ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - BESTFRIEND

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 56


     



     

     

     

     

     

     


     

    1

     

     

     

     

     

     

    ทงเฮ…”

    เห้ยฮยอกแจหลบไปปปปปปปปปปป


    โครม!

    เสียงโครมครามดังขึ้นพร้อมกับเสียงสบถลั่นของร่างเล็กที่เซถลาไปอีกทางจนหน้าเกือบทิ่ม ถ้าไม่ติดว่าใช้แขนยันกำแพงไว้ทันคงหัวฟาดพื้นตายห่าไปแล้ว

    ไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงหอบหายใจของคนที่โผล่พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับตุ๊กตาหมีตัวเบ่อเริ่ม แขนข้างซ้ายหนีบกีต้าร์ตัวโปรดซึ่งตอนนี้ลงไปนอนตายอยู่ที่พื้นเรียบร้อย มองถัดลงมาอีกหน่อยจะเห็นนิ้วทั้งสิบเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรัง

    และไข่ไก่ที่แตกกระจายอยู่ทั่วพื้นห้อง

    ขอโทษๆๆๆๆๆๆทงเฮรีบวางของในมือทั้งหมดลงกับพื้น แล้วหันมาขอโทษขอโพยคนตัวเล็กที่ยืนเท้าเอวหน้าบึ้งตึง เห้ยนี่ไม่ได้ตั้งใจเลยนะ ก็มันมองไม่เห็นทางนี่ แล้วของก็เยอะด้วย ไม่ได้จะแกล้งอะไรทั้งนั้นเลยสาบาน
     

    มึงนี่มัน…”

    ฮยอกแจมองสภาพรอบตัวแล้วกัดฟันแน่น อยากจะคว้าคอไอ้คนตรงหน้านี่มาขย้ำให้ตาย แต่สงสารเลยปล่อยๆมันไป ไม่ได้ทำอะไรนอกจากส่งสายตาให้รู้ว่ากูไม่พอใจมึงมากเป็นการคาดโทษ เสร็จแล้วก็กระทืบเท้าปึงปังเข้าห้องน้ำ แล้วก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสียอีกรอบเมื่อเห็นว่าถุงเท้าคู่ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเต็มไปด้วยน้ำเมือกสีใส กลิ่นคาวของไข่ไก่แน่นอนว่ามันสุดจะทนอยู่แล้ว ร่างเล็กย่นจมูกหนี แล้วรีบถอดมันเหวี่ยงออกไปให้ไกลที่สุด


    ฮยอกแจมาช่วยเช็ดก่อน

    ยังไม่ทันจะได้เริ่มทำอะไร ตัวปัญหาอย่างอีทงเฮก็ตะโกนเข้ามาเสียงดังลั่น ฮยอกแจตอบกลับไปแค่สั้นๆ ก่อนจะถอนหายใจฟึดฟัดกับความเอาแต่ใจของเพื่อสนิท เขาใช้เวลาจัดการตัวเองไม่นานนักก็ออกมารบราฆ่าฟันกับคราบสกปรกบนพื้นต่อ

    ในเมื่อมึงเป็นคนทำเลอะ แล้วทำไมคนที่ทำความสะอาดต้องเป็นกูคนเดียววะ ร่างเล็กก้มหน้าก้มตาเช็ดพื้นพร้อมกับบ่นอุบอิบไปเรื่อยตามประสา ของเยอะก็ไม่ยอมโทรมา จะได้ลงไปช่วยถือ เล่นหอบขึ้นมาคนเดียวทั้งหมดนี่บ้าไปแล้วไง

    ก็มึงปิดเครื่อง

    อ้อเออแบตหมด โทษที แล้วจะออกไปทำไมไม่บอก

    ก็มึงนอนอยู่

    ทงเฮที่วุ่นวายอยู่กับอาหารเย็นตอบพลางหัวเราะ ก่อนจะหันกลับไปมองฮยอกแจที่สาละวนอยู่กับคราบไข่ไก่บนพื้น คำพูดพึมพำมากมายที่เขาไม่ได้ยินยังคงพรั่งพรูออกจากริมฝีปากเล็กไม่หยุดหย่อน

     




     

    ไม่ว่ายังไงก็ขอให้ได้บ่นสินะ

     



     

    รู้ว่าถือคนเดียวไม่ไหวแล้วจะซื้อมาทำบ้าอะไรเยอะแยะ

    ก็ซื้อมาให้คนแถวนี้กินไง…” ทงเฮตอบกลับไปเสียงเบา แล้วหันกลับมายิ้มกับผักปลาตรงหน้าต่อ คิดว่าคนโง่แถมยังหูตึงอย่างฮยอกแจคงไม่ได้ยินที่เขาพูดไป  

    แล้วก็เป็นอย่างที่คิด คนตัวเล็กยังคงเอาแต่บ่นไปเรื่อย สักพักก็ลามไปถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น แต่มันก็น่าแปลกตรงที่ทงเฮไม่ได้รู้สึกรำคาญอย่างที่ควรจะเป็น  





    ถ้าไม่บ่นสักวันนี่ไข้มันจะขึ้นหรือไงฮยอกแจ 

    แล้วไม่ทำตัวให้ต้องบ่นซักวันจะตายมั้ยทงเฮ





    คำตอบของร่างบางทำเอาคนฟังหัวเราะร่วน แต่เพราะต่างฝ่ายต่างหันหลังให้กัน ทำให้ทงเฮไม่ทันเห็นว่าริมฝีปากเรียบตึงของอีฮยอกแจค่อยแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเล็กๆเช่นเดียวกัน



    เข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั่นคงเป็นคำจำกัดความของคนอย่างทงเฮละมั้งคนบ้าอะไรโดนด่าอยู่ปาวๆแล้วยังจะมีอารมณ์มาหัวเราะอีก

    ฮยอกแจส่ายหน้าก่อนจะเช็ดคราบไข่ไก่บนพื้นจนสะอาด แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างไม้ล้างมือ ทำความสะอาดตัวเองใหม่อีกครั้ง



    เรียวคิ้วขมวดมุ่นเพราะรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนวูบแปลกๆ แต่พอลองนึกทบทวนดูดีๆแล้วเขาก็เข้าใจทันทีว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร













    แก้มขาวขึ้นสีจางเพียงเพราะเห็นรอยยิ้มของคนนิสัยไม่ดีแบบนั้น














    รีบหยุดความคิดทุกอย่างไว้ก่อนที่มันจะเตลิดไปไกลจนกู่ไม่กลับ ร่างบางยู่ปากแล้วทำหน้าไม่เข้าใจใส่กระจก แต่สิ่งที่สะท้อนกลับมาก็มีเพียงแค่ความไม่เข้าใจเท่านั้นเอง











    อารมณ์ชั่ววูบอย่างนั้นเหรอ?















    ยังไม่ทันไรก็ย้อนกลับไปคิดถึงมันอีกจนได้ นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวในชีวิตเลยมั้งที่สลัดยังไงก็ไม่เคยหลุด ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่สุดท้ายมันก็จบลงด้วยการที่ฮยอกแจเก็บมันมานั่งคิดให้ต้องวุ่นวายใจเล่นเหมือนเดิม





    “…แบบนี้อีกแล้วพึมพำกับตัวเองหน้านิ่ว ฝ่ามือเรียวยกขึ้นทาบลงบนผิวแก้ม ความสับสนแวะเข้ามาทักทายอีกครั้ง ทั้งที่อยากจะโบกมือลามันแทบขาดใจ











    ความจริงแล้วมันก็แค่รอยยิ้มธรรมดาๆนี่นา











    ทงเฮก็แค่หัวเราะแบบจงใจจะกวนตีนเขาไปอย่างนั้นเอง ก็แค่รอยยิ้มธรรมดาที่แปลได้ว่าเจ้าตัวมันไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเสียงบ่นของเขา








    ก็แค่นั้นไม่ใช่หรือไง

    จะมาเขินอะไรกับคนที่เห็นกันมาตั้งแต่จำความได้แบบนั้นกัน










    คิดไปพลางถอนหายใจยาว ใช้กระแสน้ำเย็นเป็นตัวช่วยดับข้อสงสัยมากมายในใจ  ฮยอกแจเบ้ปากแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับหยดน้ำที่เกาะพราวบนใบหน้าออกไปลวกๆ









    เมื่อก่อนอีทงเฮก็เป็นแค่เด็กนิสัยไม่ดีที่อาศัยอยู่บ้านข้างๆ

    เด็กเกเรที่ชอบมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็หาเรื่องแกล้งเขาทุกวัน









    เพราะเกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แล้วแม่ของฮยอกแจก็เป็นเพื่อนกับแม่ของทงเฮมาตั้งแต่สมัยเรียน ยิ่งมาอยู่บ้านใกล้กันแบบนี้ก็ยิ่งทำให้การไปมาหาสู่กลายเป็นเรื่องปกติ

    นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งชีวิตของอีฮยอกแจมีเด็กนิสัยไม่ดีอย่างอีทงเฮเป็นเพื่อสนิทแค่เพียงคนเดียวมาตลอด






    แล้วจุดพลิกผันแรกในชีวิตก็เริ่มต้นขึ้นตอนฮยอกแจอายุได้เจ็ดขวบ





    เขาจำอะไรไม่ได้มากนัก หลายๆอย่างเริ่มเลือนรางไปตามกาลเวลา เท่าที่พอนึกออกก็คงเป็นวันที่พี่สาวเดินเข้ามาบอกว่าพวกเราจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ที่เมืองนอก

    เด็กเจ็ดขวบอย่างเขานึกไม่ออกเลยว่าเมืองนอกหน้าตาเป็นยังไง แต่พี่โซราบอกว่าเมืองนอกมีสวนสนุกที่ใหญ่กว่าที่นี่ มีตุ๊กตามาสคอตเดินแจกขนมกับลูกโป่งเยอะๆ  มีร้านขายของเล่น มีอากาศอุ่นๆไม่หนาวด้วย










    ฮยอกแจคิดว่าเมืองนอกคงจะไม่เลวร้ายไร

    แต่พอคิดต่อไปถึงความจริงที่ว่าเมืองนอกไม่มีทงเฮ










    เท่านั้นน้ำตามากมายก็พาไหลลงมาไม่หยุดหย่อน แหกปากงอแงพร้อมกับลั่นวาจาไปตามประสาเด็กๆว่าจะไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น


    จำได้ว่าวุ่นวายกันไปทั้งบ้านจนคุณแม่ถึงกับกุมขมับ ท้ายที่สุดก็ไม่มีทางเลือกใด นอกจากจำต้องปล่อยลูกชายหัวดื้อไว้กับครอบครัวคุณนายอีเพื่อนสนิทที่อยู่บ้านหลังข้างๆ

    ความห่วงใยก็มีมากตามประสาคนเป็นแม่ แต่อีซอนฮวาได้ให้คำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลฮยอกแจให้ดีที่สุด เลยพอเบาใจลงไปได้บ้าง ตั้งใจไว้ว่าถ้าฮยอกแจโตพอก็อาจจะกลับมารับให้ไปอยู่ด้วยกัน

    ส่วนอีทงเฮเด็กชายที่ไม่เคยรับรู้อะไร ได้แต่ยืนทำหน้างงสงสัยไม่เข้าใจว่าฮยอกแจร้องไห้ทำไมจนถึงวันนี้แล้วทงเฮอาจจะยังไม่รู้ก็ได้ว่าตัวเองคือเหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เขาเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

    ก่อนหน้านั้นสองปี ฮยอกแจอายุแค่ห้าขวบคุณพ่อก็มาด่วนจากไปด้วยโรคประจำตัว ด้วยความเป็นเด็กทำให้ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ารสชาติของการจากลาเป็นอย่างไร ความทรงจำที่มีร่วมกับคนเป็นพ่อเลือนรางมากจนตอนนี้นึกเสียดายที่ท่านจากไปก่อนที่เขาจะได้สัมผัสถึงความรู้สึกของการได้อยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา

    นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของฮยอกแจก็เหลือแค่แม่กับพี่สาว และเหตุผลที่ต้องย้ายไปต่างประเทศก็เพราะพี่โซราสอบชิงทุนได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นั่น แม่ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปตั้งรกรากใหม่ที่เมืองใดสักเมืองในอเมริกา โดยฝากบ้านหลังนี้ไว้ให้อีซอนฮวาแม่ของทงเฮดูแล



             เหมือนคุณนายคงไม่ทันได้คิดว่านอกจากบ้านของสามีแล้ว เธอยังต้องมาฝากลูกชายคนสุดท้องไว้ด้วยอีกคน



    นึกไปแล้วก็ยังตลกตัวเองไม่หาย ทำไมถึงให้คนนิสัยไม่ดีแบบทงเฮมาเป็นเหตุผลที่จะไม่ไปก็ไม่รู้ตอนนั้นคิดแค่เพียงว่าสวนสนุกกับร้านขายของเล่นไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับฮยอกแจเลยถ้าไม่มีทงเฮอยู่ด้วยกัน


    เด็กชายวัยเจ็ดขวบจึงเริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่ที่แสนอบอุ่นไม่ต่างไปจากที่เคยเป็นอยู่ เพราะความสนิทสนมระหว่างสองบ้านที่มีมาตั้งแต่รุ่นคุณแม่ยังสาวช่วยลดช่องว่างต่างๆลงไปได้มากโข


    อีซอนฮวาจึงเป็นเหมือนแม่คนที่สองของฮยอกแจนับตั้งแต่นั้นมา














    วันเวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเชื่องช้า







    จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงชีวิตมัธยมที่เต็มไปด้วยสีสันเรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามามากมายหล่อหลอมให้เด็กเจ็ดขวบที่ดูไม่ประสีประสาในวันนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทีละนิด



    ที่สำคัญฮยอกแจได้ตื่นเช้ามาเจอหน้าทงเฮทุกวันสมใจอยากจริงๆ




    กระทั่งชีวิตเดินทางมาถึงจุดพลิกผันที่สอง ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตวัยรุ่น คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยและเขายังคงจำได้แม่นยำว่าตัวเองดีใจแค่ไหนตอนที่รู้ว่าสอบติดที่เดียวกับทงเฮ

    แต่เพราะมหาวิทยาลัยที่สอบติดอยู่ห่างไกลจากบ้านตั้งเยอะ จะไปมาก็ลำบาก ทำให้ต้องย้ายออกมาเช่าคอนโดใกล้ๆอยู่ด้วยกัน

     ตอนแรกฮยอกแจก็ดีอกใจจนลืมคิดไปเสียสนิทว่าการใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมกับคนอย่างทงเฮตามลำพังแค่สองคนโดยไม่มีอีซอนฮวาอยู่ด้วยมันไม่ใช่เรื่องง่ายคนเอาแต่ใจแบบนั้นน่ะ



    ฮยอกแจดูกีต้าร์ให้หน่อยดิ เป็นรอยปะวะเมื่อกี้ตกพื้นแรงสัส







    นั่นปะไร

    ทุกวันนี้กูก็งงว่าตัวเองมาเรียนหนังสือหรือมาคอยรับใช้มันกันแน่ ฮยอกแจกลอกตา ก่อนจะเดินไปสำรวจความเรียบร้อยของกีต้าร์โปร่ง พอเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหายนอกจากรอยขีดเล็กๆตอนตกกระทบพื้นก็พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้ว่ามันยังโอเค


    ร่างเล็กละมือจากกีต้าร์ไปสนใจตุ๊กตามือตัวใหญ่ที่ถูกวางทิ้งไว้บนเตียงแทน นี่คงไม่พ้นพวกบรรดาแฟนคลับสาวๆของทงเฮให้มาอีกเหมือนเดิม บางวันก็ช็อคโกแลต บางวันก็เป็นขนมแพงๆ ถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวก็ดีหน่อยได้เสื้อโค้ทยี่ห้อดีมา





    ไม่อยากเชื่อว่าคนนิสัยไม่ดีแบบนั้นจะมีคนเข้าหาจนนับไม่ถ้วน






    ฮยอกแจเบ้ปากน้อยๆ ทีกับเขาไม่เห็นจะมีคนเอาอะไรมาให้แบบนั้นบ้างเลยนอกจากช่วงเทศกาล ทงเฮนี่แม่งได้แบบวันเว้นวัน แต่ว่านะพวกสาวๆคงเสียใจแย่ถ้ารู้ว่าของที่พวกเธอตั้งใจซื้อให้ ท้ายที่สุดแล้วมันตกมาเป็นของฮยอกแจทั้งหมด






    เป็นบ้าเหรอนั่งยิ้มคนเดียว

    เสียงปีศาจร้ายลอยมาขัดจังหวะความคิด ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นจากเจ้าตุ๊กตาหมีอย่างเสียอารมณ์  คนกำลังคิดอะไรเพลินๆไอ้นี่ก็ชอบขัดจัง


    ยุ่ง

    ว่างนักใช่มั้ยงั้นมาทำนี่เลย


    ไม่ทำตอบไปแบบไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็รู้อยู่หรอกว่าคนอย่างทงเฮมันทำกับข้าวไม่เป็น  แต่ขี้เกียจลุกไปช่วยอะมีไรป่าว




     “ตัวนี้ใครให้มาอะว่าแล้วก็ใช้นิ้วชี้จิ้มๆลงไปบนหัวตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อนที่ราคาคงแพงพอตัว







    ซองมิน






    “………”




    หน้าตึงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำตอบ รอยยิ้มสว่างไสวจางหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือเรียวจะจัดการถีบส่งเจ้าตุ๊กตาหมีไปให้ไกลตัวที่สุด เพราะหลังจากรู้ว่าเจ้าของเป็นใครแล้วก็เกิดเหม็นขี้หน้ามันขึ้นมาทันที

    คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำครัวคงไม่ได้ทันสังเกตว่าอีกฝ่ายมีท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าหน้ามือเป็นหลังมือ ทงเฮเอาแต่ตีหน้ายุ่งไม่เข้าใจว่าควรจะเริ่มทำอาหารพวกนี้ยังไง

    เพราะปกติถ้าเบื่ออาหารสำเร็จรูปก็จะซื้อเข้ามาทำกินเองแบบนี้ และหน้าที่ของทงเฮก็มีแค่ซื้อของเข้ามาแล้วจัดเตรียมไว้ให้ฮยอกแจลงมือทำเท่านั้น

    ส่วนร่างเล็กที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุตัดสินใจลุกขึ้น แล้วเดินเลี่ยงไปจัดชั้นหนังสือด้วยความหวังว่าตัวเองจะอารมณ์ดีขึ้น








    ปลายนิ้วเรียวไล่หาอัลบั้มรูปสมัยที่ยังเป็นเด็ก

    บางทีควรจะหยิบมันออกมาปัดฝุ่นเสียบ้าง









    หน้าแรกถูกเปิดออกอย่างเบามือ ตาคู่สวยไล่มองตั้งแต่รูปแรกไปเรื่อยๆ เผลอคลี่ยิ้มออกมาให้กับเด็กชายสองคนที่กอดคอกันฉีกยิ้มในภาพ ลืมไปเสียสนิทว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีตัวเองอยู่ในอารมณ์เช่นไร






    เด็กชายสองคนที่ไม่เคยห่างกันแม้แต่สักครั้งเดียว

    มองแล้วก็อดจะยิ้มตามไปไม่ได้






    แล้วความรู้สึกบ้าๆแบบนั้นจะมาเกิดขึ้นกับไอ้เด็กท่าทางแก่นแก้วแบบนี้เนี่ยนะนั่นน่ะมันน่าขนลุกจะตายไปไม่ใช่หรือไง

    ฮยอกแจหัวเราะแบบไม่ใส่ใจอะไรนัก เขาปัดไล่มันทิ้งไปทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนทุกครั้ง แล้วปล่อยให้ตัวเองเพลิดเพลินไปกับเรื่องราวเก่าๆในวัยเด็ก ทุกความทรงจำผ่านสายตาไปช้าๆ จนกระทั่ง






    ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


    ใครบางคนตะโกนแหกปากลั่นทำลายภาพแสนสวยงามในหัว





    ฮยอกแจห่อไหล่แล้วกลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะบรรจงพับอัลบั้มภาพเก็บเข้าชั้นตามเดิม ร่างบางหยัดตัวลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหาทงเฮที่กระโดดเหยงๆเข้ามาเกาะ




    อะไรของมึงเนี่ย

    น้ำมันกระเด็นใส่แขนนนฟงหวกฟหวงฟหงกวดสงวหกด

    โอ้ย


    แค่นี้เนี่ยนะ! ฮยอกแจตะโกนลั่นอยู่ในใจ อยากจะดึงคนขี้โวยวายมาทุบให้หัวแตก คือแค่น้ำมันพืชกระเด็นโดนแขนแค่นี้มันจะตายไหมถามนิดหนึ่ง เบาแก๊สก็จบละป่ะ

    หลบไปไกลๆเลยไปออกแรงผลักร่างหนาไปอีกทาง แล้วเข้าไปจัดการสิ่งที่ไอ้ตัววุ่นวายนั่นทำเละเทะไว้โดยไม่ลืมหันกลับมาชี้หน้าสั่งเสียงเฉียบ วันหลังไม่ต้องคิดจะทำอีกเลยนะ เข้าใจมั้ย

    ก็ให้มาทำแล้วไม่มาเองนี่…”

    ทงเฮว่าพลางลูบแขนตัวเองไปมาหน้าบูดเบี้ยว ฮยอกแจเลยเบ้ปากกลับไปทำนองว่ากูหมั่นไส้มึงสุดๆเหมือนกันไม่ต้องมาทำหน้าตาเป็นหมาน้อยน่าสงสารเลยคิดว่าจะยอมใจอ่อนหรือยังไง

    ยืนถกเถียงกันไปมาอยู่พักใหญ่ ตัวปัญหาที่สำนึกผิดได้แค่สามนาทีก็รีบจรลีออกไปคุยโทรศัพท์นอกระเบียงเหมือนอย่างเคยทุกวัน  

    ร่างบางมองแผ่นหลังกว้างของเพื่อนสนิท ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เรียกได้ว่าโคตรจะธรรมดาสำหรับเด็กมหาลัยที่จะมีฟงมีแฟน













    ไม่รู้สึกอะไรจริงๆ














    สาบานได้ เขาไม่เคยรู้สึกอะไรเวลาที่ทงเฮคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงอาจเป็นความเคยชินเพราะตั้งแต่เข้ามัธยมมานี่คนเข้าหามันเป็นร้อยๆคนได้แล้วมั้ง แล้วคนที่เป็นเพื่อนสนิทอย่างเขามีเหรอที่จะไม่รับรู้



    จริงๆก็ไม่จำเป็นต้องไปรู้สึกอะไรอยู่แล้วนี่นา



    เพื่อนมีแฟนไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย ใช่ป่ะล่ะ เพราะยังไงทงเฮก็แสดงออกให้รู้อยู่ตลอดว่าคนที่เข้ามานั้นไม่เคยมีใครสำคัญไปกว่าฮยอกแจเลยแม้สักคนเดียว เท่าที่เห็นมันก็ไม่เคยจริงจังกับใคร ไม่เกินสองสามเดือนก็เลิกไปหมดด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่ามันเอาใจใครไม่เป็น













    แต่

    ฮยอกแจเลื่อนสายตามามองตุ๊กตาหมีที่ถูกวางไว้มุมห้อง

    ใบหน้าของใครคนหนึ่งก็ปรากฎขึ้นมาในห้วงความคิด














    อีซองมิน

     






     

    ซองมินเขามาขอกูคบ

    ซองมิน?’

    เออ คนเรียนที่เดียวกับเราตอนมอปลายไง ซองมินห้องสาม

    คนที่ผิวขาวหน้าตาน่ารักคนนั้นน่ะเหรอ

     





     

    ยินดีที่ได้รู้จักนะฮยอกแจ

    เสียงหวานน่าฟังและรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหล

     




     

    ฮยอกแจผิวขาวเนอะซีดยังกับคนตาย…’

    ความอ่อนโยนทั้งในแววตาและการกระทำ

     




     

    ‘…หุ่นก็ดีแต่ดูขี้โรคจัง

    เขาไม่เคยลืม

     



     

    ได้ยินจากทงเฮว่าฮยอกแจวาดรูปเก่งมากเลย เออจะว่าไปมีเพื่อนอย่างฮยอกแจเนี่ย ชีวิตทงเฮไม่ค่อยดีขึ้นเลยเนอะ

    ฮยอกแจไม่เคยลืม

     




     

    ฮยอกแจสนิทกับทงเฮมากใช่มั้ยแต่ก็คงได้แค่นั้นแหละ

    ไม่เคยลืมคำพูดที่ร้ายกาจถูกซ้อนไว้ภายใต้ใบหน้าอันใสซื่อบริสุทธิ์

    รอยยิ้มหวานที่เคลือบแฝงด้วยยาพิษ

     


     

    เป็นครั้งแรกที่ฮยอกแจรู้สึกไม่ชอบใจเลยจริงๆ พูดจริงๆไม่ได้โกหก เป็นครั้งแรกที่เกิดเหม็นขี้หน้าขึ้นมาไม่มีเหตุผล ไม่ชอบ ไม่อยากให้คบ มากมายหลายสิ่งแต่ไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่ประท้วงอยู่ในใจเงียบๆอารมณ์เหมือนเด็กโดนแย่งของเล่นชิ้นโปรดที่ไม่ใช่ของตัวเอง

     

     

    ในเมื่อไม่ใช่ของตัวเองก็ไม่มีสิทธิ์หวงก็ถูกแล้ว

     

     

    อยากจะตบหัวตัวเองเผลอไม่ได้เป็นต้องคิดอะไรดราม่าตลอด  พยายามจะไม่สนใจแล้วแต่ก็ยังทำไม่ได้นี่มันน่าโมโหจริง ฮยอกแจสะบัดศีรษะแรงๆไล่ความคิดอกุศล แล้วหันมาจัดการกับภาระกองโตตรงหน้า  



    เขาจะไม่เก็บความรู้สึกแบบนั้นมาใส่ใจอีก



    และภาวนาว่าสักวันมันจะหายไปจริงๆสักที

     

     

     



    TBC

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×