คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : chapter 9
9
บางทีฟ้าหลังฝนก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดเสมอไป…
การจราจรตอนเย็นดูวุ่นวายสมกับเป็นเมืองหลวง ผู้คนมากมายเร่งสัญจรไปมาแข่งกับเวลาและเพื่อหนีจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
ก่อนหน้านั้นฮยอกแจเคยคิดว่าอยากจะมีเวลาออกมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะดูบ้าง อยากจะลองเอนหลังลงบนพื้นหญ้า มองท้องฟ้า มองก้อนเมฆเคลื่อนตัวผ่านไป อยากจะมีช่วงเวลาที่ไม่ต้องคิดอะไรบ้าง…
ไม่คิดเลยว่าวันนี้ฮยอกแจจะได้ทำทุกอย่างสมใจ
“มึงจะทำยังไงต่อ”
คนที่นอนอยู่ข้างๆถามขึ้น ฮยอกแจส่ายหน้าเป็นคำตอบ ดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักทอดมองท้องฟ้า ก่อนที่รอยยิ้มบางๆจะปรากฎขึ้นบนใบหน้า
เขาพยายามยิ้ม ทั้งที่ยังคงปวดหนึบตรงฝ่ามือ…ส่วนความเจ็บปวดที่ข้างแก้มก็ยังไม่จางหายไปเช่นเดียวกัน
ทงเฮกับซองมิน…
…สองคนนั้นได้ฝากรอยแผลไว้ให้ฮยอกแจอย่างเจ็บแสบ
พอคิดขึ้นมา น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วพาลจะไหลลงมาอีกรอบจนเจ้าตัวนึกโมโหตัวเอง
“อยากรู้สึกดีขึ้นป่ะ” คยูฮยอนยันตัวขึ้นนั่ง แล้วเอี่ยวหน้ากลับมามองเพื่อนสนิท “ลุกขึ้นมาเร็ว”
ฮยอกแจขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมลุกขึ้นตามคำสั่งของอีกฝ่าย ภาพตรงหน้าเป็นบ่อน้ำที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ติดจะสกปรกด้วยซ้ำเพราะไม่ค่อยมีคนมาดูแล แต่พอได้กระทบเข้ากับแสงแดดอ่อนๆแล้วกลับดูสวยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
“เห็นนี่มั้ย”
คยูฮยอนหยิบก้อนหินขึ้นมาชูตรงหน้า ก่อนจะปามันลงไปในบ่อน้ำ
“มีคนเคยบอกว่า ก้อนหินก็เหมือนความทุกข์ที่อยู่ในใจของคนเรา เหมือนปัญหาที่เราแบกไว้บนบ่า…เพราะงั้นถ้าเราปามันออกไปไกลแค่ไหน เราก็จะสบายใจมากขึ้น”
ร่างบางขมวดคิ้วมองคยูฮยอนด้วยสายตาไม่เข้าใจอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ก้อนหินก้อนหนึ่งจะถูกยื่นมาให้ พร้อมกับรอยยิ้มที่สว่างไสวของเพื่อนสนิท “ลองดู”
ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจลองปามันออกไปไกลๆตามที่ร่างโปร่งบอก ก้อนหินที่อีกฝ่ายเปรียบเปรยว่าเป็นความทุกข์ในใจลอยลิ่วไปตามแรงส่ง ก่อนจะจมหายลงไปในแม่น้ำเหลือเพียงคลื่นที่กระจายเป็นวงกว้าง
“เป็นไง ดีขึ้นมั้ย”
ฮยอกแจหัวเราะเป็นคำตอบ มีบางอย่างที่อยากบอกให้อีกฝ่ายรู้
คือความจริงแล้วหินพวกนี้ไม่จำเป็นหรอก แค่มีคนคอยนั่งรับฟังในทุกๆเรื่อง เวลาที่แย่ที่สุดเขาก็ยังไม่หนีไปไหน…เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับฮยอกแจ
และคยูฮยอนเป็นคนนั้นให้เขาได้เสมอ…
รอยยิ้มเล็กๆค่อยระบายออกมาอย่างยากเย็น ดวงตาคู่สวยทอดมองไปไกล ไม่นานแสงแดดอ่อนๆก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยบรรยากาศมืดครึ่ม
…ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว
“กลับกันเถอะ” คยูฮยอนหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะยื่นมือลงมาให้ฮยอกแจจับ “มึงไม่สบายอยู่ เดี๋ยวฝนตกแล้วจะลำบาก”
ร่างบางนิ่งไปชั่วขณะ…ก่อนจะวางมือลงบนฝ่ามือใหญ่นั้น
ถ้าทงเฮแคร์เขาเหมือนคยูฮยอนสักนิดก็คงดี…
ปาร์คจองซูตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นคยูฮยอนหิ้วฮยอกแจกลับมาคอนโดอีกครั้ง แถมยังอยู่สภาพที่เรียกได้ว่าย่ำแย่กว่าเมื่อเช้าเยอะ เขาไม่ลังเลที่จะรีบกระวีกระวาดหาเสื้อโค้ทหนาๆมาให้เพราะเห็นว่ากายบางสั่นเทาพร้อมจะล้มลงไปกองได้ทุกเมื่อ
แล้วสองพี่น้องก็หันมาสามัคคีกันเป็นธุระหาข้าวหาน้ำหายาให้คนป่วยกิน รวมไปถึงทำแผลที่ฝ่ามือกับแผลใหม่ที่มุมปากด้วย แม้ว่าจองซูจะไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนักเพราะฮยอกแจไม่ยอมปริปากเล่า แต่เขาก็มั่นใจในระดับหนึ่งว่าคงไม่พ้นทะเลาะกับทงเฮแล้วลงไม้ลงมือกัน
“ไปนอนก่อนมั้ย”
คยูฮยอนวางมือลงบนหน้าผากร่างบาง ก่อนจะเสนอให้ไปนอนพักเถอะ เอาแต่นั่งทำหน้าเหมือนคนแบกโลกไว้ทั้งใบแบบนี้แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรดีขึ้น ซ้ำยังจะเท่ากับเป็นการทรมานตัวเองมากกว่าเดิม
“เดี๋ยวก็ได้ไปนอนเล่นโรงบาลขึ้นมาจริงๆ”
จองซูช่วยสมทบขึ้นมาอีกคน พวกเขารู้ดีฮยอกแจหัวดื้อเกินกว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของใคร นอกจากคิมฮีชอลแล้วก็ดูเหมือนว่าคนตัวเล็กนี่จะต่อต้านไปเสียหมด
“เพิ่งจะหกโมงเอง”
“ก็ไปนอนก่อน”
คยูฮยอนพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลากคนป่วยไปนอน แม้จะรู้ว่าฮยอกแจคงมีเรื่องให้ต้องคิดมากมายจนหลับไม่ลงก็ตาม
“ฮยอกแจไปนอนเถอะ”
“ก็มันยังไม่ง่วงเลยนี่นา”
“อยากตายหรือไง”
จนในที่สุดปาร์คจองซูก็ตัดสินใจปรับตัวเองเข้าสู่โหมดจริงจังแล้วใช้สิทธิ์ความเป็นพี่ใหญ่สั่งสอนเด็กหัวดื้อตรงหน้านี่เสียเลย
“ใครจะทำให้มึงเสียใจยังไงกูไม่รู้หรอกนะ แต่คือมึงก็ไม่ควรมานั่งทำร้ายตัวเองซ้ำสองแบบนี้ปะวะ ไปนอนพักก่อนไป แล้วตื่นมาค่อยคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงต่อ”
“……………….”
“เห็นมั้ยว่าตอนนี้มันก็ยังอยู่กับแฟนของมัน ไม่เห็นจะมาสนใจสักนิดว่ามึงจะเป็นยังไง เพราะงั้นถึงมึงนั่งเสียใจไปให้ตายมันก็ไม่มารับรู้อะไรกับมึงด้วยหรอก”
“…………………”
“คือกูจะบอกว่ายังไงก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ปะวะฮยอกแจ เพราะมึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเรียกร้องอะไร”
หน้าชา…
“พี่ทึก…นี่ปลอบหรือซ้ำ”
“ซ้ำ”
“สัส”
“ซ้ำให้มึงรู้ตัวไงว่าตอนนี้มึงยืนอยู่ตรงไหน”
คยูฮยอนหัวเราะกับคำพูดของคนเป็นพี่ชาย ก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วเอนหลังพิงกับโซฟา เขาปิดเปลือกตานิ่งรอฟังประโยคถัดไปเช่นเดียวกันกับร่างบางที่นั่งนิ่งคิดตามคำพูดเมื่อครู่
“ฮยอกแจรู้มั้ยว่าไม่มีใครในโลกที่ร้องไห้ไปจนถึงตอนจบหรอก”
“…………….”
“วันนี้มึงอาจจะต้องเป็นฝ่ายที่ต้องมานั่งเจ็บใจ แต่ใครจะรู้วะ วันข้างหน้ามึงอาจจะเป็นคนที่หัวเราะได้ดังที่สุดในโลกก็ได้”
น้ำเสียงและแววตาที่อบอุ่นของจองซู กับรอยยิ้มบางของคยูฮยอนที่นอนอยู่ข้างๆทำให้ฮยอกแจรู้สึกดีขึ้นมาได้ไม่ยากเย็นนัก
คยูฮยอนถอนใจก่อนจะวางมือลงบนไหล่บาง
“ยังไหวใช่มั้ย”
“ไหวมั้ง” ฮยอกแจตอบเสียงเบาก่อนจะหัวเราะออกมาจนตาปิด
บางทีคยูฮยอนก็นึกสงสัยว่าทำไมคนตรงหน้านี้ถึงได้ดื้อรั้นแล้วก็เก็บความรู้สึกเก่งได้ขนาดนี้ อดทนเดินเท้ามาตั้งไกลทั้งที่อากาศก็หนาว โดยมีแค่เสื้อนักศึกษาบางๆเพียงตัวเดียว
…มันน่าจับมาตีเสียให้เข็ด
“คราวหลังอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกรู้ไหม”
คยูฮยอนใช้นิ้วเคาะลงไปบนศีรษะของร่างเล็กเบาๆ เขาลองคิดเล่นๆว่าถ้าสมมติฮยอกแจเดินๆอยู่แล้วเป็นลมล้มพับลงไปกลางถนนนี่คงได้กลายเป็นศพนอนแข็งตายอยู่ตรงนั้น
“พูดเหมือนเป็นเด็ก”
“แล้วเด็กไหมล่ะ?”
“ไม่…”
“ไม่มีผู้ใหญ่ที่ไหนเขาทำตัวดื้อด้านแบบนี้หรอกรู้ไว้ซะ”
คยูฮยอนโน้มตัวลงไปใช้นิ้วจิ้มหน้าผากจนร่างเล็กแทบหงายหลัง จากนั้นสงครามเล็กๆก็บังเกิดท่ามกลางเสียงถอนหายใจของปาร์คจองซู
สุดท้ายฮยอกแจก็จมหายไปในอ้อมกอดของคยูฮยอน…สองแขนยกขึ้นโอบรัดร่างโปร่งเอาไว้แน่นราวกับกลัวว่าที่พักพิงสุดท้ายจะหายไป ไหล่บางสั่นไหวตามแรงสะอื้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เก็บสั่งสมไว้ถูกระบายออกมาให้อีกฝ่ายรับรู้โดยไม่ต้องมีคำพูดใด
“ร้องไห้บ้างก็ได้ฮยอกแจ”
ถ้าการเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวมันจะทำให้อึดอัดจนทนไม่ไหวขนาดนั้น คยูฮยอนก็อยากให้ฮยอกแจได้ระบายออกมาเสียบ้าง อย่างน้อยก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาเผื่อว่าจะสบายใจขึ้น
ถึงแม้ว่าความจริงเขาชอบมองฮยอกแจยิ้มมากกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้มาจากความสุขที่แท้จริงแล้วรอยยิ้มนั้นก็คงไม่มีความหมายอะไร
“ไปนอนพักก่อนไป” ว่าพลางดันตัวอีกฝ่ายออก คราวนี้ฮยอกแจพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายเพราะเริ่มรู้สึกเพลียๆอยากจะพักขึ้นมาบ้างแล้ว
ร่างบางที่เจอเรื่องมากมายรุมเร้าเข้ามาภายในวันเดียวทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง ก่อนจะปิดเปลือกตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ไม่นานก็ผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
คยูฮยอนมองการกระทำนั้นเงียบๆ เขานั่งรออยู่สักพักก่อนจะลุกเดินไปนั่งข้างเตียงอย่างระมัดระวังไม่ให้อีกฝ่ายตกใจตื่น
ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน จ้องมองใบหน้าขาวซีดที่ยังหลงเหลือร่องรอยของความเจ็บปวดแม้กระทั่งตอนที่อยู่ห้วงนิทรา เขารอจนแน่ใจว่าฮยอกแจหลับสนิทแล้วจึงทำท่าจะลุกขึ้น แต่ทว่า…
“ทงเฮ…”
หันหลังกลับไปมองร่างเล็กที่ขดตัวแน่นอยู่ใต้ผ้าห่ม ริมฝีปากซีดเซียวเอาแต่ร้องเรียกชื่อของคนที่ไม่เคยแม้แต่จะมาสนใจ
หยาดน้ำใสไหลรินออกมาจากหางตาอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งจะหยุดไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนแท้ๆ
แม้แต่ในฝัน…ฮยอกแจก็ยังหนีความเจ็บปวดไปไม่พ้น
แล้วเขาต้องทำยังไง…
“แค่อยู่เป็นเพื่อนนี่ก็พอแล้ว…”
คนผมบลอนด์ว่าพลางหัวเราะ มือเรียวรับเสื้อโค้ทมาสวมทับอีกชั้นเพื่อบรรเทาความหนาวเหน็บ
หรืออีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้คนตรงหน้านี้สบายใจขึ้น
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ขึ้นไปด้วย”
“อื้อ ไม่เป็นไรจริงๆ แล้วจะรีบลงมา”
“งั้นจะรออยู่ข้างล่างนี่…อย่านานนักล่ะ มันหนาว”
ฮยอกแจพยักหน้า ก่อนจะชูมือขึ้นประมาณว่าโอเค แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลบนใบหน้าของคยูฮยอนจางหายไปซะทีเดียว
เขามองตามแผ่นหลังบางไปจนกระทั่งพ้นสายตา ก่อนจะเดินอ้อมกลับมานั่งรอในรถเพราะรู้สึกว่าอากาศเย็นๆนี่ชักจะเริ่มทำให้เขาไม่ค่อยสบายตัวขึ้นมาเสียแล้ว
คยูฮยอนทอดสายตามองไปยังถนนข้างนอกที่นานๆทีจะมีรถแล่นผ่านมาซักคัน ปลายนิ้วเรียวเคาะลงบนพวงมาลัยฆ่าเวลา ก่อนจะเบือนหน้ากลับมามองตัวเลขดิจิตอลบนหน้าปัด
ตีหนึ่งกว่า…
หลังจากที่ฮยอกแจหลับไปได้ซักพัก ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งตอนเที่ยงคืนเศษ แล้วบอกเพียงว่าจะกลับมาที่นี่…แน่นอนว่าเขาพยายามคัดค้านอย่างสุดตัว แต่ร่างบางก็ยังยืนกรานว่ายังไงก็จะไป
ถึงแม้เจ้าตัวจะพูดชัดเจนว่าแค่กลับไปเก็บเสื้อผ้า ไม่ได้อยู่นานหรอก แต่คยูฮยอนก็ปล่อยให้ไปคนเดียวไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องขับรถมาส่งคนตัวบางทั้งที่อุณหภูมิอากาศติดลบ
เขาพอจะรู้เหตุผลแท้จริงที่ทำให้ฮยอกแจย้อนกลับมาที่นี่
…ทงเฮ…
พอนึกถึงคนคนนั้นก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้…คยูฮยอนไม่เคยเข้าใจเลยว่าทงเฮมีดีอะไรนักหนา…จนถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมยังได้รับความห่วงใยมากมายจากฮยอกแจอยู่อีก
คนแบบนั้นสมควรจะได้รับบทเรียนบ้างไม่ใช่หรือไง ขนาดว่าเขาออกปากเตือนไปแล้ว แต่ก็ยังไม่วายจะสร้างเรื่องให้ตัวเองอีกจนได้ นี่ถ้าเขาเป็นฮยอกแจนะ เขาจะไม่มีวันกลับมาที่นี่เลยเถอะ…
แต่เด็กดื้อที่ชื่ออีฮยอกแจคนนั้นน่ะ…
เด็กดื้อคนนั้น…ห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่แล้วนี่นะ
The only thing harder than walking away,
… is not looking back.
โถงทางเดินที่เงียบสงบ…
ร่างบางยืนนิ่ง ตรงหน้าคือบานประตูที่แสนคุ้นเคย แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะเปิดมันเข้าไป เสียงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งแข่งกับเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่ข้างนอก อย่างหลังนี่เหมือนจะย้ำเตือนว่าอีกแค่ไม่กี่อึดใจฝนคงจะตก…และเขาจะมัวมาลังเลอยู่อย่างนี้ไม่ได้
ฮยอกแจสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วหมุนลูกบิดเข้าไปโดยตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่หันไปสนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากเก็บเสื้อผ้าแล้วรีบออกไปจากที่นี่
หลังจากบานประตูเปิดออก สิ่งแรกที่ฮยอกแจเห็นคือ บนเตียงกว้างยังคงมีร่างของใครคนหนึ่งนั่งอยู่…เป็นภาพเดียวกันกับเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
ร่างบางเบือนหน้าหนีไม่สนใจ มือเรียวเลื่อนเปิดประตูตู้เสื้อผ้า
ก็แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วรีบเก็บของออกไปซะก็คงจบ
แต่ทว่าในความเป็นจริงมันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น…
กลิ่นหอมจางๆที่จำได้ขึ้นใจทำให้ทุกอย่างหมุนติ้ว และเมื่อมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในหัวก็เริ่มร้อนรนคิดหาทางว่าเขาต้องทำยังไงจึงจะออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับทงเฮ
ฮยอกแจกัดริมฝีปากตัวเองจนรู้สึกเจ็บ มือเรียวเริ่มทรยศด้วยการสั่นเทาจนหยิบจับอะไรมั่วไปหมด ไม่รู้ว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน แต่เขารู้สึกว่ามันยากมากจริงๆที่จะประคองไหล่ตัวเองให้ไม่สั่นไหวได้ในสถานการณ์เช่นนี้
สองมือรีบกวาดเอาเสื้อผ้าที่แขวนไว้บนราวเหล็กทั้งหมดใส่ลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อย่างลวกๆ
ฮยอกแจไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่จะปิดประตูตู้ให้สนิท ทันทีที่รูดซิปปิดร่างบางก็หันหลังเตรียมพาตัวเองออกไปจากที่นี่ทันที
แต่…
“ฮยอกแจ…”
แรงฉุดรั้งเบาๆที่ต้นแขนทำให้ร่างทั้งร่างหยุดชะงัก…
ความเงียบเกิดขึ้นเพียงชั่วอึดใจ และตอนนั้นเองที่ฮยอกแจเผลอโยนความตั้งใจทิ้ง แล้วหันหลังกลับไป…ก่อนจะพบว่าเจ้าของกลิ่นหอมๆนั้นยืนอยู่ใกล้เพียงแค่คืบเดียว
“ขอโทษ…”
คำเดียวที่ทำให้ฮยอกแจพร้อมจะลืมทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมๆกับคนตรงหน้า…เหมือนอย่างทุกครั้งที่เขาไม่เคยโกรธทงเฮเลยไม่ว่าทงเฮจะทำให้เจ็บช้ำมากมายขนาดไหน
แค่คำขอโทษคำเดียว…ฮยอกแจก็พร้อมจะให้อภัย
ทุกอย่าง
“ขอโทษนะฮยอกแจ ขอโทษ…”
มือหนาเลื่อนลงมาจับข้อมือบางไว้ด้วยสายตาวิงวอน
รั้งไว้ทำไม…
…รั้งทำไม
ถ้าไม่ได้คิดอะไรแล้วทำแบบนี้ทำไม
ทุกอย่างที่เพื่อนสนิทคนนี้ทำให้ ทั้งรอยยิ้ม และการกระทำที่มีไว้เพื่อเขาคนเดียวมาตลอดตั้งแต่จำความได้ เขายังคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ได้อยู่ใช่มั้ย…
“ทงเฮ…”
ความจริงแล้วทุกอย่างที่อยู่ข้างในนี้…
ฮยอกแจก็อยากจะพูด…อยากจะบอกออกไป
เพราะในบางครั้งที่แววตาของทงเฮคล้ายกับจะรอคอยที่จะฟังคำนั้นอยู่เช่นกัน มันอาจจะเป็นอย่างที่คยูฮยอนเคยว่าไว้เมื่อนานมาแล้ว
…ทงเฮแค่ปกปิดมันได้ดีกว่าเขา
ฮยอกแจคิดแบบนั้นได้ใช่มั้ย…
‘ฮยอกแจไม่เคยโกรธทงเฮเลยนะ...’
ภาพของเด็กชายตัวผอมที่มักจะมีรอยยิ้มกว้างประดับอยู่ใบหน้าฉายชัดเจนในความทรงจำ…ยังคงจำได้ดีว่าเมื่อก่อนนั้นไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาก็ไม่เคยคิดโกรธคนตรงหน้านี้เลยสักครั้ง
‘ฮยอกแจอภัยให้ทงเฮทุกเรื่องเลย’
ไม่ว่าจะกี่ครั้ง…กี่หน
“ทงเฮ”
แต่ว่าครั้งนี้…
“ปล่อย”
ชักแขนออกจากมือหนาก่อนจะก้าวถอยหลังออกห่าง เลือกที่จะกลบเกลือนความอ่อนแอด้วยการตวัดสายตาขึ้นมองคนตรงหน้าอย่างเฉยชาราวกับว่าข้างในไม่ได้รู้สึกอะไร
แม้ความเป็นจริงจะสวนทางก็ตาม แต่เขาจะปล่อยให้ความเข้มแข็งที่เพียรสร้างมาตลอดพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าแบบนี้ไม่ได้…ไม่มีทาง
ฮยอกแจหลับตาลงเพื่อข่มความรู้สึกไว้ไม่ให้มันล้นทะลักออกมาจนกลายเป็นว่ากลับไปใจอ่อนอีกครั้ง
“ขอร้อง”
กายบางกระตุกวูบอีกครั้งเพราะสัมผัสหนักหน่วงที่ช่วงขา
ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายเต้นรัวแรงราวกับจะหลุดออกมาเมื่อคิดไปว่าเจ้าของสัมผัสนี้ที่รักศักดิ์ศรีเท่าชีวิตกำลังคุกเข่าอ้อนวอน…
“อย่าไปเลยนะ…”
ฮยอกแจหลุบตาลงมองฝ่ามือสั่นเทาที่พยายามเหนี่ยวรั้งเขาไว้ แม้จะไม่ได้ออกแรงมาก แต่ก็เพียงพอให้เริ่มลังเลใจได้อีกครั้ง
ความแน่วแน่ถูกหลอมละลายลงอย่างช้าๆ ขนาดที่ว่าถ้าหากหันกลับไปมองเพียงนิดเดียวฮยอกแจก็อาจจะยอมโอนอ่อนให้คนนิสัยไม่ดีแบบนี้เหมือนที่ผ่านมา
ไม่ได้โกรธ…ไม่เคยโกรธเลยสักนิด
…แล้วก็ไม่ได้อยากเดินจากไปแบบนี้
ข้างในร่ำร้องออกมาแบบนั้น… ชั่ววูบหนึ่งที่เกือบจะละทิ้งความตั้งใจ ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแล้วหันกลับไปเป็นอีฮยอกแจคนเดิมที่ยอมคนตรงหน้านี้ได้ทุกเรื่อง
แต่ทว่ากลับฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าคยูฮยอนรออยู่ข้างนอก
และเขา…ก็ตัดสินใจไปแล้ว
“ดูแลตัวเองด้วยนะ…”
แค่ขยับขาเพียงนิด ฝ่ามือที่อ่อนแรงนั้นก็หลุดออกอย่างง่ายดาย ทิ้งคำพูดไว้ก่อนจะฝืนใจเฮือกสุดท้ายก้าวเท้าออกมาจากห้องนั้นโดยที่ไม่หันกลับไป ไม่มีแม้น้ำตาซักหยดให้ใครบางคนหัวเราะเยาะ…
ทั้งที่…ความจริงแล้ว
“อึก…” ก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกอยู่กลางลำคอทันทีที่บานประตูปิดลง แล้วภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนจนแทบจะมองไม่เห็น
ฮยอกแจพาตัวเองเดินเข้าไปในลิฟต์ ทอดสายตามองตัวเลขดิจิตอลที่นับถอยหลังอย่างเชื่องช้า และความเงียบนั้นเองที่ทำให้ความอ่อนแอถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาเห็น
เขาอาจจะเพิ่งสำเหนียกตัวเองได้ว่าเขาไม่ได้เก่งขนาดจะฝืนทำเป็นไม่รู้สึกอะไรไปได้ตลอด สุดท้ายแล้วความเข้มแข็งจอมปลอมก็ถูกความรู้สึกแท้จริงทำลายทิ้งอยู่ดี
สุดท้าย…ก็กลับมาเป็นอีฮยอกแจที่แสนจะอ่อนแอคนเดิม
TBC
ความคิดเห็น