คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 3
- LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 3
อีฮยอกแจเกลียดโรงพยาบาล
เขาเพิ่งรู้ถึงความจริงข้อนั้นก็ตอนที่บนรถเข็นเหล็กมีร่างผอมบางของอีฮยอนจีผู้เป็นแม่นอนอยู่ เขาเพิ่งรู้ก็ตอนที่เห็นหมอกับพยาบาลวิ่งกันวุ่น เสียงเอะอะโวยวายดังไปตลอดทางเดินที่ทอดยาว และสุดท้ายคือวินาทีที่ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง น่าตลกที่ฉากคุ้นตาในละคร บัดนี้กลับค่อยๆฉายชัดขึ้นในชีวิตจริง
เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
ร่างบางทรุดลงนั่งตรงหน้าห้องนั้นอย่างไม่อายสายตาใคร มันค่อนข้างแย่มาก ถึงมากที่สุดเมื่อพบว่าเขาทำได้แค่รอต่อไปเรื่อยๆ รอต่อไปโดยที่ไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่เสียงสะอื้นหรืออะไรก็ตามที่จะสามารถช่วยบรรเทาความรู้สึกในใจให้เบาลงได้…ไม่มีเลย
ตอนนั้นอีฮยอกแจไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ารอบตัวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขานั่งมองพื้นกระเบื้องด้วยแววตาเลื่อนลอยอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความรีบร้อน
“ฮ…ฮยอกแจ…”
และเด็กหนุ่มไม่ลังเลที่จะโผเข้ากอดเจ้าของเสียงนั้น
“พวกตำรวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ…และเรายังต้องรอดูอาการของแม่ต่อไปอีกสักระยะ แต่โอกาสที่จะหายเป็นปกติมัน…ยาก อย่างดีที่สุดก็คงต้องใช้ออกซิเจนยื้อลมหายใจไปวันๆส่วน…พี่ฮโยริน…เสียตั้งแต่ก่อนถึงโรงพยาบาล…”
ฮยอกแจจำไม่ได้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการกลั่นกรองประโยคยาวๆออกมาให้คนเป็นพี่สาวฟัง เธอไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น แน่นอนว่าไม่มีทาง แต่ฮยอกแจรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเช่นไร
“โซรา…” มือบางวางบนไหล่ของหญิงสาวอย่างต้องการจะปลอบใจ “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”
เป็นครั้งแรกที่เขาไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง
แววตาของอีโซราเหมือนจะไม่รับรู้อะไรอีก หญิงสาวเอาแต่มองตรงไปข้างหน้า และตัดพ้อโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายกับชีวิตของเธอขนาดนี้ “เพราะฉัน…มันเป็นเพราะฉันใช่มั้ยฮยอกแจ”
“ไม่…โซรา…มันไม่ใช่…” ฮยอกแจกุมมือคนเป็นพี่สาวไว้ “อย่าคิดแบบนั้น…มันแค่อุบัติเหตุ”
“แต่ถ้าแม่กับฮโยรินไม่วางแผนบ้าๆจะเซอร์ไพร์สฉันมันก็คงไม่เป็นแบบนี้!” หญิงสาวตวาดออกมาเสียงดังอย่างเสียสติ หยาดน้ำใสรื้นขึ้นมาจนแทบจะเอ่อล้น แต่เธอก็เช็ดมันออกไปอย่างรวดเร็ว
ฮยอกแจไม่ได้ตอบ ร่างบางก้มหน้าและกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ความจริงแล้วเขาเป็นคนคิดแผนบ้าๆนั่นขึ้นมาเอง…เขาเป็นคนบอกให้พี่ฮโยรินแกล้งป่วยแล้วลางานที่โรงเรียนมาเพื่อเตรียมเซอร์ไพร์สวันเกิดให้โซรา…เขาเป็นคนบอกให้แม่ร่วมมือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนี้ เขาเป็นคนบอกให้ทั้งคู่ออกไปซื้อของมาเตรียมไว้รอโซรากลับบ้าน แล้วเราจะฉลองด้วยกัน
อีฮยอกแจต่างหากที่ควรจะโทษตัวเอง
อีฮโยรินคือส่วนหนึ่งที่มาเติมเต็มคำว่าครอบครัว
มีเรื่องบังเอิญอยู่สามข้อ หนึ่ง.เธอนามสกุลอีเหมือนพวกเรา สอง.เธอเป็นคุณครูโรงเรียนอนุบาลและเป็นเพื่อนสนิทของโซรา และสาม.เธอเข้ากับพวกเราได้ดียิ่งกว่าอะไร
รอยยิ้มของพวกเราหายไปตั้งแต่วันที่พ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
แต่พวกเรายิ้มได้อีกครั้งในวันที่เธอก้าวเข้ามา
ฮยอกแจไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องพรากเธอไปจากเราอีกคน
หลังจากงานศพของอีฮโยรินผ่านพ้นไป หมอก็อนุญาตให้แม่กลับบ้านในสัปดาห์ถัดมา ในทีแรกทางโรงพยาบาลค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการที่เราจะปล่อยให้แม่กลายเป็นเจ้าหญิงนินทราต่อไปเรื่อยๆ คุณหมอพยายามค้านด้วยคำพูดสุภาพ แน่นอนว่าพวกเราเกือบฆ่าเขาตายกลางโรงพยาบาล โซรายืนกรานว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ถอดสายออกซิเจน ฮยอกแจก็คิดแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วเขาเข้าใจว่าคุณหมอกำลังกังวลในเรื่องที่ว่าโซราเป็นผู้หญิงที่ต้องตื่นไปทำงานตอนเช้าและกลับบ้านตอนใกล้ค่ำ และเขาเองก็เพิ่งจะสิบห้า
‘พวกคุณไม่มีเวลาดูแลคนป่วยแน่นอน และถ้าจ้างพยาบาล…ผมเกรงว่า…’
คุณหมอพูดได้เพียงแค่นั้น เพราะโซราทำท่าจะเอาเรื่องทันทีที่ถูกขัด เธอร่ายเหตุผล(ที่ฟังไม่ขึ้น)ไปยาวยืดเพื่อยืนยันว่าเธอสามารถดูแลมารดาของเธอได้ และแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วคุณหมอก็ต้องยอมทำตามความต้องการของญาติคนไข้
แม่กลับมาอยู่ที่บ้านในที่สุด
ตารางของพวกเราค่อนข้างวุ่นวาย…มันรวนไปหมดในช่วงแรก อีฮยอกแจจำเป็นต้องขาดเรียนในบางวัน และโซราต้องขับรถไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนอนุบาลวันละสามถึงสี่เที่ยว พวกเราไม่วางใจที่จะปล่อยให้แม่อยู่คนเดียว แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
“ฉันจะลาออก”
นั่นคือคำพูดของโซราหลังจากที่ต้องรับมือกับเด็กอนุบาลเพียงคนเดียว แถมยังต้องขับรถวนไปวนมาอยู่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ฮยอกแจคิดไว้แล้วว่าสุดท้ายเธอต้องตัดสินใจเช่นนี้ ร่างบางหัวเราะก่อนจะเดินไปจับไหล่พี่สาวไว้
“อย่าลืมนะโซราว่าเราไม่มีเงิน”
“………….”
“ลำพังกับที่มีอยู่มันไม่พอหรอก แล้วไหนจะเด็กๆที่โรงเรียนอีกล่ะ พี่ฮโยรินไม่อยู่คนหนึ่งแล้ว พี่ออกมาอีกคนแบบนี้มันถูกต้องเหรอ ยิ่งถ้ากะทันหันแบบนี้ใครจะดูแลพวกเค้า”
คำพูดเตือนสติของคนตรงหน้าทำให้โซราฉุกคิดบางอย่างที่เธอเผลอมองข้ามไป แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะลาออกได้เสียทีเดียว “ฉันเหนื่อยนะฮยอกแจ ที่สำคัญฉันต้องคอยฝากครูห้องข้างๆดูแลเจ้าเด็กพวกนั้นแทนเวลาที่ฉันไม่อยู่ ฉันปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้”
“รู้…แต่พี่ต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้”
ประโยคนั้นทำให้โซราลอบยิ้มออกมาบางๆ บางทีมันอาจจะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบเดือนของเธอเลยมั้ง เธอยิ้มเมื่อพบว่าน้องชายของเธอ…อีฮยอกแจ…เด็กคนนี้โตขึ้น และต่างจากเพื่อนวัยเดียวกันอยู่เยอะ และอย่างที่เห็น…ฮยอกแจเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมาก ทั้งความคิดและมุมมอง
“นั่นอะไร?” โซราออกจากภวังค์ความคิด เธอขมวดคิ้วมองกระดาษสีขาวที่อยู่ในมือน้องชายด้วยความแปลกใจ “เอกสารอะไรงั้นเหรอ?”
“ก็…ช่วงสองอาทิตย์นี้แทบจะไม่ได้โผล่กบาลไปเรียนเลยไง อาจารย์ก็เลยเรียกเข้าพบ”
“แกคงไม่ได้โดนไล่ออกหรอกนะ…ใช่มั้ย?”
“เปล่า ไม่ใช่” ฮยอกแจสั่นหน้าพร้อมกับคลี่ยิ้มน้อยๆ “เขาแค่เรียกไปคุยน่ะว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงขาดเรียนบ่อย คิดอยู่นานเลย แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้ฟัง…”
“แล้ว…”
“แล้วเขาก็เสนอทางช่วยมาให้” ฮยอกแจเว้นช่วง แล้วลอบถอนหายใจ “ก็พักการเรียนไปก่อน ระยะหนึ่ง ถ้ามีเวลาก็มาเรียนคลาสพิเศษกับอาจารย์เขาวันอาทิตย์หรือจะหยุดไปเลยก็ได้ ทั้งเทอม แล้วค่อยมาลงตอนช่วงซัมเมอร์…”
“ซัมเมอร์?...หมายถึงเรียนเจ็ดวันไม่มีพักตลอดหนึ่งเดือนน่ะนะ” โซราเลิกคิ้ว “ไหวหรือไง”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว เซ็นยอมรับไปแล้ว”
เห็นมั้ยล่ะ…อีฮยอกแจโตพอที่จะทำอะไรโดยไม่ปรึกษาเธอแล้ว!
“แต่มันก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มนิดหน่อยนะ ถึงเวลารับใบจบจะได้ไม่มีปัญหา”
“เฮ่อะ! ระบบบ้าบอ”
“เอาน่า อีกไม่กี่เดือนก็จะได้ย้ายไปไฮสคูลแล้ว” ฮยอกแจว่า ก่อนจะเบ้ปากเมื่อนึกถึงโรงเรียนใหม่ “แย่นิดหน่อยตรงที่ใช้เส้นคยูฮยอน แต่เอาเถอะช่วงนี้มันยุ่งๆนี่นาคงไม่มีเวลาไปสอบเข้า…”
“แกดูเหนื่อยกว่าฉันเยอะเลยแฮะ”
“ไม่จริงอะ” ร่างบางสั่นหัวดิก “ไม่มีอะไรน่าเหนื่อยกว่าการดูแลเด็กอนุบาลแล้วล่ะโซรา”
“อ่า…นั่นสิเนอะ” โซรายิ้ม แล้วเริ่มเล่าถึงเหล่านักเรียนตัวน้อยของเธอ “เด็กพวกนั้นซนจะตายไป…”
นั่นเป็นเช้าแรกที่เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน
หลังจากที่ฮยอกแจตัดสินใจหยุดเรียนอย่างเต็มตัวเพื่อใช้เวลาทั้งหมดมาดูแลแม่ โซราก็ดูจะสดใสและยิ้มได้เยอะขึ้น อย่างน้อยเธอก็ได้กินข้าวเช้า และไปทำงานอย่างสบายใจกว่าเดิม
มันเป็นแบบนี้มาตลอดสองเดือนเต็ม
ทุกๆวันอาทิตย์ฮยอกแจจะแวะไปที่บ้านอาจารย์ประจำชั้นเพื่อทวนบทเรียนของสัปดาห์นั้นๆ แต่มันก็แค่บางส่วนและบางวิชาเท่านั้น เขาไม่มีทางตามเก็บความรู้ตลอดทั้งสัปดาห์ได้หมดภายในวันเดียว แน่นอนว่าต้องเสียค่าชั่วโมงด้วย นั่นคืออุปสรรคใหญ่ที่ทำให้บางสัปดาห์เขาเลือกที่จะนอนเฝ้าแม่อยู่ที่บ้าน
ไหนๆก็ลงเรียนซัมเมอร์ไว้แล้วนี่เนอะ…
เย็นวันอาทิตย์ที่ดูจะไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าทุกวัน ฮยอกแจตัดสินใจเดินกลับบ้านแทนที่จะขึ้นรถเมล์ เขาแวะซื้อของมากมายที่คิดว่าแม่และพี่สาวน่าจะชอบ แน่นอนว่ามันใช้เวลาไปเยอะมาก และเมื่อมองย้อนกลับไปวันนั้นมันทำให้เขาโกรธตัวเอง
น่าจะมาให้เร็วกว่านี้…เขาน่าจะกลับมาให้เร็วกว่านี้จริงๆ
วินาทีที่สองเท้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน สมองของฮยอกแจขาวโพลน
เขาเห็นพี่สาวฟุบหน้าอยู่กับเตียงและกุมมือของคนเป็นแม่ไว้แน่น ทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงสะอื้นดังก้องอยู่ในหัว
วินาทีนั้นเองที่ฮยอกแจปล่อยทุกอย่างในมือลงสู่พื้น
( แล้วตกลงมึงจะเอาไงเรื่องลงซัมเมอร์? )
เสียงห้วนๆที่ดังมาตามสายปลุกให้อีฮยอกแจตื่นขึ้นจากอดีต ร่างบางสั่นศีรษะ ก่อนจะหันมาจดจ่อกับคนปลายสายแทน
“เหมือนเดิม” ริมฝีปากบางขยับตอบกลับไปเรียบๆราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “ก็แค่ไปเรียนทุกวัน”
( นั่นน่ะนรก )
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าโจคยูฮยอนคงจะทำหน้าเบ้อยู่แหง
( กูลงเป็นเพื่อนเอามั้ย ) แล้วปลายสายก็ยื่นข้อเสนอที่ทำให้ฮยอกแจต้องขมวดคิ้ว ( ได้ข่าวว่าเกรดเก้าแม่งไม่มีใครลงเลยนะเว้ย เขาเอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบเข้าไฮสคูลเกรดสิบกันหมด…อ่อ…ยกเว้นไอ้แว่นห้องคิงน่ะ มึงจะไปนั่งเรียนกับมันมั้ยล่ะ )
“ก็เกินไป ปีที่แล้วกูเห็นคนแห่ไปสมัครเรียนกันตั้งเยอะแยะ”
( เฮ่อะ พวกเห่อนโยบายใหม่ มึงคอยดูปีนี้เถอะ สิบคนจะถึงรึเปล่า )
“ก็ดีแล้วไง คนเยอะๆมันเรียนไม่รู้เรื่อง”
( โอ้ยแหม… ) คยูฮยอนลากเสียงยาว ( เออนี่เรื่องเรียนต่อกูจัดการเคลียร์กับป๊าให้ละ )
ฮยอกแจนิ่งไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น พ่อของคยูฮยอนเป็นเจ้าของโรงเรียนไฮสคูลชื่อดังที่ใครๆก็ต่างแย่งชิงกันไปสอบเข้า เรียกได้ว่าเป็นสนามสอบที่หินเทียบเท่ากับการสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัย…แต่ก็อย่างที่รู้กันนั้นล่ะ อีฮยอกแจสามารถไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่นั่นโดยไม่ต้องอ่านหนังสือสักตัว
“กูขอบคุณมึงมากๆเลยนะคยูฮยอน”
เขาก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่มันไม่มีทางเลือกจริงๆนี่นา…
( เออไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ ) คยูฮยอนตอบปัดๆไปอย่างไม่ใส่ใจ ( แล้วมึงเป็นยังไงบ้างล่ะ )
“หมายถึงที่นี่น่ะเหรอ” ฮยอกแจหัวเราะ ก่อนจะเบนหน้ามองเข้าไปในห้องเรียนเล็กๆที่มีเด็กตัวกะเปี๊ยกหลายสิบคนกำลังสนุกอยู่กับโลกของพวกเขา
”วุ่นวายเชียวล่ะ”
จริงๆมันก็ไม่ได้วุ่นวายอะไรนักหรอก
หลังจากที่คยูฮยอนวางสายไปแล้ว ฮยอกแจก็นั่งเงียบๆอยู่คนเดียวตรงม้านั่งหน้าห้องเรียน ร่างบางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“เป็นอะไรฮึ?”
ไม่มีคำตอบ
ฮยอกแจขมวดคิ้วแล้วโน้มหน้าลงไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามย้ำอีกครั้ง และมันก็ได้ผล
“นานะจังไม่มาโรงเรียน”
“แค่นี้?” ร่างบางเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ปัญหาโลกแตกของเด็กอนุบาลก็คือ คนที่แอบชอบไม่มาโรงเรียนอย่างนั้นสินะ…
น่าแปลกที่เขารู้สึกอิจฉา
“เมื่อเช้า…” ดวงตาของเด็กชายกลอกไปมา “โดนหม่าม๊าตี”
“เพราะว่าดื้อกับหม่าม๊าน่ะสิ”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” รีบหันมาปฏิเสธตาขวาง เสียงสูงปรี๊ดตามสไตล์ของคนขี้โกหกทำให้ฮยอกแจถึงกับต้องหัวเราะออกมาเต็มเสียง คิ้วของทงเฮขมวดพันกันยุ่ง ยังมีอีกเรื่องที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ… “ซองมิน…”
“อะไร นี่ยังไม่คุยกันอีกเหรอ” ฮยอกแจย่นจมูกด้วยความแปลกใจ ตัวแค่นี้ทำไมถึงได้ทิฐิเยอะจังนะ แต่จะว่าไปแล้วปัญหาของทงเฮก็ดูน่าเครียดไม่แพ้กับปัญหาของเขาเท่าไหร่
ตัวเล็กแค่นี้แต่กลับมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะจริงๆ
”ทงเฮไม่อยากมาโรงเรียนแล้วอะพี่ฮยอกแจ…” ดวงตาของเด็กชายหม่นลง
ฮยอกแจถอนหายใจก่อนจะขยับตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น แล้วมองใบหน้าที่ไร้แววสดใส ไม่ต่างอะไรกับคนแบกโลกไว้ทั้งใบ นี่ไม่ควรจะเป็นสีหน้าของเด็กอนุบาลเลยจริงๆ
“ทงเฮไม่อยากเจอนานะจังเหรอ?”
“…………”
“ถ้าอยากเจอ ทงเฮต้องมาโรงเรียนทุกวันนะ”
แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่แววตาของเด็กตัวน้อยตรงหน้าก็ยังคงฉายแววเศร้าหมองอยู่ดี ทงเฮถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปจับแก้มของฮยอกแจเบาๆ
“พี่ฮยอกแจยิ้มให้ทงเฮดูหน่อย”
“หื้อ”
“เดี๋ยวนี้พี่ฮยอกแจไม่ค่อยยิ้ม”
ไอ้เด็กนี่…รู้จักสังเกตด้วยหรือไง
“ก็ทงเฮไม่ยิ้มไง แล้วพี่ฮยอกแจจะยิ้มได้ยังไง” ฮยอกแจว่าเสียงอ่อน ก่อนจะจับมือเล็กๆนั้นไว้ “ทงเฮต้องยิ้มก่อน พี่ฮยอกแจถึงจะยิ้ม โอเค้?”
“ยากจัง…”
ใช่…มันยาก…
…มันยากที่จะยิ้มออกมาในเวลาที่เรารู้สึกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นสีเทา…มันยากที่จะหัวเราะออกมาในเวลาที่เราต้องแบกรับอะไรมากมายอยู่คนเดียว…มันยาก แต่เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป ฮยอกแจเชื่อแบบนั้นมาตลอด
ร่างบางหยัดตัวขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม เครื่องเล่นเอ็มพีสามถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะส่งหูฟังข้างหนึ่งไปให้คนข้างๆ
“ฟังมั้ย”
I'm five years old
I hear your laugh
and look up smiling at you
“เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น”
จบประโยคนั้นปลายหูฟังสีขาวข้างหนึ่งก็มาอยู่ในหูของทงเฮเรียบร้อย ทวงทำนองและภาษาแปลกๆสะท้อนอยู่ในโสตประสาทจนเด็กชายต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
“ฟังไม่รู้เรื่อง”
“เถอะน่า”
I don't know who I'm gonna talk to now at school
But I know I'm laughing on the car ride home with you
“รู้มั้ยว่าเสียงเพลงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคนเราเลยนะ”
ฮยอกแจว่าพลางคลี่รอยยิ้มจาง ดวงตาคู่สวยทอดมองอากาศข้างหน้า ตรงกันข้ามกับทงเฮที่นั่งขมวดคิ้วจนหน้ายับ อยากถามออกไปว่าเพลงพวกนี้มันน่าฟังตรงไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดยังไงให้ไม่โดนอีกฝ่ายดุกลับมา
ทำไมพี่ฮยอกแจชอบพูดอะไรที่ทงเฮไม่เข้าใจอยู่เรื่อย…
ฮยอกแจที่หันมาเห็นหน้ามึนตึงของคนข้างๆก็หัวเราะออกมา ปลายนิ้วเรียวเลื่อนระดับเสียงให้ดังขึ้น ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่โยกศีรษะอีกฝ่ายไปมา
สักวันทงเฮจะเข้าใจเอง
Don't know how long it's gonna take to feel ok
But I know I had the best day with you today
“ทงเฮ ทำไมช่วงนี้ไม่ร่าเริงเลย”
อีโซราถามขึ้น พร้อมกับย่อตัวลงเพื่อที่จะได้คุยกับคนตรงหน้าได้ถนัด หลังจากที่เธอเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเด็กชายมาได้สักพักก็เห็นว่าทงเฮดูซึมลงไปจริงๆ…แต่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเพราะอะไรกันแน่
“เล่าให้ครูฟังได้นะ”
“คุณครูฮโยรินไปไหน”
คำถามย้อนกลับที่ทำเอาคุณครูผู้เป็นนางฟ้าของบรรดาเด็กนักเรียนถึงกับนิ่งอึ้งไปหลายวินาที หัวใจของเธอเหมือนถูกแกว่งเบาๆ ราวกับคำถามนั้นไปสะกิดความทรงจำแย่ๆที่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีให้กลับคืนมาอีกครั้ง
“คุณครูฮโยรินไปเที่ยวครับ” โซรากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เธอฝืนยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ “เทอมหน้าก็จะมีคุณครูคนใหม่มาแทน แต่เราคงไม่ได้เจอกันแล้วเนอะ ทงเฮจะขึ้นปอหนึ่งแล้วนี่นา…”
ทงเฮเองก็นิ่งไปกับคำตอบที่ได้รับเช่นกัน
“แล้วพี่ฮยอกแจล่ะ”
“หื้อ?”
“ทำไมวันนี้พี่ฮยอกแจไม่มา”
“ก็ทงเฮดื้อกับพี่ฮยอกแจไง พี่เค้าเลยไม่มาแล้ว” ครูคนสวยตอบติดตลก
“ทงเฮไม่ได้ดื้อ!” เถียงกลับไปพร้อมกับตีหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม และนั่นทำให้โซราต้องแอบลอบอมยิ้มอยู่คนเดียว ไอ้ทีแรกล่ะแทบฆ่ากันตาย ไหงตอนนี้มาถามถึงกันแบบนี้นะ…หรือว่าเธอจะพลาดอะไรไป?
“พี่ฮยอกแจต้องกลับไปเรียนหนังสือ” เธออธิบาย “ต่อไปพี่เค้าคงไม่ได้อยู่กวนใจเราแล้วนะ”
“ม…ไม่อยู่…?”
“ช่าย~ พี่ฮยอกแจจะอยู่ที่นี่จนถึงวันปิดเทอม” โซราว่า ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาตรงหน้า “อีกสามวัน”
“……………”
“…………….”
“……………..”
“ทงเฮ…
ร…ร้องไห้ทำไมน่ะ?”
Remember when I cried to you a thousand times
I told you everything
…You know my feelings…
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความสดใส…แต่ไม่ใช่กับใครบางคน
ห้องอนุบาลสามทับสามยังคงคึกคักเหมือนอย่างเคย ลูกลิงทั้งหลายพากันเข้ามารุมล้อมคนตัวบางแล้วพร้อมใจยิงคำถามเข้ามาจนคนฟังไล่ตอบแทบไม่ทัน ส่วนใหญ่จะเป้นเสียงงอแงที่เมื่อวานพี่ฮยอกแจไม่ยอมมาอะไรเทือกๆนั้นน่ะนะ
ฮยอกแจวุ่นวายกับเจ้าเด็กพวกนี้อยู่นานสองนานกว่าจะได้แยกตัวออกมาก็ตอนที่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาตินั่นล่ะ เด็กหนุ่มแอบไปบ่นกับคนเป็นพี่สาวด้วยความกังวลลึกๆว่าหากอีกสามวันข้างหน้าเขาหายไปแล้ว เด็กพวกนี้จะเป็นยังไงบ้าง
เขาหวังเพียงว่าเจ้าเด็กแสบพวกนี้จะเข้ากับคุณครูคนใหม่ได้ดี…
หลังจากเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธง โซราก็แบ่งกลุ่มให้แยกกันไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ฮยอกแจถูกจัดให้รับผิดชอบดูแลพวกกลุ่มจงอุน ซีวอน ทึก บลาๆ …ซึ่งนั่นมันควรจะเรียกว่าหายนะชัดๆ
แน่นอนว่าพวกเด็กไม่รักดีเอาแต่วิ่งเล่น และทำท่าจะออกไปนอกเขตที่กำหนดไว้ เดือดร้อนถึงฮยอกแจที่ต้องวิ่งตามไล่ต้อนจนเริ่มหอบ เสียงที่มีอยู่ก็เริ่มหายไปเพราะเผลอตะโกนออกไปเสียงดัง(ด้วยความโมโห)เมื่อตะกี้
“โอ้ย จะไม่ไหวแล้วนะ…”
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยสภาพเหงื่อแตกพลั่ก ตาเรียวจับจ้องไปยังเด็กชายสามคนที่กำลังวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนาน…ให้ตายเถอะ…เขาไม่สามารถคลาดสายตาจากเจ้าพวกนี้ได้จริงๆนะ…ลางสังหรณ์ลึกๆมันบอกว่าถ้าฮยอกแจเผลอแค่แว๊บเดียวไอ้แสบสามคนนั่นจะหายตัวไปทันที
“พี่ฮยอกแจ”
ระหว่างที่นั่งพักอยู่นั้น ทงเฮก็เดินอาดๆเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ ทีแรกฮยอกแจเข้าใจว่าคงจะเป็นการบ้านหรืองานอะไรสักอย่างที่ทำไม่ได้แล้วจะให้เขาช่วย แต่วินาทีถัดมาฮยอกแจก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด
มันเป็นเพียงภาพวาดระบายสีธรรมดาๆตามฝีมือของเด็กอนุบาลเท่านั้น
ให้
ฮยอกแจเห็นคำนั้นในแววตาของทงเฮ
“ให้พี่เหรอ?” ถามกลับไปด้วยความงุนงง มือเรียวรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วกวาดสายตามองอย่างตั้งใจ มันเป็นเพียงภาพวาดธรรมดาอย่างที่บอกไปจริงๆ ภาพของเด็กผู้ชายสองคน ข้างล่างมีลายมือหวัดๆเขียนกำกับไว้…
ทงเฮกับพี่ฮยอกแจ
ฮยอกแจไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง เขาเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพบว่าทงเฮหายไปแล้ว
For us to say goodbye…
TBC
เห้อ
ความคิดเห็น