คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : - LITTLE BOY ♡ ( DH ) - END
FINALE
มีคนเคยบอกว่าความรักมีอานุภาพมหาศาลที่ทำให้คนเราสามารถลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งยิ่งใหญ่เพื่อใครสักคนได้
มันจริงเหรอ?
ผมเคยถามตัวเองแบบนั้น
มีคนเคยบอกอีกว่าในความรักนั้นมีองค์ประกอบมากมายหลายอย่าง คำจำกัดความของมันก็มีเยอะแยะเสียจนพูดไม่หมด ถ้าคุณลองเดินเข้าไปถามคนทั้งหมดหนึ่งร้อยคน ผมแน่ใจว่าคำตอบของทุกคนคงไม่เหมือนกัน
ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องที่สุด ไม่มีคำนิยามที่ตายตัว
สำหรับผมที่อายุเท่านี้…ความรัก…คือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย
ผมเคยเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร ไม่มีฝัน ไม่มีการวางแผนอนาคต
ผมมักจะโดนหม่าม๊าดุอยู่บ่อยๆกับความดื้อด้านและไม่เอาไหนทิ่ติดเป็นนิสัยมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเป็นลูกชายคนเดียวเลยทำให้ถูกตั้งความหวังไว้สูง หม่าม๊าทั้งด่าทั้งตี แต่ก็นั่นแหละ มันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ชั้นหนังสือของผมเต็มไปด้วยฝุ่น หนังสือเรียนพวกนั้นยังคงใหม่เอี่ยม แน่นนอนว่าผมแตะต้องมันนับครั้งได้เลย ตรงกันข้าม ลิ้นชักเล็กๆที่อัดแน่นไปด้วยซองบุหรี่,สำรับไพ่,เศษกระดาษสำหรับจดโพย และโทรศัพท์เก่าๆอีกสามเครื่องสำหรับสับรางสาวๆกลับสะอาดสะอ้านราวกับถูกดูแลมาอย่างดี
…ผมเคยมีชีวิตแบบนั้น และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงมัน
“อีทงเฮ!”
…ซะที่ไหนกันเล่า
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์อีกแล้ว!”
ผมยกมือสองข้างขึ้นมาปิดหูไว้โดยอัตโนมัติ เหมือนว่าคนตัวเล็กตรงหน้าจะลืมไปแล้วว่าที่นี่คือโรงพยาบาล และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะยืนแหกปากตะคอกใส่คนอื่นต่อหน้าคนไข้มากมายแบบนี้…
“พี่จะตะโกนทำไมเนี่ย” ว่าแล้วก็ใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวคออีกฝ่าย ก่อนจะออกแรงลากไปตามทางเดินที่ปลอดคน ปากก็พึมพำออกมาพลางยกยิ้มน้อยๆ “ต้องให้ดุอยู่เรื่อย…”
“ก็แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์ล่ะ!”
เพราะว่าโดนล็อคคออยู่ทำให้อีฮยอกแจทำได้เพียงเหลือบตาขึ้นมองด้วยความขุ่นเคือง
“ทีพี่ไม่รับสายผมยังไม่ว่าอะไรสักคำเลยนะ”
“ก็ฉันทำงาน”
“ผมก็ต้องเรียนหนังสือเหมือนกัน”
ใบหน้าของอีฮยอกแจเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หงุดหงิด อารมณ์เสีย และอีกสารพัด
ใบหน้าของอีทงเฮเต็มไปด้วยรอยยิ้ม กวนตีน กวนประสาท ยั่วโมโหและอีกมากมาย
การโต้เถียงที่ไม่มีวันจบสิ้น และมีประเด็นใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวันอย่างไม่มีวันจบสิ้นเช่นกัน
กิจวัตรเดิมๆที่ดำเนินมากว่าสองปี
ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจว่าจะเดินไปด้วยกัน จนถึงวันนี้ก็สองปี แค่สองปี
สองปีที่ระยะห่างไม่มีผลอะไรเลย ทงเฮโตขึ้นทุกวัน ในขณะเดียวกันกับที่ฮยอกแจก็(ทำตัว)เด็กลงทุกวันเช่นกัน พวกเรามักจะเถียงกันในเรื่องไร้สาระ ทะเลาะด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่สุดท้ายมันก็ลงเอยที่ทงเฮดึงฮยอกแจมากอดทุกครั้ง แล้วฮยอกแจก็จะหาย
เพราะทงเฮอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ก็เลยมาหาฮยอกแจได้สะดวกกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้นคนตัวเล็กก็ยังชอบบ่นเวลาทงเฮไม่ยอมรับโทรศัพท์อยู่ดี
ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เจอกัน
“วันนี้พี่อยากกินอะไร”
ทงเฮถามขึ้นเรียบๆ พร้อมกับคลายแขนที่ล็อคคออีกฝ่ายออกแล้วเปลี่ยนมาเป็นการคล่องคอหลวมๆแทน มือข้างหนึ่งถือโอกาสดึงแก้มฮยอกแจจนยืด
“กินไม่ลง”
“โอ้โห…บุญหูจริงๆนะเนี่ย” ทงเฮหัวเราะกับคำพูดที่นานๆทีจะได้ยิน “เจอเคสหนักอีกแล้วเหรอ”
“นิดหน่อย แต่เซ็งแฟนไม่สนใจมากกว่า”
“โอ้โหอีกที ไม่สนใจบ้าไรครับ รู้มั้ยรีบขับรถมาหาแทบคว่ำตายกลางสี่แยกแล้วเนี่ย”
“ปากเสีย” ว่าแล้วก็ฟาดมือเข้าที่ริมฝีปากนั้นเต็มแรงจนทงเฮร้องลั่น ก่อนจะหลุดรอยยิ้มออกมาแต่ก็แสร้งเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ถูกไอ้เด็กจอมกวนประสาทนี่เอาไปล้อ
สุดท้ายพวกเราก็จับมือกันเดินไปที่โรงอาหารใต้ตึกผู้ป่วยเหมือนอย่างทุกวัน
กับข้าวเดิมๆ แม่ค้าคนเดิม โต๊ะข้างๆบางทีก็เป็นคนหน้าเดิมๆที่เดินสวนกันบนตึก
แม้แต่คนตรงข้ามก็ยังเป็นคนคนเดิม
ฟังดูเป็นกิจวัตรที่แสนจะน่าเบื่อ…
แต่อีฮยอกแจกลับไม่เคยเบื่อเลยสักครั้ง
- - - - - - - - - - -
ถ้าพูดถึงโรงพยาบาล...สิ่งแรกที่คุณนึกถึงคืออะไร?
โรคภัย ความสูญเสีย เสียงร้องไห้ อุบัติเหตุ หมอ พยาบาล กลิ่นเหม็นๆ ความโศกเศร้า เสียงไอค่อกแคกของคนแปลกหน้า…หรือแม้แต่ภูติผีวิญญาณก็ดูจะเป็นอีกตัวเลือกที่อยู่ในหัวของใครหลายๆคน
ทุกอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่จรรโลงใจทั้งสิ้น จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากไปนัก แต่เพราะทงเฮเป็นคนหนึ่งที่เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยยิ่งกว่าบ้าน ก็เลยเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมแบบนั้น เขาคุ้นชินทั้งกับเสียงร้องไห้ หรือแม้แต่ความวุ่นวายเวลาที่มีอุบัติเหตุฉุกเฉินเข้ามาพร้อมๆกันห้าเคส
หากแต่วันนี้กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรแตกต่างไปจากทุกวัน
ก่อนหน้านี้สิบนาทีทงเฮโทรหาฮยอกแจที่เพิ่งผ่าตัดคนไข้ด่วนเสร็จ น้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ค่อยดีนักจึงพลอยทำให้คนที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไรรู้สึกไม่ดีตามไปด้วย ทงเฮก้าวเท้ายาวๆไปตามทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คนในชุดขาววิ่งสวนไปมา เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด และพบกลุ่มคนที่กำลังร่ำไห้
สองเท้าเปลี่ยนทิศทางไปยังห้องของฮยอกแจทันที และเมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบร่างบางที่นั่งฟุ่บหน้าอยู่กับโต๊ะ เพียงเท่านั้นก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ไม่ยาก ทงเฮเดินเข้าไปเงียบๆก่อนจะวางมือบนไหล่บางพร้อมกับออกแรงบีบเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ
“ไม่เป็นไรนะ”
เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฮยอกแจเป็นแบบนี้ เท่าที่จำได้ก็สองสามครั้งแล้วที่การผ่าตัดไม่สำเร็จ เพราะคนไข้มาโรงพยาบาลช้าเกินไปหรือไม่ก็อาการหนักเกินกว่าจะช่วยเหลือได้
“พี่ทำดีแล้ว”
ฮยอกแจเงยหน้าขึ้น ดวงตาที่สะท้อนใบหน้าของทงเฮมีประกายความเหนื่อยล้าอยู่เต็มไปหมด ร่างบางลุกจากเก้าอี้แล้วเลื่อนตัวเข้าสู่อ้อมกอดของทงเฮอย่างเชื่องช้า
- - - - - - - - - - -
“ผมว่าพี่ควรจะลางานสักสามสี่วัน”
ทงเฮพูดขึ้นขณะที่สายตามองลงไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงโซล ปลายเท้าขยี้มวนบุหรี่อย่างลวกๆ ก่อนจะพลิกตัวกลับมามองหน้าฮยอกแจที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นทั้งที่อยู่ในชุดกาวน์
“เครียดเกินไปแบบนี้ไม่ดีเลย” ว่าแล้วก็สอดมือเข้าใต้แขนของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นมาราวกับเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง “พื้นดาดฟ้านี่มันสกปรกจะตาย ผมขี้เกียจต้องมานั่งขยี้เสื้อให้พี่นะ”
ฮยอกแจไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงเสียงถอนหายใจแรงๆเท่านั้น ทงเฮคิดว่าฮยอกแจคงหมกหมุ่นอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่สนใจอะไร เพราะขนาดเขายืนสูบบุหรี่จนหมดมวนแล้วยังไม่หันหน้ามาด่านี่ก็คงแปลได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังเครียดจัดจริงๆ
“ลางานไปเที่ยวกัน…นะ?”
“…………”
“เดี๋ยวขอพี่ฮีชอลให้”
ฮยอกแจยังคงไม่ตอบอะไร สายตาของร่างบางเหม่อมองพื้นดาดฟ้าที่เต็มไปด้วยฝุ่น หัวใจที่หนักอึ้งในทีแรกค่อยๆเบาลงเมื่อได้มายืนรับลมบนดาดฟ้า และมีใครอีกคนคอยอยู่ข้างๆ
แต่จะดีมากเลยถ้าไม่มีกลิ่นบุหรี่เป็นองค์ประกอบ!
“สูบบุหรี่เหรอ” พอเริ่มได้สติขึ้นมาก็รีบหันขวับกลับไปมองคนข้างๆทันที
“หมดมวนไปนานละครับคุณ”
ทงเฮใช้ศอกดันศีรษะของฮยอกแจเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
“เมื่อกี้ว่าไงนะ”
“บอกให้ลางานไปเที่ยวกัน”
“เที่ยว?” ฮยอกแจทวนคำนั้นอยู่ในใจ นานแล้วที่เขาไม่ได้ไปเที่ยวเลย ครั้งสุดท้ายก็น่าจะเป็นตอนเด็กๆนู้น เพราะตั้งแต่แม่จากไป ก็ดูเหมือนว่าชีวิตทึ่ควรจะสนุกสนานในวัยเด็กก็หายไปด้วยเช่นกัน
“น่าสนนะ” หัวเราะออกมานิดหน่อย ก่อนจะเบนความสนใจไปยังตึกสูงลิ่วที่ตั้งเรียงรายอยู่ตรงหน้าแทน
“นี่จริงจังนะ”
“แล้วจะไปไหนล่ะ?”
“อืม…เชจูมั้ย?”
“ไกลไป”
“ปูซาน”
“ก็ไกลอยู่ดี”
“งั้นพี่เลือกๆมาละกันผมไปได้หมดอะ”
“ไม่ไปแล้วได้มั้ย” ฮยอกแจเลื่อนสายตากลับมามองทงเฮ “ถ้าจะลางานจริงๆขอลาไปนอนยาวทั้งวันน่าจะคุ้มกว่า” แล้วก็หัวเราะออกมาเสียงใส
“ได้” ทงเฮตอบพร้อมกับยกแขนขึ้นมาเท้าคางกับขอบปูน “แต่ต้องเป็นเตียงผมนะ”
ฮยอกแจขมวดคิ้วแล้วหรี่ตามองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา “ได้ แต่มีข้อแม้”
“ร้อยข้อก็ยังได้”
“ห้ามปลุกก่อนเที่ยง”
“…………”
“ห้ามอ้อนจะให้ทำนั่นทำนี่”
“…………”
“ห้ามชวนออกไปข้างนอก”
“………….”
“และสุดท้าย…”
“………….”
“เสื้อผ้าต้องอยู่ครบจนกว่าจะหมดวัน”
“อีทงเฮ!”
ให้ตายเถอะ…
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
เสียงของฮยอกแจในเช้าวันนี้ดังยิ่งกว่านาฬิกาปลุกเสียอีก…
มันก็แน่ล่ะ! ทั้งที่ตกลงกันไว้อย่างดิบดีแล้ว แต่สุดท้ายทงเฮกลับแหกกฎมันทุกข้อแบบนี้จะไม่ให้โวยวายได้ยังไง!
“พี่อยากให้หม่าม๊าขึ้นมาเห็นในสภาพนี้จริงๆใช่มั้ย”
เสียงของทงเฮกระซิบอยู่ข้างหู และมันทำให้ฮยอกแจยอมปิดปากเงียบ แล้วเปลี่ยนมาเป็นใช้สายตาฟาดฟันอีกฝ่ายที่คร่อมอยู่บนร่างของเขาแทน
“ลืมข้อตกลงพวกนั้นไปเหอะ…นานๆทีจะได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแบบนี้นะ”
“ไม่!”
“ผมรวบข้อมือพี่ทั้งสองข้างได้ด้วยมือเดียวด้วยซ้ำ”
“ฉันก็ไม่มาให้นายเจอหน้าได้ทั้งอาทิตย์เลยเหมือนกัน”
“………….”
“ลงไป”
สิ้นคำสั่งเฉียบขาด ร่างหนาก็ค่อยๆคลายมือออกจากข้อมือของฮยอกแจแล้วคลานลงไปนอนข้างๆด้วยสีหน้าบึ้งตึง ต่างฝ่ายต่างนอนมองเพดานสีขาวเงียบๆอยู่นาน กระทั่งฮยอกแจเป็นฝ่ายพลิกตัวขึ้นแล้วยกแขนขึ้นมาเท้าคางมองหน้าทงเฮ
“เล่นไคไบโบกัน”
“พี่กี่ขวบละ”
“ใครแพ้โดนจูบ”
“ตกลง”
ทงเฮพลิกตัวขึ้นมาพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างมุ่งมั่น
ฮยอกแจเบ้ปาก ก่อนจะนั่งขัดสมาธิเตรียมพร้อม
- - - - - - - - - - -
นักจิตวิทยาบอกว่าไม่เคยมีจูบไหนที่เกิดขึ้นบนเตียงแล้วจะจบลงแค่เพียงจูบ
นักจิตวิทยาคนนั้นคือทงเฮ
ฮยอกแจตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกด้วยสภาพเปลือยเปล่า
ร่างบางบิดขี้เกียจไปมาอยู่ภายใต้ผ้านวมหนา ก่อนจะกลอกสายตามองไปรอบๆห้องที่เงียบเชียบผิดปกติ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงาน ฮยอกแจขยับกายขึ้นพิงกับหัวเตียงแล้วครางในลำคอด้วยความปวดเมื่อย
ทงเฮไปไหน
คำถามเดียวที่เกิดขึ้นในหัวสมองตื้อๆ ฉับพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นโพสอิทสามสี่ใบที่แปะไว้ที่กำแพงข้างหัวเตียง มันค่อนข้างยากกว่าจะขยับตัวไปหยิบมันมาอ่านได้ และพอมองขึ้นไป ก็มีอีกหนึ่งใบแปะอยู่บนหน้าผาก
และข้อความพวกนั้นก็ทำให้เขาต้องไถลตัวลงไปในผ้าห่มอีกรอบ
แก้มของฮยอกแจกลายเป็นสีแดง
ทงเฮแปะกระดาษโพสอิทใบสุดท้ายลงบนหน้าผากฮยอกแจอย่างเบามือ
คนที่อยู่ในห้วงนิทราดูเหนื่อยอ่อนมากเสียจนเขาไม่กล้าทำเสียงดังให้ต้องตกใจตื่น ทงเฮจึงต้องขยับกายอย่างเชื่องช้าเพื่อไม่ให้เกิดเสียง ลึกๆแล้วรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่เอาเปรียบอีกฝ่ายแบบนั้น แต่พอมาคิดๆดูว่าในเมื่อฮยอกแจมีความสุขดีก็ไม่เห็นจะเป็นไร…
ทงเฮจ้องมองใบหน้าของฮยอกแจที่หลับสนิทอยู่เนิ่นนาน พลางคิดย้อนไปถึงวันที่เจอกันครั้งแรก เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ แน่นอนล่ะ…ถ้าเด็กห้าขวบคิดอะไรแบบนั้นได้ก็คงจะแก่แดดเกินไป
มันตลกดีที่พวกเรากลับมาเจอกันอีกครั้งในอีกสิบปีถัดมา และเขาจำฮยอกแจได้ทันทีที่เห็น หม่าม๊าเคยบอกว่าแม้จะผ่านไปนานแค่ไหน แม้ระยะเวลาจะทำให้เราเหมือนจะลืมเรื่องราวบางอย่างไป แต่แท้จริงแล้วมันไม่เคยหายไปไหน เพราะความทรงจำเกี่ยวกับคนบางคนมันฝังลึกอยู่ในหัวใจของเราตลอดเวลานั่นแหละ
วันที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะลงเอยแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้มายืนอยู่ข้างๆกัน ไม่เคยคิดว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคน และเหนือสิ่งอื่นใด ทงเฮไม่เคยคิดว่าจะรักฮยอกแจได้มากมายขนาดนี้
ฮยอกแจเคยบอกว่ากลัวทงเฮจะไปหาคนอื่น…กลัวทงเฮจะไปเจอคนที่น่ารักกว่า นิสัยดีกว่า เด็กกว่า ทำให้มีความสุขได้มากกว่า และอีกสารพัด ฮยอกแจพูดด้วยสายตาจริงจังและดูกังวลมากจนทงเฮอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
น่ารักกว่า? นิสัยดีกว่า? เด็กกว่า? ทำให้มีความสุขได้มากกว่า?
ไม่มีหรอก…ไม่มีคนที่ดีกว่าฮยอกแจอีกแล้ว
อีฮยอกแจคนที่ทั้งพอดีและดีพอ
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ทงเฮประทับริมฝีปากลงบนแก้มขาวอย่างแผ่วเบา ก่อนจะคลี่รอยยิ้มบาง
แก่แล้วยังน่ารักแบบเนี้ยะ มีคนเดียวในโลกเท่านั้นแหละครับ ❤
END
จะบอกว่าค่อนข้างอึดอัดกับเรื่องนี้มาก เป็นอะไรที่เหนื่อยยากสุดๆกับการเขียนให้ทงเฮเด็กกว่า
(เราชอบพี่ทงเฮน้องฮยอกแจน่ะ555555555555555555555)
บางคนอ่านแล้วอาจจะเข้าไม่ถึง(ป่ะ) ...งืม เราก็เข้าไม่ถึง 55555
ฟิคชัวร์วูบไม่มีพล็อตอะไรเลยพิมพ์สดทุกตอน แต่งไปยังไม่รู้สึกว่ามันรักกันตรงไหนเลยบาย
ปล.ใครที่คิดภาพไม่ออกก็นึกถึงฮยอกแจตอนปัจจุบันกับพี่ทงเฮประธานนักเรียนนะ คริ
คำถาม: ทงเฮเขียนโพสอิทให้ฮยอกแจว่าอะไร…
คำตอบ: ไปคิดเอาเอง ความลับ5555555555555555555
เรื่องหน้าจะเป็น - LITTLE BOY ♡ ( HJ ) –
ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเรื่องนี้ทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องต่อ ไม่ใช่สเป
…มันคือพี่ทงเฮกับน้องฮยอกแจน่ะ…
ความคิดเห็น