไม่ทัน…อะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าหากว่าตอนนั้นเขาช้าไปแค่เพียงก้าวเดียว…
และจากวันนั้นมาเขาก็สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมาทำอะไรฮยอกแจอีก
ไม่รู้หรอกว่าฮยอกแจสำคัญกับเขามากแค่ไหน…แต่อย่างหนึ่งที่ทงเฮรู้คือ เขาสามารถยอมสละอะไรหลายอย่างในชีวิต เพียงเพราะแค่คนตัวเล็กเอ่ยปากร้องขอ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญมากเพียงใด ถ้าฮยอกแจไม่อยากให้ทำ ทงเฮก็จะไม่ทำ
ทงเฮจ้องมองคนตัวเล็กที่พลิกตัวไปมาภายใต้ผ้าห่มผืนหนา แล้วภาพความทรงจำอันเลวร้ายเมื่อสองปีก่อนก็ฉายซ้ำขึ้นในหัวอีกครั้ง
สองปีที่แล้ว
วันนั้นสนามแข่งรถดูคึกคักมากกว่าทุกวัน…กลางสนามมีรถสองคันที่ไล่เบียดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทงเฮเหยียบคันเร่งจนมิดท่ามกลางเสียงเชียร์ อารมณ์อยากเอาชนะของเขามันพลุ่งพล่านขึ้นมาทุกครั้งที่คู่แข่งเป็นคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำอย่างชเวซึงฮยอน
ชั่วนาทีนั้นสมองของเขาตื้อไปหมด…คล้ายกับว่าสติได้ขาดหายไป ทงเฮเอาพะวงกับการเข้าเส้นชัยมากกว่าความปลอดภัยของตัวเอง ต่อมาเขาได้ยินเสียงรอบตัวดังสนั่น เสี้ยววินาทีที่ทุกอย่างเป็นเหมือนความฝัน
ทงเฮไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองถูกเหวี่ยงออกจากตัวรถตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้ว่าระยะทางที่ร่างของเขาไถลไปกับพื้นถนนมันไกลแค่ไหน
…จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเจ็บตรงไหนบ้าง
แล้วเสียงรอบตัวก็เงียบหายไป กลายเป็นเสียงตะโกนโวกเวก…
เขาพยายามลืมตา แต่ในเวลานั้นเหมือนว่ามันช่างยากเย็นเหลือเกิน ทงเฮจำได้ว่ามีหลายคนวิ่งเข้ามา พยายามเขย่าตัวบอกให้เขาลืมตาไว้ แต่เขากลับมองอะไรไม่ชัดสักอย่าง มันพร่ามัวจนน่าโมโห
ทว่าภาพสุดท้ายที่เห็นชัดเจนก่อนสติจะดับวูบไป คือใครคนคนหนึ่งที่เข้ามากอดเขาไว้แน่น ดวงตาคู่สวยนั้นมีน้ำใสเอ่อล้น
อีฮยอกแจ...
.
.
.
ตอนที่เขาพยายามลืมตา ความเจ็บปวดก็เข้าแทรกซึม
สิ่งแรกที่เห็นคือ เพดานสีขาวกับรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลก...
‘ร้องไห้เหรอ...’
เขายังจำได้ดีว่าตัวเองต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการเปล่งเสียงออกไป…ทงเฮไม่แน่ใจว่าสมองเขายังสมบูรณ์อยู่หรือเปล่าถึงได้เห็นคนตรงหน้าร้องไห้ไปด้วยแล้วก็ยิ้มไปด้วยในคราวเดียวกัน
‘ทงเฮ…’
แล้วทงเฮก็จำอะไรไม่ได้อีก นอกจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นนั้น…
เขาอยากขอบคุณ…
ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ทงเฮคนนี้มีโอกาสได้ลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าอีฮยอกแจอีกครั้ง
ทงเฮไม่รู้ว่าทำไมพระเจ้าถึงเมตตาคนอย่างเขา
แต่เขาก็ยังอยากขอบคุณ.
.
.
.
‘กูขออะไรมึงอย่างหนึ่งได้มั้ยทงเฮ’
‘หื้ม? อะไร?’
ถามขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่จอทีวี เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่กี่วันหลังจากนอนแห้งอยู่ที่นั่นเป็นเดือน โคตรเบื่อจริงๆถ้าไม่มีฮยอกแจมาอยู่เป็นเพื่อนนี่ตายห่าไปละ
‘เลิกแข่งรถ…ได้มั้ย?’
‘…………..’
‘กูไม่อยากเห็นมึงเป็นอะไรไป’
‘……….…’
‘…นะ ’
ทงเฮนิ่งไป เขาก้มหน้าลงมองฝ่ามือตัวเองเนิ่นนานราวกับกำลังตัดสินใจครั้งใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปคลี่ยิ้มบางให้เพื่อนสนิทที่รอฟังคำตอบด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
‘มึงรู้มั้ยว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตกูรองมาจากมึง’
‘………..….’ ฮยอกแจเงียบ คนตัวเล็กรู้ดีว่านอกจากครอบครัวแล้ว สิ่งที่ทงเฮรักก็คงไม่พ้นการแข่งรถ ใช่…เขารู้ดีที่สุด
หากแต่ถ้าการแข่งรถมันไม่ต้องแลกมากับการเอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย ฮยอกแจจะไม่มาวิงวอนให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่แบบนี้เลยจริงๆ
‘แค่รถคว่ำปางตายครั้งเดียว ทำให้กูออกจากวงการนี้ไม่ได้หรอก’
สีหน้าของฮยอกแจดูหม่นลงถนัดตา เขามองแล้วยิ้มออกมาอีกครั้ง
‘ถ้าคนอื่นขอร้องกูแบบนี้ กูคงไม่ยอม’
‘………….…’
‘แต่เพราะเป็นมึง’
ทงเฮหันหน้าไปสนใจจอทีวี มือหนากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย
รอยยิ้มยังไม่จางหายไป…
‘มึงสำคัญ…สำคัญมากกว่ารถ สำคัญมากกว่าอะไรทั้งหมด’
‘…………….’
‘กูจะไม่แข่งรถอีก’
‘…………...’
‘กูสัญญา’
.
.
.
…ในวันนี้เขาทำผิดสัญญา…
ปลายนิ้วเรียวไล่ไปตามพวงแก้มขาว คนที่นอนหลับสนิทดูไร้เดียงสาเสียจนไม่อยากคิดภาพตอนที่ฮยอกแจรู้ว่าเขาไปกลับลงสนามอีกครั้งเพียงเพราะคำท้าของชเวซึงฮยอน…ทงเฮคิดว่าฮยอกแจคงไม่เข้าใจ
ไม่มีวันเข้าใจว่าทุกอย่างที่เขาทำไปนี้ไม่ใช่เพื่อใครเลย…
“ขอโทษนะ”
TBC
ความคิดเห็น