คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 5
เพราะเวลาไม่เคยหยุดเดิน…
“ไอ้เชี่ยทงเฮ! มึงหยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ”
เสียงประกาศกร้าวของใครบางคนดังก้องไปทั่วทางเดินบนอาคารที่เงียบสงบ เจ้าของชื่อผู้ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับอะไรบนโลกเพียงแต่ยักไหล่แล้วทำหน้ากวนตีนใส่ไปทีหนึ่ง ส่งผลให้คนถูกท้าทายถึงกับเลือดขึ้นหน้า ก้าวฉับๆมาด้วยสายตาหมายมาด และทันทีที่ระยะห่างร่นลงมาเหลือไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ฝ่ามือหยาบๆก็ปะทะเขาที่ศีรษะเพื่อนสนิทเต็มแรง
“ก่อเรื่องไว้แล้วยังเสือกหายหัว รู้มั้ยข้างล่างแม่งโคตรวุ่นวาย” คิมจงอุนขยับปากเล่า ก่อนจะบุ้ยหน้าลงไปยังเหตุการณ์ชุลมุนด้านล่าง “แทบฆ่ากันตายห่า”
ทงเฮมองลงไปตามที่จงอุนบอก ก่อนที่ร่างหนาจะหัวเราะร่าออกมาอย่างไม่แยแส เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทเล็กๆของพวกผู้หญิงมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บมาใส่ใจสักหน่อย ถึงแม้เขาจะเป็นตัวต้นเหตุก็เถอะ
“มึงเห็นซองมินมั้ยวะ”
“ไม่อะ” จงอุนตอบทั้งที่สายตายังคงไม่ละไปจากเหตุการณ์ข้างล่าง
ทงเฮถอนหายใจกับนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นของเพื่อน ไม่ว่ากี่ปีก็ไม่เปลี่ยนเลยมันอะ เขาส่ายหน้าอย่างระอาก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาเงียบๆ อันที่จริงทงเฮเกลียดความวุ่นวาย แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาจะไม่เคยหนีพ้นจากความวุ่นวายได้เลย
“ทงเฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงร้องเรียกของคิมจงอุนดังขึ้นจากทางด้านหลัง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมหยุดเรียกง่ายๆหากเขายังไม่ยอมหันกลับไป
“ไอ้ทงเฮโว้ยยยยย มึงดูนั่น”
“………….”
“รถพยาบาล!!”
เชี่ย…
นั่นคือหนึ่งคำที่ปรากฏขึ้นในใจ ทงเฮหน้าเสียไปนิดหน่อยที่เห็นรถพยาบาลหลายคันกำลังแล่นเข้ามาในบริเวณโรงเรียน เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ในหัวมันคิดไปแล้วว่าต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชะนีตบกันข้างล่างแน่ๆ…
ไม่ใช่ว่าฆ่ากันตายเพราะแย่งกูกันจริงๆหรอกนะ…. OTL
“ชิบหายละมึงนี่แม่ง…” จงอุนหันมาทำหน้าเอือมระอาใส่แบบไม่ปกปิด สารพัดคำด่ามากมายสะท้อนอยู่ในแววตานั้น แต่ก่อนที่ทงเฮจะได้พูดอะไร ร่างโปร่งก็รีบวิ่งลงไปดูสถานการณ์ข้างล่าง
คนมันหล่อทำไงได้อะกำ
ทงเฮยืนเถียงกับความคิดตัวเองอยู่ตรงนั้นนานสองนาน ก่อนจะเสยผมตัวเองอย่างหงุดหงิด คือจริงๆเขาไม่ได้อยากลงไปรับรู้เหตุการณ์บ้าบออะไรนั่นเลย แต่จิตใต้สำนึกลึกๆมันก็ยังพอจะเหลือส่วนดีอยู่บ้าง จึงตัดสินใจเดินเอื่อยๆตามหลังจงอุนไป
น่าแปลกที่พอเดินลงมาแล้วสถานการณ์ทั่วไปก็ดูสงบดี กลุ่มสาวๆที่ทะเลาะกันตอนแรกก็สลายตัวไปกันหมดแล้ว แต่รถพยาบาลยังคงจอดอยู่ตรงหน้าลานหอประชุมใหญ่ ทงเฮขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะเดินเข้าไปถามจงอุนที่ยืนอยู่แถวนั้นกับพวกซีวอน
“มีอะไรกันวะ”
“อ้อ เจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลเขามาทำโครงการตรวจสุขภาพน่ะ”
ชเวซีวอนที่ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียนอยู่ในขณะนี้ตอบกลับมาเสียงดังฟังชัด แถมส่งยิ้มกว้างจนเห็นร่องบุ๋มที่ข้างแก้ม ทงเฮทำหน้าเหมือนจะอ้วกใส่ไปนิดหนึ่ง แล้วหันไปเมนชั่นหาจงอุนแทน
“ไหนมึงบอกว่า…”
“เอาล่ะ กูว่าเราไปตรวจสุขภาพกันบ้างดีกว่า” จงอุนรีบขัดขึ้นก่อนที่ทงเฮจะออกปากด่า แล้วถือวิสาสะลากแขนเพื่อนสนิทเข้าไปด้านใน “พวกเราไม่ได้ตรวจร่างกายกันมานานแล้วนะเว้ย”
“อืม…ก็จริงนะ ครั้งสุดท้ายนั่นตั้งแต่สมัยมอต้นใช่มั้ย” อีทึกที่ยืนก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มานานสมทบขึ้น “เห็นจากโปสเตอร์ข้างหน้าบอกว่ามีบริจาคเลือดด้วยนี่ มึงน่าจะลองนะทงเฮ”
“เอ่อะ…ฝันไปเหอะกูไม่เอาด้วยหรอก” ทงเฮชักแขนตัวเองออกจากมือของจงอุนแล้วทำหน้าแหยงทันทีที่จินตนาการไปถึงเข็มฉีดยาอันเบ่อเริ่ม
“โถ่เพื่อน….ตัวยังกับควายเสือกกลัวเข็ม”
“กูเห็นด้วยกับทึกและอุน…มึงน่าจะเอาเลือดชั่วๆออกบ้างอะไรบ้าง”
“ซีวอน-_,-”
“…หรือมึงไม่กล้า?”
ไม่มีคำว่าไม่กล้า ในพจนานุกรมของอีทงเฮ
นี่พูดเลย
“กูจะยืนส่งกำลังใจให้มึงจากที่ไกลๆนะ”
“สู้ๆเว้ยทงเฮ กูรักมึง”
“อยากแดกอะไรมาเข้าฝันพวกกูนะ บายยย”
นั่นคือประโยคสั่งลาสุดท้ายของเพื่อนสนิททั้งสาม ก่อนที่พวกมันจะถอยหลังไปยืนอยู่ไม่ไกล ทงเฮสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วส่งยิ้มอย่างหล่อให้คุณพยาบาลที่กำลังจัดเตรียมอุปกรณ์
“อายุสิบแปดใช่มั้ยคะ”
“ครับ”
“โรคประจำตัวไม่มีนะคะ”
“ครับ”
“ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาเคยผ่าตัดอะไรมั้ยคะ”
“ม…ไม่ครับ”
“ยาเสพติด?”
“เอ่อ…”
“………..”
“บุหรี่นี่นับมั้ยครับ”
พยาบาลสาวหลุดหัวเราะออกมากับคำตอบนั้น ก่อนจะส่ายหน้านิดหน่อย แล้วอธิบายกลับไปว่าถ้ายี่สิบสี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ไม่ได้สูบก็ไม่เป็นไร จากนั้นก็ก้มลงจดอะไรบางอย่างลงในกระดาษ ทงเฮกลืนน้ำลายแล้วท่องบทสวดมนต์ในใจ…เอาล่ะ…แค่บริจาคเลือด…แค่บริจาคเลือดเองทงเฮมึงจะกลัวทำไม!!!
“พร้อมนะคะ”
ไม่!!!!
เสียงในใจตะโกนก้องออกมาแบบนั้น แต่พอมานึกๆดูอีกทีกูเป็นพระเอกนะกูจะมากลัวอะไรแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาดมันไม่หล่อ คิดได้แบบนั้นแล้วก็จำใจนอนกัดฟัน พยักหน้าตอบกลับไป
“พร้อมครับ”
“นิ่งๆนะคะ อย่าเกร็ง”
ทงเฮพยายามทำตามที่พยาบาลคนสวยบอก แต่ก็ยังไม่วายเหงื่อแตกพลั่ก จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าโลหะเย็นๆสัมผัสกับผิวเนื้อร่างทั้งร่างก็เกร็งเสียจนคุณพยาบาลต้องชักเข็มออก
“อีกรอบนะคะ”
ห้ะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าที่บริเวณข้อพับจนคนที่กลัวเข็มขึ้นสมองถึงกับจินตนาการไปร้อยแปดพันเก้า ทงเฮรู้สึกว่าปลายแหลมๆของโลหะถูกดึงออกไปอีกครั้ง และวินาทีถัดมามันก็ทิ่มเข้ามาใหม่…แบบนี้ซ้ำๆ
“หาเส้นไม่เจอเลยค่ะคุณหมอ…”
เสียงคุณพยาบาลแว่วเข้ามาแบบนั้น และมันทำให้ทงเฮถึงกับขนลุกขนพอง น้ำตาจะไหล เอาจริงๆนะกูพูดจริงๆจากใจเลยถ้าพวกซีวอนไม่ยืนมองอยู่ตรงนั้นกูจะร้องไห้แล้วจริงๆด้วย…………………………
“อีทงเฮ…” ตอนนี้ข้างหูของทงเฮกลายเป็นเสียงของคุณหมอผู้ชายแทน “อย่าเกร็งนะ เจ็บนิดนึง หาเส้นไม่เจอแล้วมันต้องแทงหลายรอบ”
ไอ้สัดข่าวดี…กูขอบคุณมาก
ทงเฮสูดลมหายใจเรียกสติตัวเองอีกครั้ง แล้วสัมผัสเย็นๆก็แตะลงบนผิวเนื้อเหมือนเป็นเดจาวู แต่ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกเจ็บมากมายเหมือนอย่างทีแรก ชั่วอึดใจเดียวเสียงคุณหมอที่เหมือนเป็นเสียงจากสวรรค์ก็ดังขึ้น
“เสร็จแล้วครับ”
ทงเฮลืมตาขึ้นมาช้าๆ ก่อนจะพบว่าภาพตรงหน้ามันเบลอไปหมด กว่าจะปรับระยะโฟกัสได้ก็นานโข มือหนาทำหน้าที่บีบลูกยางไปเรื่อยๆตามคำแนะนำของคุณพยาบาล เอาความจริงตอนนี้กูต้องการยาดมด่วน
“หมอครับ…” ทงเฮค่อยๆเค้นเสียงตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก ก่อนจะเบือนหน้าไปทางคุณหมอที่ยืนเช็คอุปกรณ์อะไรสักอย่างอยู่ข้างๆ “…ผมขอยาดม”
เขาได้ยินเสียงคุณหมอหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ยาดมหลอดเล็กจะถูกยื่นมาให้ ทงเฮรีบสูดมันเขาปอดอย่างรวดเร็วไม่มีการลังเลเลยแม้แต่วินาทีเดียว พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นเขาก็มองหาไอ้พวกเพื่อนเวรที่ผลักไสให้กูมาทรมานอยู่ตรงนี้ สุดท้ายก็พบว่าพวกมันยืนหัวเราะเฮฮากันอยู่ไม่ไกล ในมือมีโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นหลักฐานชั้นดีว่าพวกแม่งคงแอบถ่ายรูปเก็บไว้แบลคเมล์แหง
“ขมวดคิ้วบ่อยๆไม่ดีหรอกรู้มั้ย”
คุณหมอคนเดิมว่าพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ ทงเฮหันไปมองใบหน้าที่มีหน้ากากอนามัยปิดก่อนจะกลอกตาไปมา เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไปนอกจากนอนรอเวลาสักพักจนเลือดเต็มถุง หลังจากรู้สึกดีขึ้นแล้วทงเฮก็กระโดดลงจากเตียง หมายมั่นว่าจะไปจัดการอีสามตัวที่ยืนหัวเราะคิกคักให้สาสม
“เดี๋ยว…”
“……….”
“ยาแก้มึน”
ทงเฮหันมาขมวดคิ้วใส่คุณหมอด้วยความงุนงง แต่มือหนาก็ยื่นไปรับซองยาเล็กๆที่อีกฝ่ายให้ “ฟรีเหรอครับ?”
“ฟรีสิ” แม้จะมีหน้ากากอนามัยบังอยู่ แต่ทงเฮก็รู้ว่าคุณหมอกำลังยิ้ม
“ขอบคุณ…ครับ”
“อย่าเพิ่งใช้กำลังมากนักล่ะ ยกของหนักก็ห้าม แล้วถ้าไม่มึนมากขนาดเดินไม่ไหวก็ไม่ต้องกินหรอกยานั่นน่ะ”
คุณหมอคนเก่งร่ายมาราวกับรู้ว่าทงเฮกำลังจะทำอะไร ร่างหนาเพียงแต่พยักหน้ารับไปส่งๆ แล้วเดินอาดๆเขาไปหาเพื่อนสนิทด้วยสายตาแค้นเคือง
“พวกมึงนะพวกมึง….”
มีเพียงเสียงหัวเราะของเพื่อนรักทั้งสามดังซ้ำเติมมาอีกละลอก แถมด้วยคลิปวิดีโอสั้นๆที่เรียกสั่งเฮฮาได้มากโข ทงเฮคงจะทุบพวกแม่งให้คอหักตายไปแล้วถ้าไม่ติดว่าเวลานี้แรงจะยืนยังไม่มี….
ทงเฮยืนพิงกับเสาอย่างอ่อนแรงพลางสูดยาดมไปเรื่อย มองเหล่าบรรดานักเรียนไฮสคูลที่เตรียมต่อแถวบริจาคเลือด ไม่เข้าใจคนพวกนี้เลยจริงๆ แม่งน่ากลัวจะตายห่ายังแห่มาให้ใครไม่รู้เอาเข็มจิ้มแขนเล่นอีก
ระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้น สายตาคมๆก็ดันไปสะดุดกับใครบางคนที่นั่งแยกออกไป ชุดกาวน์สีขาวที่อยู่บนเรือนร่างนั้นดูไม่แตกต่างไปจากคนอื่นเท่าไหร่ หากแต่มีบางอย่างที่เรียกให้ทงเฮต้องหยุดมอง
…ใบหน้าที่ไร้หน้ากากอนามัยปกปิด…
ทงเฮกลืนน้ำลายก่อนจะสั่นศีรษะไปมา แล้วเพ่งมองภาพตรงหน้าอีกครั้ง แวบหนึ่งที่เขารู้สึกวูบโหวงในอก ความสับสนและความคิดมากมายพากันรุมเร้าเข้ามาภายในไม่กี่วินาที หลอดยาดมในมือร่วงหล่นลงสู่พื้น โดยไม่รู้ตัว…ขาทั้งสองข้างของเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าใครคนนั้น
“หมอ…”
ดวงตาของคนทั้งคู่สบประสานกันเนิ่นนาน ทงเฮกำมือแน่นก่อนจะเลื่อนสายตาลงมามองป้ายชื่อที่หน้าอก
อี ฮยอกแจ
วินาทีนั้น โลกของทงเฮหยุดหมุน
“หมอต้องทำงานนะครับ หลีกทางหน่อย”
หน้ากากอนามัยถูกเลื่อนขึ้นมาบดบังใบหน้านั้นไว้ตามเดิม หากแต่เด็กหนุ่มไม่ยอมหลีกทางให้ตามคำสั่ง ทงเฮไม่รู้ว่าเขาควรจะละสายตาจากคนตรงหน้ายังไงดี และเป็นอีกครั้งที่เขาปล่อยให้ความรู้สึกพาทุกอย่างไป มือหนาค่อยๆปลอดหน้ากากอนามัยสีขาวออกอีกครั้ง…
“นิสัยไม่ดี…”
ใบหน้าคมคายโน้มลงไปใกล้ หากแต่ยังคงทิ้งระยะห่างไว้ ทงเฮไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองมีสีหน้าเช่นไร เขารู้แต่เพียงว่าแววตาของคนตรงหน้ากำลังวูบไหว
“นิสัยไม่ดีเลย…ที่ทิ้งกันไปแบบนั้น”
ทงเฮหัวเราะออกมา แต่สีหน้าของเขากลับไม่ได้หัวเราะตาม
เป็นอีกครั้ง และอีกครั้งที่ทงเฮปล่อยให้ความรู้สึกนำพาเขาไป
วงแขนแกร่งรวบร่างบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“พี่นี่แม่ง…ใจร้ายที่สุดในโลก”
30%
When you're gone
The pieces of my heart are missing you
When you're gone
The face I came to know is missing too
When you're gone
I miss you
ร่างบางที่อยู่ในชุดกาวน์สีขาวส่งยิ้มให้ผู้ป่วยคนสุดท้ายของวันนี้ ก่อนจะบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยล้า ตามด้วยหาวออกมาวอดใหญ่ นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบเจ็ดนาที ความจริงสำหรับอีฮยอกแจมันควรจะเป็น เพิ่งจะหนึ่งทุ่ม…และเขาสามารถแบ่งเวลาไปเดินตรวจเยี่ยมคนไข้ได้อีกสักหกเจ็ดคน แต่ทว่า ในเวลานี้เขากลับรู้สึกว่ามันตั้งหนึ่งทุ่มแล้ว!
ระหว่างที่กำลังกุลีกุจอเก็บข้าวของอยู่นั้น บานประตูก็ถูกผลักเข้ามาโดยคนคุ้นเคย ใบหน้าที่แฝงประกายของความหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาแบบนั้นมีอยู่คนเดียวนั่นล่ะ…
“เกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงเรียกให้ฉันมาอยู่เวรแทนเนี่ยฮะ!?” แน่นอนว่าผู้มาเยือนที่โคตรจะไร้มารยาทคนนั้นรีบออกปากโวยวายเป็นอันดับแรก “มีเรื่องอะไรด่วนหรือไง?”
“เปล่าหรอกครับพี่ฮีชอล” ฮยอกแจส่ายหน้า แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายกดสายตามองมาจึงจำต้องเปลี่ยนคำตอบใหม่ “เอ่อ…อันที่จริงมันก็มี…”
“เออๆ ช่างเหอะฉันจะลงบัญชีไว้แล้วกันนะ”
รุ่นพี่ที่อารมณ์แปรปรวนที่สุดในโลกกล่าวสรุปเสร็จสรรพ พร้อมกับยกสมาร์ทโฟนขึ้นมากดบันทึกว่าวันนี้มาตรวจคนไข้แทนอีฮยอกแจ โดยการอยู่เวรแทนหนึ่งครั้งจะเท่ากับส่วนแบ่งเงินเดือน 1%
เอาเถอะ…
ฮยอกแจโค้งขอบคุณแพทย์รุ่นพี่แล้วก็เก็บของเดินออกมาข้างนอก เก้าอี้หน้าห้องตรวจเหลือเพียงคุณยายแก่ๆสองสามคนซึ่งฮยอกแจก็ฝากให้เป็นหน้าที่ของพี่ฮีชอลไปแล้ว โชคร้ายที่วันนี้โรงพยาบาลคนเยอะจนกินเวลามาถึงช่วงหัวค่ำ
ร่างบางกวาดสายตามองไปจนทั่วบริเวณ ปลายคิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆเมื่อไม่พบสิ่งที่ตามหา ฮยอกแจถอนหายใจก่อนจะเดินไปเคาะกระจกเรียกพยาบาลที่จุดประชาสัมพันธ์
“ซูยอนอ่า…”
“อ้าวพี่ฮยอกแจ” หญิงสาวทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะถามกลับด้วยความสงสัย “ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ แล้วคนไข้…”
“ฝากพี่ฮีชอลดูต่อให้แล้ว” ฮยอกแจตอบปัด “เออซูยอน เธอเห็นเด็กผู้ชายคนที่มากับพี่เมื่อตอนเย็นบ้างมั้ย”
“เด็กผู้ชาย?”
“อ่าฮะ ตัวสูงประมาณนี้ ใส่ชุดไฮสคูลน่ะ ที่แขนมีพลาสเตอร์…”
นั่งนึกอยู่นานสุดท้ายหญิงสาวก็ร้องอ้อออกมาเสียงดัง แล้วชี้ไม้ชี้มือว่าเห็นเดินไปทางด้านนู้นเมื่อสักพักนี่เอง ฮยอกแจยิ้มแล้วพูดขอบคุณเธอ ก่อนจะก้าวเท้าไปตามโถงทางเดินที่คุ้นเคย
สองขาพาร่างบางมาหยุดอยู่ที่หน้ามินิมาร์ทเล็กๆของโรงพยาบาล ฮยอกแจถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อพบแผ่นหลังของใครบางคนยืนอยู่ข้างในนั้น ทว่าขาทั้งสองข้างกลับหยุดยืนอยู่แค่ข้างหน้านั้น สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์เพื่อคลายความหนาวเย็นจากอากาศด้านนอก
เขายืนรอจนกระทั่งบานประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิด
The smile that you give me when you're by my side
I won't be able to forget
“ผมโกรธพี่มากเลยนะ”
น้ำเสียงขุ่นเคืองของเด็กหนุ่มชวนบรรยากาศให้ธรรมดาในร้านกาแฟเล็กๆใต้ตึกโรงพยาบาลเริ่มอึมครึม หากแต่คนฟังกลับดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรนัก ซ้ำยังเคี้ยวขนมปังตุ้ยๆประหนึ่งว่าเมื่อครู่นี้เป็นเพียงเสียงลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น
“มันก็ตั้งนานแล้วนี่นา” ฮยอกแจกลืนก้อนขนมปังฝืดๆลงคอไป แล้วพูดต่อ “ยังไม่ลืมอีกเหรอ”
“ลืม? ตลกน่ะ ใครจะไป…เอ้าๆ เสื้อก็สีขาวแล้วเอามือไปเช็ดแบบนั้นได้ไง สกปรก”
ทงเฮที่กำลังซีเรียสในทีแรกกลับต้องมาวุ่นวายกับการชักทิชชู่ส่งให้อีกฝ่ายเป็นพลวัน
“พี่เป็นหมอได้ไงเนี่ย” อดไม่ได้ที่จะตำหนิออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “…เด็กจริงๆ”
“เด็กเหรอ?”
ฮยอกแจทวนคำด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว ใบหน้าหวานเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจกับคำกล่าวหาของอีกฝ่าย พลางนึกในใจว่าคนเรามันจะลืมตัวบ้างไม่ได้เลยหรือไงกัน! แล้วอีกอย่างเขาไม่ได้ทำและไม่เคยทำตัวสกปรกมักง่ายแบบนี้ในเวลางานสักหน่อย!
“ก็มันหิวนี่…” แต่ก็เลือกที่จะทำหน้ามุ่ยแล้วบ่นอุบอิบไปแทนที่จะเถียงคอเป็นเอ็นให้อีกคนมองว่าทำตัวเป็นเด็กหนักเข้าไปใหญ่
“พี่คิดว่าผมจะลืมพี่จริงๆเหรอ”
จู่ๆทงเฮก็วกกลับไปประเด็นเดิมอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฮยอกแจพินิจมองดูดีๆแล้วก็พบว่าไอ้เด็กนี่มันหล่อไม่เบา แม้หน้าตาจะโครงเดียวกับสมัยตัวกะเปี๊ยก แต่ท่าทางแล้วก็การพูดจาดูราวกับเป็นคนละคน
ก็แน่ล่ะ…มันผ่านมาตั้งกี่ปีแล้วนี่เนอะ
“แต่มัน…ก็นานมากแล้วนี่นา…” ฮยอกแจตอบกลับไปเสียงเบา มองคนตรงหน้าตาปริบๆ ก่อนจะกัดขนมปังเข้าปากอีกหนึ่งคำ
…ฮยอกแจไม่รู้หรอกว่าทำแบบนั้นมันน่ารัก
ทงเฮที่แม้จะอยู่ในโหมดจริงจังก็ยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาส่ายศีรษะช้าๆก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางเพื่อที่สายตาจะได้ไม่ต้องจับจ้องไปยังตุ๊กตาจอมตะกละตรงหน้า
“พี่ไม่รู้หรอกว่าเรื่องของพี่เป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ผมจำได้”
“…………………”
“นอกจากฟันหักกับนานะจังแล้วก็พี่นั่นแหละ”
“นานะจัง?” ริมฝีปากที่กำลังจะกัดลงไปบนซากขนมปังถึงกับหยุดชะงัก ชื่อบุคคลที่สามทำให้ฮยอกแจยอมละความสนใจจากของกินในมือแล้วเงยขื้นมาถาม “แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ? สมหวังมั้ย?”
“คบกันตอนมอต้นแล้วก็เลิกไปละ” ทงเฮยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “เขากลับญี่ปุ่น”
“อ้อ…”
แล้วต่างฝ่ายต่างก็พากันเงียบไป ทงเฮไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น และฮยอกแจก็มัวแต่จดจ่ออยู่กับขนมปังชิ้นที่สาม ในใจภาวนาให้ทงเฮพูดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่นั่งเงียบไปเฉยๆแบบนี้ อันที่จริงเขาเองก็มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดอยากจะถาม แต่เพราะไอ้ความรู้สึกทำตัวไม่ถูกแบบแปลกๆที่แทรกซึมเข้ามาทำให้เลือกที่จะเงียบปากไว้ก่อนดีกว่า
“ตอนแรก…” ในที่สุดทงเฮก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ “ผมไม่รู้ว่าตึกสูงๆที่พี่เคยบอกมันคืออะไร แล้วพี่ก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าผมร้องจะให้หม่าม๊าพาไปทุกวัน และสุดท้ายผมพยายามยัดตัวเองเข้าไปในโรงเรียนเฮงซวยนั่น”
“………………”
“ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าตอนที่ผมเข้าไปแล้วพี่จะยังอยู่ที่นั่นมั้ย…แต่มันดูบ้ามากเลยที่เราพยายามอย่างหนักเพื่อใครสักคนทั้งที่ไม่รู้เลยว่าผลสุดท้ายแล้วมันคือความว่างเปล่า”
“……………….”
“ผมจำเรื่องตอนอนุบาลไม่ได้เลยพี่เชื่อมั้ย”
ดวงตาคู่คมเลื่อนกลับมาสบประสานกับคนตรงหน้า
“แต่ถ้าย้อนกลับไปตอนนั้น ผมเห็นหน้าพี่ชัดที่สุด”
“……………”
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงไม่หายไป”
ความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาทำให้ทงเฮต้องเว้นช่วงไป แน่นอนว่าเวลาทำให้ทุกอย่างค่อยๆลบเลือนและหล่นหาย รวมถึงเรื่องราวของคนตรงหน้า…เขาไม่สามารถจดจำทุกอย่างเกี่ยวกับคนคนนี้ได้ ทงเฮจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเราทำอะไรด้วยกันบ้างในแต่ละวัน เขาจำได้เพียงว่าตอนนั้นเขามีความสุข
ถึงมันจะเลือนราง แต่ก็ยังชัดเจนกว่าใครอยู่ดี
“จริงๆผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเราจะได้เจอกันอีก” ทงเฮพูดต่อ พร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง “แม่งเป็นไปไม่ได้เลยพี่ว่าปะ ต่อให้ไปถามใครๆเขาก็ตอบมาเหมือนกันหมดว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรือถ้าเราเจอกันจริงๆ มันไม่มีทางเลยที่เราจะจำกันได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น”
“………………..”
“แต่แม่ง…ตอนผมเห็นพี่ครั้งแรกผมก็รู้แล้วว่าคือพี่”
“ทงเฮ...” ฮยอกแจวางขนมปังในมือด้วยความรู้สึกไม่มั่นคง
“ผมเกือบจะลืมอยู่แล้วจริงๆ พี่เกือบจะไม่มีความสำคัญอะไรอยู่แล้ว”
“………” คำพูดพวกนั้น แววตาแบบนั้น น้ำเสียงนั้น…กำลังทำให้เขาสูญเสียความเป็นตัวเองลงอย่างช้าๆ
“แต่วันนี้พี่ก็มาอยู่ตรงหน้าผม”
ฮยอกแจไม่เคยคิดว่าเขาจะได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของเด็กตัวเล็กๆ…
ฮยอกแจไม่เคยคิดว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆที่ได้เข้าไปในชีวิตของใครคนหนึ่ง ใครคนนั้นจะจำมันมาจนถึงวันนี้
และฮยอกแจไม่เคยคิดว่าเด็กคนนั้นจะมานั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับพ่นคำพูดมากมายที่ทำให้ทั้งรู้สึกดีและรู้สึกแย่ในเวลาเดียวกัน
“ได้เจอกันทั้งทีมาพูดจาแบบนี้มันใช้ได้หรือไง” ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลก ทั้งที่หัวคิ้วยังคงขมวดแน่น
ฮยอกแจรู้ ฮยอกแจรู้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นเร็วขึ้นอีกหนึ่งจังหวะเมื่อสบตากับคนตรงหน้า มันเป็นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เขามีแฟนคนแรก
แต่…กับเด็กนี่เนี่ยนะ?
ฮยอกแจขมวดคิ้วและเถียงกับตัวเอง
ทงเฮ…อีทงเฮเนี่ยนะ?
“พี่เปลี่ยนไปนะ”
เสียงของทงเฮเรียกสติฮยอกแจขึ้นมาอีกครั้ง ร่างบางกะพริบตาถี่มองคนตรงหน้า เครื่องหมายเควสชั่นมาร์คอันโตแปะอยู่กลางหน้าผากเด่นชัด และสีหน้ามึนงงแบบไม่ตั้งใจนั้นทำให้เด็กหนุ่มหน้าแดง
“ผมว่า…” ทงเฮเสมองไปอีกทาง ปลายนิ้วเคาะโต๊ะไปมาไม่เป็นจังหวะ “พี่น่ารักขึ้น”
ฮยอกแจหน้าชาวูบ ไม่รู้จะวางสายตาไว้ที่ไหน อารมณ์อยากจิกขาตัวเองแรงๆกลับมาเยี่ยมเยือนอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกับมันมานานแรมปีตั้งแต่เลิกกับแฟนคนล่าสุดไป
ต่างคนต่างก็ทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งทงเฮเป็นฝ่ายพูดทำลายบรรยากาศแปลกๆลง
“เมื่อก่อนพี่ขี้เหร่จะตาย”
………………
…….
….
“อีทงเฮ!”
คำพูดเดียวทำลายได้หมดจริงๆนะฮยอกแจยืนยัน ไอ้ที่นั่งเขินอยู่ก่อนหน้านี้น่ะ…จบกัน…
“พี่อายุเท่าไหร่แล้วนะ?” ทงเฮยังคงถามต่อด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว
สาบานสิว่าที่พูดมานั่นไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโมโหกัน!
เรื่องอายุนี่มันเป็นคำถามที่หยาบคายที่สุดในโลกเลยนะ…
“เอาน่าๆ คนกันเอง”
กันเองบ้าอะไรล่ะ….
ฮยอกแจหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่นาน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับความพ่ายแพ้
ก็เล่นมาทำหน้าตาแบบนั้นใส่แล้วใครจะไปโมโหลง!
“ยี่สิบแปด” ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจสุดชีวิต ส่วนทงเฮที่ได้ยินคำตอบแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น รีบบวกลบคูณหารในใจด้วยท่าทีจริงจัง
สิบปีเชียวเหรอ…
“แก่”
“นี่!” ฮยอกแจทำท่าจะฟาดงวงฟาดงาอีกรอบ ริมฝีปากบางยู่ขึ้นอย่างไม่พอใจ “นายนี่มัน...ไม่น่าโตเลยจริงๆ”
“ที่ไม่อยากให้โตเพราะผมจะตามพี่ทัน แล้วพี่ก็จะหาเรื่องเอาเปรียบไม่ได้น่ะสิ” คนเจ้าเล่ห์ยักคิ้วพร้อมกับยกยิ้มขึ้นอย่างเป็นต่อ “ผมไม่ใช่เด็กที่หลอกอะไรก็เชื่อไปหมดทุกอย่างแล้วนะ”
หลังจากที่สงครามเล็กๆผ่านพ้นไป ฮยอกแจก็เอาแต่นั่งจ้องอีกฝ่ายด้วยความเคียดแค้น ส่วนทงเฮดูเหมือนจะอารมณ์ดีที่เห็นร่างบางเป็นแบบนั้น เขาหัวเราะแล้วจ้องกลับไปด้วยสายตาทะเล้น
วูบหนึ่ง…ทงเฮรู้สึกว่าเมื่อก่อนเขาเคยจ้องมองฮยอกแจด้วยสายตาโกรธเคืองแบบนี้เหมือนกัน
แล้วอีกฝ่ายก็พยายามยั่วโมโหด้วยการทำหน้าตาทะเล้นกวนใจ
อ่า…นี่มันเหมือนได้เอาคืนเลยนะว่ามั้ย?
สงครามสายตาเกิดขึ้นต่อจากนั้น และดูเหมือนว่ามันจะไม่มีจุดสิ้นสุด ทงเฮแทบไม่ได้หุบยิ้มเลย อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะหยุดมันยังไง ตราบใดที่คนตรงหน้ายังเป็นอีฮยอกแจ ริมฝีปากของเขาก็เหมือนจะถูกดึงให้ยกขึ้นโดยอัตโนมัติ เขาคงไม่มีวันหยุดมันได้แน่
มีบางอย่างไม่เหมือนเดิม…
แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเหมือนเดิมที่ว่านั่นมันคืออะไร แต่ทงเฮรู้สึกได้ว่านี่มันไม่ใช่สถานการณ์เวลาพี่น้องมาเจอกันหลังจากที่ผลัดพรากไปเป็นสิบปีแน่ล่ะ เขาไม่ได้รู้สึกถึงคำว่าพี่น้องอะไรนั่นสักนิด
แล้วก็เป็นไปตามคาด ฮยอกแจเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
ทงเฮหัวเราะอีกครั้ง
“พี่รอแป๊บนะ” ว่าไว้แค่นั้นแล้วก็เดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้ร่างบางได้จัดการความรู้สึกตัวเองเงียบๆ ฮยอกแจเกือบจิกทึ้งหัวตัวเองอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่ายังสวมชุดกาวน์นี่อยู่
…ร้ายกาจจริงๆ…
รู้งี้จับหักคอให้ตายตั้งแต่ตอนนั้นเสียก็ดี!
ระหว่างที่กำลังตีอกชกหัวตัวเองเป็นคนบ้าอยู่นั้น เครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นสะเทือนเป็นสัญญาณว่ามีเมสเซจใหม่เข้ามา ฮยอกแจที่เห็นแบบนั้นก็แอบชะเง้อมองอย่างระมัดระวัง ไอ้ครั้นจะหยิบขึ้นมาดูก็กลัวจะเสียมารยาท…
โต๊ะบอลที่เดิม… -
ร่างบางจับใจความได้เพียงเท่านั้น แต่แค่เท่านั้นก็ทำให้ฮยอกแจจับใจความได้ว่าปลายทางหมายความว่าอย่างไร และแม้จะเข้าใจว่ามันเป็นปกติของวัยรุ่นผู้ชาย แต่ก็ยังอดจะไม่ชอบใจไม่ได้ ฮยอกแจพ่นลมหายใจหงุดหงิด พลางนึกไปว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ทงเฮไม่ต้องไป…
…เขาต้องทำยังไง…
“ขึ้นมาสิ”
นั่นคือทางออกที่งี่เง่ามากเลยเอาจริงๆ…
แต่ฮยอกแจไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วนอกจากอาสาไปส่งทงเฮที่บ้าน และมั่นใจว่าทงเฮเข้าบ้านแล้วจริงๆ นึกตลกตัวเองอยู่นิดหน่อยที่ทำเหมือนตอนสมัยดูแลเด็กอนุบาลพวกนั้นไม่มีผิด
“ไม่ต้องอะ ผมกลับเองได้”
“ทงเฮ”
“…………”
“บอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง” ฮยอกแจไม่รู้ตัวว่าเผลอขึ้นเสียงไปหนักแค่ไหน แต่สีหน้านี่แสดงออกชัดเจนมากกว่าไม่พอใจ ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มที่ยืนเกาะกระจกถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“พี่นี่โมโหง่ายนะ” ทงเฮหัวเราะ ก่อนจะยอมเปิดประตูเข้ามานั่งในรถตามคำสั่ง “ผมยอมผิดนัดเพื่อนเพื่อพี่เลยรู้ไว้”
ฮยอกแจอยากจะถามจริงๆว่านัดกับเพื่อนนี่มันนัดอะไร สำคัญนักหรือไงนัดไปแทงบอลกันเนี่ย!
“เรามาทำข้อตกลงกัน” ทงเฮพูดขึ้น พร้อมกับถือวิสาสะเอื้อมมือไปกดล็อคประตู
“ผมจะยอมให้พี่ไปส่งที่บ้านก็ได้ แต่…”
“……………”
“แต่คืนนี้พี่ต้องอยู่กับผม…
...ทั้งคืน”
TBC
คือเราไม่มีความรู้เรื่องหมอไรงี้นะไม่รู้จริงๆเขาทำไงกัน
พยายามหาข้อมูลคร่่าวๆละผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษด้วยค่ะ -w-
ความคิดเห็น