ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    HAEEUN - LITTLE BOY

    ลำดับตอนที่ #10 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - END

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 57



    FINALE



















    มีคนเคยบอกว่าความรักมีอานุภาพมหาศาลที่ทำให้คนเราสามารถลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่เพื่อใครสักคนได้




    มันจริงเหรอ?



    ผมเคยถามตัวเองแบบนั้น




    มีคนเคยบอกอีกว่าในความรักนั้นมีองค์ประกอบมากมายหลายอย่าง คำจำกัดความของมันก็มีเยอะแยะเสียจนพูดไม่หมด ถ้าคุณลองเดินเข้าไปถามคนทั้งหมดหนึ่งร้อยคน ผมแน่ใจว่าคำตอบของทุกคนคงไม่เหมือนกัน



    ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ไม่มีคำนิยามที่ตายตัว


    สำหรับผมที่อายุเท่านี้ความรักคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย

     

     












     

                ผมเคยเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร ไม่มีฝัน ไม่มีการวางแผนอนาคต



                ผมมักจะโดนหม่าม๊าดุอยู่บ่อยๆกับความดื้อด้านและไม่เอาไหนทิ่ติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นลูกชายคนเดียวเลยทำให้ถูกตั้งความหวังไว้สูง หม่าม๊าทั้งด่าทั้งตี แต่ก็นั่นแหละ มันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง



                ชั้นหนังสือของผมเต็มไปด้วยฝุ่น หนังสือเรียนพวกนั้นยังคงใหม่เอี่ยม แน่นนอนว่าผมแตะต้องมันนับครั้งได้เลย ตรงกันข้าม ลิ้นชักเล็กๆที่อัดแน่นไปด้วยซองบุหรี่,สำรับไพ่,เศษกระดาษสำหรับจดโพย และโทรศัพท์เก่าๆอีกสามเครื่องสำหรับสับรางสาวๆกลับสะอาดสะอ้านราวกับถูกดูแลมาอย่างดี




    ผมเคยมีชีวิตแบบนั้น และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงมัน

     





















     

             อีทงเฮ!”








     

                …ซะที่ไหนกันเล่า

     






     

                “ทำไมไม่รับโทรศัพท์อีกแล้ว!”

     
     

    ผมยกมือสองข้างขึ้นมาปิดหูไว้โดยอัตโนมัติ เหมือนว่าคนตัวเล็กตรงหน้าจะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะยืนแหกปากตะคอกใส่คนอื่นต่อหน้าคนไข้มากมายแบบนี้



    พี่จะตะโกนทำไมเนี่ยว่าแล้วก็ใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวคออีกฝ่าย ก่อนจะออกแรงลากไปตามทางเดินที่ปลอดคน ปากก็พึมพำออกมาพลางยกยิ้มน้อยๆ ต้องให้ดุอยู่เรื่อย…”



    ก็แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ!”



    เพราะว่าโดนล็อคคออยู่ทำให้อีฮยอกแจทำได้เพียงเหลือบตาขึ้นมองด้วยความขุ่นเคือง




    ทีพี่ไม่รับสายผมยังไม่ว่าอะไรสักคำเลยนะ



    ก็ฉันทำงาน



    ผมก็ต้องเรียนหนังสือเหมือนกัน




    ใบหน้าของอีฮยอกแจเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หงุดหงิด อารมณ์เสีย และอีกสารพัด

    ใบหน้าของอีทงเฮเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กวนตีน กวนประสาท ยั่วโมโหและอีกมากมาย



    การโต้เถียงที่ไม่มีวันจบสิ้น และมีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวันอย่างไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน






    กิจวัตรเดิมๆที่ดำเนินมากว่าสองปี

    ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจว่าจะเดินไปด้วยกัน จนถึงวันนี้ก็สองปี แค่สองปี





    สองปีที่ระยะห่างไม่มีผลอะไรเลย  ทงเฮโตขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกันกับที่ฮยอกแจก็(ทำตัว)เด็กลงทุกวันเช่นกัน พวกเรามักจะเถียงกันในเรื่องไร้สาระ ทะเลาะด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยที่ทงเฮดึงฮยอกแจมากอดทุกครั้ง แล้วฮยอกแจก็จะหาย




    เพราะทงเฮอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ก็เลยมาหาฮยอกแจได้สะดวกกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังชอบบ่นเวลาทงเฮไม่ยอมรับโทรศัพท์อยู่ดี




    ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เจอกัน





    วันนี้พี่อยากกินอะไร




    ทงเฮถามขึ้นเรียบๆ พร้อมกับคลายแขนที่ล็อคคออีกฝ่ายออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นการคล่องคอหลวมๆแทน มือข้างหนึ่งถือโอกาสดึงแก้มฮยอกแจจนยืด



    กินไม่ลง


    โอ้โหบุญหูจริงๆนะเนี่ยทงเฮหัวเราะกับคำพูดที่นานๆทีจะได้ยิน เจอเคสหนักอีกแล้วเหรอ



    นิดหน่อย แต่เซ็งแฟนไม่สนใจมากกว่า


    โอ้โหอีกที ไม่สนใจบ้าไรครับ รู้มั้ยรีบขับรถมาหาแทบคว่ำตายกลางสี่แยกแล้วเนี่ย



    ปากเสียว่าแล้วก็ฟาดมือเข้าที่ริมฝีปากนั้นเต็มแรงจนทงเฮร้องลั่น ก่อนจะหลุดรอยยิ้มออกมาแต่ก็แสร้งเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ถูกไอ้เด็กจอมกวนประสาทนี่เอาไปล้อ




    สุดท้ายพวกเราก็จับมือกันเดินไปที่โรงอาหารใต้ตึกผู้ป่วยเหมือนอย่างทุกวัน

    กับข้าวเดิมๆ แม่ค้าคนเดิม โต๊ะข้างๆบางทีก็เป็นคนหน้าเดิมๆที่เดินสวนกันบนตึก


    แม้แต่คนตรงข้ามก็ยังเป็นคนคนเดิม



    ฟังดูเป็นกิจวัตรที่แสนจะน่าเบื่อ

    แต่อีฮยอกแจกลับไม่เคยเบื่อเลยสักครั้ง

     

     




     

     - - - - - - - - - - - 










     

    ถ้าพูดถึงโรงพยาบาล...สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร?



    โรคภัย ความสูญเสีย  เสียงร้องไห้ อุบัติเหตุ หมอ พยาบาล กลิ่นเหม็นๆ ความโศกเศร้า เสียงไอค่อกแคกของคนแปลกหน้าหรือแม้แต่ภูติผีวิญญาณก็ดูจะเป็นอีกตัวเลือกที่อยู่ในหัวของใครหลายๆคน



    ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่จรรโลงใจทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากไปนัก แต่เพราะทงเฮเป็นคนหนึ่งที่เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยยิ่งกว่าบ้าน ก็เลยเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนั้น เขาคุ้นชินทั้งกับเสียงร้องไห้ หรือแม้แต่ความวุ่นวายเวลาที่มีอุบัติเหตุฉุกเฉินเข้ามาพร้อมๆกันห้าเคส



    หากแต่วันนี้กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกต่างไปจากทุกวัน



    ก่อนหน้านี้สิบนาทีทงเฮโทรหาฮยอกแจที่เพิ่งผ่าตัดคนไข้ด่วนเสร็จ น้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ค่อยดีนักจึงพลอยทำให้คนที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย ทงเฮก้าวเท้ายาวๆไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คนในชุดขาววิ่งสวนไปมา เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด และพบกลุ่มคนที่กำลังร่ำไห้




    สองเท้าเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องของฮยอกแจทันที และเมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบร่างบางที่นั่งฟุ่บหน้าอยู่กับโต๊ะ เพียงเท่านั้นก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ไม่ยาก ทงเฮเดินเข้าไปเงียบๆก่อนจะวางมือบนไหล่บางพร้อมกับออกแรงบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ




    ไม่เป็นไรนะ



    เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮยอกแจเป็นแบบนี้ เท่าที่จำได้ก็สองสามครั้งแล้วที่การผ่าตัดไม่สำเร็จ เพราะคนไข้มาโรงพยาบาลช้าเกินไปหรือไม่ก็อาการหนักเกินกว่าจะช่วยเหลือได้



    พี่ทำดีแล้ว




    ฮยอกแจเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่สะท้อนใบหน้าของทงเฮมีประกายความเหนื่อยล้าอยู่เต็มไปหมด ร่างบางลุกจากเก้าอี้แล้วเลื่อนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของทงเฮอย่างเชื่องช้า










     


     - - - - - - - - - - - 

     

     


     

    ผมว่าพี่ควรจะลางานสักสามสี่วัน


    ทงเฮพูดขึ้นขณะที่สายตามองลงไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงโซล ปลายเท้าขยี้มวนบุหรี่อย่างลวกๆ ก่อนจะพลิกตัวกลับมามองหน้าฮยอกแจที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทั้งที่อยู่ในชุดกาวน์



    เครียดเกินไปแบบนี้ไม่ดีเลยว่าแล้วก็สอดมือเข้าใต้แขนของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นมาราวกับเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง พื้นดาดฟ้านี่มันสกปรกจะตาย ผมขี้เกียจต้องมานั่งขยี้เสื้อให้พี่นะ



    ฮยอกแจไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงเสียงถอนหายใจแรงๆเท่านั้น ทงเฮคิดว่าฮยอกแจคงหมกหมุ่นอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่สนใจอะไร เพราะขนาดเขายืนสูบบุหรี่จนหมดมวนแล้วยังไม่หันหน้ามาด่านี่ก็คงแปลได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเครียดจัดจริงๆ




    ลางานไปเที่ยวกันนะ?”



    “…………”




    เดี๋ยวขอพี่ฮีชอลให้




    ฮยอกแจยังคงไม่ตอบอะไร สายตาของร่างบางเหม่อมองพื้นดาดฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่น หัวใจที่หนักอึ้งในทีแรกค่อยๆเบาลงเมื่อได้มายืนรับลมบนดาดฟ้า และมีใครอีกคนคอยอยู่ข้างๆ




    แต่จะดีมากเลยถ้าไม่มีกลิ่นบุหรี่เป็นองค์ประกอบ!






    สูบบุหรี่เหรอพอเริ่มได้สติขึ้นมาก็รีบหันขวับกลับไปมองคนข้างๆทันที



    หมดมวนไปนานละครับคุณ


    ทงเฮใช้ศอกดันศีรษะของฮยอกแจเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว





    เมื่อกี้ว่าไงนะ


    บอกให้ลางานไปเที่ยวกัน



    เที่ยว?” ฮยอกแจทวนคำนั้นอยู่ในใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้ไปเที่ยวเลย ครั้งสุดท้ายก็น่าจะเป็นตอนเด็กๆนู้น เพราะตั้งแต่แม่จากไป ก็ดูเหมือนว่าชีวิตทึ่ควรจะสนุกสนานในวัยเด็กก็หายไปด้วยเช่นกัน




    น่าสนนะหัวเราะออกมานิดหน่อย ก่อนจะเบนความสนใจไปยังตึกสูงลิ่วที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงหน้าแทน



    นี่จริงจังนะ


    แล้วจะไปไหนล่ะ?”


    อืมเชจูมั้ย?”



    ไกลไป



    ปูซาน



    ก็ไกลอยู่ดี




    งั้นพี่เลือกๆมาละกันผมไปได้หมดอะ



    ไม่ไปแล้วได้มั้ยฮยอกแจเลื่อนสายตากลับมามองทงเฮ ถ้าจะลางานจริงๆขอลาไปนอนยาวทั้งวันน่าจะคุ้มกว่า แล้วก็หัวเราะออกมาเสียงใส



    ได้ทงเฮตอบพร้อมกับยกแขนขึ้นมาเท้าคางกับขอบปูน แต่ต้องเป็นเตียงผมนะ



    ฮยอกแจขมวดคิ้วแล้วหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ได้ แต่มีข้อแม้




    ร้อยข้อก็ยังได้



    ห้ามปลุกก่อนเที่ยง




    “…………”




    ห้ามอ้อนจะให้ทำนั่นทำนี่




    “…………”




    ห้ามชวนออกไปข้างนอก




    “………….”




    และสุดท้าย…”




    “………….”



    เสื้อผ้าต้องอยู่ครบจนกว่าจะหมดวัน

     

     

     



















     

    อีทงเฮ!”

     




     

    ให้ตายเถอะ

     




     

    หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”

     



     

    เสียงของฮยอกแจในเช้าวันนี้ดังยิ่งกว่านาฬิกาปลุกเสียอีก


    มันก็แน่ล่ะ! ทั้งที่ตกลงกันไว้อย่างดิบดีแล้ว แต่สุดท้ายทงเฮกลับแหกกฎมันทุกข้อแบบนี้จะไม่ให้โวยวายได้ยังไง!




    พี่อยากให้หม่าม๊าขึ้นมาเห็นในสภาพนี้จริงๆใช่มั้ย



    เสียงของทงเฮกระซิบอยู่ข้างหู และมันทำให้ฮยอกแจยอมปิดปากเงียบ แล้วเปลี่ยนมาเป็นใช้สายตาฟาดฟันอีกฝ่ายที่คร่อมอยู่บนร่างของเขาแทน




    ลืมข้อตกลงพวกนั้นไปเหอะนานๆทีจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแบบนี้นะ



    ไม่!”



    ผมรวบข้อมือพี่ทั้งสองข้างได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ



    ฉันก็ไม่มาให้นายเจอหน้าได้ทั้งอาทิตย์เลยเหมือนกัน




    “………….”



    ลงไป




    สิ้นคำสั่งเฉียบขาด ร่างหนาก็ค่อยๆคลายมือออกจากข้อมือของฮยอกแจแล้วคลานลงไปนอนข้างๆด้วยสีหน้าบึ้งตึง ต่างฝ่ายต่างนอนมองเพดานสีขาวเงียบๆอยู่นาน กระทั่งฮยอกแจเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นแล้วยกแขนขึ้นมาเท้าคางมองหน้าทงเฮ




    เล่นไคไบโบกัน


    พี่กี่ขวบละ



    ใครแพ้โดนจูบ



    ตกลง



    ทงเฮพลิกตัวขึ้นมาพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่น

    ฮยอกแจเบ้ปาก ก่อนจะนั่งขัดสมาธิเตรียมพร้อม

     




     

     - - - - - - - - - - - 


     

     

    นักจิตวิทยาบอกว่าไม่เคยมีจูบไหนที่เกิดขึ้นบนเตียงแล้วจะจบลงแค่เพียงจูบ

    นักจิตวิทยาคนนั้นคือทงเฮ

     












     

    ฮยอกแจตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกด้วยสภาพเปลือยเปล่า



    ร่างบางบิดขี้เกียจไปมาอยู่ภายใต้ผ้านวมหนา ก่อนจะกลอกสายตามองไปรอบๆห้องที่เงียบเชียบผิดปกติ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงาน ฮยอกแจขยับกายขึ้นพิงกับหัวเตียงแล้วครางในลำคอด้วยความปวดเมื่อย




    ทงเฮไปไหน




    คำถามเดียวที่เกิดขึ้นในหัวสมองตื้อๆ ฉับพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นโพสอิทสามสี่ใบที่แปะไว้ที่กำแพงข้างหัวเตียง มันค่อนข้างยากกว่าจะขยับตัวไปหยิบมันมาอ่านได้ และพอมองขึ้นไป ก็มีอีกหนึ่งใบแปะอยู่บนหน้าผาก




    และข้อความพวกนั้นก็ทำให้เขาต้องไถลตัวลงไปในผ้าห่มอีกรอบ

    แก้มของฮยอกแจกลายเป็นสีแดง

     

     







     

     

     

     

     

    ทงเฮแปะกระดาษโพสอิทใบสุดท้ายลงบนหน้าผากฮยอกแจอย่างเบามือ



    คนที่อยู่ในห้วงนิทราดูเหนื่อยอ่อนมากเสียจนเขาไม่กล้าทำเสียงดังให้ต้องตกใจตื่น ทงเฮจึงต้องขยับกายอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ลึกๆแล้วรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่เอาเปรียบอีกฝ่ายแบบนั้น แต่พอมาคิดๆดูว่าในเมื่อฮยอกแจมีความสุขดีก็ไม่เห็นจะเป็นไร




    ทงเฮจ้องมองใบหน้าของฮยอกแจที่หลับสนิทอยู่เนิ่นนาน พลางคิดย้อนไปถึงวันที่เจอกันครั้งแรก เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ แน่นอนล่ะถ้าเด็กห้าขวบคิดอะไรแบบนั้นได้ก็คงจะแก่แดดเกินไป



    มันตลกดีที่พวกเรากลับมาเจอกันอีกครั้งในอีกสิบปีถัดมา และเขาจำฮยอกแจได้ทันทีที่เห็น หม่าม๊าเคยบอกว่าแม้จะผ่านไปนานแค่ไหน แม้ระยะเวลาจะทำให้เราเหมือนจะลืมเรื่องราวบางอย่างไป แต่แท้จริงแล้วมันไม่เคยหายไปไหน เพราะความทรงจำเกี่ยวกับคนบางคนมันฝังลึกอยู่ในหัวใจของเราตลอดเวลานั่นแหละ




    วันที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้มายืนอยู่ข้างๆกัน ไม่เคยคิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน และเหนือสิ่งอื่นใด ทงเฮไม่เคยคิดว่าจะรักฮยอกแจได้มากมายขนาดนี้





    ฮยอกแจเคยบอกว่ากลัวทงเฮจะไปหาคนอื่นกลัวทงเฮจะไปเจอคนที่น่ารักกว่า นิสัยดีกว่า เด็กกว่า ทำให้มีความสุขได้มากกว่า และอีกสารพัด ฮยอกแจพูดด้วยสายตาจริงจังและดูกังวลมากจนทงเฮอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้




    น่ารักกว่า? นิสัยดีกว่า? เด็กกว่า? ทำให้มีความสุขได้มากกว่า?




    ไม่มีหรอกไม่มีคนที่ดีกว่าฮยอกแจอีกแล้ว


    อีฮยอกแจคนที่ทั้งพอดีและดีพอ





    ราตรีสวัสดิ์ครับ




    ทงเฮประทับริมฝีปากลงบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะคลี่รอยยิ้มบาง

     

     

     





     

    แก่แล้วยังน่ารักแบบเนี้ยะ มีคนเดียวในโลกเท่านั้นแหละครับ

     



     

    END









     

    จะบอกว่าค่อนข้างอึดอัดกับเรื่องนี้มาก เป็นอะไรที่เหนื่อยยากสุดๆกับการเขียนให้ทงเฮเด็กกว่า

    (เราชอบพี่ทงเฮน้องฮยอกแจน่ะ555555555555555555555)

    บางคนอ่านแล้วอาจจะเข้าไม่ถึง(ป่ะ) ...งืม เราก็เข้าไม่ถึง 55555 

    ฟิคชัวร์วูบไม่มีพล็อตอะไรเลยพิมพ์สดทุกตอน แต่งไปยังไม่รู้สึกว่ามันรักกันตรงไหนเลยบาย

     ปล.ใครที่คิดภาพไม่ออกก็นึกถึงฮยอกแจตอนปัจจุบันกับพี่ทงเฮประธานนักเรียนนะ คริ

     

    คำถาม: ทงเฮเขียนโพสอิทให้ฮยอกแจว่าอะไร

    คำตอบ: ไปคิดเอาเอง ความลับ5555555555555555555

     

     

    เรื่องหน้าจะเป็น - LITTLE BOY ( HJ ) –

    ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น  ไม่ใช่เรื่องต่อ ไม่ใช่สเป

    มันคือพี่ทงเฮกับน้องฮยอกแจน่ะ




    ◆ T H E L U X . C O . T H ' ◆  

     

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×