ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - LITTLE BOY

    ลำดับตอนที่ #4 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 3

    • อัปเดตล่าสุด 13 ต.ค. 56


     

     



     

    - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - 3

                               




     





















                อีฮยอกแจเกลียดโรงพยาบาล






    เขาเพิ่งรู้ถึงความจริงข้อนั้นก็ตอนที่บนรถเข็นเหล็กมีร่างผอมบางของอีฮยอนจีผู้เป็นแม่นอนอยู่ เขาเพิ่งรู้ก็ตอนที่เห็นหมอกับพยาบาลวิ่งกันวุ่น เสียงเอะอะโวยวายดังไปตลอดทางเดินที่ทอดยาว และสุดท้ายคือวินาทีที่ประตูห้องฉุกเฉินปิดลง น่าตลกที่ฉากคุ้นตาในละคร บัดนี้กลับค่อยๆฉายชัดขึ้นในชีวิตจริง








    เขาไม่รู้ว่าต้องทำยังไง










    ร่างบางทรุดลงนั่งตรงหน้าห้องนั้นอย่างไม่อายสายตาใคร มันค่อนข้างแย่มาก ถึงมากที่สุดเมื่อพบว่าเขาทำได้แค่รอต่อไปเรื่อยๆ รอต่อไปโดยที่ไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่เสียงสะอื้นหรืออะไรก็ตามที่จะสามารถช่วยบรรเทาความรู้สึกในใจให้เบาลงได้ไม่มีเลย








    ตอนนั้นอีฮยอกแจไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ารอบตัวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขานั่งมองพื้นกระเบื้องด้วยแววตาเลื่อนลอยอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความรีบร้อน




    ฮยอกแจ…”





    และเด็กหนุ่มไม่ลังเลที่จะโผเข้ากอดเจ้าของเสียงนั้น

     

     























     

    พวกตำรวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุและเรายังต้องรอดูอาการของแม่ต่อไปอีกสักระยะ แต่โอกาสที่จะหายเป็นปกติมันยาก อย่างดีที่สุดก็คงต้องใช้ออกซิเจนยื้อลมหายใจไปวันๆส่วนพี่ฮโยรินเสียตั้งแต่ก่อนถึงโรงพยาบาล…”





    ฮยอกแจจำไม่ได้ว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการกลั่นกรองประโยคยาวๆออกมาให้คนเป็นพี่สาวฟัง เธอไม่ร้องไห้ให้เขาเห็น แน่นอนว่าไม่มีทาง แต่ฮยอกแจรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเช่นไร






    โซรา…” มือบางวางบนไหล่ของหญิงสาวอย่างต้องการจะปลอบใจ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป








    เป็นครั้งแรกที่เขาไม่มั่นใจในคำพูดของตัวเอง







    แววตาของอีโซราเหมือนจะไม่รับรู้อะไรอีก หญิงสาวเอาแต่มองตรงไปข้างหน้า และตัดพ้อโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายกับชีวิตของเธอขนาดนี้ เพราะฉันมันเป็นเพราะฉันใช่มั้ยฮยอกแจ





    ไม่โซรามันไม่ใช่…” ฮยอกแจกุมมือคนเป็นพี่สาวไว้ อย่าคิดแบบนั้นมันแค่อุบัติเหตุ








    แต่ถ้าแม่กับฮโยรินไม่วางแผนบ้าๆจะเซอร์ไพร์สฉันมันก็คงไม่เป็นแบบนี้!” หญิงสาวตวาดออกมาเสียงดังอย่างเสียสติ หยาดน้ำใสรื้นขึ้นมาจนแทบจะเอ่อล้น แต่เธอก็เช็ดมันออกไปอย่างรวดเร็ว







    ฮยอกแจไม่ได้ตอบ ร่างบางก้มหน้าและกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ความจริงแล้วเขาเป็นคนคิดแผนบ้าๆนั่นขึ้นมาเองเขาเป็นคนบอกให้พี่ฮโยรินแกล้งป่วยแล้วลางานที่โรงเรียนมาเพื่อเตรียมเซอร์ไพร์สวันเกิดให้โซราเขาเป็นคนบอกให้แม่ร่วมมือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการนี้ เขาเป็นคนบอกให้ทั้งคู่ออกไปซื้อของมาเตรียมไว้รอโซรากลับบ้าน แล้วเราจะฉลองด้วยกัน






    อีฮยอกแจต่างหากที่ควรจะโทษตัวเอง

     

     




































     

    อีฮโยรินคือส่วนหนึ่งที่มาเติมเต็มคำว่าครอบครัว





    มีเรื่องบังเอิญอยู่สามข้อ หนึ่ง.เธอนามสกุลอีเหมือนพวกเรา สอง.เธอเป็นคุณครูโรงเรียนอนุบาลและเป็นเพื่อนสนิทของโซรา และสาม.เธอเข้ากับพวกเราได้ดียิ่งกว่าอะไร






    รอยยิ้มของพวกเราหายไปตั้งแต่วันที่พ่อจากไปอย่างไม่มีวันกลับ





    แต่พวกเรายิ้มได้อีกครั้งในวันที่เธอก้าวเข้ามา






    ฮยอกแจไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าต้องพรากเธอไปจากเราอีกคน

     















     

     

     

    หลังจากงานศพของอีฮโยรินผ่านพ้นไป หมอก็อนุญาตให้แม่กลับบ้านในสัปดาห์ถัดมา ในทีแรกทางโรงพยาบาลค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการที่เราจะปล่อยให้แม่กลายเป็นเจ้าหญิงนินทราต่อไปเรื่อยๆ คุณหมอพยายามค้านด้วยคำพูดสุภาพ แน่นอนว่าพวกเราเกือบฆ่าเขาตายกลางโรงพยาบาล โซรายืนกรานว่ายังไงก็ไม่ยอมให้ถอดสายออกซิเจน ฮยอกแจก็คิดแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วเขาเข้าใจว่าคุณหมอกำลังกังวลในเรื่องที่ว่าโซราเป็นผู้หญิงที่ต้องตื่นไปทำงานตอนเช้าและกลับบ้านตอนใกล้ค่ำ และเขาเองก็เพิ่งจะสิบห้า







    พวกคุณไม่มีเวลาดูแลคนป่วยแน่นอน และถ้าจ้างพยาบาลผมเกรงว่า…’







    คุณหมอพูดได้เพียงแค่นั้น เพราะโซราทำท่าจะเอาเรื่องทันทีที่ถูกขัด เธอร่ายเหตุผล(ที่ฟังไม่ขึ้น)ไปยาวยืดเพื่อยืนยันว่าเธอสามารถดูแลมารดาของเธอได้ และแน่นอนว่าสุดท้ายแล้วคุณหมอก็ต้องยอมทำตามความต้องการของญาติคนไข้









    แม่กลับมาอยู่ที่บ้านในที่สุด








    ตารางของพวกเราค่อนข้างวุ่นวายมันรวนไปหมดในช่วงแรก อีฮยอกแจจำเป็นต้องขาดเรียนในบางวัน และโซราต้องขับรถไปกลับระหว่างบ้านกับโรงเรียนอนุบาลวันละสามถึงสี่เที่ยว พวกเราไม่วางใจที่จะปล่อยให้แม่อยู่คนเดียว แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม






    ฉันจะลาออก






    นั่นคือคำพูดของโซราหลังจากที่ต้องรับมือกับเด็กอนุบาลเพียงคนเดียว แถมยังต้องขับรถวนไปวนมาอยู่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ฮยอกแจคิดไว้แล้วว่าสุดท้ายเธอต้องตัดสินใจเช่นนี้ ร่างบางหัวเราะก่อนจะเดินไปจับไหล่พี่สาวไว้







    อย่าลืมนะโซราว่าเราไม่มีเงิน






    “………….”







    ลำพังกับที่มีอยู่มันไม่พอหรอก แล้วไหนจะเด็กๆที่โรงเรียนอีกล่ะ พี่ฮโยรินไม่อยู่คนหนึ่งแล้ว พี่ออกมาอีกคนแบบนี้มันถูกต้องเหรอ ยิ่งถ้ากะทันหันแบบนี้ใครจะดูแลพวกเค้า








    คำพูดเตือนสติของคนตรงหน้าทำให้โซราฉุกคิดบางอย่างที่เธอเผลอมองข้ามไป แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เธอล้มเลิกความคิดที่จะลาออกได้เสียทีเดียวฉันเหนื่อยนะฮยอกแจ ที่สำคัญฉันต้องคอยฝากครูห้องข้างๆดูแลเจ้าเด็กพวกนั้นแทนเวลาที่ฉันไม่อยู่ ฉันปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆไม่ได้







    รู้แต่พี่ต้องคิดให้รอบคอบกว่านี้







    ประโยคนั้นทำให้โซราลอบยิ้มออกมาบางๆ บางทีมันอาจจะเป็นรอยยิ้มแรกในรอบเดือนของเธอเลยมั้ง เธอยิ้มเมื่อพบว่าน้องชายของเธออีฮยอกแจเด็กคนนี้โตขึ้น และต่างจากเพื่อนวัยเดียวกันอยู่เยอะ และอย่างที่เห็นฮยอกแจเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอมาก ทั้งความคิดและมุมมอง







    นั่นอะไร?” โซราออกจากภวังค์ความคิด เธอขมวดคิ้วมองกระดาษสีขาวที่อยู่ในมือน้องชายด้วยความแปลกใจ เอกสารอะไรงั้นเหรอ?”







    ก็ช่วงสองอาทิตย์นี้แทบจะไม่ได้โผล่กบาลไปเรียนเลยไง อาจารย์ก็เลยเรียกเข้าพบ







    แกคงไม่ได้โดนไล่ออกหรอกนะใช่มั้ย?”







    เปล่า ไม่ใช่ฮยอกแจสั่นหน้าพร้อมกับคลี่ยิ้มน้อยๆ เขาแค่เรียกไปคุยน่ะว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงขาดเรียนบ่อย คิดอยู่นานเลย แต่ก็ตัดสินใจเล่าให้ฟัง…”







    แล้ว…”







    แล้วเขาก็เสนอทางช่วยมาให้ฮยอกแจเว้นช่วง แล้วลอบถอนหายใจ ก็พักการเรียนไปก่อน ระยะหนึ่ง ถ้ามีเวลาก็มาเรียนคลาสพิเศษกับอาจารย์เขาวันอาทิตย์หรือจะหยุดไปเลยก็ได้ ทั้งเทอม แล้วค่อยมาลงตอนช่วงซัมเมอร์…”








    ซัมเมอร์?...หมายถึงเรียนเจ็ดวันไม่มีพักตลอดหนึ่งเดือนน่ะนะโซราเลิกคิ้ว ไหวหรือไง








    ไม่ไหวก็ต้องไหว เซ็นยอมรับไปแล้ว










    เห็นมั้ยล่ะอีฮยอกแจโตพอที่จะทำอะไรโดยไม่ปรึกษาเธอแล้ว!









    แต่มันก็ต้องจ่ายเงินเพิ่มนิดหน่อยนะ ถึงเวลารับใบจบจะได้ไม่มีปัญหา





    เฮ่อะ! ระบบบ้าบอ





    เอาน่า อีกไม่กี่เดือนก็จะได้ย้ายไปไฮสคูลแล้วฮยอกแจว่า ก่อนจะเบ้ปากเมื่อนึกถึงโรงเรียนใหม่ แย่นิดหน่อยตรงที่ใช้เส้นคยูฮยอน แต่เอาเถอะช่วงนี้มันยุ่งๆนี่นาคงไม่มีเวลาไปสอบเข้า…”






    แกดูเหนื่อยกว่าฉันเยอะเลยแฮะ






    ไม่จริงอะร่างบางสั่นหัวดิก ไม่มีอะไรน่าเหนื่อยกว่าการดูแลเด็กอนุบาลแล้วล่ะโซรา






    อ่านั่นสิเนอะโซรายิ้ม แล้วเริ่มเล่าถึงเหล่านักเรียนตัวน้อยของเธอ เด็กพวกนั้นซนจะตายไป…”










    นั่นเป็นเช้าแรกที่เสียงหัวเราะของทั้งสองดังขึ้นพร้อมกัน

     























     

    หลังจากที่ฮยอกแจตัดสินใจหยุดเรียนอย่างเต็มตัวเพื่อใช้เวลาทั้งหมดมาดูแลแม่ โซราก็ดูจะสดใสและยิ้มได้เยอะขึ้น อย่างน้อยเธอก็ได้กินข้าวเช้า และไปทำงานอย่างสบายใจกว่าเดิม








    มันเป็นแบบนี้มาตลอดสองเดือนเต็ม








    ทุกๆวันอาทิตย์ฮยอกแจจะแวะไปที่บ้านอาจารย์ประจำชั้นเพื่อทวนบทเรียนของสัปดาห์นั้นๆ แต่มันก็แค่บางส่วนและบางวิชาเท่านั้น เขาไม่มีทางตามเก็บความรู้ตลอดทั้งสัปดาห์ได้หมดภายในวันเดียว แน่นอนว่าต้องเสียค่าชั่วโมงด้วย นั่นคืออุปสรรคใหญ่ที่ทำให้บางสัปดาห์เขาเลือกที่จะนอนเฝ้าแม่อยู่ที่บ้าน









    ไหนๆก็ลงเรียนซัมเมอร์ไว้แล้วนี่เนอะ








    เย็นวันอาทิตย์ที่ดูจะไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าทุกวัน ฮยอกแจตัดสินใจเดินกลับบ้านแทนที่จะขึ้นรถเมล์ เขาแวะซื้อของมากมายที่คิดว่าแม่และพี่สาวน่าจะชอบ แน่นอนว่ามันใช้เวลาไปเยอะมาก และเมื่อมองย้อนกลับไปวันนั้นมันทำให้เขาโกรธตัวเอง







    น่าจะมาให้เร็วกว่านี้เขาน่าจะกลับมาให้เร็วกว่านี้จริงๆ




    วินาทีที่สองเท้าหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน สมองของฮยอกแจขาวโพลน





    เขาเห็นพี่สาวฟุบหน้าอยู่กับเตียงและกุมมือของคนเป็นแม่ไว้แน่น ทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ มีเพียงเสียงสะอื้นดังก้องอยู่ในหัว






    วินาทีนั้นเองที่ฮยอกแจปล่อยทุกอย่างในมือลงสู่พื้น

     



















































     

     

    ( แล้วตกลงมึงจะเอาไงเรื่องลงซัมเมอร์? )




    เสียงห้วนๆที่ดังมาตามสายปลุกให้อีฮยอกแจตื่นขึ้นจากอดีต ร่างบางสั่นศีรษะ ก่อนจะหันมาจดจ่อกับคนปลายสายแทน





    เหมือนเดิมริมฝีปากบางขยับตอบกลับไปเรียบๆราวกับเป็นเรื่องธรรมดาก็แค่ไปเรียนทุกวัน




    ( นั่นน่ะนรก )





    ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าโจคยูฮยอนคงจะทำหน้าเบ้อยู่แหง  



    ( กูลงเป็นเพื่อนเอามั้ย ) แล้วปลายสายก็ยื่นข้อเสนอที่ทำให้ฮยอกแจต้องขมวดคิ้ว ( ได้ข่าวว่าเกรดเก้าแม่งไม่มีใครลงเลยนะเว้ย เขาเอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบเข้าไฮสคูลเกรดสิบกันหมดอ่อยกเว้นไอ้แว่นห้องคิงน่ะ มึงจะไปนั่งเรียนกับมันมั้ยล่ะ )



    ก็เกินไป ปีที่แล้วกูเห็นคนแห่ไปสมัครเรียนกันตั้งเยอะแยะ





    ( เฮ่อะ พวกเห่อนโยบายใหม่ มึงคอยดูปีนี้เถอะ สิบคนจะถึงรึเปล่า )





    ก็ดีแล้วไง คนเยอะๆมันเรียนไม่รู้เรื่อง






    ( โอ้ยแหม) คยูฮยอนลากเสียงยาว ( เออนี่เรื่องเรียนต่อกูจัดการเคลียร์กับป๊าให้ละ )






    ฮยอกแจนิ่งไปเมื่อได้ยินประโยคนั้น พ่อของคยูฮยอนเป็นเจ้าของโรงเรียนไฮสคูลชื่อดังที่ใครๆก็ต่างแย่งชิงกันไปสอบเข้า เรียกได้ว่าเป็นสนามสอบที่หินเทียบเท่ากับการสอบเข้าในระดับมหาวิทยาลัยแต่ก็อย่างที่รู้กันนั้นล่ะ อีฮยอกแจสามารถไปนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่นั่นโดยไม่ต้องอ่านหนังสือสักตัว







    กูขอบคุณมึงมากๆเลยนะคยูฮยอน







    เขาก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่มันไม่มีทางเลือกจริงๆนี่นา






    ( เออไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้ ) คยูฮยอนตอบปัดๆไปอย่างไม่ใส่ใจ ( แล้วมึงเป็นยังไงบ้างล่ะ )






    หมายถึงที่นี่น่ะเหรอฮยอกแจหัวเราะ ก่อนจะเบนหน้ามองเข้าไปในห้องเรียนเล็กๆที่มีเด็กตัวกะเปี๊ยกหลายสิบคนกำลังสนุกอยู่กับโลกของพวกเขา



     ”วุ่นวายเชียวล่ะ

     






















     

     














     

    จริงๆมันก็ไม่ได้วุ่นวายอะไรนักหรอก





    หลังจากที่คยูฮยอนวางสายไปแล้ว ฮยอกแจก็นั่งเงียบๆอยู่คนเดียวตรงม้านั่งหน้าห้องเรียน ร่างบางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


    เป็นอะไรฮึ?”



    ไม่มีคำตอบ



    ฮยอกแจขมวดคิ้วแล้วโน้มหน้าลงไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามย้ำอีกครั้ง และมันก็ได้ผล




    นานะจังไม่มาโรงเรียน

    แค่นี้?” ร่างบางเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ปัญหาโลกแตกของเด็กอนุบาลก็คือ คนที่แอบชอบไม่มาโรงเรียนอย่างนั้นสินะ




    น่าแปลกที่เขารู้สึกอิจฉา









    เมื่อเช้า…” ดวงตาของเด็กชายกลอกไปมาโดนหม่าม๊าตี






    เพราะว่าดื้อกับหม่าม๊าน่ะสิ




    ไม่ใช่สักหน่อย!” รีบหันมาปฏิเสธตาขวาง เสียงสูงปรี๊ดตามสไตล์ของคนขี้โกหกทำให้ฮยอกแจถึงกับต้องหัวเราะออกมาเต็มเสียง คิ้วของทงเฮขมวดพันกันยุ่ง ยังมีอีกเรื่องที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจซองมิน…”








    อะไร นี่ยังไม่คุยกันอีกเหรอฮยอกแจย่นจมูกด้วยความแปลกใจ ตัวแค่นี้ทำไมถึงได้ทิฐิเยอะจังนะ แต่จะว่าไปแล้วปัญหาของทงเฮก็ดูน่าเครียดไม่แพ้กับปัญหาของเขาเท่าไหร่









    ตัวเล็กแค่นี้แต่กลับมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะจริงๆ










    ทงเฮไม่อยากมาโรงเรียนแล้วอะพี่ฮยอกแจ…” ดวงตาของเด็กชายหม่นลง







    ฮยอกแจถอนหายใจก่อนจะขยับตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น แล้วมองใบหน้าที่ไร้แววสดใส ไม่ต่างอะไรกับคนแบกโลกไว้ทั้งใบ นี่ไม่ควรจะเป็นสีหน้าของเด็กอนุบาลเลยจริงๆ








    ทงเฮไม่อยากเจอนานะจังเหรอ?”









    “…………”








    ถ้าอยากเจอ ทงเฮต้องมาโรงเรียนทุกวันนะ







    แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่แววตาของเด็กตัวน้อยตรงหน้าก็ยังคงฉายแววเศร้าหมองอยู่ดี ทงเฮถอนหายใจก่อนจะเอื้อมมือไปจับแก้มของฮยอกแจเบาๆ







    พี่ฮยอกแจยิ้มให้ทงเฮดูหน่อย






    หื้อ






    เดี๋ยวนี้พี่ฮยอกแจไม่ค่อยยิ้ม

















    ไอ้เด็กนี่รู้จักสังเกตด้วยหรือไง

















    ก็ทงเฮไม่ยิ้มไง แล้วพี่ฮยอกแจจะยิ้มได้ยังไงฮยอกแจว่าเสียงอ่อน ก่อนจะจับมือเล็กๆนั้นไว้ ทงเฮต้องยิ้มก่อน พี่ฮยอกแจถึงจะยิ้ม โอเค้?”







    ยากจัง…”












    ใช่มันยาก




    มันยากที่จะยิ้มออกมาในเวลาที่เรารู้สึกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นสีเทามันยากที่จะหัวเราะออกมาในเวลาที่เราต้องแบกรับอะไรมากมายอยู่คนเดียวมันยาก แต่เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป ฮยอกแจเชื่อแบบนั้นมาตลอด








    ร่างบางหยัดตัวขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม เครื่องเล่นเอ็มพีสามถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนจะส่งหูฟังข้างหนึ่งไปให้คนข้างๆ







     ฟังมั้ย

     

     


     

    I'm five years old

    I hear your laugh

    and look up smiling at you

     

     




     

    เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น






    จบประโยคนั้นปลายหูฟังสีขาวข้างหนึ่งก็มาอยู่ในหูของทงเฮเรียบร้อย ทวงทำนองและภาษาแปลกๆสะท้อนอยู่ในโสตประสาทจนเด็กชายต้องขมวดคิ้วหน้ายุ่ง







    ฟังไม่รู้เรื่อง






    เถอะน่า

     







     

    I don't know who I'm gonna talk to now at school

    But I know I'm laughing on the car ride home with you

     








     

    รู้มั้ยว่าเสียงเพลงคือเพื่อนที่ดีที่สุดของคนเราเลยนะ






    ฮยอกแจว่าพลางคลี่รอยยิ้มจาง ดวงตาคู่สวยทอดมองอากาศข้างหน้า ตรงกันข้ามกับทงเฮที่นั่งขมวดคิ้วจนหน้ายับ อยากถามออกไปว่าเพลงพวกนี้มันน่าฟังตรงไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงคำพูดยังไงให้ไม่โดนอีกฝ่ายดุกลับมา









    ทำไมพี่ฮยอกแจชอบพูดอะไรที่ทงเฮไม่เข้าใจอยู่เรื่อย









    ฮยอกแจที่หันมาเห็นหน้ามึนตึงของคนข้างๆก็หัวเราะออกมา ปลายนิ้วเรียวเลื่อนระดับเสียงให้ดังขึ้น ก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างอยู่โยกศีรษะอีกฝ่ายไปมา










    สักวันทงเฮจะเข้าใจเอง

     

     






    Don't know how long it's gonna take to feel ok

    But I know I had the best day with you today

     

     

     











     

    ทงเฮ ทำไมช่วงนี้ไม่ร่าเริงเลย





    อีโซราถามขึ้น พร้อมกับย่อตัวลงเพื่อที่จะได้คุยกับคนตรงหน้าได้ถนัด หลังจากที่เธอเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเด็กชายมาได้สักพักก็เห็นว่าทงเฮดูซึมลงไปจริงๆแต่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเพราะอะไรกันแน่








    เล่าให้ครูฟังได้นะ





    คุณครูฮโยรินไปไหน







    คำถามย้อนกลับที่ทำเอาคุณครูผู้เป็นนางฟ้าของบรรดาเด็กนักเรียนถึงกับนิ่งอึ้งไปหลายวินาที หัวใจของเธอเหมือนถูกแกว่งเบาๆ ราวกับคำถามนั้นไปสะกิดความทรงจำแย่ๆที่ถูกเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดีให้กลับคืนมาอีกครั้ง







    คุณครูฮโยรินไปเที่ยวครับโซรากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เธอฝืนยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ เทอมหน้าก็จะมีคุณครูคนใหม่มาแทน แต่เราคงไม่ได้เจอกันแล้วเนอะ ทงเฮจะขึ้นปอหนึ่งแล้วนี่นา…”







    ทงเฮเองก็นิ่งไปกับคำตอบที่ได้รับเช่นกัน









    แล้วพี่ฮยอกแจล่ะ






    หื้อ?”






    ทำไมวันนี้พี่ฮยอกแจไม่มา






    ก็ทงเฮดื้อกับพี่ฮยอกแจไง พี่เค้าเลยไม่มาแล้วครูคนสวยตอบติดตลก






    ทงเฮไม่ได้ดื้อ!” เถียงกลับไปพร้อมกับตีหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม และนั่นทำให้โซราต้องแอบลอบอมยิ้มอยู่คนเดียว ไอ้ทีแรกล่ะแทบฆ่ากันตาย ไหงตอนนี้มาถามถึงกันแบบนี้นะหรือว่าเธอจะพลาดอะไรไป?










    พี่ฮยอกแจต้องกลับไปเรียนหนังสือเธออธิบายต่อไปพี่เค้าคงไม่ได้อยู่กวนใจเราแล้วนะ








     







     

    ไม่อยู่…?”













    ช่าย~ พี่ฮยอกแจจะอยู่ที่นี่จนถึงวันปิดเทอมโซราว่า ก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาตรงหน้า อีกสามวัน

     







     

                “……………”




     

                “…………….”

     


     

    “……………..”

     



     

    ทงเฮ

     

     










     

     

    ร้องไห้ทำไมน่ะ?”

     







     

     

    Remember when I cried to you a thousand times

    I told you everything

    …You know my feelings…

     





     

     



     

    เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยความสดใสแต่ไม่ใช่กับใครบางคน







    ห้องอนุบาลสามทับสามยังคงคึกคักเหมือนอย่างเคย ลูกลิงทั้งหลายพากันเข้ามารุมล้อมคนตัวบางแล้วพร้อมใจยิงคำถามเข้ามาจนคนฟังไล่ตอบแทบไม่ทัน ส่วนใหญ่จะเป้นเสียงงอแงที่เมื่อวานพี่ฮยอกแจไม่ยอมมาอะไรเทือกๆนั้นน่ะนะ







     ฮยอกแจวุ่นวายกับเจ้าเด็กพวกนี้อยู่นานสองนานกว่าจะได้แยกตัวออกมาก็ตอนที่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาตินั่นล่ะ เด็กหนุ่มแอบไปบ่นกับคนเป็นพี่สาวด้วยความกังวลลึกๆว่าหากอีกสามวันข้างหน้าเขาหายไปแล้ว เด็กพวกนี้จะเป็นยังไงบ้าง








    เขาหวังเพียงว่าเจ้าเด็กแสบพวกนี้จะเข้ากับคุณครูคนใหม่ได้ดี








    หลังจากเสร็จกิจกรรมหน้าเสาธง โซราก็แบ่งกลุ่มให้แยกกันไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียน ฮยอกแจถูกจัดให้รับผิดชอบดูแลพวกกลุ่มจงอุน ซีวอน ทึก บลาๆ ซึ่งนั่นมันควรจะเรียกว่าหายนะชัดๆ









    แน่นอนว่าพวกเด็กไม่รักดีเอาแต่วิ่งเล่น และทำท่าจะออกไปนอกเขตที่กำหนดไว้ เดือดร้อนถึงฮยอกแจที่ต้องวิ่งตามไล่ต้อนจนเริ่มหอบ เสียงที่มีอยู่ก็เริ่มหายไปเพราะเผลอตะโกนออกไปเสียงดัง(ด้วยความโมโห)เมื่อตะกี้









    โอ้ย จะไม่ไหวแล้วนะ…”







    ร่างบางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นด้วยสภาพเหงื่อแตกพลั่ก ตาเรียวจับจ้องไปยังเด็กชายสามคนที่กำลังวิ่งไล่กันอย่างสนุกสนานให้ตายเถอะเขาไม่สามารถคลาดสายตาจากเจ้าพวกนี้ได้จริงๆนะลางสังหรณ์ลึกๆมันบอกว่าถ้าฮยอกแจเผลอแค่แว๊บเดียวไอ้แสบสามคนนั่นจะหายตัวไปทันที








    พี่ฮยอกแจ






    ระหว่างที่นั่งพักอยู่นั้น ทงเฮก็เดินอาดๆเข้ามาพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่งในมือ ทีแรกฮยอกแจเข้าใจว่าคงจะเป็นการบ้านหรืองานอะไรสักอย่างที่ทำไม่ได้แล้วจะให้เขาช่วย แต่วินาทีถัดมาฮยอกแจก็ได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด







    มันเป็นเพียงภาพวาดระบายสีธรรมดาๆตามฝีมือของเด็กอนุบาลเท่านั้น

     






















     

    ให้

     

















     

    ฮยอกแจเห็นคำนั้นในแววตาของทงเฮ














    ให้พี่เหรอ?” ถามกลับไปด้วยความงุนงง มือเรียวรับกระดาษแผ่นนั้นมาแล้วกวาดสายตามองอย่างตั้งใจ มันเป็นเพียงภาพวาดธรรมดาอย่างที่บอกไปจริงๆ ภาพของเด็กผู้ชายสองคน ข้างล่างมีลายมือหวัดๆเขียนกำกับไว้







     

    ทงเฮกับพี่ฮยอกแจ

     





     

    ฮยอกแจไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง เขาเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะพบว่าทงเฮหายไปแล้ว

     





     

    For us to say goodbye…

     







    TBC
    เห้อ



     

    PORCELAIN  THEMEs
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×